Sunday, 18 May 2025
World

จีน ปิ๊งไอเดีย ติดแบรนด์ ดีไซน์ชุดนักเรียน  ให้โดดเด่น ทันสมัยกว่าเดิม เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี 

เพจเฟซบุ๊ก ไทยคำจีนคำ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ ชุดนักเรียนในประเทศจีน โดยระบุว่า ...

ช่วงนี้ประเทศมีประเด็นร้อน เกี่ยวกับ "ชุดนักเรียน" กันเยอะเลย

เมืองจีนเองก็มี และกลายเป็นปัญหาถกเถียง ส่วนใหญ่ในทำนองว่าทำไมชุดนักเรียนของเด็กจีนมันดู "เชย" จังเลย 🤔

โดยเฉพาะเมื่อนำไปเทียบกับเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่น คนจีนยิ่งรู้สึกว่าตัวเองล้าหลังในเรื่องนี้

ยุคนี้หลายอย่างในจีนมีการนำข้อมูลตัวเลข หรือ Data เข้ามาจับ พบว่าธุรกิจชุดนักเรียนของจีน มีมูลค่าถึง 120,000 ล้านหยวน (6 แสนล้านบาท)

เพราะนักเรียนเขาเยอะ และเป็นกฎหมายที่บังคับให้ทุกโรงเรียนต้องใช้ชุดนักเรียน 

สำหรับเจตนาของข้อกฎหมายตัวนี้ คือเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในสถาบันการศึกษา

และข้อสำคัญคือสร้างความ "เท่าเทียม" ให้ทุกคนใส่เสื้อผ้าเหมือนกัน ไม่ต้องแต่งหรูดูดีเกินไปมาอวดมาโชว์กัน

อย่างไรก็ดี ด้วยความที่เศรษฐกิจของจีนเติบโตมาตลาดหลายสิบปีหลัง และการเมืองค่อนข้างนิ่ง เพราะปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์มายาวนาน

ทำให้นอกจากจะไม่มีกระแสเรียกร้องให้ยกเลิกชุดนักเรียนเหมือนในประเทศอื่นแล้ว กลับมีการตั้งคำถามว่า "ทำไมไม่เพิ่มมูลค่าให้กับชุดนักเรียน?"

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ "ดีไซน์" การออกแบบให้มีสไตล์โดดเด่น ทันสมัยกว่าเดิม

รวมถึงการ "ติดแบรนด์" ให้แบรนด์สินค้าเสื้่อผ้าดัง ๆ ได้เข้ามาผลิตชุดนักเรียนให้กับแต่ละโรงเรียน 🏫

แล้วแต่ว่าโรงเรียนแต่ละแห่ง มีกำลังซื้อมากน้อยเพียงใด นั่นเพื่อเป็นการเปิด "โอเพ่น" การทำการค้าการขายในตลาดนี้ 

ลดปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นให้น้อยลง เพราะจากข้อมูลพบว่า ชุดนักเรียนทั่วประเทศจีน มีเพียง 1% ที่ผลิตแบบติดแบรนด์ โดยบริษัทที่มีชื่อเสียง

ที่เหลือเป็นการผลิตแบบ "ไม่ติดแบรนด์" ถามว่าใครจะไปผลิตให้กับโรงเรียนไหนได้บ้าง ก็ต้องอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้บริหาร

เข้าไปวิ่งเต้นพูดคุย และตกลงกันอย่างไร ผู้ปกครองและนักเรียนก็ไม่ค่อยรู้ที่มาที่ไป รู้ตัวอีกทีก็ได้ชุดนักเรียนแบบเชย ๆ ไม่สวย แต่จำใจต้องใส่มาใช้งาน

เสียงเรียกร้องให้มีการปฏิวัติภาพลักษณ์ของชุดนักเรียน ยังรวมไปถึงชุดว่ายน้ำ, ชุดพละ

โดยรัฐบาลเป็นผู้ออกมาขับเคลื่อนในสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเอง เร้งเร้าให้ภาคเอกชน และโรงเรียนต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี

รวมไปถึงสิ่งแวดล้อมที่ดี เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และการรับรู้ของประชากรจีนในรุ่นต่อไป

พูดภาษาชาวบ้านคือ พอจีนเริ่มมีตังค์ ก็เริ่มให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ความสวยงามมากขึ้น

หลายปีต่อเนื่องมาแล้ว ในเมืองจีนมีการจัดการแข่งขันประกวดออกแบบชุดนักเรียน โดยขายคอนเซปต์ นำเสนอ จัดแฟชั่นโชว์ ถ่ายทอดสดผ่านสื่อ

ทำให้ชุดนักเรียนมีคุณค่าไม่ต่างจากเสื้อผ้าสวมใส่ทั่วไปในวาระอื่น ๆ

ด้วยประชากร 1.4 พันล้านคน และรัฐบาลผลักดันจริงจัง ทำให้อุตสาหกรรมชุดนักเรียนของจีนกำลังเติบโตไปในทิศทางที่ดี

และเมื่อการค้าขายคึกคักมากขึ้น มันจะส่งผลเป็นวัฏจักรไปสู่ธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

นอกจากจะลบภาพจำของ "ชุดนักเรียนเชย ๆ" ได้แล้ว จีนยังมีหน้ามีตามากขึ้นในเวทีนานาชาติ พร้อมกับเงินในกระเป๋าของพลเมืองที่มากขึ้น

โรงเรียนไหนมีกำลังซื้อ จะใช้ชุดนักเรียนที่หรูหน่อย ก็ให้ผู้ปกครองส่วนใหญ่ยินยอม

โรงเรียนขนาดกลางและเล็ก ปรับเปลี่ยนตามความสามารถของผู้ปกครอง ไม่มีการบังคับกัน แต่ทั้งประเทศไม่จำเป็นต้องใช้ชุดนักเรียนแบบเดียวกัน 

สำคัญคือรัฐบาลเขาได้ยินเสียงบ่นของประชาชน เขานำเสียงบ่นกลับไปวิเคราะห์ออกมาเป็นรายละเอียด

และดำเนินการปรับปรุงแก้ไขทันที ไม่มองว่าเป็นเรื่องเล็กเรื่องน้อย

แม้แต่ชุดนักเรียนของเด็ก ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่จีนเขามองข้าม

วิกฤตที่เกิดขึ้นในรัสเซีย ‘The Wild Chronicles’ สรุปให้ฟังสั้นๆ แบบเข้าใจง่าย

เพจเฟซบุ๊ก The Wild Chronicles ได้โพสต์ข้อความสรุปเหตุการณ์ วิกฤตกบฏวากเนอร์ที่เกิดในรัสเซีย ไว้โดยมีใจความว่า ...

สรุป : วิกฤตกบฏวากเนอร์ที่เกิดในรัสเซียแบบเข้าใจง่าย

1. ประธานาธิบดีรัสเซียนาม ปูติน นั้นเลี้ยงขุนศึกไว้หลายคน และปกติจะปล่อยให้เหล่าขุนศึกทำงานซ้ำซ้อนกัน เชื่อว่าเพื่อให้ทะเลาะกันเอง ชิงกันสร้างความดีความชอบ 

2. ในจำนวนนั้น มีขุนศึกคนหนึ่งชื่อ พรีโกชิน ...แบคกราวน์เป็นเจ้าพ่อ ต่อมาได้เป็นผู้นำกองกำลังวากเนอร์

3. วากเนอร์นั้นฉากหน้าเป็นบริษัททหารรับจ้าง (ซึ่งจริงๆ ผิดกฎหมายรัสเซีย) ในความจริงเป็นที่ทราบกันว่า มันคือกองกำลังส่วนตัวของปูติน เอาไว้ใช้ทำงานที่กองทัพรัฐบาลไม่สะดวกทำเอง

4. ในสงครามยูเครน ทัพวากเนอร์มาช่วยรบด้วย พวกเขาเป็นหน่วยที่รบเก่งของรัสเซีย ก่อนหน้านี้มีผลงานสำคัญในการตีเมืองบักมุต จึงกลายเป็นดาวรุ่งในวงการทหาร

5. พรีโกชินเป็นไม้เบื่อไม้เมากับรัฐมตรีกลาโหมรัสเซียนาม ชอยกู ...พรีโกชินตำหนิชอยกูบ่อยๆ ว่าส่งเสบียงอาวุธมาสนับสนุนพวกเขาไม่เต็มที่

6. พรีโกชินชอบออกสื่อโซเชียล ให้สัมภาษณ์ทั้งโม้ ทั้งเหยียบย่ำคนอื่น ทั้งเปิดเผยข้อมูลภายใน ทำให้พวกกลาโหมรัสเซียเกลียดมาก

