Monday, 9 June 2025
TheStatesTimes

‘ตำรวจ’ บุกทลายเครือข่ายธุรกิจสีเทาข้ามชาติ รวบ ‘กีกี้ แม็กซิม’ ยึดทรัพย์-บ้าน-รถหรูเฉียดพันล้าน

(30 ส.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้ พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท., พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง ผบก.ปอท. และพ.ต.อ.วัชรพันธ์ ศิริพากย์ ผกก.1 บก.ปอท. นำกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ป. บก.ปอศ. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ ป.ป.ง. และเจ้าพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด รวมกว่า 200 นาย บุกเข้าตรวจค้นเป้าหมายเพื่อจับกุมและยึดทรัพย์แก๊งคนร้ายชาวจีนที่ร่วมมือกับคนไทยและชาวต่างชาติอื่น ๆ ตั้งเป็นแก๊งหลอกลงทุนเงินดิจิทัล แก๊งโรแมนสแกม และฟอกเงิน โดยนำหมายศาลอาญาเข้าตรวจค้นทั้งหมด 30 เป้าหมายในกรุงทพฯ จ.สมุทรปราการ และ จ.อุดรธานี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หนึ่งในจุดที่เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้นเป็นหมู่บ้านหรูย่านถนนกรุงเทพฯ กรีฑา อายัดบ้านพักหรูจำนวน 12 หลัง มูลค่าต่อหลังราว 50 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังเข้าตรวจค้นหมู่บ้านหรูอีก 4 หมู่บ้านในย่านเดียวกันด้วย ทั้งนี้ เชื่อว่าบ้านพักทั้งหมดได้ใช้เงินที่ได้จากการกระทำความผิดซื้อไว้ผ่านบริษัทกฎหมายแห่งหนึ่งที่มีคนจีนเป็นเจ้าของ

โดยในวันเดียวกันเจ้าหน้าที่ยังได้เข้าค้นบริษัทกฎหมายดังกล่าวด้วยเพื่อหาหลักฐานเพื่อเติม และเชื่อว่าเป็นบริษัทที่รับฟอกเงินให้จับแก๊งคนร้ายชาวจีนแก๊งนี้ โดยมีคนไทยเป็นตัวเชื่อมและให้ความช่วยเหลือในการเปิดบริษัทนอมินี

สำหรับการเข้าตรวจค้นในครั้งนี้ ชุดสืบสวนยังได้มีเป้าหมายในการจับกุมผู้ร่วมกระทำความผิดทั้งหมด 14 หมายจับ ในจำนวนนี้มี น.ส.จักรีณา ชูขาวศรี หรือ กีกี้ แม็กซิม นางแบบชื่อดัง รวมอยู่ด้วย

อย่างไรก็ตามจากปฏิบัติการดังกล่าวเจ้าหน้าที่สามารถจับกุม น.ส.จักรีณาและผู้ร่วมขบวนการได้อีกจำนวนหนึ่ง พร้อมยึดทรัพย์เป็นบ้านและรถหรูได้จำนวนมาก รวมมูลค่าเกือบหนึ่งพันล้านบาท โดยรายละเอียดการตรวจค้นและจับกุม ตำรวจสอบสวนกลาง ป.ป.ง. และอัยการจะมีการแถลงร่วมกันให้ทราบต่อไป

มีรายงานว่า สำหรับการตรวจค้นเป้าหมายในวันนี้สืบเนื่องจากชุดสืบสวน บก.ปอท.ได้แกะรอยแก๊งคนร้ายที่มีพฤติกรรมเป็นแก๊งโรแมสแกมหลอกลวงเหยื่อผู้หญิงคนไทยให้ร่วมลงทุนเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือคริปโทเคอร์เรนซี หลังเกิดเหตุผู้เสียหายได้แจ้งความไว้ที่ สภ.สำโรงเหนือ จ.สมุทรปราการ จากการแกะรอยจากบัญชีคริปโทฯ ทำให้พบว่ากลุ่มคนร้ายได้ยักย้ายถ่ายเทเงินไปหลายขั้นตอนก่อนที่จะเปลี่ยนเงินอิเล็กทรอนิกส์เป็นสกุลเงินบาท จากนั้นได้นำเงินไปซื้อทรัพย์สินหลายรายการ รวมทั้งบ้านพักและคอนโดหรูในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีเงินหมุนเวียนทั้งเงินสดและเงินดิจิทัลนับพันล้านบาท

เฉิดฉายในเวทีโลก!! สรุปสุดยอดภารกิจระดับนานาชาติ ใต้ปีก 'รัฐบาลประยุทธ์' เจริญสัมพันธ์ราบรื่น สานเศรษฐกิจยั่งยืน พาไทยฟื้นสถานะสุดแกร่ง

ต้องยอมรับว่า ช่วงสมัยรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในซีซัน 2 ระหว่างปี 2562 ถึงปัจจุบันนั้น...ประเทศไทย ได้รับเกียรติให้เข้าร่วมประชุมและเป็นแขกสำคัญของนานาประเทศ ในการผูกเชื่อมสัมพันธ์ การพูดคุยเจรจาด้านเศรษฐกิจ และการหารือวาระสำคัญระดับโลกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทุกงานที่ร่วม ล้วนแล้วแต่ได้รับผลตอบรับ และสานต่อพันธกิจของชาติได้อย่างน่าชื่นชม

โอกาสนี้ THE STATES TIMES เลยขอเปิดไทม์ไลน์ 17 ภารกิจงานประชุมใหญ่ระดับนานาชาติ และการเยือนต่างประเทศของรัฐบาลไทย ภายใต้ 'พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ให้คนไทยทุกคนได้ย้อนรำลึกไปด้วยกัน เริ่มด้วย...

