Monday, 19 May 2025
World

‘ริกกี้ โคลเล’ หญิงข้ามเพศ คว้ามงกุฎ ‘มิสเนเธอร์แลนด์ 2023’ จุดกระแสด้านลบในโลกโซเชียล เกรง ‘หญิงแท้’ ถูกแย่งโอกาส

กลายเป็นกระแสวิจารณ์อย่างหนัก เมื่อหญิงข้ามเพศคว้าตำแหน่งผู้หญิงที่สวยที่สุดในเนเธอร์แลนด์ประจำปี 2023 สร้างความไม่พอใจในสื่อสังคมออนไลน์ของเนเธอร์แลนด์ หลายคนมองว่าการคว้าตำแหน่งครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า ‘หญิงแท้’ กำลังโดนแย่งโอกาส

‘ริกกี้ โคลเล’ วัย 22 ปี คว้าตำแหน่ง มิสเนเธอร์แลนด์ เอาชนะหญิงสาว 9 คน ในการประกวดเมื่อวันที่เสาร์ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าคนเนเธอแลนด์ส่วนหนึ่งกลับไม่พอใจในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นรวมถึง อีวา วลาดิงเกอร์โบร์ก นักเคลื่อนไหวทางการเมืองแนวซ้ายจัดที่แสดงความเห็นว่า “ผู้ชายเพิ่งคว้ารางวัล ‘มิสเนเธอร์แลนด์’ ปี 2023…ฉันไม่ได้คาดหวังอะไรอีกแล้ว” เธอกล่าว

ก่อนหน้านี้ ริกกี้ โคลเล คือ หญิงข้ามเพศคนแรกที่ได้เข้าร่วมในรายการโทรทัศน์ ‘Holland’s Next Top Model’ ในปี 2018 และเป็นคนข้ามเพศคนที่ 2 ที่เข้าประกวดมิสยูนิเวิร์ส โดยคนแรกมาจากสเปนในปี 2018 มิสยูนิเวิร์สอนุญาตให้ผู้เข้าประกวดข้ามเพศมาตั้งแต่ปี 2012

คณะกรรมการมิสเนเธอร์แลนด์กล่าวว่า “โคลเลมีสตอรี่ที่แข็งแกร่ง และภารกิจที่ชัดเจน” และเสริมว่าพวกเขา “เชื่อมั่นว่าองค์กร จะสนุกกับการทำงานเธอ”

โคลเล โพสต์ใน Instagram ระบุ “ฉันทำแล้ว!!!!!” และ “ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นจริง ๆ แต่ฉันต้องเรียกตัวเองว่า @missnederland 2023 มันเป็นการเดินทางเพื่อการเรียนรู้ และเป็นความสวยงาม ปีของฉันจะล้มเหลวไม่ได้แล้ว ต้องทำให้ชุมชนของฉันภูมิใจและแสดงให้เห็นว่าสามารถทำได้”

แต่กระแสการเลือกบุคคลข้ามเพศให้เป็น มิสเนเธอร์แลนด์ กลับสร้างกระแสถกเถียงในชุมชนออนไลน์ของเนเธอร์แลนด์มากมาย

ชาว Twitter คนหนึ่งเยาะเย้ยชัยชนะของ โคลเล และเรียกเธอว่าเป็น ‘มิสเตอร์ เนเธอร์แลนด์’ หลายโพสต์อิโมจิหน้าตัวตลกบนทวีตของพวกเขาเพื่อรายงานข่าว

“เนเธอร์แลนด์เป็นบ้านของผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก” ชาวเนเธอร์แลนด์อีกคนบอก 

นอกจากนี้ยังมีคนแสดงความคิดเห็นว่า “ท่ามกลางสาวงามเหล่านี้ พวกเขาเพิ่งเสนอชื่อผู้ชายข้ามเพศให้เป็นมิสเนเธอร์แลนด์ 2023 ผู้ชายที่เคยมีอวัยวะเพศควรถูกตัดสิทธิ์จากการประกวดนางงามหญิงคนใด และมันบ้ามาก ๆ ถ้าฉันจะถูกเกลียดและโดนด่า เพียงแค่เพราะพูดความจริงพวกนี้"

ยังมีคนที่เปรียบเทียบภาพของมิสเนเธอร์แลนด์ กับสาวงามที่ได้ตำแหน่งรอง ๆ ว่าถ้าไม่คิดว่าใครเป็นหญิงแท้ ใครเป็นหญิงข้ามเพศ สาวงามหลาย ๆ คนก็สวยกว่ามิสเนเธอร์แลนด์ คนล่าสุดมาก ๆ

'อีลอน มัสก์' เผย Starlink ต้องถือสิทธิ์เจ้าของกิจการในไต้หวัน 100%  แลกอินเทอร์เน็ตดาวเทียมแบบเร่งด่วน เพื่อทำสงครามกับจีน

ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บริหารเบอร์ต้นๆ ของโลก การจะเจรจาเรื่องธุรกิจใดสักอย่าง จึงย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้วสำหรับ อีลอน มัสก์ ที่ตอนนี้ดูแลกิจการยักษ์ใหญ่ ทั้ง Tesla, SpaceX และล่าสุดกับระบบอินเตอร์เนตดาวเทียม Starlink ที่กำลังมาแรงอยู่ในขณะนี้ 

โดยไม่นานมานี้ อีลอน มัสก์ ได้นำเสนอไอเดียให้รัฐบาลไต้หวัน พิจารณาดาวเทียม Starlink เป็นระบบ Backup สำหรับการใช้อินเทอร์เน็ตสำรอง กันการโจมตีจากจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อให้ไต้หวันมั่นใจว่าการสื่อสาร และ ส่งผ่านข้อมูลสำคัญในประเทศยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่ติดขัดแม้จะมีความพยายามตัดระบบเคเบิลพื้นฐานจนได้รับความเสียหาย

ข้อเสนอของอีลอน มัสก์ เกิดขึ้นหลังจากที่สายเคเบิลใต้ทะเล 'ไต้หวัน-มัทสุ' ทั้ง 2 เส้น ที่ลากผ่านใกล้พรมแดนทางทะเลระหว่างจีน และ ไต้หวันถูกตัดขาด โดยเรือประมงจีนลำหนึ่ง และเรือขนส่งจีนอีกลำหนึ่ง เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยทางไต้หวันตั้งข้อสงสัยว่าจีนจงใจแล่นเรือผ่านเพื่อตัดเคเบิลสื่อสารใต้ทะเลของไต้หวัน ทำให้ชาวไต้หวันกว่า 14,000 คน ได้รับผลกระทบ ไม่สามารถเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ตได้ 