7. ที่ผ่านมานั้น ระหว่างวากเนอร์กับทหารปกติมีกระแสเหยียดกันเองโดยเปิดเผย วากเนอร์เหยียดว่าทหารปกติรบไม่เก่ง ทหารปกติเหยียดว่าพวกวากเนอร์เป็นกุ๊ยโฉ่งฉ่าง ความขัดแย้งนี้พัฒนามาเรื่อยๆ

8. เชื่อว่าชอยกูระแวงว่าวากเนอร์จะแข็งแกร่งจนคุมไม่ได้ จึงออกคำสั่งให้ทหารวากเนอร์ทั้งหมดขึ้นทะเบียนเข้ากองทัพรัสเซีย ทั้งนี้เพื่อสลายอำนาจพรีโกชิน

9. คืนวันที่ 23 มิ.ย. ที่ผ่านมา ไม่นานหลังชอยกูออกคำสั่งขึ้นทะเบียนวากเนอร์ ก็มีข่าวลือว่าทัพรัสเซียโจมตีค่ายของวากเนอร์ มีทหารล้มตายเป็นอันมาก

10. วันที่ 24 มิ.ย. พรีโกชินบอกว่าข่าวลือข้อที่แล้วคือความจริง คนของเขาถูกทิ้งบอมสังหารไป 2,000 คน และเขาจะเคลื่อนพลไปทำลายชอยกูที่กำลังอยู่ในเขตรอสตอฟเพื่อแก้แค้น เขาบอกว่า "นี่ไม่ใช่การปฏิวัติ แต่เราคือทัพแห่งความยุติธรรม" และ "จะทำลายทุกคนที่ขัดขวาง"

11.  นายพลรัสเซียที่สนิทกับพรีโกชินพยายามไกล่เกลี่ยหาทางลงให้ทั้งสองฝ่าย แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล

12. พวกวากเนอร์ยึดเมืองรอสตอฟออนดอนไว้ได้ เมืองนี้มีความสำคัญในฐานะเป็นที่ตั้งศูนย์บัญชาการหลักของรัสเซียในการทำสงครามยูเครน

13. พรีโกชินบอกว่าจะยอมคืนเมืองให้ถ้าทางการรัสเซียจับรัฐมนตรีกลาโหมชอยกู และนายพลเกราซิมอฟผู้บัญชาการศึกยูเครน มัดตัวมาถวายเขา...หาไม่แล้วเขาจะกรีฑาทัพไปทวงความเป็นธรรมถึงกรุงมอสโก!

14. ทางการรัสเซียประกาศว่านี่มันคือการกบฏชัดๆ!

15. ทางการรัสเซียมีการประกาศให้ประชาชนที่อาศัยตามบริเวณที่เชื่อว่าเป็นทางผ่านของทัพวากเนอร์ให้หลบเข้าบ้าน อยู่ในความสงบ

16. ปูตินประกาศว่าพรีโกชินเป็นกบฏและต้องได้รับการลงโทษ! การประกาศนี้ทำให้เห็นว่าปูตินเลือกข้าง จากที่ก่อนนี้ทำตัวลอยๆ เหนือการทะเลาะของลูกน้อง

17. พรีโกชินด่าปูตินว่า "ไอ้ห- " (ก่อนหน้านี้ไม่เคยกล้าด่าปูตินมาก่อน)

18. ตลอดวันที่ 24 มิ.ย. มีข่าวทัพวากเนอร์เคลื่อนพลเข้าใกล้มอสโกมากขึ้นเรื่อยๆ...มีข่าวการต่อสู้และฟุตเทจหลุดมาเรื่อยๆ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเครื่องบินมาทิ้งบอมและถูกสอย

19. แต่การเคลื่อนทัพของวากเนอร์ค่อนข้างง่าย ทหารรัสเซียตามรายทางมักวางอาวุธ ยอมจำนน มิได้ต่อต้าน

20. ตลอดวันมีข่าวว่ารัฐบาลรัสเซียระดมกำลังเข้ามอสโกเพื่อต่อต้านการก่อการร้าย และมีการปราบปรามทำลายสำนักงาน และป้ายของวากเนอร์ในที่ต่างๆ

21. มีข่าวว่าชนชั้นสูงในมอสโกพากันหลบหนีเพราะทหารรักษาเมืองนั้นมีกำลังน้อย จนน่าจะสู้วากเนอร์ไม่ได้ (พวกทหารถูกให้ไปรบในยูเครนกันมาก) 

22. มีข่าวลือว่าปูตินหลบหนี ข่าวลือนี้เกิดจากมีเครื่องบินของปูตินบินขึ้น และตัดสัญญานเรดาร์ไม่ให้ใครรู้ว่าไปไหน

23. ตอนค่ำๆประธานาธิบดีลูคาเชนโกของเบลารุสซึ่งเป็นมิตรกับรัสเซียมานาน ประกาศว่าได้เจรจาไกล่เกลี่ยกับพรีโกชินเป็นผลสำเร็จ โดยเงื่อนไขการเจรจาจะมีการอภัยโทษให้พรีโกชินและทหารวากเนอร์ รายละเอียดมากกว่านี้ยังไม่ถูกเปิดเผย

24. พรีโกชินประกาศตามมาว่าจะถอยทัพผ่านโซเชียล ขณะที่ทัพวากเนอร์ของเขาเข้าใกล้มอสโกในระยะ 200 กิโลเมตรแล้ว

25. เขาบอกว่าจะถอนกำลังกลับไปฐานที่มั่นในยูเครนเพื่อป้องกันการเสียเลือดเนื้อของชาวรัสเซีย

26. ทหารวากเนอร์ถอยทัพจริง

27. ทางการรัสเซียยอมตามการเจรจาของลูคาเชนโก

28. ทางการรัสเซียแถลงผลการเจรจาออกมาแบบนี้

(1) ข้อกล่าวหาที่ว่าพรีโกชินเป็นกบฏจะถูกยกเลิกไป และพรีโกชินจะได้ลี้ภัยไปเบลารุส

(2) นักรบวากเนอร์ที่มิได้มีส่วนร่วมกับการจลาจลจะได้รับทางเลือกให้สามารถเข้าร่วมเป็นทหารของทัพรัฐบาลรัสเซีย 

(3) สำหรับนักรบที่มีส่วนร่วมกับการจลาจลจะได้รับการอภัยโทษ 

ทั้งหมดนี้ทำอย่างปราณีเพื่อเห็นแก่ความดีความชอบที่คนในข้อ (1)-(3) เคยรบในยูเครนมา ...และเพื่อหลีกเลี่ยงการนองเลือดซึ่งอาจเกิดขึ้น

น่าสังเกตว่า ไม่มีการเอ่ยถึงชะตากรรมของรัฐมนตรีกลาโหมชอยกู 

และเทเลแกรมโปรสงครามของรัสเซียบอกว่ามีทหารรัสเซียถูกวากเนอร์สังหารไปในรอบนี้ 13-20 นาย ถ้าปล่อยไปเฉยๆ ทัพรัสเซียจะเสียเกียรติยศ

เพจเฟซบุ๊ก การทูตและการทหาร Military & Diplomacy โพสต์ข้อความ สรุปจุดจบบริษัททหารรับจ้าง ‘วากเนอร์’

เพจเฟซบุ๊ก การทูตและการทหาร Military & Diplomacy ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเหตุการณ์ กบฏวากเนอร์ที่เกิดในรัสเซีย ไว้โดยมีใจความว่า ...

