Monday, 19 May 2025
World

‘ตำรวจญี่ปุ่น’ บุกจับกุมเจ้าของ ‘ร้านอาบอบนวด’ พบ ‘สาวไทย-จีน’ ใช้วีซ่าระยะสั้นแอบทำงาน

(5 ก.ค. 66) ข่าวร้อนในญี่ปุ่น!! ล่าสุดตำรวจญี่ปุ่น บุกทลาย ‘ร้านอาบอบนวด’ เข้าจับกุมหญิงวัย 59 ปี ถูกจับในข้อหาให้นักเรียนต่างชาติทำงานอย่างผิดกฎหมายในร้าน

นาง อากิโกะ ซัตสึมะ วัย 59 ปี เจ้าของอาบอบนวด ‘Milk’ ตกเป็นผู้ต้องสงสัย ให้นักศึกษาหญิงชาวไทยและจีน 5 คน เดินทางมาญี่ปุ่นด้วยวีซ่าระยะสั้นจนถึงเดือนมิถุนายนแอบมาทำงานที่ร้าน

ซึ่งตามรายงานของตำรวจ ภายในร้านอาบอบนวดจะมีห้องส่วนตัว โดยมีพนักงานให้บริการทางเพศเป็นคอร์สพิเศษ

‘หนุ่มญี่ปุ่น’ ใช้ชีวิตแบบประหยัดสุดๆ มาตลอด 20 ปีเต็ม กินแต่อาหารเรียบง่าย จนมีเงินเก็บเกือบ 23 ล้านบาท!!

เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 66 กลายเป็นข่าวร้อนฮือฮาทั้งประเทศญี่ปุ่น เมื่อชายวัย 45 ปี กินแบบประหยัดสุดๆ เป็นเวลา 20 ปี จนเก็บเงินได้เกือบ 95 ล้านเยน (23 ล้านบาท)

หลังจากจบมหาวิทยาลัยเป็นช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี การจ้างงานต่ำ เขาได้ทำงานในบริษัทสีเทาแห่งหนึ่ง เก็บหอมรอมริบตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี โดยตั้งเป้าหมายจะเกษียณอายุก่อนกำหนด

เขาตั้งเป้าเก็บให้ครบ 100 ล้านเยนภายในสิ้นปีงบประมาณนี้ (มี.ค.ปีหน้า) คำถามคือ เขาทำได้อย่างไร?

เขาบอกว่า “อาหารเย็นวันนี้เรียบๆ เหมือนเดิม แต่ไข่ก็จะแพงหน่อยนะ กว่า 20 ปีที่ใช้ชีวิตแบบนี้ แต่ก็สบายดีนะ อร่อยดี”

อาหารที่เรียบง่าย บนเสื่อทาทามิ ไม่มีอะไรมากไปกว่าข้าวที่โรยด้วยสาหร่าย ไข่เจียว และบ๊วยดองชามเล็กๆ ไม่มีเนื้อสัตว์หรือเนื้อปลาใดๆ

ร่างกายก็แข็งแรงดี ตรวจสุขภาพเป็นประจำ เขาบอกว่า “อาจเป็นเพราะอาหารธรรมดาๆ นี่แหละ แทนที่จะกินอาหารหรูหรา ผมอาจมีสุขภาพดีขึ้นด้วยอาหารง่ายๆ แบบนี้แหละ”

“สิ่งที่ผมกังวลคือ จะประหยัดเงินได้อย่างไร สิ่งที่กำลังทำอยู่คือ ลดค่าครองชีพ เรียกว่า การใช้ชีวิตแบบ 0 เยน/เดือน”

“ผมอาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนต์เก่าๆ ค่าเช่าน้อยกว่า 30,000 เยน/เดือน แถมยังทำโอที และไปบิสเนสทริปบ่อยมาก ห้องก็เก่าๆ กับเสื่อทาทามิ ผนังโทรมๆ กำแพงเต็มไปด้วยรอยร้าว อาจพังทลายได้หากเกิดแผ่นดินไหวแรงๆ”

แม้ว่าจะมีเตาไมโครเวฟ เครื่องซักผ้า และตู้เย็น แต่ก็ยังคงใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าเกรดต่ำสุด หม้อหุงข้าวก็เพิ่งพังเมื่อวันก่อน