1. การประชุมระดับประเทศ ณ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 21-27 กันยายน 2562

2. การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 ณ สาธารณรัฐเกาหลี เมื่อวันที่ 24-27 พฤศจิกายน 2562

3. การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 36 เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2563 ทางออนไลน์

4. การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 37 เมื่อวันที่ 12-15 พฤศจิกายน 2563 ทางออนไลน์

5. การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 27 เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2563 ทางออนไลน์

6. การประชุม ACMECS ครั้งที่ 9 เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2563 ทางออนไลน์

7. การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 ทางออนไลน์

8. ประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ ครั้งที่ 7 เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2564 ทางออนไลน์

9. การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 38 และ 39 เมื่อวันที่ 26-28 ตุลาคม 2564 ทางออนไลน์

10. การประชุม COP26 เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม - 3 พฤศจิกายน 2564 

11. การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 28 เมื่อวันที่ 11-12 พฤศจิกายน 2564 ทางออนไลน์

12. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เดินทางเยือน ซาอุฯ เมื่อวันที่ 25-26 มกราคม 2565 เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปีของรัฐบาลไทย เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างกัน

13. ประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐอเมริกา สมัยพิเศษ ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11-15 พฤษภาคม 2565

14. การประชุม Nikkei Forum ครั้งที่ 27 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 25-27 พฤษภาคม 2565)

15. การประชุมเอเปค ณ ประเทศไทย ครั้งยิ่งใหญ่ ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 14-19 พฤศจิกายน 2565

16. การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 40 และ 41 กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา เมื่อวันที่ 10-13 พฤศจิกายน 2565

17. การประชุมสุดยอดอาเซียน-สหภาพยุโรป สมัยพิเศษ ณ ประเทศเบลเยียม (12-15 ธันวาคม 2565)

เรียกได้ว่า ทุกภารกิจด้านการต่างประเทศของไทย ภายใต้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ระหว่างปี 2562-ปัจจุบันนั้น ได้สร้างผลลัพธ์อันดีต่อประเทศไทยสามารถลุล่วงภารกิจหลากมิติ ทั้งด้านความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า ความมั่นคง วิชาการ สังคม สิ่งแวดล้อม และอื่น ๆ ระหว่างไทยกับนานาชาติได้อย่างน่าชื่นชม

'อดีตนร.ไทยในญี่ปุ่น' ชี้!! ผลักดันสุราเสรี ไม่ใช่นโยบายที่ดี ยก ‘สหรัฐฯ’ เป็นแม่แบบ ให้ปชช.ดื่มได้สัปดาห์ละ 2 ดริ๊งก์

เมื่อวานนี้ (30 ส.ค.66) ข้อมูลของผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Naruphun Chotechuang’ โดย ‘คุณนฤพันธ์ โชติช่วง’ อดีตนักเรียนวิทยาลัยยามชายฝั่งญี่ปุ่น ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

ขอพูดถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกสักโพสต์ ในขณะที่ประเทศไทยมีพรรคการเมืองที่อ้างความเป็นประชาธิปไตย ผลักดันนโยบายสุราเสรีแบบสุดโต่ง แต่ประเทศต้นแบบประชาธิปไตยอย่างอเมริกากำลังกำหนดให้ประชาชนดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้สัปดาห์ละ 2 ดริ๊งก์

อ้างอิงจากข่าว "2 drinks a week? US considering changing alcohol guidelines"
https://fox8.com/video/usda-considering-changing-alcohol-guidelines/8947623/ 

สรุปคร่าว ๆ คือ

Dr. George Koob ผู้ควบคุมการดื่มแอลกอฮอล์ของประธานาธิบดี Joe Biden กล่าวกับเดลี่เมล์เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า สหรัฐอเมริกากำลังพิจารณาการเปลี่ยนแปลงแนวทางการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามที่ประเทศแคนาดาพึ่งออกเมื่อเร็ว ๆ นี้ (*1) ซึ่งแนะนำให้ประชาชนจำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไว้ที่สัปดาห์ละ 2 ดริ๊งก์ (ลดลงจาก 15 ดริ๊งก์ต่อสัปดาห์สำหรับผู้ชาย และ 10 ดริ๊งก์ต่อสัปดาห์สำหรับผู้หญิง) เพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการดื่มแอลกอฮอล์

Dr. George Koob ซึ่งก็เป็นผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติว่าด้วยการใช้แอลกอฮอล์ในทางที่ผิดและโรคพิษสุราเรื้อรัง (National Institute on Alcohol Abuse and Alcoholism: NIAAA) ให้ความเห็นชัดเจนว่าแอลกอฮอล์ไม่ได้ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ และพบว่ากลุ่มคนอายุ 35 ถึง 50 ปี มีการดื่มหนักเพิ่มขึ้นทั่วประเทศจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยมิชิแกน โดยคำแนะนำการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของชาวอเมริกัน (*2) อาจจะมีการปรับเปลี่ยนในปี 2025

สำหรับผมแล้ว การผลักดันนโยบายสุราเสรีแบบสุดโต่งของพรรคนั้น น่าจะไม่ใช่การสร้างความเท่าเทียมแต่อย่างไร แต่เป็นการทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เพราะ สส. และผู้สมัคร สส. ของพรรคนั้น ก็ทำธุรกิจผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นี่แหละ ต้องการเข้ามามีอำนาจเพื่อตัวเองล้วน ๆ