จากเหตุการณ์นี้ จึงนำไปสู่การพิจารณาในการพัฒนาระบบอินเตอร์เนตดาวเทียมเป็นกรณีเร่งด่วน ไว้เป็นแผนสำรองเตรียมรับมือกับจีน 

โดยก่อนหน้านี้ ทางรัฐบาลไต้หวันได้ริเริ่มโครงการระบบอินเทอร์เน็ตดาวเทียมของตัวเองตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายนปีที่แล้ว (2565) โดยเล็งเห็นตัวอย่างจากสงครามในยูเครน ที่ระบบสื่อสารออนไลน์เป็นสิ่งสำคัญที่ประเทศจะขาดไม่ได้ และต้องการให้มีเน็ตเวิร์กสำรองในยามสงคราม เช่นเดียวกับโมเดล Starlink ในยูเครน 

แต่ด้วยเหตุการณ์สายเคเบิลใต้ทะลขาดที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลไต้หวันเห็นว่า แผนพัฒนาอินเทอร์เน็ตดาวเทียมเป็นสิ่งที่รอไม่ได้อีกต่อไป และอาจต้องพึ่งพาบริการของ Starlink ที่มีดาวเทียมเครือข่ายพร้อมใช้ และเปิดให้บริการครอบคลุมพื้นที่มากที่สุดถึง 7 ทวีป รวมถึง แอนตาร์กติกา ด้วย 

ทว่า ด้วยความเป็นคนไม่ธรรมดาของ อีลอน มัสก์ ก็ได้ใช้โอกาสนี้ยื่นข้อเสนออย่างเด็ดขาดมายังรัฐบาลไต้หวันว่า Starlink ต้องเป็นเจ้าของกิจการในระบบที่ไต้หวัน 100% เท่านั้น หากไม่แล้ว ก็จะล้มเลิกข้อตกลงทั้งหมด 

ทั้งนี้หากย้อนไปช่วงปี 2019 สื่อไต้หวันได้รายงานว่า อีลอน มัสก์ เริ่มนำเสนอธุรกิจอินทอร์เน็ตดาวเทียม Starlink ให้กับรัฐบาลไต้หวันมาแล้วตั้งแต่ตอนนั้น แต่ตามกฎหมายของไต้หวันระบุว่า ธุรกิจโทรคมนาคมที่ต้องร่วมค้ากับบริษัทต่างชาติ จำเป็นต้องมีบริษัทไต้หวันถือหุ้นส่วนอย่างน้อย 51% 

แต่เมื่ออีลอน มัสก์ ยืนยันว่า Starlink ต้องการดำเนินธุรกิจในไต้หวัน ด้วยสิทธิ์การเป็นเจ้าของกิจการ 100% เท่านั้น โดยอีลอน มัสก์ ยืนยันว่าเป็นโมเดลธุรกิจของ Starlink ที่ทำในทุกประเทศทั่วโลก นั่นก็หมายความว่า หากรัฐบาลไต้หวันต้องการใช้ระบบอินเทอร์เน็ตดาวเทียมของ Starlink ก็ต้องแก้กฎหมายเพื่อเปิดทางให้กับธุรกิจของอีลอน มัสก์

นี่ถือเป็นเงื่อนไขที่ไม่ง่ายทั้งสำหรับ รัฐบาลไต้หวัน และ ธุรกิจ Starlink เอง และปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความต้องการระบบดาวเทียม แต่อยู่ที่เงื่อนเวลาว่าทางไต้หวันรอได้หรือไม่ ที่ต้องรับมือกับความกดดันจากจีน 

เพราะตอนนี้ ไต้หวันก็กำลังพัฒนาอินเทอร์เน็ตดาวเทียมร่วมกับ OneWeb บริษัทของอังกฤษ และมีการทดลองใช้ในบางพื้นที่บ้างแล้ว แต่อาจต้องรอเวลาอีก 2-3 ปี ในการเปิดให้บริการครอบคลุมทุกพื้นที่ได้ 

ขณะเดียวกัน หากไต้หวันรอไม่ได้แล้ว เพราะสถานการณ์ความตึงเครียดกับจีน ไม่น่าไว้วางใจ Starlink อาจเป็นคำตอบที่เร็วที่สุดในเวลานี้ ที่ต้องแลกกับอธิปไตยเหนือสิทธิ์การควบคุมธุรกิจโทรคมนาคมในประเทศ

ก็ต้องยอมรับว่า การสร้างความกดดัน หวั่นไหว สั่นประสาท ในลักษณะนี้ อีลอน เจ้าของ Twitter คนปัจจุบัน เขาปั่นเก่งนักแล...

‘อดีตผู้สื่อข่าวสายวัง’ เล่ามุมมองความรัก ‘เจ้าชายวิลเลียม-เจ้าหญิงเคท’ ชี้ ฝ่ายหญิงเข้ามาเติมเต็มสิ่งที่เจ้าชาย 'ไม่เคยมี' ในชีวิตราชวงศ์

(10 ก.ค. 66) คู่สามีภรรยาที่มีชาติกำเนิดแตกต่างกันมาก บางครั้งความต่างที่หลายคนมองว่าอาจเป็น ‘อุปสรรค’ กลับกลายเป็นการ ‘เติมเต็ม‘ ให้กัน เหมือนที่ ‘เจนนี บอนด์’ อดีตผู้สื่อข่าวสายราชวงศ์ของสำนักข่าวบีบีซี มองคู่ของเจ้าชายวิลเลียม และเจ้าหญิงแคทเธอรีนแห่งเวลส์ หรือ เคท มิดเดิลตัน พระชายา ว่า ฝ่ายหญิงซึ่งมาจากสามัญชนได้เข้ามาเติมเต็ม ให้ทุกสิ่งที่เจ้าชายวิลเลียม ไม่เคยมีในชีวิตราชวงศ์ของพระองค์

บอนด์ ในวัย 72 ปี ให้ความเห็นว่า ทั้งเจ้าชายวิลเลียม และเจ้าชายแฮร์รี พระอนุชา พระโอรสทั้ง 2 ของสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร กับ เจ้าหญิงไดอานา อดีตพระชายา ซึ่งสิ้นพระชนม์จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ปี 2540 ต่างเติบโตมาในครอบครัวที่ไม่มีความแข็งแรงทางอารมณ์ อย่างที่รู้กันว่าชีวิตคู่ของสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 กับ เจ้าหญิงไดอานา ไม่ได้ราบรื่นและลงเอยด้วยการหย่า ก่อนเจ้าหญิงไดอานาจะประสบอุบัติเหตุ กระทั่งสิ้นพระชนม์

“ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เคทได้ให้ทุกสิ่งที่เจ้าชายวิลเลียมไม่เคยได้ในชีวิตครอบครัวของพระองค์เอง ทั้งความรัก การเป็นคู่ชีวิตที่ผูกพันลึกซึ้ง มิตรภาพที่มีรากฐานแข็งแรง ความหลงใหล การเคารพซึ่งกันและกัน และยังขยายไปถึงความสัมพันธ์ที่ลงตัว มีความสุขกับพ่อตาแม่ยาย” บอนด์ให้สัมภาษณ์นิตยสารโอเค

อดีตนักข่าวของบีบีซี เล่าว่าทั้ง ไมเคิล และ แคโรล มิดเดิลตัน พ่อแม่ของเคท มิดเดิลตัน หรือ เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ต่างรักเจ้าชายวิลเลียม และปฎิบัติต่อพระองค์เหมือนเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว “เจ้าชายวิลเลียมสามารถผ่อนคลายเมื่ออยู่กับไมเคิลและแคโรล สามารถไว้ใจบุคคลทั้งสอง และสามารถเป็นตัวของพระองค์เองในแบบที่ทรงสามารถทำได้กับคนอื่นเพียงไม่กี่คน”

เจ้าชายวิลเลียม และเจ้าหญิงแคทเธอรีน พระชายา ทรงรู้จัก และพบรักกันตั้งแต่เป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูวส์ ในสกอตแลนด์ เคยเลิกคบเป็นแฟนกันไประยะหนึ่ง ก่อนจะหวนกลับมาคบกันใหม่ และประกาศหมั้นเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนปี 2553 จากนั้นทรงเข้าพิธีเสกสมรสเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2544 

เป็นเวลา 12 ปีแล้ว ที่ทั้งสองพระองค์ทรงครองชีวิตคู่ ช่วยกันเลี้ยงดูพระโอรส พระธิดาทั้ง 3 พระองค์ ได้แก่ เจ้าชายจอร์จ พระโอรสองค์โต พระชันษา 9 ปี เจ้าหญิงชาร์ลอตต์ พระชันษา 8 ปี และเจ้าชายหลุยส์ พระชันษา 5 ปี เติบโตอย่างมีความสุข เป็นที่รักที่เอ็นดูของแฟนคลับราชวงศ์อังกฤษทั่วโลก

ระหว่างให้สัมภาษณ์นิตยสารดัง ‘เจนนี บอนด์’ มองว่า “ทุกวันนี้เจ้าชายวิลเลียมทรงใกล้ชิดกับพระบิดามากขึ้น แต่ฉันคิดว่าสุภาพสตรีอีกคนที่ช่วยให้เจ้าชายวิลเลียมทรงเป็นผู้ชายเหมือนที่ทรงเป็นอยู่ ก็คือควีนเอลิซาเบธที่ 2 สมเด็จย่าของพระองค์ที่สิ้นพระชนม์จากไปแล้ว ซึ่งเจ้าชายวิลเลียมเคยบอกอยู่เสมอว่า เป็นผู้ที่อยู่ในชีวิตของพระองค์ทั้งช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด และเศร้าที่สุดในชีวิต”

ชาวแอฟริกาใต้สุดตื่นเต้น!! หิมะตกครั้งแรกในรอบ 10 ปี หลังแนวปะทะอากาศ เย็นพัดผ่าน ทำอุณหภูมิลดฮวบทั่วเมือง

(11 ก.ค. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สำนักงานอุตุนิยมวิทยาแอฟริกาใต้ ระบุว่า เราได้เห็นสภาพอากาศเช่นนี้ เมื่อปี 2012 โดยมีรายงานหิมะตกทั่วพื้นที่ทางตอนใต้ของจังหวัดเกาเต็ง ที่มีโจฮันเนสเบิร์กเป็นเมืองเอก และคาดว่าจะยังคงมีหิมะตกตลอดทั้งวัน ซึ่งรวมถึงพื้นที่สูงของจังหวัดอีสเทิร์นเคป และ จังหวัดควาซูลู-นาทาล ที่อาจทำให้ถนนหลายสายต้องปิดการจราจรด้วย

ทั้งนี้ โจฮันเนสเบิร์ก ตั้งอยู่ที่ระดับความสูงมากกว่า 1,700 เมตร (5,600 ฟุต) และอยู่ในจุดสูงสุดของฤดูหนาวในซีกโลกใต้ อย่างไรก็ดี การมีหิมะตกในเมืองนี้ยังคงเกิดขึ้นได้ยาก ก่อนหน้านี้เคยเกิดหิมะตกในปี 2012 และ ปี 1996

ทั้งนี้ อุณหภูมิที่เย็นยะเยือกยังก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อผู้คนที่อาศัยตามท้องถนน ในประเทศที่ความยากจนยังปกคลุมเป็นวงกว้าง นอกจากนี้ ยังคาดว่า ทะเลที่มีคลื่นรุนแรงและลมกระโชกแรง จะก่ออันตรายต่อเรือขนาดเล็กตรงชายฝั่งทางตะวันออกของแอฟริกาใต้ด้วย

‘ผู้นำกบฏวากเนอร์’ เข้าพบ ‘ประธานาธิบปูติน’ หลังก่อกบฏ พร้อมกล่าวสาบาน จะขอจงรักภักดีต่อรัฐบาลรัสเซีย

(11 ก.ค. 66) นายเยฟเกนี พริโกซิน ผู้นำผู้นำกลุ่มกบฏวากเนอร์ได้เข้าพบกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย เพียง 5 วันหลังจากก่อเหตุกบฏที่กินเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง โดยนายพริโกซินได้ประกาศความจงรักภักดีต่อรัฐบาลรัสเซียในขณะเข้าพบปูตินอีกด้วย

นายดิมิทรี เปสคอฟ โฆษกรัฐบาลรัสเซีย กล่าวว่า การพบกันของปูตินและพริโกซินเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง และไม่ได้มีเพียงแค่ตัวของนายพริโกซินเท่านั้น แต่ยังมีผู้บัญชาการจากกลุ่มวากเนอร์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของพริโกซินด้วย

เปสคอฟกล่าวว่า ผู้บัญชาการของวากเนอร์ได้พูดถึงมุมมองของพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น และเน้นย้ำว่าพวกเขาถือเป็นผู้สนับสนุนอย่างแข็งขัน และเป็นทหารของประมุขแห่งรัฐและผู้บัญชาการทหารสูงสุด โดยพวกเขาพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อมาตุภูมิต่อไป

ทั้งนี้ การยืนยันว่าปูตินได้พบกับนายพริโกซินซึ่งเป็นผู้นำทัพวากเนอร์ บุกไปยังกรุงมอสโกเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงตัวรัฐมนตรีกลาโหมถือเป็นเรื่องไม่ธรรมดา

พริโกซินไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นใดๆ เกี่ยวกับการหารือที่เกิดขึ้น และขณะนี้ชะตากรรมของเขาก็ยังไม่ชัดเจน โดยการประกาศดังกล่าวทำให้เห็นว่า มีการเจรจาเบื้องหลังอยู่มากมายในที่ลับ และพริโกซินยังคงถูกดำเนินคดีในความผิดทางการเงินหรือข้อหาอื่น ๆ ต่อไป

การเผชิญหน้า 'จลาจล-ประท้วง-เสรีภาพ' ของผู้นำหนุ่ม ในยุค 'วิกฤติเศรษฐกิจ-โซเชียลกำหนดวิธีคิด' ให้ผู้คนลุกฮือ

ไม่นานมานี้ YouTube ช่อง 'Kim Property Live' ได้โพสต์คลิป เล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ การประท้วง การจลาจล ในประเทศฝรั่งเศส โดยได้แสดงความคิดเห็นไว้ว่า ...