จุดจบบริษัททหารรับจ้างวากเนอร์

เบื้องต้นเงื่อนไขที่ประธานาธิบดี Alexander Lukashenko ของเบลารุสเป็นคนกลางเจรจากับนาย Yevgeny Prigozhin เจ้าของบริษัททหารรับจ้าง Wagner และต่อมานาย Dmitry Peskov โฆษกเครมลินออกมาแถลงเพิ่มเติม สรุปคร่าวๆได้ประมาณนี้ครับ

1. ทหารรับจ้างวากเนอร์ยอมถอนกำลังกลับที่ตั้ง รัฐบาลรัสเซียจะไม่ดำเนินคดีกับกำลังพลของวากเนอร์ เนื่องจากมีความดีความชอบมาก่อน แต่หลังจากนี้กำลังพลของวากเนอร์ต้องอยู่ภายใต้กลาโหมรัสเซียแล้ว ตรงจุดนี้รายละเอียดยังไม่ชัดเจนว่าแค่ให้เซ็นสัญญากับกลาโหมให้เป็นเรื่องเป็นราว หรือว่าจะยุบบริษัทแล้วดึงกำลังพลของวากเนอร์มาเป็นทหารรัสเซียเลย

2. นาย Yevgeny Prigozhin จะเดินทางออกนอกประเทศไปอยู่เบลารุส (Lukashenko รู้จัก Prigozhin เลยเป็นคนกลางเจรจาได้) โดยปูตินรับรองความปลอดภัยให้ จะไม่มีการดำเนินคดีกับ Prigozhin

3. ระหว่างการเจรจา ไม่มีการตกลงเปลี่ยนแปลงตำแหน่งนายทหารระดับสูงในกระทรวงกลาโหมแต่อย่างใด กล่าวคือปูตินไม่ปลด Shoigu หรือ Gerasimov ตามที่วากเนอร์เรียกร้อง อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าหลังจากนี้จะไม่มีการโยกย้ายตำแหน่งใดๆเลยนะครับ แต่ "ถ้าจะมี" ปูตินในฐานะประธานาธิบดีและผู้บัญชาการสูงสุดจะเป็นคนสั่งการเอง ไม่ให้ทหารรับจ้างมากดดันได้ ข้อมูลบางแหล่งระบุว่าจะมีการแต่งตั้ง Surovikin แทน แต่รอดูประกาศเป็นทางการก่อนครับ

4. ปฏิบัติการพิเศษในยูเครนดำเนินต่อไปตามปกติ

สำหรับสาเหตุที่วากเนอร์ยอมถอย ทั้งที่อีกประมาณ 200 กิโลเมตรก็จะถึงกรุงมอสโกแล้ว เท่าที่ผมมีข้อมูลคือกำลังพลของวากเนอร์เกือบครึ่งไม่เห็นด้วยกับการก่อกบฏตั้งแต่แรก และระหว่างที่เหตุการณ์ดำเนินไป ก็มีคนถอนตัวมากขึ้น สุดท้ายกำลังพลจึงไม่พอจะสู้กับฝ่ายรัฐบาลรัสเซียที่มีกำลังพลทั้ง Rosgvardia (National Guard) ตำรวจ กองกำลังเชเชน และหน่วยทหารรัสเซียจากพื้นที่อื่นๆที่ทยอยเดินทางมาสมทบ ปิดล้อมสกัดเส้นทางของวากเนอร์ได้ สุดท้ายจึงมีการเจรจาโดยให้ Lukashenko มาเป็นคนกลาง เปิดทางถอยให้วากเนอร์ เนื่องจากทุกฝ่ายต้องการหลีกเลี่ยงการนองเลือด ด้วยเหตุนี้แม้จะเกิดความสูญเสียบ้างจากการปะทะกันก่อนหน้านี้ แต่เหตุการณ์ก็ไม่บานปลายถึงขนาดเป็นสงครามกลางเมือง

ไม่น่าเชื่อว่าเราได้เห็นประวัติศาสตร์ The Rise and Fall of the Wagner PMC สูงสุดคืนสู่สามัญ ภายในเวลาแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง

‘โดนัลด์ ทรัมป์’ โพสต์ข้อความเตือน การไล่ ‘วลาดิมีร์ ปูติน’ พ้นจากอำนาจ อาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่เลวร้าย

โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ สาดน้ำเย็นดับความหวังของตะวันตกที่ว่าเหตุความขัดแย้งระหว่างกลุ่มทหารรับจ้าง "วากเนอร์" กับบรรดานายพลระดับสูงของรัสเซีย อาจนำไปสู่การโค่นล้มรัฐบาลมอสโก พร้อมเตือนว่าการขจัดประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน พ้นจากอำนาจ อาจนำมาซึ่งผลลัพธ์เลวร้ายโดยไม่เจตนา

."มันคือความยุ่งเหยิงครั้งใหญ่ในรัสเซีย แต่จงระมัดระวังกับสิ่งที่คุณปรารถนา" อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โพสต์ข้อความบน Truth Social สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเองในวันเสาร์ (24 มิ.ย.) "ถัดจากนี้อาจเลวร้ายกว่ามาก"

ทั้งนี้ ความคิดเห็นดังกล่าวของ ทรัมป์ ต่อสถานการณ์ความไม่สงบในรัสเซีย มีขึ้นก่อนหน้าที่ เยฟเกนี พริโกซิน ผู้นำของกลุ่มวากเนอร์ ตกลงยุติการก่อกบฏ และระงับการเดินทัพมุ่งหน้าสู่มอสโก โดยภายใต้ข้อตกลงดังกล่าวที่ทำกับเครมลิน อดีตพันธมิตรของปูตินรายนี้ จะเดินทางออกจากรัสเซียไปยังเบลารุส และจะไม่ถูกดำเนินคดีใด ๆ

ท่ามกลางเสียงยินดีปรีดาที่จบลงเพียงเวลาไม่นานของประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ต่อการลุกฮือของกลุ่มวากเนอร์ แต่บรรดาผู้สนับสนุนตะวันตกของเขาระงับไว้ซึ่งการแสดงออกอย่างเปิดเผยต่อความเป็นไปได้ของการโค่นล้มรัฐบาลปูติน โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงรัฐบาลยูเครน มีรายงานเพียงว่า "ได้ปรึกษาหารือกับบรรดาพันธมิตรและคู่หู" เกี่ยวกับสถานการณ์ในมอสโก

อย่างไรก็ตาม บรรดาสื่อมวลชนตะวันตกแสดงออกอย่างชัดเจนมากกว่า โดยอวดอ้างว่าการลุกฮือของวาเนอร์ เป็นวิกฤตการดำรงอยู่ของรัฐบาลรัสเซีย ในขณะที่ เคิร์ท โวลเดอร์ อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำนาโต บอกกับซีเอ็นเอ็นว่า สถานการณ์ความไม่สงบ "คือจุดจบของปูติน" และ "เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับจุดจบของสงครามของรัสเซียในยูเครน"

ทรัมป์ ยังพาดพิงเหน็บไปยังประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน โดยบอกว่า ไบเดน "จะทำกับรัสเซียในสิ่งที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนต้องการให้เขาทำ" ซึ่งเป็นการเน้นย้ำคำกล่าวหาของเขาที่ว่าครอบครัวของไบเดน รับสินบนจากสัญญาทางธุรกิจหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน

‘นพดล’ มั่นใจมีข้อสรุปและทางออก เรื่องประธานสภาฯ ยันได้ข้อยุติในวงเพื่อไทย 27 มิ.ย.นี้ เชื่อประชาชนไม่ผิดหวัง

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 26 มิ.ย.2566 ที่รัฐสภา นายนพดล ปัทมะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้ารายงานตัวต่อสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ถึงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่มีข่าวว่ายังไม่สามารถเจรจาให้เป็นไปตามแนวทางที่ตัวแทนพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย เจรจาร่วมกันได้ว่า มั่นใจว่าจะหาข้อสรุป และทางออกแน่นอน

ทางออกมี 2 ทาง คือ เป็นของพรรคก้าวไกล หรือของพรรคเพื่อไทยเท่านั้น ดังนั้น คณะเจรจา รวมทั้งท่าที ส.ส.พรรคเพื่อไทย คงพูดคุย เชื่อว่ามีทางออกที่ดีกับประชาชน ซึ่งจะไม่กระทบต่อความมุ่งมั่นในการตั้งรัฐบาล 8 พรรค

“กรณีแสดงความเห็นที่หลากหลายในพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นปกติของพรรคและนักการเมมือง จะให้ทุกคนเห็นตรงกันไม่ง่าย แต่วันที่ 27 มิ.ย.นี้ที่หารือในในพรรค จะมีข้อยุติที่เป็นประโยชน์ทุกฝ่าย โดยพรรคเพื่อไทยคิดเสมอว่าต้องไม่ทำให้ประชาชนผิดหวัง ข้อสรุปที่ได้จะเอื้อต่อการร่วมรัฐบาลกันต่อไป ผมมั่นใจว่ามีทางออกที่ดี จะไม่มีปัญหาที่ประชาชนฟังแล้วผิดหวังและลดทอนความคาดหวังของรัฐบาล 8 พรรค” นายนพดล กล่าว

เมื่อถามถึงท่าทีของส.ว.ที่ชัดเจนอย่างมากจะไม่โหวตให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าและแคนดิเดดนายกฯ พรรคก้าวไกลเป็นนายกฯ กังวลว่าจะทำให้นายพิธาไม่ได้เสียงที่เพียงพอหรือไม่ นายนพดล กล่าวว่า ตนไม่มีข้อมูลว่ามี ส.ว. ที่จะโหวต หรือไม่โหวตให้นายพิธาเท่าไร แต่ขณะนี้พรรคเพื่อไทยยังยึดมั่นสนับสนุนให้นายพิธา เป็นนายกฯ ส่วนเหตุอื่นจะเป็นอย่างไร หรือสถานการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร ขอให้รอดู

เมื่อถามว่าหากโหวตเลือกนายกฯ ไม่ได้ กังวลจะทำให้การจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งล่าช้าหรือไม่ และพรรคเพื่อไทยมีแผนสำรองหรือไม่ นายนพดล กล่าวว่า แน่นอนว่าการตั้งรัฐบาลล่าช้า มีผลกระทบทั้งในแง่ความมั่นใจจากนักลงทุนและไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ ดังนั้น ทุกฝ่ายทราบดีว่าต้องตั้งรัฐบาลให้เร็วที่สุด 

“ขณะนี้พรรคเพื่อไทยไม่มีแผนสำรองในเรื่องดังกล่าว และยังยึดตามเอ็มโอยูที่ 8 พรรคร่วมลงนามร่วมกัน ผมมองว่าการจัดตั้งรัฐบาลให้เร็วที่สุด ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี นี่เรารอมาเดือนกว่าแล้ว” นายนพดล กล่าว

ของทรอตสกี้ กับความจริงอีกด้าน ของการปฏิวัติรัสเซีย เล่าโดย ‘รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย’

รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก เล่าถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ การปฏิวัติรัสเซีย โดยระบุว่า ...