ปล. แต่ที่ยิ่งกว่าเลวคือ ไม่เสียภาษีด้วยนะ ยื่นแบบเสียภาษียังไม่ทำเลย

*1 Canada’s Guidance on Alcohol and Health
https://www.ccsa.ca/canadas-guidance-alcohol-and-health
*2 Dietary Guidelines for Alcohol
https://www.cdc.gov/alc.../fact-sheets/moderate-drinking.htm 

‘หนุ่ม กะลา’ ลบภาพคู่ ‘จูน เพ็ญชุลี’ ออกจากไฮไลต์เฟซบุ๊ก หลังอีกฝ่ายขึ้นศาลร้องบุคคลที่สาม เป็นจำนวนเงิน 10 ลบ.

(30 ส.ค.66) จากกรณีที่ ‘จูน เพ็ญชุลี’ ภรรยาสาวสวยของนักร้องหนุ่มเสียงนุ่ม ‘หนุ่ม กะลา’ ได้ตัดสินใจดำเนินคดีฟ้องร้องบุคคลที่สาม ที่เข้ามาคั่นกลางความสัมพันธ์ระหว่างเธอและสามี เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 10 ล้านบาท แต่อีกฝ่ายกลับไม่มาตามนัดของศาล โดยอ้างว่าเป็นแฟนเพลงเท่านั้น

โดยทาง ‘ทนายชายพัฒน์’ ทนายฝั่งของ จูน เพ็ญชุลี ได้ออกมาอัปเดตความคืบหน้าของคดีนี้ว่า “คดีไม่สามารถเจรจาไกล่เกลี่ยได้ เพราะตัวคู่กรณีไม่มา โจทก์อ้างว่า จำเลยได้แสดงตนเปิดเผยในทำนองชู้สาวกับสามีโจทก์ จึงมีสิทธิ์เรียกค่าทดแทน 10 ล้านบาท จำเลยให้การต่อสู้ว่า เป็นแค่แฟนเพลง ไม่ใช่ทำนองชู้สาว โจทก์จึงไม่มีสิทธิ์เรียกค่าทดแทน เมื่อคดีไม่สามารถตกลงกันได้ จึงต้องมีการเลื่อนไปสืบพยานกันในวันที่ 15 ถึง 17 พฤศจิกายน 2566 ต่อไป”

ล่าสุด ทางเพจ ข่าวบันเทิงช่อง 8 ได้ออกมาไลฟ์สดพูดถึงประเด็นร้อนที่แฟน ๆ ต่างจับตาในขณะนี้ หลังจากที่ฝ่าย ‘จูน เพ็ญชุลี’ ได้เดินทางไปศาลลพบุรีตามนัดหมายของศาล ขณะที่ ‘หนุ่ม กะลา’ ได้ลบภาพคู่ภรรยาออกจากเฟซบุ๊ก โดยทางข่าวบันเทิงช่อง 8 ได้พูดถึงประเด็นดังกล่าวว่า

“ในเฟซบุ๊กจะมีฟังก์ชัน คอลเลคชัน ที่สามารถโชว์รูปภาพไว้บนหน้าไทม์ไลน์ ปกติเฟซบุ๊กของหนุ่ม กะลา จะโชว์ภาพอยู่ 3 เฟรม มีภาพลูกสาว และภาพคู่ หนุ่ม-จูน ล่าสุด รูปคู่ หนุ่ม-จูน ที่เคยตั้งเอาไว้ก็ถูกลบออกหลังจากที่จูน ได้เดินทางกลับมาจากศาลลพบุรี ทำให้หลายคนต่างเริ่มสงสัยเพราะก่อนหน้านั้นก็ยังคงมีรูปคู่ดังกล่าวอยู่

แต่หลังจากนั้นทางด้านของ ‘จูน เพ็ญชุลี’ ก็ได้ออกมารีโพสต์ภาพคำคม ‘ความเงียบไม่ใช่ความพ่ายแพ้เสมอไป บางคนที่เราไม่ได้ตอบโต้ ไม่ยุ่งด้วย ไม่ใช่เรายอมแพ้ แต่อาจจะหมายถึงเราไม่ให้ค่า เรามองเขาไม่มีราคา รู้สึกรังเกียจเกินกว่าจะเสียเวลาชีวิตด้วย เสียงเห่าของเธอ ไม่ได้มีคุณค่าขนาดนั้น จงอย่าสำคัญตัวเองผิด’ ตรงนี้แม่จูนอาจจะให้สักคน ก็ไม่รู้แม่จูนอาจจะชอบ ตรงกับชีวิต คมดี”

‘บัญญัติ’ ยัน!! มติพรรคโหวตนายก ‘งดออกเสียง-ไม่เห็นชอบ’ ชี้!! พฤติกรรม 16 สส.งูเห่าอันตราย ฉุดภาพลักษณ์พรรคตกต่ำ