วันนี้จะมาชวนคุยเกี่ยวกับประเทศฝรั่งเศส การประท้วง การจลาจล การต่อต้านและความไม่สงบ ภายใต้บริบทของประเทศคิดที่มีความหลากหลาย และสร้างสรรค์ รวมทั้งเป็นเจ้าของแบรนด์หรู ต่างๆ มากมาย ซึ่งวันนี้ต้องเผชิญความท้าทายจากอำนาจของประชาชนภายใต้อิทธิพลสื่อที่ผู้นำหนุ่มแห่งฝรั่งเศสกำลังปวดหัว

โดยเราต้องทำความเข้าใจ เกี่ยวกับรากเหง้าและวัฒนธรรมการประท้วงของฝรั่งเศสกันก่อน ประเทศของเขามีการเคลื่อนไหวมาตั้งแต่ปีค.ศ 1789 ซึ่งเป็นการปฏิวัติฝรั่งเศส และนี่ก็คือเอกลักษณ์ของทางประเทศฝรั่งเศส ที่เกี่ยวกับ เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ ประเทศฝรั่งเศสมีการนัดกันหยุดงานและประท้วงกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาพลักษณ์ของประชากรในฝรั่งเศสเป็นคนที่ดูเข้มแข็ง และกล้าท้าทายต่ออำนาจ คนในฝรั่งเศสนั้นมีความรู้ มีการศึกษาค่อนข้างดี และก็ยังมีส่วนร่วมทางการเมืองที่เยอะอีกด้วย อีกทั้งทางด้านสหภาพแรงงานก็เข้มแข็ง ทำให้เกิดการประท้วง ทั้งในฝั่งของคนทำงานและบริษัท จึงทำให้เราเห็นภาพที่วุ่นวาย

อย่างไรก็ตาม ประเทศฝรั่งเศสนั้น ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว มีสินค้าแบรนด์ดัง แบรนด์หรูที่โด่งดังไปทั่วโลกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น หลุยส์วิตตอง Hermes Chanel ยิปแซง Peugeot ยางมิชลิน ห้างคาร์ฟูร์ เครื่องสำอางลอรีอัล Ibis axa แต่ก็แทบจะไร้ค่า เมื่อเทียบกับพลังของผู้คนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยวิถีคิดแห่งเสรีภาพค้ำชู

กลับมาพูดกัน ในปัจจุบันของฝรั่งเศส มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง เหตุการณ์มันลุกลามกันมาตั้งแต่ เหตุการณ์เสื้อกั๊กเหลือง ที่คนประท้วงกันในเรื่องของนโยบาย โลกร้อน ขึ้นภาษีน้ำมัน ประชาชนไม่พอใจรัฐบาล ที่นโยบายเอื้อไปทางคนที่ร่ำรวย เพราะว่าประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง มาจากสายของการเงินธุรกิจ 

นอกจากนี้ตัวเขาก็ยังมีแนวคิดที่จะเลื่อนการเกษียณออกไปอีก 2 ปี เนื่องด้วยระบบบำนาญของฝรั่งเศส ดูแลประชาชนไม่ไหวแล้วประชาชนเริ่มที่จะแก่มากขึ้น เงินที่เข้ามาก็น้อย ดอกเบี้ยก็ต่ำ พอยืดเวลาเกษียณออกไปก็ทำให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ เกิดการหยุดทำงานการประท้วงไปทั่วฝรั่งเศส (สำหรับคนไทยนั้นอาจจะตกใจแต่สำหรับคนฝรั่งเศสการ Strike หยุดงานการเดินขบวนการประท้วงนั้น เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว)

ทว่า เหตุการณ์ล่าสุดที่เพิ่มความร้อนแรงให้กับประเทศฝรั่งเศส ทั้งในเรื่องของการเมืองและเรื่องของสังคมนั่นก็คือ การที่ตำรวจท่านหนึ่ง ทำการวิสามัญวัยรุ่นอายุ 17 ปี ซึ่งน้องคนนี้ก็ได้มาจากแอฟริกาเหนือ (ก็ต้องบอกว่าในประเทศฝรั่งเศสนั้นมีความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติที่เยอะ มีผู้ที่อพยพเข้าเมืองมาเยอะ และถ้าดูจากแผนที่แล้วประเทศฝรั่งเศสนั้นจะอยู่ทางตอนบนของประเทศซีเรีย ตะวันออกกลาง) 

ฉะนั้นเมื่อมีผู้อพยพเข้ามากันเยอะ เพื่ออาศัยลี้ภัยสงคราม เหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่เลือกปฏิบัติก็เริ่มมีการก่อตัวให้เห็นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ผู้อพยพนั้นก็เติบโตขึ้นมากเช่นเดียวกัน และนั่นก็ทำให้ประชาชนเริ่มไม่พอใจการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ (ไม่ชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว) พอมีเหตุการณ์การวิสามัญของเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามา จึงทำให้เกิดความไม่พอใจเกิดขึ้น ทำให้ความรุนแรงปะทุขึ้นมา มีคนยิงพลุใส่ตำรวจ เผารถยนต์ของตำรวจ โดยล่าสุดมีการจับกุมผู้ประท้วงไปแล้ว ประมาณ 1,100 คนจากทั่วประเทศ และปัจจุบันเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 40,000 คนได้เข้าควบคุมสถานการณ์ 

แน่นอนว่า การประท้วงในครั้งนี้ ได้ท้าทายอำนาจของประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง ซึ่งก็ได้มีการเรียกประชุมฉุกเฉินและมีการขอให้ผู้ปกครองนั้นดูแลบุตรหลานให้ดี ให้อยู่กันแต่ในบ้าน ซึ่งทางฝ่ายค้าน ก็ได้ใส่ประธานาธิบดีมาครงทันทีว่าอ่อนแอ ควบคุมกฎหมายไม่ดีรักษาความสงบเรียบร้อยไว้ไม่ได้

ประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง ก็ปวดหัวพอสมควร ปัญหาเก่าก็มีสะสมมาเยอะอยู่แล้ว ทั้งปัญหาเงินเฟ้อ ที่สูงขึ้นไปถึง 6% ตอนนี้ก็ได้ลงมาอยู่ราวๆ 5% แล้ว ส่วนตัวเลข GDP นั้นถึงแม้จะไม่ติดลบแต่ก็ถือว่าแทบจะไม่โตเลย ตัวเลขอยู่ที่ 0.9% เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ค่าครองชีพสูง ประชาชนก็ย่อมจะมีความกดดันสูงอยู่แล้วและเมื่อมีเหตุการณ์ปะทุขึ้นมาอีก จุดเดือดนี้ ก็ได้แพร่ขยายออกไปได้ง่าย 

อย่างไรก็ตาม ในฝั่งของท่านประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง ก็ได้มี Action ต่างๆ เพื่อจะแก้ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องรายได้ ค่าครองชีพ ได้มีการเชิญชวนนักธุรกิจทั่วโลกให้มาตั้งโรงงานที่ประเทศฝรั่งเศส เพราะถ้าโรงงานการผลิตอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ก็จะเกิดการจ้างงานทำให้คนฝรั่งเศสนั้นมีงานทำเพิ่มขึ้นอีกมากมาย ซึ่งประธานาธิบดีมาครง ก็เคยจีบอีลอนมัสก์ ให้มาสร้างโรงงานแบตเตอรี่ในประเทศฝรั่งเศส 

ขณะเดียวกัน ก็เคยชวนเจ้าสัวซีพีของไทยไปเปิดโรงงานที่ฝรั่งเศส เพราะนโยบายหลักของประธานาธิบดีมาครงนั้น เน้นไปที่พลังงานสะอาด ซึ่งเป็นนโยบายหลักของประเทศในทวีปยุโรปอยู่แล้วที่จะเน้นในเรื่องนี้ เขาไม่อยากจะซื้อพลังงานจากทางด้านประเทศรัสเซีย แต่การขึ้นภาษีดีเซลนั้นก็ยังติดขัดกับพวกเสื้อกั๊กเหลืองอยู่ คนฝรั่งเศสไม่เอาด้วย เพราะว่ามองว่าเป็นการรังแกคนที่จน คนทางภาคเกษตรกรรมนั้นใช้พลังงานดีเซลที่เยอะ แล้วต่อมาเหตุการณ์จลาจลในประเทศฝรั่งเศสนั้นก็ได้ลุกลามไปยังประเทศเบลเยียม ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เกิดการปล้นในเมืองโลซาน โดยยึดประเทศฝรั่งเศสเหมือนโมเดลในการประท้วงการเรียกร้องประชาธิปไตย ประชาชนในหลายประเทศดูฝรั่งเศสเป็นตัวอย่าง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดการประท้วงการจลาจลแบบนี้ มันก็ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ ธุรกิจที่เปิดอยู่ก็ต้องปิดตัวลงไป จะทำการค้าการขายกันก็ไม่ได้ ทำให้เกิดการสูญเสีย ประมาณ 1 billion Euro หรือว่าประมาณ 1,000 ล้านยูโร ซึ่งก็คล้ายคลึงกับบ้านเราถ้าเกิดการประท้วงปิดห้างกันการค้าการขายระบบเศรษฐกิจของบ้านเราก็เสียหาย นอกจากนี้ยังส่งผลเสียต่อการท่องเที่ยวเพราะว่าคนไม่กล้ามาท่องเที่ยวกัน ทำให้เกิดการกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของฝรั่งเศสมากขึ้นไปอีก เพราะฝรั่งเศสนั้นก็เป็นประเทศที่เน้นการท่องเที่ยว ของที่เป็นแบรนด์เนมของที่เป็นแฟชันสัญลักษณ์ของความหรูหรา จนรัฐบาลของฝรั่งเศสจะต้องมาการันตีให้ความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว

ถึงตรงนี้ ก็ต้องยอมรับว่า ฝรั่งเศส เป็นประเทศที่มีแนวคิดทางด้านการเมืองที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน มีความเข้มแข็งของประชาชน มีความเข้มแข็งของสหภาพ การมีส่วนร่วมทางการเมืองค่อนข้างสูง แต่อีกด้านหนึ่งก็มักทำให้เกิดการประท้วงการจลาจล ซึ่งต้องยอมรับว่าในช่วงหลัง Social Media ก็มีผลอย่างมากต่อการนำมาซึ่งความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จากเมื่อก่อนที่เดินขบวนกันแบบสันติ แต่ปัจจุบันก็ได้ รุนแรง จนเกินต้านจากการปลุกปั่นในออนไลน์

‘ตุรกี’ ไฟเขียว!! เปิดทางให้ ‘สวีเดน’ ร่วมเป็นสมาชิกใหม่นาโต พร้อมเร่งหารือกรณี ‘ยูเครน’ ขอร่วมพันธมิตรท่ามกลางภาวะสงคราม

(11 ก.ค. 66) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม นายเรเจพ เทยิพ แอร์โดอาน ประธานาธิบดีตุรกียินยอมที่จะส่งเรื่องการขอเข้าเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ของสวีเดนเข้าสู่รัฐสภาตุรกีให้เร็วที่สุด ถือเป็นการสิ้นสุดประเด็นขัดแย้งที่สร้างความตึงเครียดให้กับนาโตนานหลายเดือน ขณะที่การสู้รบในประเทศยูเครนยังคงดำเนินต่อไป

ทั้งประเทศสวีเดนและฟินแลนด์ได้ยื่นขอเข้าเป็นสมาชิกนาโตเมื่อปีที่แล้ว เพื่อตอบสนองต่อการที่รัสเซียนำกำลังทหารเข้ารุกรานยูเครนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว แม้ฟินแลนด์ได้รับการอนุมัติให้เข้าเป็นสมาชิกของนาโตเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่ทั้งประเทศตุรกีและฮังการียังคงขัดขวางการขอเข้าเป็นสมาชิกนาโตของสวีเดน ซึ่งทางสวีเดนเองก็กำลังเดินหน้าเพื่อเข้าร่วมเป็นสมาชิกนาโตในการประชุมผู้นำชาติสมาชิกที่จัดขึ้นที่กรุงวิลนีอุส เมืองหลวงของประเทศลิทัวเนีย ซึ่งจะเริ่มขึ้นในวันที่ 11 กรกฎาคม

นายเยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการนาโตกล่าวในการแถลงข่าวว่า “ผมมีความยินดีที่จะประกาศว่า ประธานาธิบดีแอร์โดอานได้เห็นพ้องที่จะยื่นพิธีสารการเข้าเป็นสมาชิกของสวีเดนไปยังสมัชชาแห่งชาติให้เร็วที่สุด และทำงานกับสมัชชาแห่งชาติอย่างใกล้ชิด เพื่อรับรองการให้สัตยาบัน”