ผมได้อ่านหนังสือ "ต้มข้ามศตวรรษ (เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซีย)" ของ 'คนเล่านิทาน' (สำนักพิมพ์กรีนปัญญาญาณ, 2559) ... มันเกี่ยวกับเบื้องหลังการปฏิวัติรัสเซีย ปี ค.ศ. 1917 ที่คนส่วนใหญ่ในโลกนี้ไม่เคยทราบมาก่อน

ฉากปฏิวัติบอลเชวิกอันเป็นฉากสำคัญที่มีผลต่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เป็น 'ละครลวงโลก'ที่เล่นกันข้ามเดือนข้ามปี มันเป็นการจับมือวางแผนร่วมกันของหลายพวกหลายฝ่าย
ละครลวงโลกเรื่องนี้ คงเล่นสำเร็จถึงขนาดนี้ไม่ได้ ถ้าไม่มีนายโรงตัวจริง ที่วางกลยุทธ์อย่างลึกซึ้ง เลือดเย็น ยาวนานและคอยชักใยทุกฝ่ายอย่างแนบเนียน

ผู้นำการปฏิวัติบอลเชวิกในปี 1917 ที่สำคัญคือ ทรอตสกี้กับเลนิน
ทรอตสกี้ (1879-1940) เป็นชาวยิวทั้งแท่ง มาจากครอบครัวมีอันจะกินที่เป็นเจ้าของที่ดินทางใต้ของยูเครน เขาอ่านหนังสือของมาร์กซ์และกลายเป็นสาวกลัทธิมาร์กซ์ตั้งแต่วัยรุ่น
ในวัยแค่ 18 ปี ทรอตสกี้ตัดสินใจเป็นนักปฏิวัติ เขาจึงมาคลุกคลีกับพวกสังคมนิยมชาวยิว ทรอตสกี้ถูกจับเข้าคุกช่วงสั้นๆหลายครั้ง เพราะวุ่นอยู่กับการปลุกระดมประท้วงของพวกกรรมกร
ในปี 1905 ทรอตสกี้กลับมาที่รัสเซีย เพื่อพยายามก่อการปฏิวัติขับไล่พระเจ้าซาร์ การปลุกระดมดำเนินอยู่หลายเดือนแต่ไม่สำเร็จ และทรอตสกี้ถูกจับเข้าคุกอีกครั้ง คราวนี้ทรอตสกี้ได้เจอตัวละครสำคัญในคุก คือ พาร์วุส (Alexander Parvus, 1867-1924) ซึ่งเป็นผู้กว้างขวางชาวยิวและมือเก๋าในการปลุกระดมมวลชนเป็นพาร์วุสนี่แหละ ที่แนะนำทรอตสกี้กับ เจค็อบ เอช ชิฟฟ์ (Jacob Henry Schiff, 1847-1920) นายธนาคารชาวอเมริกันเชื้อสายยิวผู้มั่งคั่ง ให้รู้จักกัน
คนหนึ่งอยากได้คนมาไล่พระเจ้าซาร์ (ชิฟฟ์) ส่วนอีกคน กำลังอยากไล่พระเจ้าซาร์ เพราะมองว่า "พระเจ้าซาร์คือที่มาทั้งหมดของปัญหาบ้านเมือง"  จึงอยากทำปฏิวัติตามฝันของตัวเอง (ทรอตสกี้)

เมื่อสมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ชิฟฟ์จึงตกลงอุดหนุนการปฏิวัติของทรอตสกี้ ด้วยทุน 20 ล้านเหรียญของบริษัท Khun, Loeb & Co 
หรือจริงๆก็คือเงินของรอธไชลด์ ที่ต้องการกำจัดพระเจ้าซาร์ จากเรื่องแหล่งน้ำมันที่บากูและเรื่องของชาวยิวในรัสเซีย
............
เดือนกันยายน ปี 1916 ประมาณหนึ่งปีก่อนการปฏิวัตบอลเชวิก ทรอตสกี้กำลังถูกไล่ให้ออกจากประเทศฝรั่งเศส สาเหตุจากบทความที่เขาเขียนลงในหนังสือพิมพ์ภาษารัสเซียที่ออกจำหน่ายในฝรั่งเศส ตำรวจฝรั่งเศสส่งตัวทรอตสกี้ออกนอกประเทศไปทางเขตแดนด้านประเทศสเปน
ที่สเปน ทรอตสกี้ถูกตำรวจคุมตัวที่มาดริด เขาถูกจับใส่ห้องขัง แต่เป็นห้องขังประเภทชั้นพิเศษ ที่เหมือนโรงแรมมากกว่าห้องขังทั่วไป

จากนั้นมีการส่งตัวทรอตสกี้มายังเมืองบาร์เซโลนา เพื่อลงเรือเดินสมุทรชื่อ Montserrat ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติคมาขึ้นบกที่เมืองนิวยอร์ค ในวันที่ 13 มกราคม 1917
คนที่มารับทรอตสกี้และครอบครัวที่ท่าเรือ คือ Arthur Concors ผู้อำนวยการสมาคมช่วยเหลือชาวยิวที่เพิ่งเดินทางเข้าอเมริกา

ซึ่งชิฟฟ์เป็นกรรมการที่ปรึกษา ชิฟฟ์ตัองการเก็บตัวทรอตสกี้ก่อนเข้าฉากสำคัญที่รัสเซีย
ระหว่างที่อยู่ที่นิวยอร์ค ทรอตสกี้และครอบครัว พักอยู่ในอพาร์ตเมนต์ที่มีตู้เย็นและโทรศัพท์ ซึ่งถือว่าหรูหราฟุ่มเฟือยมากในสมัยเมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีก่อน นอกจากนี้ทรอตสกี้และครอบครัวยังเดินทางไปมาในเมืองนิวยอร์คด้วยรถยนต์ที่มีคนขับรถประจำ
อพาร์ตเมนต์ที่ทรอตสกี้และครอบครัวไปพัก รวมทั้งรถและคนขับเป็นของดร.จูเลียส แฮมเมอร์ ที่อพยพมาจากรัสเซียและเป็นผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์อเมริกาในเวลาต่อมา อาร์มันด์ลูกชายของจูเลียส คือประธานบริษัท Occidental Petroleum Corporation เป็นต่างชาติรายแรกที่ได้สัมปทานจากรัฐบาลโซเวียต

ในวันที่  16 มีนาคม 1917  ได้เกิดเหตุการณ์ใหญ่ในรัสเซีย คือ พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ถูกปฏิวัติให้ลงจากบัลลังก์โดยกลุ่มนักปฏิวัติที่นำโดยเคเรนสกี้ (Alexsandre Kerensky)
ในตอนนั้นทรอตสกี้ได้ให้สัมภาษณ์สื่อราวกับเป็นคนรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่า

(1) คณะบริหารที่ตั้งขึ้นมาทำหน้าที่แทนพระเจ้าซาร์ที่ถูกปฏิวัติไปนั้น ไม่ได้เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของประชาชน หรือทำตามวัตถุประสงค์ของพวกที่ต้องการปฏิวัติ

(2) จึงเชื่อว่าคณะบริหารนี้คงอยู่ได้ไม่นาน เพื่อให้กลุ่มคนที่สามารถนำพารัสเซียไปสู่ "ความเป็นประชาธิปไตย" มาทำหน้าที่ต่อ