ศาลเยอรมนีพิจารณาคดีฟ้อง 'ไบออนเทค'  หลังมีผู้ฉีด 'วัคซีนไฟเซอร์' แล้วสูญเสียดวงตา

(5 ก.ค. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ศาลเยอรมนีกำลังพิจารณาคดีเกี่ยวกับข้อกล่าวหาที่ผู้รับวัคซีนป้องกันโควิดอ้างว่า ได้รับผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนของบริษัทไบออนเทคนัดแรก 

โดย ดีทมาร์ เชเรอร์ ซึ่งเป็นโจทก์วัย 58 ปี ได้ยื่นฟ้องบริษัทไบโอเอ็นเทค อ้างว่า ได้สูญเสียการมองเห็นจากตาขวา หลังได้รับวัคซีนป้องกันโควิด ที่พัฒนาโดยบริษัทไบออนเทค และฟ้องร้องเรียกเงินชดเชย 150,000 ยูโร หรือกว่า 5 ล้าน 7 แสนบาท สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งเบื้องต้นยังไม่ชัดเจนว่า กระบวนการพิจารณาของศาลจะใช้เวลานานแค่ไหน เพราะโฆษกของศาลระบุว่า “ขึ้นอยู่กับขอบเขตของเอกสารหลักฐาน ประกอบกับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ”

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็อาจจะมีภาคต่อ หากโจทก์วัย 58 ปี อย่าง ดีทมาร์ เชเรอร์ ชนะคดี เพราะยังไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้ชำระค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย หรือชดเชยค่าเสียหายที่ โจทก์ เรียกร้อง ได้ นั่นก็เพราะข้อตกลงการซื้อวัคซีนจำนวนมากของสหภาพยุโรปกับผู้ผลิตวัคซีนเจ้าต่าง ๆ ซึ่งรวมถึง ‘ไบโอเอ็นเทค-ไฟเซอร์’ นั้น ได้รับการยกเว้นความรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ทั้งหมด หรือบางส่วนที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งตรงนี้อาจบังคับให้รัฐบาลสหภาพยุโรปต้องแบกรับค่าใช้จ่ายบางส่วนไป 

สำหรับกรณีวัคซีนกับผลกระทบต่อร่างกายนั้น ทางทนายความของโจทก์วัย 58 ปีรายนี้ ได้กล่าวไว้อีกด้วยว่า “ตอนนี้มีประมาณ 300 คดีที่เกี่ยวข้องกับความเสียหายที่เกิดจากการฉีดวัคซีนดังกล่าวที่ต้องขึ้นศาล” 

‘WMO’ เตือนทั่วโลก!! เตรียมรับมือสภาพอากาศผันผวน หลังเกิดปรากฏการณ์ ‘เอลนีโญ’ ส่งผลกระทบร้ายแรงทั่วโลก

(5 ก.ค. 66) องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ประกาศว่า ปรากฏการณ์ ‘เอลนีโญ’ เกิดขึ้นแล้ว และมีโอกาส 90 เปอร์เซ็นต์ ที่จะดำเนินต่อไปในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 นี้ และจะเพิ่มความเป็นไปได้อย่างมากในการทำให้อุณหภูมิสูงเป็นประวัติการณ์ และเกิดความร้อนรุนแรงยิ่งขึ้นในพื้นที่หลายส่วนของโลก รวมถึงในมหาสมุทร

ทั้งนี้ การประกาศดังกล่าว เป็นการส่งสัญญาณให้รัฐบาลทั่วโลกเตรียมการ และดำเนินการล่วงหน้าในการรับมือกับเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว เพื่อจำกัดผลกระทบต่อสุขภาพ ระบบนิเวศ และเศรษฐกิจ

‘ค่ายรถเยอรมัน’ ดัชนีความเชื่อมั่นเข้าขั้นวิกฤต หลังโดนค่ายจีนเบียดร่วงเป็น No.3 ส่งออกโลก

ค่ายรถเยอรมัน ส่อเค้าอนาคตมืดมน หลังโดนค่ายจีนเบียดร่วงไปเป็น No.3 ส่งออกโลก แถมดัชนีความเชื่อมั่นร่วงหนักสุดตั้งแต่วิกฤติ 2008