ประธานาธิบดีแอร์โดอานของตุรกีและนายอุล์ฟ คริสเตอซ็อน นายกรัฐมนตรีสวีเดนมีการหารือกันนานหลายชั่วโมงก่อนหน้าการประชุมผู้นำนาโตเพื่อหวังที่จะฝ่าทางตันในประเด็นดังกล่าวระหว่างทั้งสองชาติ หลังก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีแอร์โดอานของตุรกีกล่าวหาว่าสวีเดนไม่ได้พยายามมากพอที่จะจัดการกับสมาชิกพรรคแรงงานเคอร์ดิสถาน (พีเคเค) ที่ตุรกี สหภาพยุโรป (อียู) และสหรัฐฯ จัดให้เป็นองค์กรก่อการร้าย

นายกรัฐมนตรีคริสเตอซ็อนของสวีเดนกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “นี่คือวันที่ดีสำหรับสวีเดน” แถลงการณ์ร่วมที่ออกโดยทั้งสวีเดนและตุรกีระบุว่า สวีเดนได้เน้นย้ำว่าจะไม่สนับสนุนกลุ่มชาวเคิร์ดและจะสนับสนุนความพยายามในการเข้าเป็นสมาชิกอียูของตุรกี ขณะที่แอร์โดอานกล่าวว่า “อียูควรที่จะเปิดทางให้กับการขอเข้าร่วมเป็นสมาชิกอียูของตุรกี ก่อนที่รัฐสภาตุรกีจะอนุมัติการขอเข้าเป็นสมาชิกนาโตของสวีเดน”

ก่อนหน้านี้ เสนาธิการของนายวิกเตอร์ ออร์บัน นายกรัฐมนตรีฮังการีได้กล่าวเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่าจะไม่ขัดขวางการให้สัตยาบันขอเข้าเป็นสมาชิกนาโตของสวีเดนอีกต่อไป ทำให้การยินยอมของตุรกีจะเป็นการกำจัดอุปสรรคสุดท้ายในการเข้าร่วมนาโตของสวีเดน

นอกจากประเด็นเรื่องสวีเดนแล้ว บรรดาผู้นำของชาติสมาชิกนาโตเตรียมที่จะมีการหารือกันในการประชุมผู้นำที่กรุงวิลนีอุส เพื่อหวังที่จะก้าวข้ามความแบ่งแยกในเรื่องการที่ประเทศยูเครนขอเข้าเป็นสมาชิกของนาโตเช่นกัน โดยในการประชุมดังกล่าวจะมีการพูดคุยกันถึงผลสะท้อนของการที่รัสเซียส่งกองทัพเข้ารุกรานยูเครน โดยบรรดาผู้นำชาติสมาชิกเตรียมที่จะอนุมัติแผนครอบคลุมที่ระบุว่า ชาติสมาชิกนาโตจะตอบสนองต่อการโจมตีของรัสเซียอย่างไร ซึ่งเป็นครั้งแรกที่นาโตมีการร่างแผนในลักษณะดังกล่าวขึ้นมานับตั้งแต่ช่วงสิ้นสุดสงครามเย็น

ถึงแม้ว่าสมาชิกนาโตหลายคนเห็นพ้องกันว่า ยูเครนจะยังไม่สามารถเข้าเป็นสมาชิกของนาโตได้ ขณะที่ยังมีสงครามกับรัสเซีย แต่พวกเขายังคงเสียงแตกว่ายูเครนจะสามารถเข้าเป็นสมาชิกนาโตได้เร็วที่สุด เมื่อใดหลังสิ้นสุดสงครามและภายใต้เงื่อนไขใด ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครน ที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวด้วย ได้กดดันให้นาโตกำหนดแนวทางที่ชัดเจนในการเข้าเป็นสมาชิกนาโตของยูเครนในแถลงการณ์ของที่ประชุม เพื่อที่ยูเครนจะสามารถเข้าเป็นสมาชิกนาโตได้หลังสิ้นสุดสงครามกับรัสเซีย

บรรดานักการทูตระบุว่า การยืนยันว่ายูเครนมีตำแหน่งอันชอบธรรมในนาโต และจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกทันทีเมื่อเงื่อนไขต่าง ๆ เอื้อต่อการเข้าเป็นสมาชิก จะเป็นหนึ่งในข้อความที่จะมีการพูดคุยกันสำหรับแถลงการณ์ของที่ประชุม นอกจากนั้นแล้ว การเจรจาต่าง ๆ จะให้ความสำคัญไปที่เงื่อนไขการเข้าเป็นสมาชิกนาโตของยูเครน และจะติดตามขั้นตอนการดำเนินการดังกล่าวอย่างไร

‘BVLGARI’ เกือบโดนแบน หลังเอ่ย ‘ไต้หวัน’ แยกออกมาจากประเทศจีน  ล่าสุดรีบออกมาขอโทษ พร้อมแจงเหตุ ‘พนง.กรอกข้อมูลผิด’

เมื่อวานนี้ (11 ก.ค. 66) งานนี้แบรนด์เสื้อผ้าและเครื่องประดับเจ้าดังของโลกอย่าง ‘BVLGARI’ ส่อจุดกระแสโดนแบนจากชาวจีนอีกหนึ่ง ด้วยเหตุที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความอ่อนไหว จีน-ไต้หวัน

วันนี้กลายเป็นกระแสเดือดอย่างหนักในโลกออนไลน์จีน เมื่อมีข่าวนำเสนอว่า ในหน้าร้านค้าออนไลน์ของ ‘BVLGARI’ ได้มีการบอกสาขาของช็อป ‘BVLGARI’ ในประเทศต่างๆ อาทิเช่น ประเทศไทย เวียดนาม ญี่ปุ่น อินเดีย สิงคโปร์

และที่จุดประเด็นความไม่พอใจคือ ทางหน้าเพจร้านค้าออนไลน์ ได้เขียนว่ามีสาขาที่ เขตปกครองพิเศษประเทศจีนมาเก๊า (中国澳门特别行政区) และ เขตปกครองพิเศษประเทศจีนฮ่องกง (中国香港特别行政区)

แต่เมื่อไล่มาถึง ‘ไต้หวัน’ กลับเขียนสั้นๆว่า ‘ไต้หวัน’ (台湾) ไม่มีการใส่คำว่าประเทศจีนไต้หวัน ซึ่งนี่เองทำให้คนจีนจำนวนมากต่างไม่พอใจ เรียกว่าเดือดเลยทีเดียว ที่ทาง ‘BVLGARI’ จงใจจะแยกไต้หวันออกมาเป็นประเทศ ประเทศหนึ่ง