กลุ่มคนที่ทรอตสกี้เชื่อว่าสามารถนำพารัสเซียไปสู่ "ความเป็นประชาธิปไตย" ได้ คือ พวกบอลเชวิกและเมนเชวิกซึ่งเป็นกลุ่มนักปฏิวัติสังคมนิยมที่กำลังลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ และตอนนี้กำลังรีบเร่งเดินทางกลับรัสเซีย เพื่อรอจังหวะ "ทำการปฏิวัติซ้ำ"

ดังนั้นทรอตสกี้จึงเดินทางออกจากนิวยอร์กในวันที่ 26 มีนาคม 1917 ด้วยเรือเดินสมุทรชื่อ SS Kristainiafjord ทรอตสกี้ผ่านด่านตรวจเพื่อขึ้นเรือดังกล่าวด้วยพาสปอร์ตของอเมริกา

นอกจากนี้ทรอตสกี้ยังเดินทางมาพร้อมพรรคพวกอีกหลายคนเพื่อไปทำการปฏิวัติซ้ำที่รัสเซีย
ทรอตสกี้ถูกจับที่แคนาดาในเดือนเมษายน 1917 ที่เมืองฮาลิแฟกซ์ ตอนถูกจับทรอตสกี้พกเงินหนึ่งหมื่นเหรียญติดตัว

แต่หัวหน้าข่าวกรองอังกฤษได้กดดันให้ทางการแคนาดาปล่อยตัวทรอตสกี้เพื่อให้เดินทางกลับไปปฏิวัติซ้ำที่รัสเซียได้
หัวหน้าข่าวกรองอังกฤษคนนี้คือ เซอร์วิลเลียม ไวซ์แมน ซึ่งมีตำแหน่งเป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งของ Kuhn, Loeb & Co ของชิฟฟ์ หรือของรอธไชลด์ด้วย

ถ้าดูจากข้อมูลข้างต้น  จึงไม่แปลกที่เราจะตั้งคำถามว่า
ตกลง "การปฏิวัติรัสเซีย" ของทรอตสกี้ เขาทำการปฏิวัติตามอุดมการณ์ของตัวเอง หรือว่าทรอตสกี้เป็นแค่ผู้รับจ้างทำการปฏิวัติ

ในความเห็นของผม ทรอตสกี้น่าจะเล่นบทสองหน้า โดยที่หน้าหนึ่ง เขาทำการปฏิวัติสังคมนิยมตามความเชื่อทางอุดมการณ์ของเขาแต่ในอีกหน้าหนึ่ง ทรอตสกี้ก็ไม่ปฏิเสธที่จะรับเงินจากต่างชาติที่สนับสนุนการปฏิวัติของเขา ดังนั้นเราต้องถามต่อว่า ต่างชาติที่ว่าจ้างทรอตสกี้ให้ปฏิวัติซ้ำที่รัสเซียในปี 1917 เป็นใครและทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร?

เดือนเมษายน 1917 ... เลนิน (1870-1924) และพวกอีก 32 คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกบอลเชวิกกำลังเดินทางออกจากสวิตเซอร์แลนด์ ผ่านเยอรมันข้ามสวีเดน เพื่อเข้ารัสเซียไปร่วมกับทรอตสกี้เพื่อทำการปฏิวัติซ้ำให้สมบูรณ์ การผ่านด่านของพวกเลนินที่เยอรมันเรียบร้อยดี 

เพราะได้รับการเห็นชอบจากกองบัญชาการสูงสุดของเยอรมัน ซึ่งไม่ได้ผ่านการรับรู้จากพระเจ้าไกเซอร์ จักรพรรดิของเยอรมันผู้ซึ่งมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับพระเจ้าซาร์แห่งรัสเซีย
ดูเหมือนจะเป็นแผนของเยอรมันที่ต้องการให้กองทัพรัสเซียแตกแยก รวมตัวกันไม่ได้ จะได้ขจัดรัสเซียออกไปจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เลนินเป็นชาวรัสเซียที่มีเชื้อสายยิวหนึ่งส่วนสี่ เขาเป็นชาวลัทธิมาร์กซ์ และคิดจะแก้แค้นแทนพี่ชายของเขาที่ถูกแขวนคอ

เนื่องจากพี่ชายของเลนินมีส่วนในการวางแผนลอบสังหารพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 ผู้เป็นปู่ของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 เลนินเป็นผู้นำพรรคบอลเชวิกที่คิดใช้ "นโยบายประชานิยม" เพื่อล้มรัฐบาลพระเจ้าซาร์ และนำลัทธิสังคมนิยมมาใช้ปกครองต่อ

ปี 1905 ขณะที่รัสเซียกำลังวุ่นวายอยู่กับการรบกับญี่ปุ่นและเป็นฝ่ายแพ้ 
เลนินกับทรอตสกี้ได้พยายามปลุกระดมชาวนาให้ต่อต้านพระเจ้าซาร์ แต่ไม่สำเร็จ สุดท้ายต้องหนีออกจากรัสเซียไปกบดานที่สวิสพาร์วุส "พ่อค้าการปฏิวัติ" ที่รู้จักกับทรอตสกี้ และแนะนำให้ทรอตสกี้รู้จักกับ ชิฟฟ์ ซึ่งเป็นคนของรอธไชลด์ที่สนับสนุนทรอตสกี้ให้ทำการปฏิวัติรัสเซียอยู่เบื้องหลังพาร์วุสก็ไปหาเลนินที่สวิส โดยพาร์วุสเป็นตัวกลางและตัวแทนของรัฐบาลเยอรมันให้การสนับสนุนเลนินเป็นจำนวน 10 ล้านเหรียญทอง เพื่อไปทำการปฏิวัติที่รัสเซีย

นี่คือความย้อนแย้งของเลนิน ผู้เป็นนักปฏิวัติ 'ขายชาติ' ที่รับเงินจากประเทศศัตรู (ตอนนั้นเยอรมันกำลังทำสงครามกับรัสเซีย) มาทำการปฏิวัติประเทศตนเอง
พาร์วุส (1867-1924) เป็นชาวยิวเต็มร้อย ที่คลั่งไคล้ฝักใฝ่การปฏิวัติมาตั้งแต่หนุ่ม พาร์วุสคนนี้แหละที่เป็นเจ้าทฤษฎีการปฏิวัติถาวร (permanent revolution) ที่ตอนหลังทรอตสกี้ยืมทฤษฎีนี้ไปใช้พาร์วุสใช้ชีวิตอยู่ในแถบยุโรปเป็นส่วนใหญ่ เขายังชีพด้วยการเป็นนายหน้าให้อังกฤษจัดหาอาวุธให้กรีกไปรบกับตุรกี เพื่อตัดกำลังจักรวรรดิออตโตมาน อาวุธที่พาร์วุสจัดหามานั้น มาจากบริษัท Vickers ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอาวุธยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ โดยมีรอธไชลด์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่

พาร์วุสร่วมงานกับรอธไชลด์ จึงทำให้เขามีเงินมากมาย ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย เรียกได้ว่าเป็นนักปฏิวัติที่อู้ฟู่มั่งคั่งที่สุดในยุคนั้น วินสตัน เชอร์ชิล ได้พูดไว้ที่สภาของอังกฤษ เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 1919 ว่า

"... เลนินถูกนำตัวมายังรัสเซีย เหมือนการนำเอาขวดแก้วที่ใส่เชื้ออหิวาห์เข้ามา เพื่อเอาไปเทใส่ในแหล่งน้ำให้มันแพร่กระจายไปทั่วเมือง และมันได้ผลดีอย่างมหัศจรรย์
....ทันทีที่เลนินถึงที่หมาย เลนินได้เรียกให้พวกหัวหน้าคอมมิวนิสต์ตามเมืองต่างๆมาอยู่รอบตัวเขาและรับคำบัญชาจากเขา จากนั้นเลนินก็เริ่มงานที่เป็น "การทำลายล้างทุกสถาบัน" ที่ประกอบเป็นรัสเซีย ที่รัสเซียยึดถืออยู่ จนแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ...." 