ค่ายรถยนต์สัญชาติเยอรมัน แบรนด์ใหญ่อย่าง Mercedes Benz, BMW และ Volkswagen ที่ขึ้นชื่อหนักหนาว่าเป็นแบรนด์ระดับโลก แต่มาตอนนี้ชักออกอาการเป๋ซะแล้ว

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจของเยอรมนี (Ifo) ได้เปิดเผยดัชนีความคาดหวังต่ออนาคตของบริษัทรถยนต์เยอรมัน ดิ่ง 5 เดือนซ้อน ส่งผลให้ขณะนี้ ‘ติดลบ’ มากถึง -56.9 จุด ต่ำสุดตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจปี 2008 และไม่แน่ว่าอีกไม่ช้าอาจทำลายสถิติเดิม -67.8 จุด  ก็เป็นไปได้

สิ่งที่น่ากังวลอย่างมาก สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์เยอรมันสั้นๆ ง่ายๆ คือ ปรับตัวตามเทรนด์ EV ไม่ทันนั่นเอง

สะท้อนได้จากข่าวเหล่านี้

1. ไตรมาสที่แล้ว ‘เทสลา’ ทำยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ด้วยตัวเลข 466,140 คัน (ทั้งหมดเป็น EV)

2. ไตรมาสที่แล้ว ‘บีวายดี’ BYD ของจีนทำยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ด้วยตัวเลข 700,244 คัน (ราวครึ่งหนึ่งเป็น EV และที่เหลือเป็น ‘ไฮบริด’ EV) 

3. ปีที่แล้ว เป็นปีแรกในประวัติศาสตร์โลก ที่ยอดส่งออกรถยนต์จากจีนปาดหน้าเยอรมันขึ้นเป็นอันดับ 2 ขณะที่ตัวเลขล่าสุด ไตรมาสแรกของปีนี้ จีนผงาดยึดบัลลังก์ ส่งออกอันดับ 1 ของโลก แซงญี่ปุ่นเรียบร้อย (จีน 1.1 ล้านคัน / ญี่ปุ่น 9.54 แสนคัน / เยอรมัน 8.40 แสนคัน)

หลังจากนี้ คงต้องติดตามดูว่า ค่ายรถเยอรมัน จะแก้เกมนี้อย่างไร จะเร่งเครื่องไปทาง EV ทันค่ายจีนได้หรือไม่ เพราะออกตัวช้ากว่าพอสมควรทีเดียว

‘เนเธอร์แลนด์’ เตรียมออกกฏห้ามใช้เครื่องมือสื่อสารในชั้นเรียน ป้องกันเทคโนโลยีทำเด็กสมาธิสั้น-ประสิทธิภาพการเรียนรู้ลดลง

เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 66 เอเอฟพีรายงาน ว่า รัฐบาลเนเธอร์แลนด์เตรียมออกกฏห้ามการใช้โทรศัพท์มือถือในชั้นเรียน โดยหมายรวมถึงแท็บเล็ตและสมาร์ทวอทช์ด้วยเช่นกัน

รัฐบาลเปิดเผยรายงานว่า เครื่องมือสื่อสารเหล่านั้นรบกวนการเรียนรู้ของนักเรียน

“มีหลักฐานเพิ่มมากขึ้นว่าโทรศัพท์มือถือมีผลเสียในระหว่างชั้นเรียน และทำให้นักเรียนมีสมาธิน้อยลง ไปจนถึงประสิทธิภาพการทำงานลดลง” รายงานระบุ

“ด้วยเหตุผลนี้ โทรศัพท์มือถือ, แท็บเล็ต และสมาร์ทวอทช์ จะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในชั้นเรียนอีกต่อไป เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567” รัฐบาลกล่าว

ปัจจุบัน รัฐบาลกำลังเร่งทำความเข้าใจกับโรงเรียน และให้เจ้าหน้าที่โรงเรียนแต่ละแห่งตกลงสร้างกฎภายในร่วมกับครูผู้สอน, ผู้ปกครอง และนักเรียน ให้เสร็จสิ้นภายในเดือนตุลาคมนี้

ถึงแม้รัฐบาลจะไม่ได้ออกคำสั่งห้ามอย่างเป็นทางการ แต่ขอสงวนสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้นหลังจากวัดผลสัมฤทธิ์ในปีหน้า

รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการเนเธอร์แลนด์กล่าวต่อที่ประชุมรัฐสภาว่า เขาหวังให้การเคลื่อนไหวดังกล่าวนำไปสู่ ‘การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม’ ที่จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการเรียนรู้ของนักเรียนซึ่งจะกลายเป็นอนาคตของชาติในวันข้างหน้า

'ฝ่ายค้านศรีลังกา' ลั่น!! หากมารับช้าง 2 เชือกกลับไทย มีฟ้อง!! ชี้!! การขอของขวัญที่มอบให้คืนนั้น 'ผิดจรรยาบรรณ'

รายงานจากสำนักข่าวท้องถิ่นศรีลังกา เมื่อวันที่ 4 ก.ค.66 ระบุว่า นาย เนรัญชรา ไวเยรัตเน นักการเมือง ผู้นำฝ่ายค้าน อดีตผู้นำผู้ปกครองสำนักงานของหัวหน้าฝ่ายอุปัฏฐาก Sri Dalada Maligawa วัดพระเขี้ยวแก้ว หัวหน้าฝ่ายฆราวาส มีอำนาจหลายอย่างจัดการส่งเสริมเกี่ยวกับวัดในเมืองแคนดี้  

เนรัญชรา ไวเยรัตเน ให้ข้อมูลผ่านสื่อศรีลังกาว่าช้างไทยราชา ได้รับมอบเป็นของขวัญแก่ วัดศรีดาลดา มาลิกาวา (วัดพระเขี้ยวแก้ว) จากพระมหากษัตริย์ไทยเมื่อ 37 ปีที่แล้ว และมีสุขภาพแข็งแรงดี

NGO องค์กรเกี่ยวกับสัตว์ บางรายในศรีลังกากำลังส่งข้อมูลที่ไม่ถูกต้องไปยังรัฐบาลไทยเกี่ยวกับช้าง

หากมีการพยายามนำช้างที่ได้รับพระราชทานจากพระมหากษัตริย์ไทยกลับไปยังประเทศไทยนั้น จะมีการฟ้องร้องเรียกค่าชดเชยสำหรับค่าใช้จ่ายในการบำรุง ดูแล รักษาช้างจนถึงปัจจุบัน

ช้างได้รับการดูแลอย่างดีจากรุ่นพี่ที่จบทางด้านสัตวแพทย์ศาสตร์ ตั้งแต่รับช้างมาเมื่อ 37 ปีก่อนใช้เงินจำนวนมหาศาลในการดูแล

นอกจากนี้เขายังชี้ให้เห็นว่าการขอของขวัญที่มอบให้คืนนั้นผิดจรรยาบรรณ

(สำหรับการแห่พระบรมสารีริกธาตุศักสิทธิ์ แห่พระเขี้ยวแก้ว เปรียบเสมือนการถวายของแก่พระพุทธเจ้า มีคุณค่าทางวัฒนธรรม ที่อาจละเลยไม่ได้)

ด้าน NGO องค์กรเกี่ยวกับสัตว์ ที่พึ่งพาเงินจากต่างประเทศกำลังทำงานเพื่อส่งช้าง 2 เชือกกลับประเทศไทย ตามคำกล่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมของไทย ได้กล่าวเมื่อเร็วๆ นี้ว่า หากคนไทยเรียกร้อง พวกเขาพร้อมที่จะนำช้างที่เหลืออีก 2 เชือกกลับไทย 

เนรัญชรา ไวเยรัตเน กล่าวอีกว่า "ข้าพเจ้าทูลขอต่อพระเจ้าภูมิพลมหาราชาแห่งประเทศไทย ขอให้ถวายลูกช้างแก่ วังดาลดา (วัดพระเขี้ยวแก้ว) คำขอนั้นได้รับมอบช้างในปี 2529...ลูกช้างตัวนี้ถูกนำมาโดยเครื่องบินรบเครื่องบินขนส่งของอเมริกา และได้รับอนุมัติพิเศษจาก เจอาร์ เจวาร์ดีน ผู้นำศรีลังกาในสมัยนั้น"

ช้างตัวแรก มุทุราชา (พลายศักดิ์สุรินทร์) นั้นได้ส่งกลับถึงประเทศไทยแล้ว องค์กรเกี่ยวกับสัตว์กำลังพยายามจะนำช้างอีก 2 เชือกกลับในปัจจุบัน