กระแสความไม่พอใจหนักถึงขนาดที่ว่าชาวโซเชียลจีนต่างเรียกร้องให้ทางแบรนด์ออกมาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น หากไม่อย่างนั้นพวกตน จะขอแบนออกไปจากประเทศจีน ความคิดเห็นส่วนใหญ่ต่างพูดว่า ไม่อยากทำมาค้าขายที่จีนแล้วใช่ไหม รอดูได้เลย จบไม่สวยแน่ ๆ งานนี้ และมีอีกหลายเสียงออกมาร่วมประกาศจุดยืน ประเทศจีนมีเพียง 1 เดียว และออกมาขับไล่ ‘BVLGARI’ ออกจากประเทศจีน

ล่าสุด ‘BVLGARI’ ออกมาขอโทษแล้วค่ะ โดยกล่าวว่า ทางแบรนด์ได้ให้ความเคารพต่อหลักอธิปไตยและบูรณภาพของประเทศจีน และต้องขอโทษเป็นอย่างยิ่งต่อความผิดพลาด ที่ฝ่ายดูแลร้านค้าออนไลน์ลงข้อมูลระบุประเทศผิด และได้รีบดำเนินการติดต่อผู้เกี่ยวข้องให้แก้ไขแล้ว

'รัสเซีย' ขู่!! พร้อมใช้อาวุธแบบเดียวกันโต้ตอบ หลังสหรัฐฯ จัดหา 'ระเบิดพวง' ป้อนให้ยูเครน

(12 ก.ค. 66) สหรัฐฯ แถลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าจะจัดหากระสุนคลัสเตอร์ให้แก่ยูเครน อาวุธระเบิดที่ปกติแล้วจะปลดปล่อยลูกระเบิดขนาดเล็กจำนวนมากกระจัดกระจายเป็นบริเวณกว้าง

คลัสเตอร์บอมบ์ถูกห้ามโดยประเทศต่าง ๆ มากกว่า 100 ชาติทั่วโลก สืบเนื่องจากมันเสี่ยงก่ออันตรายแก่พลเรือน ปกติแล้วมันปลดปล่อยระเบิดขนาดเล็กกว่าที่สามารถเข่นฆ่าชีวิตโดยไม่เลือกหน้าในพื้นที่หนึ่งเป็นบริเวณกว้าง ส่วนกระสุนลูกที่ไม่ระเบิดนั้นก็เสี่ยงก่ออันตรายเป็นเวลานานหลายทศวรรษ หลังความขัดแย้งสิ้นสุดลง

สื่อมวลชนรัสเซียอ้างคำกล่าวของ ชอยกู ระบุว่ารัสเซียมีกระสุนคลัสเตอร์ในครอบครองเช่นกัน แต่จนถึงตอนนี้ยังคงอดทนอดกลั้นจากการใช้มันในปฏิบัติการพิเศษด้านการทหาร

อย่างไรก็ตาม รายงานของรอยเตอร์ระบุว่า สหรัฐฯ เคยกล่าวหารัสเซียใช้กระสุนคลัสเตอร์ในยูเครน และบอกว่าระเบิดลูกปรายของมอสโกมีอัตราการด้านสูงสุดถึง 40% ส่งผลให้สมรภูมิรบเต็มไปด้วยลูกระเบิดขนาดเล็กที่ไม่ทำงาน ขณะที่วอชิงตัน กล่าวอ้างว่าระเบิดคลัสเตอร์ของพวกเขาที่กำลังส่งมอบแก่ยูเครนนั้น มีอัตราการกระสุนด้านไม่เกิน 2.35%

ชอยกู ระบุในวันอังคาร (11 ก.ค.) ว่า "ในกรณีที่สหรัฐฯ จัดหากระสุนคลัสเตอร์ให้ยูเครน ทางกองกำลังรัสเซียจะถูกบีบให้ใช้อาวุธแบบเดียวกันกับกองกำลังยูเครนเป็นการตอบโต้" เขากล่าว "พวกเขาควรจำไว้ว่า รัสเซียก็มีกระสุนคลัสเตอร์ในประจำการเช่นกัน และในทุก ๆ วาระ พวกมันมีประสิทธิภาพเหนือกว่าของอเมริกาเป็นอย่างมาก"

รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซียบอกว่ากองทัพมอสโกกำลังใช้มาตรการต่างๆ เพื่อปกป้องกำลังพลของพวกเขาจากอาวุธดังกล่าว

กลุ่มสิทธิมนุษยชนฮิวแมนไรท์วอตช์ อ้างว่าทั้งมอสโกและเคียฟต่างก็เคยใช้กระสุนคลัสเตอร์ระหว่างความขัดแย้งในยูเครนที่ลากยาวมาเกือบ 17 เดือนแล้ว
.
รัสเซีย ยูเครน และสหรัฐฯ ต่างไม่ได้ลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยระเบิดลูกปราย (Convention on Cluster Munitions) ซึ่งห้ามใช้ จัดเก็บ ผลิตและขนย้ายกระสุนคลัสเตอร์โดยสิ้นเชิง และมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2010

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ อ้างว่าจำเป็นต้องอนุมัติคำขอของทางเคียฟ สำหรับกระสุนคลัสเตอร์ หลังจากเริ่มชัดเจนแล้วว่า ยูเครน ซึ่งเวลานี้กำลังปฏิบัติการโจมตีตอบโต้รัสเซีย กำลังขาดแคลนกระสุนปืนใหญ่ทั่วไป และกำลังผลิตคงไม่เพียงพอต่อความต้องการของยูเครน

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นแม้ว่าบรรดาพันธมิตรใกล้ชิดของสหรัฐฯ อย่างสหราชอาณาจักร แคนาดา และเยอรมนี แสดงจุดยืนคัดค้านการใช้กระสุนคลัสเตอร์

ในด้านสถานการณ์การสู้รบ ชอยกู แสดงความคิดเห็นว่า รัสเซียกำลังลดศักยภาพการโจมตีตอบโต้ของยูเครนลงอย่างมาก และกองกำลังรัสเซียสามารถรุกคืบในภาคสนามระหว่างปฏิบัติการโจมตีตอบโต้ของตนเองเช่นกัน ในทิศทางเมืองลีมัน ในแคว้นโดเนตส์ก ทางภาคตะวันออกของยูเครน

Bank of America ถูกปรับ 250 ล้านเหรียญ ฐานเปิดบัญชีปลอม-เก็บค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน

Bank of America ธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐอเมริกา ถูกสั่งให้คืนเงินลูกค้ากว่า 100 ล้านเหรียญ และค่าปรับอีก 150 ล้านเหรียญ เมื่อตรวจพบว่ามีการเก็บค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน จากการหักรางวัลโบนัสบัตรเครดิต และ เปิดบัญชีโดยที่ลูกค้าไม่รู้ หรือไม่ได้รับอนุญาต