ชนชั้นนำอังกฤษที่เป็นจ้าวโลกตอนนั้นมองว่า ใครก็ตามที่มีอำนาจควบคุมเหนือรัสเซีย ผู้นั้นแหละ จะเป็นผู้ตัดสินหรือควบคุมบริเวณยูเรเซียอันกว้างใหญ่ และหมายความว่าจะเป็นผู้ควบคุมโลกใบนี้ในตอนนั้นอย่างสมบูรณ์ เพราะเหตุนี้แหละ อังกฤษจึงลงทุน "สร้างสงครามโลกครั้งที่ 1" เป้าหมายแรกเพื่อต้องการเขี่ยหรือกันท่าเยอรมันให้พ้นจากแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลาง
ดังนั้นอังกฤษจึงต้องกวาดล้างเยอรมันและออตโตมานให้ราบคาบเสียก่อนในช่วงทำสงครามโลก

ครั้งที่ 1 ส่วนรัสเซียนั้น อังกฤษเตรียมจัดการในขั้นต่อไป แต่รัสเซียอยู่ในภูมิประเทศที่ทำลายยาก วิธีที่อังกฤษใช้จัดการกับรัสเซีย คือขั้นแรกหลอกรัสเซียให้มาอยู่ฝ่ายตนเสียก่อนตอนทำสงครามกับเยอรมัน หลังจากนั้นก็รอเวลาให้เกิดการปฏิวัติในรัสเซีย โดยที่หน้าฉากเหมือนอังกฤษไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติรัสเซีย

แต่จริง ๆ แล้ว อังกฤษรู้ดีอยู่แล้วว่า มีคนจ้องจะปฏิวัติรัสเซีย อังกฤษแค่ปล่อยให้ "เชื้อโรคปฏิวัติ" เป็นผู้จัดการบ่อนทำลายรัสเซียเอง ซึ่งได้ผลกว่าเยอะ 

แต่ในอีกด้านหนึ่ง ดูเหมือนว่าตระกูลรอธไชลด์ของพวกนายทุนยิวจะอยู่เบื้องหลังแผนของอังกฤษอีกทีหนึ่ง

ปี ค.ศ. 1890 ...จักรภพอังกฤษ แม้จะเป็นเพียงเกาะเล็กๆ แต่ก็สร้างตนเองขึ้นมายิ่งใหญ่ได้ด้วยความฉลาด เจ้าเล่ห์ เหลี่ยมพราวและความชั่วร้ายจนโดดเด่น มีอำนาจทั้งในด้านการเมือง การทหาร และการค้า

ในช่วงที่ผ่านมาจนถึงตอนนั้น จักรภพอังกฤษได้แผ่อิทธิพลไปเกือบทั่วโลก ขนาดอ้างได้ว่าดวงอาทิตย์หาที่ตกในจักรภพอังกฤษไม่ได้

ด้วยเหตุนี้ อังกฤษจึงพยายามทำทุกวิถีทางที่จะรักษาความเป็นจ้าวโลกหรือความเป็นที่หนึ่ง เพื่อเอาโลกใบนี้ให้อยู่ในกำมือของตนเองตลอดกาล หรืออย่างน้อยก็ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้
จะคุมโลกเอาไว้ในกำมือ อังกฤษต้องทำให้ตัวเองมีเสาหลักหรือมีอำนาจควบคุมใน 3 เรื่องคือ

(1) ควบคุมเส้นทางเดินเรือ
โดยใช้บริษัทประกันภัยหมายเลขหนึ่งของอังกฤษ ลอยด์ (Lloyd) ซึ่งมีเครือข่ายทั่วโลก บวกกับใช้เครือข่ายของธนาคารอังกฤษเป็นผู้วางกฏเกี่ยวกับการขนส่งทางเรือ บวกกับการใช้กองทัพเรือของอังกฤษทำหน้าที่เป็นเรือคุ้มกันภัยให้กับเรือขนส่งสินค้าสัญชาติอังกฤษ โดยไม่ต้องทำประกันภัย ขณะที่คู่แข่งถูกบังคับให้ทำประกันภัยกับลอยด์

(2) การควบคุมระบบการเงินการธนาคาร
ทำให้เกิดระบบธนาคารกลางในอังกฤษ และที่สำคัญอังกฤษเป็นตัวการที่ทำให้เกิด Federal Reserve System ในอเมริกาในปี 1914  ... ที่สำคัญ Fed เป็นของเอกชน ไม่ใช่ของรัฐ และเป็นเอกชนไม่กี่ตระกูลที่ส่วนใหญ่เป็นเครือข่ายของตระกูลรอธไชลด์ของฝั่งอังกฤษ และตระกูลร็อกกี้เฟลเบอร์และมอร์แกนของฝั่งอเมริกา Fed เป็นตัวการสำคัญในการชักใยการเงินโลกมาจนถึงทุกวันนี้ จะเห็นได้ว่าเสาหลักที่สองนี้มีอานุภาพรุนแรงและยาวนานอย่างไม่น่าเชื่อ
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับผู้ที่ต้องการเอาโลกไว้ในกำมือของตนเองตลอดไปในยุคปัจจุบันที่จะคิดค้นเงินดิจิตอล หรือ CBDC ออกมา

(3) การควบคุมหรือครอบครองทรัพยากร ที่เป็นผลต่อยุทธศาสตร์ของตน
ในยุคนั้นคือน้ำมัน ผ่านมาร้อยกว่าปีน้ำมันก็ยังมีความหมายและมีผลกับโลกนี้ทั้งใบ
น้ำมันเป็นของมีค่าสำหรับชาติมหาอำนาจที่ไม่อยากให้ชาติอื่นได้ไป จึงพร้อมที่จะสร้างเรื่องก่อสงคราม โดยไม่รู้สึกผิดและละอายแม้แต่น้อย

ตระกูลรอธไชลด์ เริ่มเข้าไปขุดเจาะน้ำมันที่บากูในอาเซอร์ไปจานของรัสเซียในปี 1880 รอชไชลด์มีโรงกลั่นน้ำมันในบากู ถึง 200 แห่งรอธไชลด์มีรากเหง้ามาจากยิว ไม่ได้แค่ไปขุดน้ำมันในรัสเซียเพียงลำพัง แต่ยังระดมขนญาติพี่น้องของตระกูลที่กระจายอยู่ในเมืองต่างๆของยุโรป เข้าไปค้าขายขยายธุรกิจอยู่ในรัสเซียด้วย  ... เป็นเรื่องที่สร้างความไม่พอใจให้แก่พระเจ้าซาร์นิโคลัสแห่งรัสเซียอย่างยิ่ง และพระองค์แสดงออกอย่างเปิดเผยว่าไม่ชอบยิว และไม่ชอบรอชไชด์

ในปี 1870 อุตสาหกรรมอังกฤษนำหน้าเยอรมันชนิดทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่น แต่อีกสามสิบปีต่อมา อุตสาหกรรมเยอรมันโตขึ้นอย่างรวดเร็วในทุกสาขาและต้องการน้ำมันเป็นอย่างมากในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมของตน

ในปี 1912 เยอรมันได้สัมปทานจากรัฐบาลของออตโตมานสร้างทางรถไฟสายเบอร์ลิน-แบกแดด ซึ่งเป็นเส้นทางที่ผ่านแหล่งน้ำมันใหญ่ไปตลอดสาย ยาว 2,500 ไมล์ พร้อมให้สิทธิข้างทางกว้าง 20 กิโลเมตรยาวตลอดเส้นทางรถไฟซึ่งจะไปถึงโมซุล (อิรักในปัจจุบัน) ด้วย
มาถึงจุดนี้ อังกฤษเริ่มมองเยอรมันเป็นฝ่ายตรงข้าม เพราะสถานะของเยอรมันเริ่มคุกคามความเป็นจ้าวโลกของจักรภพอังกฤษ

อังกฤษจึงต้องวางแผนกำจัดเยอรมันและครอบครองแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลางทั้งหมดแทน โดยไม่ให้เยอรมันมาแย่ง มาแบ่ง หรือมาขวาง 
วิธีเดียวที่จะทำให้อังกฤษได้ทั้งหมดตามที่ตัวเองต้องการคือ 
"ต้องสร้างสงครามขึ้นมา" ด้วยสงครามเท่านั้น ที่จะทำลายเยอรมันจนหมดสภาพ รวมทั้งทำลายอาณาจักรออตโตมาน (ตุรกีในปัจจุบัน) ที่หันไปคบกับเยอรมันที่กลายเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของอังกฤษไปแล้ว  

เพื่อการนี้ อังกฤษจึงต้องยุให้รัสเซียขัดแย้งทำสงครามกับเยอรมัน
แต่ในขณะเดียวกันก็มุ่งทำให้รัสเซียเกิดความแตกแยกภายในอย่างรุนแรง
3 อาณาจักรใหญ่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานอย่างออตโตมาน เยอรมัน และรัสเซีย จึงถูกอังกฤษวางแผนให้ล่มสลายผ่าน "การสร้างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง" ด้วยเหตุผลเดียวเท่านั้น คือ เพื่อให้จักรภพอังกฤษได้ครองความเป็นจ้าวโลกสืบต่อไปอีกนานเท่านาน