✍️ อื่นๆ
*ศรีลังกา มีการแห่พระเขี้ยวแก้ว  พระบรมสารีริกธาตุ...แห่อื่นๆ จำนวนมาก หลายวัด ใช้ช้างมากถึง 150 เชือก+

ในการแห่ มีหลายแบบ ช้างทรงเครื่องตกแต่ง แห่ 20.00-02.00 + น. บางกรณีช้างเดินหลายกิโลเมตร 

*ช้างเอเชียในศรีลังกานั้นตัวใหญ่แต่ไม่เข้าตำรา เนื่องจากงาสั้น งายาวสุด 20 ซม. ช้างพม่า อินเดีย ไทย เข้าเกณฑ์ งายาว สวยงามตามตำรา จึงถูกขอจากศรีลังกาในโอกาสต่างๆ และถูกส่งมอบให้  ไทย อินเดีย พม่า ศรีลังกา มีความเชื่อมโยงทางศาสนา ประเพณี 

*การแห่พระเขี้ยวแก้ว มีมามากกว่า 270 ปี  
*หลายวัดของศรีลังกา เลี้ยงดูช้าง ที่เข้าตำราสง่า ไว้ร่วมกิจกรรมแห่ต่างๆ การแห่ขบวนด้วยช้างจำนวนมาก ได้รับความสนใจจากคนท้องถิ่น และนักท่องเที่ยว

รู้จัก SCO ‘กลุ่มพันธมิตรองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้’ เวทีที่ทำให้ ‘ปูติน’ ไม่ถูกโดดเดี่ยวจากประชาคมโลก

เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 66 ที่ผ่านมา วลาดิมีร์ ปูติน ได้เข้าร่วมงานประชุมออนไลน์ ของกลุ่มพันธมิตร องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organisation: SCO) ซึ่งนับเป็นการปรากฏตัวออกงานในระดับนานาชาติครั้งแรก ตั้งแต่เกิดเหตุความไม่สงบภายในจากการลุกฮือของกองกำลังวากเนอร์ 

การประชุมในครั้งนี้ อินเดีย นำโดยนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดิ เป็นเจ้าภาพ และมีผู้นำชาติพันธมิตรเข้าร่วมประชุมกันพร้อมหน้า รวมถึง สี จิ้นผิง ผู้นำจีนด้วย 

สำหรับการประชุม SCO ในครั้งนี้มีความพิเศษมากขึ้นกว่าปีก่อนๆ เนื่องจาก อิหร่าน ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกหลักอย่างเป็นทางการเป็นปีแรก ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่า และความแข็งแกร่งในด้านตลาดการค้า และ เศรษฐกิจในกลุ่มพันธมิตร SCO มากขึ้นไปอีก และในปีหน้าคาดว่าจะได้ เบลารุส เข้าร่วมเป็นสมาชิกใหม่อีกชาติด้วย 

ทั้งนี้ วลาดิมีร์ ปูติน ได้กล่าวขอบคุณ นเรนทรา โมดิ และ ผู้นำประเทศสมาชิกอื่นๆ ที่จับมือร่วมกันอย่างเป็นปึกแผ่น และยังอยู่เคียงข้างรัสเซีย อีกทั้งยังถือโอกาสนี้ฝากข้อความถึงฝ่ายตะวันตกว่า รัสเซียพร้อมจะตอบโต้การคว่ำบาตร, การกดดัน และการยั่วยุจากภายนอกอย่างเต็มกำลัง โดยที่ยังเดินหน้าพัฒนาประเทศชาติให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน 

จากเวทีประชุมนี้ น่าจะทำให้ ปูติน มั่นใจในความแข็งแกร่งของชาติพันธมิตร SCO ซึ่งตราบใดที่องค์กร SCO ยังต้อนรับรัสเซีย ปูตินก็ไม่ต้องกังวลว่ารัสเซียจะถูกโดดเดี่ยวจากประชาคมโลกอีก

>> คำถาม คือ แล้วอะไรที่ทำให้ปูตินเชื่อมั่นเช่นนั้น?

องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ หรือ SCO มีจุดเริ่มต้นจากกลุ่ม ‘เซี่ยงไฮ้ ไฟฟ์’ (Shanghai Five) ก่อตั้งในปี 1996 โดยสมาชิกหลักเพียง 5 ประเทศ คือ จีน, รัสเซีย, คาซัคสถาน, คีร์กีซสถาน, และทาจิกิสถาน ต่อมามีการขยายสมาชิกเพิ่มเติมเข้ามาเรื่อยๆ จึงมีการเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้

ปัจจุบัน SCO มีชาติสมาชิก 8 ชาติ คือ จีน, รัสเซีย, อินเดีย, คาซัคสถาน, คีร์กีซสถาน, ทาจิกิสถาน, ปากีสถาน และ อุซเบกีซสถาน นับรวมอิหร่านเป็นชาติที่ 9 ในปีนี้ และ เบลารุสจะเป็นชาติที่ 10 ในปีหน้า และยังมีประเทศคู่ค้าที่สำคัญอย่าง ซาอุดีอาระเบีย, ตุรเคีย, กาตาร์, อียิปต์ และอื่นๆ ครอบคลุมพื้นที่เศรษฐกิจที่มีมูลค่าถึง 30% ของ GDP โลก และมีสัดส่วนประชากร 40% ของโลก 

กลุ่ม SCO ย้ำว่า นี่ไม่ใช่การร่วมมือในรูปแบบขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO อีกทั้งไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อต่อต้านองค์กร NATO ด้วย แต่เป็นองค์กรระหว่างรัฐบาลระดับภูมิภาค ให้ชาติพันธมิตรในยูเรเซีย มีพื้นที่ในการสร้างสมดุลระหว่างการรักษาผลประโยชน์ของชาติ กับการรับมือกับความตึงเครียดในด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่กดดันสูงขึ้นในโลก 

หรืออาจจะมองได้ว่า SCO เป็นเหมือนเวทีให้ จีน และ รัสเซีย สามารถกระชับไมตรีในเชิงเศรษฐกิจ การค้าร่วมกับชาติอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น แม้แต่กับชาติที่อยู่นอกองค์กร ก็สามารถเข้าร่วมเป็นคู่ค้าของกลุ่มได้อย่างสะดวกใจนั่นเอง 

นอกจากนี้ ยังเป็นหนึ่งในเซฟโซนของปูติน ผู้นำรัสเซียในช่วงเวลาที่ถูกกดดันอย่างหนักจากชาติพันธมิตรตะวันตกทั่วโลกจากสงครามในยูเครน เพราะที่ผ่านมากลุ่มชาติพันธมิตร SCO ไม่มีชาติใดออกมาประณามรัสเซียโดยตรงจากการรุกรานยูเครน อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซีย กับ จีน และ อินเดีย ยังแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น จากข้อตกลงซื้อขายนัำมันกับรัสเซียในราคาพิเศษ
.
แต่ทั้งนี้ สิ่งที่ท้าทายความเป็นปึกแผ่น SCO คือความบาดหมางกันเองระหว่างชาติพันธมิตร ที่อาจมีแรงเสริมจากการแทรกแซงของชาติตะวันตกได้ อาทิ ข้อพิพาทระหว่าง จีน และ อินเดีย ในเส้นแบ่งเขตแดนในเทือกเขาหิมาลัย  ความบาดหมางระหว่างอินเดีย และ ปากีสถาน  การกดดันของสหรัฐอเมริกาผ่าน นโยบายการคว่ำบาตรของตนต่อทั้งรัสเซีย และ อิหร่าน เป็นต้น

การฝากความหวังของปูติน ไว้กับพันธมิตร SCO จึงเป็นเหมือนจุดวัดใจว่า องค์กรที่เริ่มต้นจากชาติพันธมิตรเพียงแค่ 5 ประเทศ เมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว จะมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะเป็นหนึ่งในดุลย์อำนาจ ที่ปูตินสามารถพึ่งพาได้จนไฟสงครามสงบหรือไม่ 

‘ไบเดน’ ใช้วันชาติประณามเหตุยิงในประเทศ แซะ!! ‘รีพับลิกัน’ หนุนผู้คนครอบครองปืน

เอเอฟพี/รอยเตอร์ส เผย ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐอเมริกา ใช้วันประกาศอิสรภาพ (Independence Day) ที่ถือเป็นวันชาติของสหรัฐฯ เรียกร้องอีกครั้งให้เข้มงวดมาตรการควบคุมอาวุธปืน และประณามเหตุยิงที่เกิดขึ้นหลายครั้งในประเทศ รวมถึงเหตุยิงในวันชาติ 