ทั้งนี้ เมื่อรวมยอดค่าเสียหายที่ทางธนาคารต้องจ่ายแล้ว นับเป็นค่าปรับที่สูงที่สุดในรอบหลายปีของ Bank of America แต่ที่หนักสุด คือ ภาพลักษณ์อันย่ำแย่ของธนาคารที่พังยับ หลังจากตลอดระยะเวลากว่า 15 ปี ได้สร้างชื่อเสียงในการเป็นสถาบันการเงินที่โปร่งใส น่าเชื่อถือ ให้ความสำคัญกับความมั่นคงด้านการเงิน โดยไม่แสวงหากำไรจากค่าธรรมเนียมส่วนเกิน หรือ การใช้เล่ห์เหลี่ยมทางการเงินกับลูกค้า

เกี่ยวกับเรื่องนี้ สำนักคุ้มครองทางการเงินของผู้บริโภค ได้ออกมาแถลงเมื่อวันอังคาร (11 ก.ค.66) ที่ผ่านมาว่า จากการสืบสวนพบการกระทำผิดของ Bank of America ต่อบัญชีลูกค้าหลายแสนราย ในหลากหลายผลิตภัณฑ์ทางการเงินของธนาคารมาตลอดระยะเวลาหลายปี ที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย  

เป็นเหตุให้ทางการสหรัฐสั่งให้ Bank of America ต้องคืนค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บซ้ำซ้อนให้แก่ลูกค้าเป็นเงินกว่า 100 ล้านเหรียญ บวกค่าเสียหายเพิ่มเติมอีก 90 ล้านเหรียญ นอกจากนี้ยังต้องจ่ายค่าปรับอีก 60 ล้านเหรียญให้กับสำนักงานผู้ควบคุมเงินตราของสหรัฐอเมริกาต่างหากด้วย

ด้าน นายโรหิต โชปรา ผู้อำนวยการสำนักคุ้มครองทางการเงินของผู้บริโภค กล่าวว่า การคิดค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน, การเปิดบัญชีโดยไม่ได้รับความยินยอมจากลูกค้า และการระงับโบนัสตอบแทน ไม่ทำตามที่เคยแจ้งแก่ลูกค้าโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นสิ่งผิดกฎหมายและบ่อนทำลายความไว้วางใจของลูกค้า ซึ่งทางสำนักงานสามารถสั่งยุติการดำเนินการของธนาคารทั้งระบบได้

โดย Bank of America ใช้ระบบที่เรียกว่า ‘Double-dipping scheme’ หรือ ‘ชาร์จค่าธรรมเนียมเบิ้ล 2 รอบกับลูกค้า’ ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่มีการเบิกเงินเกินบัญชี ทางธนาคารจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 35 เหรียญ และจะเก็บค่าธรรมเนียมนี้ซ้ำอีกครั้ง เมื่อลูกค้าทำธุรกรรมเดิม

ตัวอย่างที่มักพบการชาร์จค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อนบ่อยครั้ง คือ การตัดค่าบริการรายเดือน เช่น ฟิตเนส ที่หลายครั้งเงินลูกค้าในบัญชีเหลือไม่พอตัด ธนาคารจะทำการปฏิเสธการชำระ พร้อมหักค่าธรรมเนียม 35 เหรียญจากลูกค้า แต่เมื่อลูกค้านำเงินมาเติมในบัญชี ก็จะถูกค่าปรับอีก 35 เหรียญเนื่องจากทำธุรกรรมซ้ำ ทำให้ธนาคารมีรายได้จากสิ่งที่ชาวอเมริกันเรียกว่า ‘ค่าธรรมเนียมขยะ’ มากมายมหาศาลในแต่ละปี 

ด้านผู้อำนวยการสำนักคุ้มครองฯ กล่าวย้ำอีกว่า ระบบ ‘Double-dipping scheme’ ของธนาคารถือเป็นสิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ละเมิดมาตรา 5 ของพระราชบัญญัติด้านการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐ ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการโกงลูกค้า ดังนั้นจึงต้องออกมาตรการบางอย่างคว่ำบาตร Bank of America เพื่อให้ธนาคารต้องคืนเงินส่วนนี้ให้แก่ลูกค้าพร้อมค่าปรับ 

นอกจากฐานความผิดในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อนแล้ว Bank of America ยังโดนข้อกล่าวหาว่ามีการระงับโบนัส สิทธิพิเศษ สำหรับลูกค้าบัตรเครดิต ที่ไม่เป็นไปตามที่ธนาคารเคยได้แจ้งแก่ลูกค้า ซึ่งโบนัส และ รางวัลพิเศษ เป็นส่วนหนึ่งในการจูงใจให้ลูกค้าสมัครบัตรเครดิตของธนาคารที่พบว่า มีลูกค้าหลายหมื่นรายถูกระงับโบนัสพิเศษหลังจากที่ได้ใช้บัตรเครดิตของธนาคารแล้ว และ ยังพบว่าพนักงานของธนาคารแอบเปิดบัญชี หรือสมัครบัตรเครดิตให้ลูกค้าเพื่อทำยอด โดยไม่ได้แจ้ง หรือได้รับการยินยอมจากลูกค้ามาก่อน ถือเป็นความผิดที่ไม่สมควรอย่างยิ่งที่เจ้าหน้าที่ธนาคารแอบใช้ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าเพื่อหาผลประโยชน์

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Bank of America ถูกลงโทษจากการปฏิบัติงานที่ผิดกฎหมาย เพราะย้อนกลับไปในปี 2014  Bank of America ต้องจ่ายเงินสูงถึง 727 ล้านเหรียญ เป็นค่าปรับให้กับสำนักคุ้มครองทางการเงินของผู้บริโภคมาแล้ว ด้วยข้อหาหลอกลวงลูกค้าประมาณ 1.4 ล้านราย ให้จ่ายค่าธรรมเนียม ที่ทางธนาคารอ้างว่าสำหรับบริการตรวจสอบเครดิตและรายงานเครดิตที่ลูกค้าไม่เคยได้รับมาก่อน

และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ Bank of America ต้องพยายามประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ตนเองใหม่นานนับสิบปี เพื่อให้เป็นธนาคารที่ชาวอเมริกันไว้ใจได้อีกครั้ง แต่สุดท้ายก็กลับมาทำผิดซ้ำรอยเดิมในหนนี้

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เงินทอง เป็นของสำคัญ ไว้ใจใครไม่ได้ แม้แต่ธนาคาร เราจึงควรหมั่นเช็กบัญชีอยู่เสมอๆ เผื่อว่าจะมีใครแอบมาตัดเงินในบัญชีไปดื้อๆ

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top