(30 ส.ค. 66) ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายบัญญัติ บรรทัดฐาน สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชป. ให้สัมภาษณ์กรณี นายเดชอิศม์ ขาวทอง รักษาการรองหัวหน้าพรรค ปชป.และ สส.สงขลา พาดพิงเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องย้ายไปอยู่พรรคไทยรักไทย ว่า จำได้แน่นอนว่าสมัยนั้นตอนที่ตนเป็นหัวหน้าพรรค หลักใหญ่ที่ใช้ในการตัดสินใจสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนใครให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง มีสองหลักการ หลักแรกมักให้ สส.ที่มีอยู่ในจังหวัดพูดจาและลงความเห็นกันเอง และหลักที่สองใช้หลักคณะกรรมการบริหาร โดยเฉพาะให้รองหัวหน้าพรรคเป็นหลัก ยืนยันตนตัดสินใจไม่ผิด เพราะการเลือกตั้งครั้งนั้นพรรค ปชป.ได้ สส.สงขลา ยกจังหวัดเช่นกัน จึงไม่เข้าใจว่าทำไมนายเดชอิศม์จึงยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดในเวลานี้

นายบัญญัติ ยืนยันว่า เมื่อวันที่ 21 ส.ค. พรรคมีมติให้งดออกเสียง นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ แน่นอน ในวันดังกล่าวตนเป็นคนสรุปด้วยตัวเอง พูดกันเพียง 2 แนวทาง คือ จะงดออกเสียง หรือไม่เห็นชอบ คนเริ่มเรื่องนี้คือ พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ สส.สงขลา โดยบอกว่าเมื่อเที่ยวนี้พรรคไม่ได้เป็นรัฐบาล แนวทางมติก็มีเพียงงดออกเสียงกับไม่เห็นชอบเท่านั้น ซึ่งถูกต้อง เพราะในทางปฏิบัติที่แล้วมา ไม่มีพรรคการเมืองใดที่เขาไม่เชิญเข้าร่วมรัฐบาล แล้วอยู่ ๆ ไปยกมือสนับสนุนนายกฯ ของเขา ตนยังแปลกใจว่าเที่ยวนี้ไปไกลแบบนั้นได้อย่างไร

"พรรคที่ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งรัฐบาลมีอยู่สองอย่างคือ งดออกเสียง กับไม่เห็นชอบ งดออกเสียงคือปฏิเสธแบบสุภาพ แม้กระทั่งนายเดชอิศม์เองก็ลุกขึ้นพูดในที่ประชุมวันที่ 21 ส.ค. อยากให้งดออกเสียง หลังจากพูดกันพอดูออกว่าอยากให้งดออกเสียงจำนวนมาก นายชวน หลีกภัย ก็ลุกขึ้นบอกว่าขอลงมติไม่เห็นชอบ เพราะสู้กับระบอบทักษิณมายาวนานเป็นพิเศษ และวันนี้ก็ไม่ทราบว่าระบอบทักษิณเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด ที่สำคัญ อยากให้คนใต้สบายใจว่าจุดยืนยังมั่นคงแข็งแรง จากนั้นผมลุกขึ้นอภิปรายต่อ สุดท้าย ท่านจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ลุกขึ้นพูดว่าคงไม่ต้องลงมติมั้ง ซึ่งหมายความคงไม่ต้องนับคะแนนกัน เพราะฟังแล้วก็พอรู้ว่าจะมีผลอย่างไร ไม่ใช่แปลว่าจะไม่มีมติ ซึ่งจำได้ว่านายเดชอิศม์ยังลุกขึ้นทักท้วงว่าไม่ต้องมีมติหรือ ซึ่งผมก็ได้บอกว่าสิ่งที่นายจุรินทร์พูด หมายความว่าไม่ต้องลงคะแนน เพราะฟังดูแล้วเสียงส่วนใหญ่ให้งดออกเสียง ถ้าเช่นกันก็มีมติให้งดออกเสียง จึงถือว่าวันนั้นมีมติพรรคแน่นอน และที่กล่าวหาว่าผมและท่านชวนฝืนมติพรรค ก็ไม่ใช่" นายบัญญัติ กล่าว

นายบัญญัติ กล่าวอีกว่า ส่วนกระแสที่ว่านายชวน จะขับ สส.ออกจากพรรคนั้น คิดว่าไม่ใช่วิสัยของนายชวน เพียงแต่ว่าอะไรไม่ถูกต้องนายชวนก็ทักท้วง เรื่องจะให้ขับกันเป็นเรื่องที่สมาชิกส่วนหนึ่งเคลื่อนไหวกันเมื่อหลายวันก่อน ซึ่งเป็นปกติของพรรค วันดีคืนดีเมื่อสมาชิกจำนวนหนึ่งเห็นว่า สส.ไปลงคะแนนไม่น่าจะถูกต้องในความรู้สึกของเขา ก็ออกมาส่งเสียงเรียกร้องให้พรรคพิจารณา ซึ่งพรรคจะไม่พิจารณาคงไม่ได้ และทราบว่านายจุรินทร์กำลังเล็งหาคนมาเป็นประธานคณะกรรมการมาทำหน้าที่สอบข้อเท็จจริงเรื่องที่เกิดขึ้น และคณะกรรมการชุดนี้จะทำความชัดเจนได้มากขึ้น ทั้งเรื่องพรรคมีมติหรือไม่มีมติ และใครกันแน่ที่กระทำการฝ่าฝืนมติพรรค ซึ่งถือเป็นเรื่องดี เพราะจะได้จบ ไม่คาราคาซังกันอีก