โดยการเฉลิมฉลองวันชาติสหรัฐฯ ในวันที่ 4 กรกฎาคม เดิมปกติจะเป็นโอกาสให้ส่งเสริมความรักชาติ รำลึกถึงการเสียสละในการสร้างชาติ และเต็มไปด้วยงานรื่นเริงเพราะตรงกับการประกาศอิสรภาพ แต่ในสุนทรพจน์วันชาติปีนี้ที่ทำเนียบขาว ประธานาธิบดี โจ ไบเดน เรียกร้องใช้มาตรการควบคุมอาวุธปืนอย่างเข้มงวด โดยชี้ว่าสหรัฐฯ ต้องทนทุกข์อยู่กับเหตุกราดยิงที่ไร้เหตุผลในชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศ เขาจึงขอให้ใช้โอกาสเฉลิมฉลองวันประกาศ ภาวนาให้มีวันที่ชุมชนในสหรัฐฯ จะปราศจากการใช้ความรุนแรงด้วยอาวุธปืน 

ประธานาธิบดีไบเดนยังประณามเหตุยิงที่เกิดขึ้นหลายครั้งในประเทศในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งยังกล่าวถึงพรรครีพับลิกันที่มีนโยบายสนับสนุนสิทธิในการครอบครองอาวุธปืนโดยระบุว่า สมาชิกพรรครีพับลิกันควรร่วมกันหารือเพื่อการปฏิรูปเรื่องนี้ ให้เป็นไปตามประชาชนชาวอเมริกันเรียกร้อง

ผู้นำสหรัฐฯ เรียกร้องดังกล่าวหลังจากที่เกิดเหตุยิงหลายครั้งในช่วงไม่กี่วัน เช่น เหตุยิงคนเสียชีวิต 5 คน บาดเจ็บ 4 คน ในเมืองฟิลาเดลเฟีย เมื่อคืนวันจันทร์ และเหตุยิงคนเสียชีวิต 3 คน บาดเจ็บ 11 คนในเมืองฟอร์ตเวิร์ธในคืนเดียวกันเหตุยิงหลายครั้งในวันประกาศอิสรภาพที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บ 5 คนในเมืองแลนซิง บาดเจ็บ 4 คนในเมืองชาร์ลอตต์ และบาดเจ็บ 4 คนในเมืองแอครอน

ข้อมูลของกัน ไวโอแลนซ์อาร์ไควฟ์ หรือจีวีเอ (Gun ViolenceArchive) ที่เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรระบุว่า ตั้งแต่ต้นปี 2022 จนถึงขณะนี้ สหรัฐฯ เกิดเหตุกราดยิง (Mass Shooting) แล้ว 346 ครั้ง จีวีเอให้คำนิยามคำว่าเหตุกราดยิงว่าหมายถึงเหตุยิงที่มีคนบาดเจ็บหรือเสียชีวิตอย่างน้อย 4 คน ไม่รวมคนร้าย ส่วนปี 2021 สหรัฐฯ มีคนเสียชีวิตเพราะปืนไม่ต่ำกว่า 44,000 ราย โดยเป็นการจบชีวิตตัวเอง 24,000 ราย

‘จีน’ ไม่แคร์เสียงวิพากษ์วิจารณ์ ‘หวัง อี้’  หลังเตือนเกาหลีใต้-ญี่ปุ่น ‘อย่าลืมรากเหง้า’ 

โฆษกรัฐบาลจีนออกมาปฏิเสธกระแสวิพากษ์วิจารณ์กรณี หวัง อี้ นักการทูตระดับสูงออกมากล่าวเตือนเกาหลีใต้และญี่ปุ่นว่าอย่าลืมรากเหง้าความเป็นเอเชีย แถมยังบอกด้วยว่าชาวตะวันตกนั้นแยกแยะไม่ออกระหว่างคนจีน คนเกาหลีใต้ และคนญี่ปุ่น

“ชาวอเมริกันมองนักท่องเที่ยวจากจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นว่าเป็นคนเอเชียเหมือนกันหมด พวกเขาแยกแยะความแตกต่างไม่ได้ ยุโรปก็เหมือนกัน” หวัง อี้ สมาชิกกรมการเมืองและผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกิจการต่างประเทศส่วนกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีน กล่าวบนเวทีเสวนาซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานเลขาธิการความร่วมมือไตรภาคี (Trilateral Cooperation Secretariat) ซึ่งเป็นองค์กรความร่วมมือระหว่างจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่เมืองชิงเต่าของจีน เมื่อวันจันทร์ (3 ก.ค.)