อังกฤษใช้ตระกูลรอชไชลด์เดินหมากเกมนี้
ตระกูลรอชไชลด์เป็นเพียงตระกูลพ่อค้าชาวยิวที่รวยล้นด้วยอำนาจทุน จึงสามารถสร้างเครือข่ายอำนาจได้ทั่วทุกแห่งทุกระดับ ถึงขนาดสามารถวางแผนบ่อนทำลายอาณาจักรใดก็ได้ในโลกใบนี้ ถ้าคิดจะทำตระกูลรอชไชลด์อาศัยเกิดในเยอรมันก็จริง รวมทั้งอยู่ในอังกฤษด้วย แต่รอชไชลด์เป็นพวกที่ไม่เคยนึกถึงสัญชาติและประเทศชาติ พวกรอชไชลด์รู้จักแต่การทำเงิน การทำกำไร และฉกฉวยโอกาสจากการทำสงครามและสร้างความวุ่นวายทางการเมืองเท่านั้น

เมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน ในสมัยที่ตัวผมยังเป็นนักปฏิวัติและเคยอยู่ในขบวนการปฏิวัติไทย 
ทรอตสกี้คือ ฮีโร่ของผม 

ความสามารถที่หลากหลายของทรอตสกี้ ที่เป็นทั้งนักคิด นักเขียน นักกลยุทธ์ และนักเคลื่อนไหวอยู่ในตัวคนๆเดียว ทำให้ทรอตสกี้กลายเป็น "บุคคลต้นแบบ" สำหรับผมในตอนนั้น 
ก่อนที่ขบวนการการปฏิวัติไทยจะล่มสลาย และตัวผมได้พบเจอเรื่องราวของ 'มิยาโมโต้ มูซาชิ' และวิถีของเขาผ่านอมตะนิยายของเอจิ โยชิคาว่า

ในเวลาต่อมาผ่านมาสี่สิบปี ผมสามารถมองชีวิตและเส้นทางนักปฏิวัติของทรอตสกี้ด้วยสายตาที่กว้างไกลและลุ่มลึกกว่าเดิมการได้รับรู้ว่า ในที่สุดทรอตสกี้ก็ถูกพวกรอชไชลด์ยืมมือ หรือหลอกใช้ให้ทำลายประเทศของตนเองอย่างยับเยินไม่มีชิ้นดี ...เป็นอะไรที่น่าเจ็บปวดอย่างยิ่ง!!
การปฏิวัติรัสเซียจึงไม่เพียงเป็นผลพวงหรือผลพลอยได้จากสงครามโลกครั้งที่ 1 เท่านั้น ยังมีคนบงการในระดับ "คนคุมเกม หรือผู้กำหนดเกม" อย่างตระกูลรอธไชลด์มาชักใยอยู่เบื้องหลัง 
โดยที่เลนิน และทรอตสกี้ เป็นแค่หมากตัวหนึ่งในระดับ "ผู้เล่น" ที่ถูกชักใยบงการอยู่เบื้องหลังอย่างแยบยล

ขนาดเลนินกับทรอตสกี้เองก็ยังไม่รู้ตัวหรือได้สำนึกก่อนตายว่า ตัวเองถูกหลอกใช้!!
มายาคติที่ใหญ่ที่สุดของนักปฏิวัติอย่างเลนินและทรอตสกี้ คือยังหลงเชื่ออย่างมืดบอดจนวันตายว่า ...พวกตนกำลังทำการปฏิวัติและได้ "ปฏิวัติรัสเซีย" ล้มพระเจ้าซาร์เป็นผลสำเร็จ
แต่เปล่าเลย เพราะ "ระบอบสตาลิน" ที่ถือกำเนิดขึ้นมาหลังการปฏิวัติรัสเซียปี 1917 เป็นแค่อีกรูปแบบหนึ่งของการฟื้นตัวของจักรวรรดิรัสเซีย (โซเวียต) ในรูปรัฐอำนาจนิยมแบบรวมศูนย์เท่านั้นเอง

"พวกนักปฏิวัติรัสเซีย" ไม่มีทางโค่นสถาบันพระเจ้าซาร์ได้สำเร็จหรอก ถ้าพวกเขาไม่ขายชาติและชักศึกเข้าบ้าน!!

เบื้องหลังของความจริงของการปฏิวัติรัสเซีย กลับเป็นความพยายามดิ้นรนสุดชีวิตของจักรภพอังกฤษเพื่อรักษาความเป็นจ้าวโลกที่กำลังถูกท้าทายโดยขั้วอำนาจใหม่เท่านั้นเอง
สำหรับเมืองไทย การสานต่อภารกิจการปฏิวัติ 2475 ตามแนวทาง "การปฏิวัติถาวร" คือ ความละเมอเพ้อพก อย่างหนึ่ง

สุวินัย ภรณวลัย
Suvinai Pornavalai

 

‘จีน’ คิกออฟ ‘โรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด’ 10,000 ไร่  ลดปล่อยคาร์บอนฯ มากกว่า 1.6 ล้านตันต่อปี

(26 มิ.ย. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สถานีไฟฟ้าพลังน้ำ-พลังแสงอาทิตย์แบบผสมผสานขนาดใหญ่ในอำเภอหย่าเจียง แคว้นปกครองตนเองกานจือ กลุ่มชาติพันธุ์ทิเบต มณฑลซื่อชวน (เสฉวน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เริ่มเปิดดำเนินการแล้วเมื่อวันอาทิตย์ 25 มิ.ย. ที่ผ่านมา

สำหรับสถานีไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์เคอลา ซึ่งเป็นโครงการระยะแรกของโครงการพลังน้ำ-พลังแสงอาทิตย์แบบผสมผสานของโรงไฟฟ้าพลังน้ำเหลี่ยงเหอโข่ว (Lianghekou) เป็นสถานีไฟฟ้าพลังน้ำ-พลังแสงอาทิตย์แบบผสมผสานขนาดใหญ่ที่สุดและตั้งอยู่บนที่สูงสุดในโลก

รายงานระบุว่าสถานีแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1,667 เฮกตาร์ (ราว 10,000 ไร่) มีกำลังการผลิตติดตั้ง 1 ล้านกิโลวัตต์ และสามารถผลิตไฟฟ้าเฉลี่ย 2 พันล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี ซึ่งลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 1.6 ล้านตันต่อปี

อนึ่ง โรงไฟฟ้าพลังน้ำเหลี่ยงเหอโข่ว มีกำลังการผลิตติดตั้งตามการออกแบบรวม 3 ล้านกิโลวัตต์ ตั้งอยู่บนแม่น้ำหย่าหลงในแคว้นปกครองตนเองกานจือ โดยแอ่งแม่น้ำหย่าหลงเป็นหนึ่งในฐานพลังงานสะอาดของจีน

จำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการ ‘รถไฟจีน’ ยอดพุ่งทะลุ 70 ล้านครั้ง เร่งเพิ่มกำลังการขนส่ง รองรับผู้โดยสารในช่วงเทศกาลเรือมังกร

เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 66 สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานว่า บริษัท การรถไฟแห่งประเทศจีน จำกัด รายงานว่า ปริมาณการหมุนเวียนของผู้โดยสารรถไฟในจีนพุ่งสูงขึ้น ระหว่างมหกรรมการเดินทางช่วงหยุดเทศกาลเรือมังกรที่ผ่านมา

รายงานระบุว่า ปริมาณการเดินทางของผู้โดยสารรถไฟทั่วจีน ระยะ 5 วัน (นับระหว่างวันที่ 21-25 มิ.ย.) สูงเกือบ 70.38 ล้านครั้ง ซึ่งมากกว่ามหกรรมการเดินทางช่วงหยุดเทศกาลเรือมังกรในปี 2019 ราว 7.14 ล้านครั้ง

โดยเมื่อวันที่ 22 มิ.ย. ที่ผ่านมา ปริมาณการเดินทางของผู้โดยสารรถไฟรายวันในจีน สูงแตะ 16.09 ล้านครั้ง ซึ่งถือเป็นการเดินทางของผู้โดยสารภายในวันเดียวที่สูงเป็นประวัติการณ์ ระหว่างมหกรรมการเดินทางช่วงหยุดเทศกาลเรือมังกร

อนึ่ง หน่วยงานการรถไฟของจีนได้เพิ่มกำลังการขนส่งผู้โดยสาร เพื่อตอบสนองความต้องการเดินทางของประชาชน พร้อมกับยกระดับคุณภาพการบริการเพื่อประสบการณ์การเดินทางที่ดียิ่งขึ้นของเหล่าผู้โดยสาร

สำหรับเทศกาลเรือมังกร หรือ ‘เทศกาลตวนอู่’ ซึ่งตรงกับวันที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินจันทรคติจีน และตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 22 มิ.ย. ในปีนี้
 

‘สายลับสหรัฐฯ’ โว รู้แผนก่อกบฏของ ‘วากเนอร์’ ก่อนปูติน ชี้!! สืบพบสัญญาณความผิดปกติได้ตั้งแต่กลางเดือน มิ.ย.