นายบัญญัติ กล่าวตอนท้ายว่า ภายหลังลงมติโหวตนายกฯ ผ่านพ้นไป มี สส.ใหม่มาปรับทุกข์ว่าไม่สบายใจที่ลงมติเห็นชอบ ตนก็ได้ให้สติไปว่าอาจมีอีกหลายคนที่คิดแบบเดียวกัน และให้คำแนะนำว่าการทำการเมืองมีเพื่อนเป็นเรื่องดี แต่อย่าตามใจเพื่อนจนเสียหลัก นักการเมืองมีศิลปะที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือสามารถขัดใจเพื่อนโดยเพื่อนไม่โกรธ เช่น การตัดสินใจทางการเมืองต้องคิดหลายปัจจัย นอกเหนือจากพรรคแล้ว ต้องมองว่าประชาชนคิดอย่างไร การเป็นนักการเมืองความคิดของตัวเองสำคัญ แต่ความคิดของคนอื่นสำคัญกว่า โดยเฉพาะความคิดของประชาชน กรณีที่ไปลงคะแนนกัน ตนคิดว่าอันตราย เพราะในความรู้สึกของชาวบ้านอาจมองว่าเราอยากเป็นรัฐบาลมากเหลือเกินหรือไม่ และอาจมองว่าเราตกเป็นเหยื่อของเขาแล้ว เพราะตนได้ยิน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่ายังเปิดกว้างสำหรับทุกพรรคการเมือง พรรคใดอยากเข้าเป็นสมการก็ดูวันโหวตนายกฯ ซึ่งตรงนี้ผิดธรรมเนียม ไม่มีใครลงคะแนนให้นายกฯ ง่าย ๆ เว้นแต่จะตกลงกันเรียบร้อยแล้วว่าจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลและตกลงกันแล้วถึงตำแหน่งรัฐมนตรี

9 เรื่องดีๆ เกิดได้!! ภายใต้ 9 ปี 'รัฐบาลพลเอกประยุทธ์'

ตลอดระยะเวลา 9 ปี ที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศไทย เป็นช่วงเวลา 9 ปีที่ได้ทำงานเพื่อปกป้องแผ่นดินไทย ซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอน เป็น 9 ปีที่ได้ใช้สติปัญญา ทุ่มเททุกศักยภาพและกำลังความสามารถ สานพลังจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน รวมทั้งเชิดชูสถาบันอันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทย และเป็น 9 ปีของประเทศไทยที่ได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด มีความเจริญก้าวหน้าในหลายด้านทัดเทียมนานาอารยประเทศ และพร้อมยกระดับไปสู่ประเทศชั้นนำของโลก ในอนาคตอันใกล้นี้ ด้วยเหตุผลสำคัญได้แก่

1. เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยมี ‘ยุทธศาสตร์ชาติ’ ระยะยาว 20 ปี เพื่อเป็นเข็มทิศนำทางและกรอบแนวคิดในการพัฒนาประเทศในทุกมิติ ให้เกิดความต่อเนื่อง เป็นเป้าหมายให้ทุกภาคส่วนได้ทำงานร่วมกัน ขับเคลื่อนประเทศตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกระดับ 

2. มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมครั้งยิ่งใหญ่ ในทุกระบบ ทั้งทางถนน ทางราง ทางทะเล และทางอากาศ รองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในอนาคต ยกบทบาทของประเทศจากความโดดเด่นทางภูมิรัฐศาสตร์ ให้เป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ ด้านการบิน ด้านการขนส่งสินค้า ด้านการท่องเที่ยว ฯลฯ

3. มีความพร้อมเรื่อง ‘เศรษฐกิจดิจิทัล’ และ ‘เศรษฐกิจแพลตฟอร์ม’ โดยมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล และ 5G ที่โดดเด่นในภูมิภาค เป็นที่ดึงดูดการลงทุนบริษัทชั้นนำของโลกหลายราย ซึ่งจะส่งเสริมบทบาทให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้าน 5G - Data center - Cloud services ที่สำคัญในภูมิภาค มีการใช้ประโยชน์ของประชาชนในชีวิตประจำวัน การศึกษาหาความรู้ การประกอบอาชีพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของตนและสร้างรายได้ที่สูงขึ้นของคนทุกกลุ่ม ทุกสาขาอาชีพ  

4. มีการกำหนด 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งล้วนเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต รวมทั้งมีเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเขตส่งเสริมเศรษฐกิจเพื่อกิจการพิเศษ ทั้งด้านการแพทย์ ด้านนวัตกรรม ด้านดิจิทัล เป็นต้น ที่เป็นแหล่งบ่มเพาะแรงงานทักษะสูง-แรงงานแห่งอนาคต รวมถึงเกษตรอัจฉริยะ เพื่อตอบสนองตลาดแรงงานในอนาคต และการพัฒนาประเทศในศตวรรษที่ 21

5. สร้างกลไกในการบริการจัดการทรัพยากรที่สำคัญของชาติ ได้แก่ ‘น้ำ’ ออกกฎหมายน้ำฉบับแรกของประเทศ มีสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) บูรณาการหน่วยงานน้ำในทุกระดับ ‘ดิน’ ตั้งคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) และจัดทำแผนที่ One Map เพื่อแก้ปัญหาที่ดินทับซ้อนมาหลายสิบปี รวมทั้งจัดสรรที่ดินทำกินให้กับผู้ยากไร้-เกษตรกร ‘ป่า’ ออกกฎหมายป่าชุมชน ไม้มีค่า และตลาดคาร์บอนเครดิต เพื่อส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศ

6. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เช่น ส่งเสริมสวัสดิการกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก-ผู้สูงอายุ-ผู้พิการ ส่งเสริมบทบาทกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กองทุนยุติธรรม และกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เพื่อสร้างสังคมที่เท่าเทียม ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และการยกระดับศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ด้วยการศึกษา รองรับความท้าทายใหม่ๆ ของโลกในอนาคต

7. ปฏิรูปกฎหมายไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ ส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน อำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ และดึงดูดการลงทุนเพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ รวมทั้งแก้ไขและบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล สามารถแก้ไขวิกฤตชาติได้ในหลายเรื่อง เช่น ปลดธงแดง ICAO และแก้ปัญหาการประมงผิดกฎหมาย IUU สร้างความเชื่อมั่นประเทศไทยในเวทีโลก 

8. ประยุกต์เทคโนโลยีที่ทันสมัยในระบบราชการไทย เพื่อยกระดับการให้บริการแก่ประชาชนและเอกชน ที่เข้าถึงง่าย - สะดวก - โปร่งใส เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ช่วยให้การจ่ายเงินช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางตรงเป้าหมาย เต็มเม็ดเต็มหน่วย ตรวจสอบได้ และ UCEP สายด่วน 1669 บริการการแพทย์ฉุกเฉิน ฟรีทุกสิทธิ์ ทุกโรงพยาบาล เป็นต้น

9. สร้างความสัมพันธ์ทั่วโลก ทั้งในรูปแบบทวิภาคี-พหุภาคี และเขตการค้าเสรี (FTA) รวมทั้งรื้อฟื้นความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีอาระเบีย เพื่อขยายความร่วมมือ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และตลาดการค้าระหว่างกัน 

ทั้งนี้ การเดินทางของประเทศไทยในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้ราบรื่น หรือง่ายดาย ยังคงมีวิกฤตโควิด วิกฤตความขัดแย้งในโลก ที่ส่งผลกระทบด้านราคาพลังงาน ค่าครองชีพ และเงินเฟ้อจนถึงในปัจจุบัน แต่ด้วยความร่วมมือร่วมใจ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนไทย ช่วยให้เราฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ และฟื้นตัวมาได้ ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ยังคงผันผวน

ต้องขอบคุณพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน เพื่อนข้าราชการ และทุกภาคส่วน ที่ได้เสียสละและอดทนในทุกสถานการณ์ที่ผ่านมา เพื่อให้ส่วนรวม สังคม และประเทศชาติ กลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง ทั้งนี้ประเทศไทยนับจากวันนี้เป็นต้นไป จะไม่ได้เริ่มนับที่ 1 อีกต่อไป หากทุกอย่างที่พลเอกประยุทธ์ ได้สร้างมานั้นได้รับการต่อยอด ก็จะทำให้ประเทศไทยเดินทางเข้าสู่ ‘เส้นชัย’ ได้เร็ววันยิ่งขึ้น

31 สิงหาคม พ.ศ. 2530 เครื่องบิน ‘เดินอากาศไทย’ เที่ยวบินที่ 365 ตกกลางทะเลก่อนถึงภูเก็ต เสียชีวิตยกลำ 83 ราย

วันนี้เมื่อ 36 ปีก่อน สายการบินของ บริษัท เดินอากาศไทย จำกัด เที่ยวบินที่ 365 นำผู้โดยสารจากหาดใหญ่ ทั้ง 74 คนและลูกเรืออีก 9 ปลายทาง จ.ภูเก็ต ตกก่อนถึงจุดหมายเสียชีวิตยกลำ

เหตุการณ์เศร้าในครั้งนั้น เกิดขึ้นเมื่อเครื่องบินของ เดินอากาศไทย เที่ยวบินที่ 365 นำผู้โดยสารบินจากหาดใหญ่ไปยังจังหวัดภูเก็ต เที่ยวบินนี้บริการด้วยเครื่องบินโบอิง 737 ทะเบียน HS-TBC เครื่องบินเกิดหมุนกลางอากาศ และควงสว่านก่อนตกทะเล ทางทิศตะวันออกของเกาะภูเก็ต ห่างจากสนามบินประมาณ 8 กิโลเมตร มีผู้เสียชีวิต 83 คน เป็นผู้โดยสาร 74 คน ลูกเรือ 9 คน ไม่มีผู้รอดชีวิต

ผลการสอบสวนอย่างเป็นทางการสรุปว่า อุบัติเหตุเกิดจากมีเครื่องบินเดินอากาศไทยและดรากอนแอร์ เดินทางมาถึงสนามบินในเวลาเดียวกัน เจ้าหน้าที่หอบังคับการบินจัดให้เครื่องทั้งสองลำมีระยะห่างไม่เพียงพอ หอบังคับการบินสั่งการให้นักบินเดินอากาศไทยนำเครื่องหลบออกนอกเส้นทาง ให้เครื่องดรากอน แอร์ไลน์ ลงก่อนอย่างกระชั้นชิดเกินไป ทำให้เครื่องเดินอากาศไทยเกิดอาการหัวปัก เครื่องสะบัดทางขวาอย่างแรง นักบินพยายามแก้ไขโดยดึงหัวขึ้น แต่เครื่องได้ตกลงถึงพื้นน้ำเสียก่อน

ภายหลังเหตุการณ์ รัฐบาลสั่งการให้ท่าอากาศยานขนาดใหญ่ทั่วประเทศไทย ดำเนินการติดตั้งระบบเรดาร์อย่างเร่งด่วน

‘บี มาติกา’ แม่สื่อแม่ชัก ‘พีท-แก้มบุ๋ม’ ลั่น!! ฝ่ายชายใจป๋ามาก คุยได้ 2 อาทิตย์ เปย์นาฬิกาปาเต๊ะให้เป็นของขวัญวาเลนไทน์