“ต่อให้คุณย้อมผมให้เป็นสีทอง ทำจมูกให้โด่ง คุณก็ไม่มีทางกลายเป็นคนยุโรปหรือคนอเมริกันไปได้ คุณไม่มีทางกลายเป็นชาวตะวันตกได้หรอก”

“คนเราควรรู้จักรากเหง้าของตัวเอง... จีน ญี่ปุ่น เกาหลี หากเราสามารถจับมือและร่วมมือกันได้ ไม่เพียงจะเป็นประโยชน์ต่อเราทั้ง 3 ชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับความปรารถนาของประชาชน และเราสามารถที่จะเจริญรุ่งเรืองไปด้วยกัน ฟื้นฟูเอเชียตะวันออก และทำให้ทั่วทั้งโลกร่ำรวยขึ้น”

คำพูดของ หวัง อี้ เรียกเสียงวิจารณ์อย่างดุเดือดทันที โดยเฉพาะจากพวกนักวิชาการออนไลน์

หวัง เหวินปิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้ตอบคำถามสื่อเกี่ยวกับเสียงวิจารณ์เหล่านี้ในการแถลงข่าวเมื่อวันพุธ (5 ก.ค.) โดยระบุว่า “เราไม่เห็นด้วยเลย (กับพวกที่ตำหนิ หวัง อี้)”

ระหว่างการประชุม หวัง อี้ ยังเน้นย้ำเรื่องความร่วมมือระหว่างทั้ง 3 ชาติ และบอกว่า “มหาอำนาจภายนอกบางประเทศจงใจกระพือเรื่องค่านิยมที่แตกต่าง จัดตั้งกลุ่มย่อยเป็นการเฉพาะขึ้นมา และพยายามเอาการเผชิญหน้าและการแบ่งแยกมาแทนที่ความร่วมมือและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว”

“ภูมิภาคที่มีความเป็นปึกแผ่นและพึ่งพาตนเองได้เท่านั้นจึงจะสามารถขจัดการแทรกแซงจากภายนอก และประสบความสำเร็จในการพัฒนาที่ยั่งยืน”

บอนนี เกลเซอร์ ผู้อำนวยการกองทุนจอร์จมาร์แชลล์แห่งสหรัฐฯ (George Marshall Fund of the United States) ประจำภูมิภาคเอเชีย ได้ทวีตข้อความตอบโต้ หวัง ว่า “สารนี้จะไม่ถูกตอบรับด้วยดีจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ หวัง อี้ เชื่อจริงๆ หรือว่าผลประโยชน์ของชาติมีความสำคัญน้อยกว่ารูปลักษณ์ภายนอก?”

“หวัง อี้ บอกกับชาวญี่ปุ่นและชาวเกาหลีว่า ‘พวกเขาไม่สามารถเป็นอเมริกันได้’ แต่ในความเป็นจริงมีคนญี่ปุ่นและคนเกาหลีมากมายที่แปลงสัญชาติเป็นอเมริกันทุกวัน” เจฟฟ์ เอ็ม. สมิธ ผู้อำนวยการศูนย์เอเชียศึกษาของสถาบันคลังสมอง The Heritage Foundation ระบุ

“พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอเมริกา และสิ่งที่พวกเขาเป็นไม่ได้ก็คือคนจีน”

นักวิจารณ์บางคนยังชี้ว่า คำพูดของ หวัง ฟังดูคล้ายๆ กับคำขวัญ “วงไพบูลย์ร่วมแห่งมหาเอเชียบูรพา” (Greater East Asia Co-Prosperity Sphere) ซึ่งเป็นความพยายามของญี่ปุ่นในช่วงศตวรรษที่ 20 ที่จะรวบรวมและสร้างแนวป้องกันแห่งชาติเอเชียเพื่อหลุดพ้นจากอิทธิพลของชาติตะวันตก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top