เมื่อไม่นานนี้ สื่อสหรัฐฯ ทั้ง Washington Post และ New York Times รายงานว่า หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ รับทราบข้อมูลล่วงหน้าที่บ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่กองกำลัง วากเนอร์จะก่อกบฏภายในรัสเซีย และได้สรุปรายงานนี้ให้กับทั้งทางทำเนียบขาว สภาคองเกรซ และฝ่ายกลาโหมก่อนหน้าจะเกิดเหตุจริงเพียงไม่กี่วัน

สายสืบสหรัฐฯ อ้างว่า สามารถจับสัญญาณการเคลื่อนไหวบางอย่างของเยฟเกนี พริโกซิน และกองกำลังวากเนอร์ในการต่อต้าน นายพลเซอร์เก ชอยกู ผู้นำฝ่ายกลาโหมรัสเซีย ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

ถึงแม้จะไม่รู้แน่ชัดว่า พริโกซิน ริเริ่มวางแผนการตั้งแต่เมื่อใด แต่การเคลื่อนไหวที่ผ่านมาของเขาทำให้ทีมข่าวกรองของสหรัฐฯ รับรู้ถึงความไม่ปกติภายใน ว่าน่าจะมีเหตุบางอย่างเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ที่อาจนำไปสู่สถานการณ์ขั้นเลวร้ายที่สุด คือ ‘สงครามกลางเมือง’ ได้

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เชื่อว่า จุดแตกหักของเรื่องนี้ เกิดขึ้นหลังจากมีคำสั่งจากกระทรวงกลาโหมรัสเซีย เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. ที่ผ่านมา ให้กองกำลังอาสาสมัครทั้งหมด ต้องมาขึ้นทะเบียน และลงนามข้อตกลงกับกองทัพรัฐบาล ถึงแม้ว่าจะไม่ระบุเจาะจงว่าเป็นกลุ่มกองกำลังวากเนอร์ แต่หลักปฏิบัตินั้นชัดเจนว่า ทหารกองอาสาสมัครทั้งหมด ทุกกลุ่ม ครอบคลุมถึงหน่วยของกองทหารรับจ้างวากเนอร์ ต้องอยู่ภายใต้สังกัดของกระทรวงกลาโหม

นั่นหมายความว่า ฝ่ายกระทรวงกลาโหมรัสเซีย มีเป้าหมายที่จะควบรวมกองกำลังวากเนอร์ เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ จากที่เคยเป็นกองกำลังอิสระ บริหารในรูปแบบบริษัทเอกชน ที่มีเยฟเกนี พริโกซิน เป็นผู้นำ และยังสร้างผลงานโดดเด่นในการสู้รบในยูเครน โดยเฉพาะสมรภูมิในเมืองบัคมุท

เจ้าหน้าที่ฝ่ายการทหารของยูเครนก็ได้จับตา พริโกซิน หลังวันประกาศเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. เช่นกัน และเชื่อว่าผู้นำกองกำลังวากเนอร์ เริ่มเคลื่อนพลเพื่อต่อต้านรัฐบาลมอสโกแล้วตั้งแต่วันนั้น และยังแสดงออกชัดเจนว่า ‘ไม่ลงรอย’ กับผู้นำสุงสุดของฝ่ายกลาโหมรัสเซียหลายครั้ง และมั่นใจว่า พริโกซินไม่รู้ตัวว่า ทั้งรัฐบาลยูเครน และหน่วยข่าวกรองสหรัฐกำลังจับตาดูอยู่ อีกทั้งยังมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลลับระหว่างกันอีกด้วย

หน่วยสอดแนมลับของสหรัฐฯ เชื่อว่า แม้กระทั่งปูตินเอง น่าจะเพิ่งรับรายงานแผนการก่อกบฏของพริโกซิน ผู้ซึ่งเคยเป็นสหายคนสนิทของเขา ล่วงหน้าเพียงวันเดียวเท่านั้น ซึ่งพริโกซินก็ดำเนินตามแผนการที่วางไว้อย่างรวดเร็วจนน่าแปลกใจ

และทันทีที่กลุ่มวากเนอร์ ข้ามชายแดนยูเครนเข้ามาในรัสเซียในช่วงวันศุกร์ที่ 23 มิ.ย. ก็บุกยึดกองบัญชาการกองทัพรัสเซียในเมืองรอสตอฟได้ทันทีในวันเสาร์ และประกาศบุกมอสโกต่อในวันอาทิตย์ สร้างความปั่นป่วนโกลาหลไปทั่วกรุงมอสโก ก่อนที่จะเยฟเกนี พริโกซิน จะยอมรับเงื่อนไขของทางรัฐบาลรัสเซีย ลี้ภัยไปเบลารุส และให้กลุ่มวากเนอร์ ถอยกลับไปประจำในฐานที่มั่นของตน

แม้ว่าเหตุการณ์จะสงบแล้ว แต่กองทัพรัสเซียคงไม่อาจไว้วางใจกองกำลังวากเนอร์ได้อีกต่อไป แม้ปูตินจะยอมรับว่า ทหารวากเนอร์ส่วนใหญ่ถือเป็นนักรบผู้กล้าที่ต่อสู้เพื่อประเทศชาติ แต่หลังเหตุการณ์ความไม่สงบที่ผ่านมา จำเป็นที่จะต้องสลายกลุ่มวากเนอร์ โดยปูตินยื่นข้อเสนอว่า กองกำลังวากเนอร์มีทางเลือก 3 ทาง คือ เข้าประจำการในกองทัพรัสเซีย, กลับบ้าน หรือลี้ภัยไปเบลารุสเท่านั้น

จากคำกล่าวอ้างของเยฟเกนี พริโกซิน มีกองกำลังวากเนอร์ ที่ประจำการพร้อมรบอยู่ราว 25,000 คน และมีกองหนุนสำรองอีกนับหมื่นคน

ผู้บริหารจีน รีบร้อน จูบดูดดื่มกับหญิงที่ไม่ใช่ภรรยา ในที่สาธารณะ สุดท้ายเลยต้องกลายเป็น จำเลยของสังคม

เพจเฟซบุ๊ก ไทยคำจีนคำ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับกรณีที่มี รองเลขาธิการของวิทยาลัยแห่งหนึ่งในนครหนานจิง แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม จูบดูดดื่มกับหญิงที่ไม่ใช่ภรรยา ในที่สาธารณะ โดยระบุว่า ...

ทำไมใจร้อนขนาดนี้?

จนกลายเป็นเรื่องขึ้นมา กับข่าวฉาวของ "หยางจ่งสเว" 杨种学 รองเลขาธิการของวิทยาลัยแห่งหนึ่งในนครหนานจิง

ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ถูกกล้องวงจรปิดภายในลิฟท์และโถงทางเดินของอาคาร จับภาพจูบดูดดื่มกับหญิงสาว ที่สื่อคาดว่าไม่ใช่ภรรยาของตนเอง 

ก่อนที่ทั้งสองคนจะจูงมือกันเข้าห้องไป

งานนี้หลายสำนักจึงออกมาแฉพร้อมเปิดชื่อและตำแหน่งอย่างกระจ่างชัด เพื่อจี้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการตรวจสอบ

จริง ๆ แล้วการจูบ หรือแสดงความรักต่อกันในที่สาธารณะไม่ใช่สิ่งผิด หรือไม่ได้แปลกอะไร เพราะในเรื่องนี้ สังคมเปิดกว้างกว่าเมืองไทยด้วยซ้ำไป

แต่การ "นอกใจ" ภรรยา/สามี ถือเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ย่อมต้องได้รับการคาดหวังจากสังคมมากเป็นพิเศษ

เนื่องด้วยเป็นสายงานที่ต้องดูแลความเป็นอยู่ของประชาชน และผลประโยชน์ของสาธารณชน

โดยชาวจีนส่วนใหญ่เชื่อว่า หากไม่สามารถซื่อสัตย์กับคนในบ้านได้ แล้วจะมาเสียสละเพื่อประเทศชาติได้อย่างไร

งานนี้ท่านรองฯ ไวไฟน่าจะงานงอกอย่างหนัก ชาวเน็ตหลายคนแอบสงสัย ไม่รู้หรือไงว่าในลิฟท์มีกล้องวงจรปิดหรือไง?

ทำไมถึงใจเร็วด่วนได้ขนาดนี้ ไม่อดใจรออีกสักหน่อย สุดท้ายคุณเลยต้องกลายเป็นจำเลยของสังคม รอโดนพิพากษาผิดถูกจากหน่วยเหนือได้เลย! 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top