(30 ส.ค.66) เรียกว่านานทีนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะเธอนั้นกลับมามีกระแสอย่างมาในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะการไลฟ์ใน TikTok สำหรับสาว ‘แก้มบุ๋ม ปรียาดา’ ที่ตอนนี้อาจจะต้องเรียกว่าเป็นว่าที่เจ้าสาวป้ายแดงแล้ว เพราะเธอนั้นถูกแฟนหนุ่มนักธุรกิจ ‘พีท กันตพร หาญพาณิชย์’ เป็นทายาทรุ่นที่ 2 เจ้าของโรงพยาบาลดังรวม 15 โรงพยาบาลกันเลยทีเดียว และล่าสุดด้านสาว ‘แก้มบุ๋ม’ พร้อมด้วย ‘บี มาติกา’ ได้ออกย้อนเล่าเรื่องความรักผ่านรายการ แฉ เทปวันที่ 29 ส.ค.66 ที่ด้านสาว ‘บี มาติกา’ ถึงกับต้องลั่นของที่หนุ่มพีท ซื้อให้สาว ‘แก้มบุ๋ม’ ที่คุยกันได้ 2 อาทิตย์

ล่าสุดในรายการ แฉ เทปวันที่ 29 ส.ค.66 ด้านอดีตนักแสดงอย่าง ‘บี มาติกา’ และสาว ‘แก้มบุ๋ม ปรียาดา’ ได้ออกมาพูดคุยร่วมกันพร้อมย้อนเล่าที่มาความรักของสาว ‘แก้มบุ๋ม’ กับไฮโซหนุ่ม ‘พีท กันตพร หาญพาณิชย์’ โดยช่วงหนึ่งทางด้านสาว ‘บี มาติกา’ ได้เผยว่า ด้านสาว แก้มบุ๋ม ก็มาบอกเราว่าโสดช่วยหาแฟนให้หน่อยแบบจริงจัง เราก็มีเพื่อนสนิท คุณพีท เรียนปริญญาโท โสดอยู่ ซึ่งเราก็ส่งโปรไฟล์ให้พีท เราก็ไม่ได้ส่งแค่แก้มบุ๋ม ส่งไปหลายคนมาก โดยสาวแก้มบุ๋มก็เป็นผู้ที่หนุ่มพีท เลือกนั่นเอง พีท ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่สังสรรค์ ทำแต่งานอย่างเดียว ไม่ปาร์ตี้อะไร ชีวิตอยู่ในกรอบมาก ส่งน้องแก้มบุ๋มไป อาจจะทำให้ชีวิตมีสีสันมากขึ้น”

พร้อมเสริมต่อว่า “เสร็จแล้วเขาไปดีลกันคุยกัน เจอกันเองนัดกินข้าวกัน 2 อาทิตย์ เขาก็ขอเป็นแฟน และเราก็อยากรู้ว่าหนุ่มพีทให้อะไรแก้มบุ๋มบ้าง” ด้านสาว บี เสริมต่อ “หนุ่มพีทก็บอกว่าให้ดอกไม้ และก็นาฬิกาปาเต๊ะเป็นของขวัญวันวาเลนไทน์”

‘หมอชลน่าน’ ลาออก ‘หัวหน้าพรรคเพื่อไทย’ เซ่นปมจับมือพรรคลุงจัดตั้งรัฐบาล

(30 ส.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) มีการประชุมกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) เพื่อหารือเกี่ยวกับกรณีที่นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน และหัวหน้าพรรค พท. จะลาออกจากกก.บห. จากนั้นเวลา 16.20 น. นพ.ชลน่าน พร้อมด้วยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรค ร่วมแถลงข่าวภายหลังการประชุม

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า จากการประชุมกก.บห.ครั้งนี้ ถือว่าเป็นจุดสุดท้าย ที่ตนเคยระบุไว้ว่า ถ้าตนทำหน้าที่หัวหน้า ในฐานะประธานกก.บห. พิจารณารับผิดชอบในการตั้งรัฐบาลของพรรค พท. เสร็จเรียบร้อย ตนจะมาประกาศกับสื่อมวลชนผ่านไปยังประชาชนว่า เรื่องที่ตนจะลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค ตามที่ประกาศไว้เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2566 ในเวลาดีเบตหาเสียงเลือกตั้ง สส. วันนี้ภารกิจก็เสร็จเรียบร้อย

“ผมนพ.ชลน่าน ขอทำตามที่เคยประกาศไว้ เป็นสัจจะที่ผมเคยลั่นวาจาไว้ว่า ถ้าพรรคเพื่อไทย ถ้ากก.บห. มีมติจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มีมติจับมือดีลกับลุงป้อม ผมในฐานะหัวหน้าพรรคพร้อมที่จะลาออก และขออนุญาตประกาศ ณ ตรงนี้ว่า ขอลาออกจากหัวหน้าพรรค เพื่อไทยตามที่ผมได้ประกาศเอาไว้ ณ บัดนี้” นพ.ชลน่าน กล่าว

นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า เหตุผลความจำเป็นที่ตนเลือกมาประกาศในวันนี้ เพราะเหตุผลความจำเป็นในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้อยู่ในสถานการณ์พิเศษ ที่พรรค พท. มีความจำเป็นจาก กก.บห. และสมาชิกพรรคที่ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าต้องจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนนำรายชื่อทูลเกล้าฯ ก็ถือว่าภารกิจสำเร็จเรียบร้อย

ขณะที่นายประเสริฐ กล่าวว่า ในที่ประชุมกก.บห.นั้น นพ.ชลน่าน ได้กล่าวขอบคุณกก.บห.ทุกท่าน และชี้แจงประชาชนตามข้อบังคับเมื่อหัวหน้าพรรคลาออก กก.บห.ที่เหลือทั้งหมด ต้องหมดสภาพกก.บห. แต่ กก.บห. อื่น ๆ นอกจากหัวหน้าพรรคยังรักษาการอยู่ ซึ่ง ที่ประชุม กก.บห. วันนี้มีมติเลือกนายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรค ขึ้นมาเป็นรักษาการหัวหน้าพรรคแทน ส่วนการสรรหา กก.บห.ชุดใหม่นั้น จะต้องทำในระยะเวลา 60 วัน

เมื่อถามว่า หากมีสมาชิกเสนอชื่อให้กลับมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคจะรับหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ตนต้องนำเรื่องนี้ไปพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อน ยืนยันว่าการทำหน้าที่หัวหน้าที่ผ่านมา ตนทำงานด้วยความสุข ความภาคภูมิใจ ภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากพรรคในวันที่เข้ามารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2564 โดยทำให้พรรคเป็นสถาบันการเมืองเพื่อประชาชน ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากสมาชิกและบุคลากรภายในพรรคเป็นอย่างดี

นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า ช่วงวิกฤตรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งพวกเราทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง แต่สิ่งที่เราได้รับคือบทเรียนอันยิ่งใหญ่มาก หลังเลือกตั้งยิ่งทำให้ผมรู้สึกเองว่าผูกพัน มีความรัก มีความยึดมั่นในอุดมการณ์ของพรรค และเห็นผู้คนของพรรคทุ่มเทเสียสละเพื่อประชาชนและประเทศชาติ ฉะนั้น คำกล่าวอ้างวาทกรรม ข้อโจมตีหรือข้อที่เห็นแย้งต่าง ๆ เราล้วนเห็นว่าเป็นมิติหนึ่งทางการเมือง แต่ความมุ่งมั่นตั้งใจของพวกเราคือทำเพื่อประชาชน

“ถามว่ารู้ผมรู้สึกอะไร ผมไม่มีความรู้สึกที่จะเสียใจ โกรธเคือง หรืออะไรต่าง ๆ ผมไม่มีครับ เพราะผมถือว่าเป็นหน้าที่ ผมพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เมื่อทุกอย่างมีข้อจำกัด ทุกอย่างมีสิ่งต้องรับและผูกมัดไว้มันก็ต้องปฏิบัติตามแบบนั้น ผมไม่ได้หนีไปไหนยังอยู่กับพรรคเพื่อไทย และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด” นพ.ชลน่าน กล่าว

เมื่อถามว่า การลาออกจากหัวหน้าพรรค แต่ยังคงเป็น สส. และว่าที่รัฐมนตรี ใช่หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า “มันไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่ผมประกาศเอาไว้ ผมพูดไว้เพียงแต่จะลาออกจากหัวหน้าพรรค”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการแถลงข่าวเสร็จสิ้น ทั้ง 3 ท่านได้ต่างไหว้ พร้อมทั้งลุกขึ้นมาจับมือให้กำลังใจซึ่งกันและกัน

เมื่อผู้สื่อข่าวถามเพิ่มเติมว่า อยากฝากถึงประชาชนที่หมดศรัทธากับตัวเองหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เรื่องศรัทธาและความเชื่อไปสิทธิส่วนบุคคล เป็นเสรีภาพบนพื้นฐานที่เขาได้รับ ซึ่งหวังว่าประชาชนที่มีความรู้สึกแม้จะแตกต่างกัน หรือจะมีความเชื่อหรือศรัทธาหรือไม่อย่างไรหากได้พิจารณาข้อมูล ข้อเท็จจริง เชื่อว่าพี่น้องประชาชนจะไม่ต้องมาบอกว่าศรัทธาหรือไม่ศรัทธา แต่เราพร้อมที่จะหันหน้าเข้าหากัน และมองจุดสำคัญของแต่ละคนที่เป็นประโยชน์ของบ้านเมือง ตรงนั้นน่าจะเป็นมุมที่ดีที่สุด

“เราไม่สามารถตอบสนองความพึงพอใจของทุกคนได้ มีเพียงระดับหนึ่งที่เราสามารถตอบสนองได้ และเป็นเรื่องธรรมดา หน้าที่ของเราคือการทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนของประชาชน สมาชิกพรรคการเมือง อยู่ในมิติทางการเมือง ก็แสดงพฤติกรรมที่สอดคล้องให้เหมาะสมที่สุด ภายใต้สิทธิเสรีภาพของกฎหมาย” นพ.ชลน่าน กล่าว

เมื่อถามว่า จะเป็นเหมือนพรรคการเมืองอื่นหรือไม่ที่ลาออกจากหัวหน้าพรรค แล้วมีการเสนอชื่อเข้ามาใหม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ขอให้ไปดูกระบวนการ เพราะระหว่างพรรคการเมืองที่เป็นสถาบันทางการเมืองกับบุคคลต้องแยกกัน ตนแสดงความรับผิดชอบในฐานะบุคคล ไม่ได้เอาพรรคมาเกี่ยวข้อง เกี่ยวเพียงเล็กน้อยที่เป็นเหตุเป็นผลเท่านั้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top