Monday, 9 June 2025
TheStatesTimes

‘แพท’ เล่านาทีคุณแม่หัวใจหยุดเต้น ตัดสินใจพาไปอยู่ศูนย์ใกล้บ้าน ในอนาคตหวังให้ลูกชายทำแบบนี้กับตน อย่าไปคิดว่าจะดูอกตัญญู

(30 ส.ค.66) เรียกได้ว่าเป็นคู่แม่ลูกที่น่ารักมาก ๆ ระหว่าง ‘แพท ณปภา ตันตระกูล’ และ ‘น้องเรซซิ่ง’ ที่แฟน ๆ มักจะเห็นโมเมนต์น่ารัก ๆ ของทั้งคู่อยู่บ่อยครั้งทางโลกโซเชียล ทำเอาแฟน ๆ นั้นยิ้มตามด้วยความเอ็นดูกันเลยทีเดียว และจากที่ทราบกันดีว่าแม่แพทมีความรักครั้งใหม่แล้ว มีหวานใจเป็นหนุ่มนอกวงการที่อายุห่างกันถึง 14 ปี แต่ลงตัวสุด ๆ

ล่าสุด แม่แพท และ น้องเรซซิ่ง ได้ออกมาเปิดใจผ่านรายการ แม่ซ่า ป๊าตะลอน นอกจากจะเม้าท์ความรักของลูกชายวัย 6 ขวบกับการมีแฟนครั้งแรก แถมยังเป็นความรักสุดฮาเลิกกันตอนปิดเทอม พอเปิดเทอมแล้วค่อยกลับมารักกันใหม่ งานนี้คุณแม่ยังออกมาเผยความรักของตัวเองอีกด้วย

>> น้าพีเป็นอะไรกับแม่เรา?

เรซซิ่ง : น้าพี พี่เลี้ยงหนู แม่บอกเป็นแฟนกันไหม แล้วน้าพีก็บอก เป็นแฟนกัน
แพท : ตลกบ้า เรารักน้าพีไหม แม่เลิกคุยกับน้าพีได้ไหม
เรซซิ่ง : ไม่ได้ เพราะว่าเขาซื้อของเล่นให้ แล้วเขาก็เล่นกับหนู

>> พี่เลี้ยงหายไป น้าพีเลยมาเป็นพี่เลี้ยงแทน?

เรซซิ่ง : เป็นพ่อ
แพท : อุ๊ย อันนี้แรงมากนะ

>> เรารู้ได้ยังไงว่าน้าพีคือพ่อของเราแล้ว?

เรซซิ่ง : เพราะแม่ไปจีบเขาก่อน
แพท : ฉันเสียทรงหมด ตลก
เรซซิ่ง : พี่เลี้ยงเขาหาให้ แล้วแม่ก็เอา ก็บอกเป็นแฟนกัน แล้วตอนนี้แม่มีแฟนอีกคน

>> แม่มีแฟนกี่คนตอนนี้?

เรซซิ่ง : ตอนนี้มีคนเดียว

>> แล้วคุณแม่ที่ป่วยติดเตียงมานานแล้วเป็นยังไงบ้าง?

แพท : มีวันหนึ่งแพทถ่ายละครอยู่ ที่บ้านโทรมาบอกว่าแม่แย่แล้ว หน้าเขียวแล้ว แพทเลยบอกว่าให้รีบพาไปส่งโรงพยาบาลเลย ระหว่างทางเขาโทรมาบอกว่าจะถึงโรงพยาบาลแล้ว แต่แม่หยุดหายใจแล้ว ที่เรซเล่า น้าพีขับรถและพยายามปั๊มหัวใจประมาณ 5 นาที ก่อนถึงมือหมอ พอถึงหมอก็ปั๊มหัวใจขึ้นมาได้

ใช้เวลาอยู่ในไอซียู ประมาณ 5 วัน ก็ย้ายมาห้องปกติ เราเลยตัดสินใจให้อยู่ศูนย์ใกล้บ้าน มีคนดูแลหน้าห้อง รายงานเราทุก 2-3 ชั่วโมง แม่ไม่มีอาการอะไรเลย ไม่ต้องมีสายระโยงระยาง มีเพียงสายอาหารมีคนกายภาพให้ทุกวัน

เรซเขาเห็น แพทป้อนข้าวแม่ เปลี่ยนแพมเพิร์สมาตลอด สิ่งที่แพทอยากบอกเขาคือ ถ้าวันหนึ่งที่แม่เป็นแบบนี้ ให้เรซตัดสินใจเลย ให้แม่ไปอยู่เหมือนแบบคุณย่า ไม่ต้องคิดว่าอกตัญญูหรือเปล่า พาแม่ไปทิ้งที่ศูนย์ แพทบอกไม่ใช่เลย พาแม่มาอยู่ที่นี่ แม่จะมีความสุขมากกว่าอยู่ที่บ้าน

'เศรษฐา 1' พอใช้ได้ 'ไม่โกง-ไม่รื้อรธน.' อยู่ยาว 3 ปี ติด!! บางกระทรวงแม้ลงตัว แต่ยังแอบขัดใจในดีกรี

มาถึงนาทีนี้ก็ใกล้จะประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรีเศรษฐา 1 กันแล้ว...รออีกแป๊บบบ...โปรดเกล้าฯ เมื่อไหร่จะได้วิพากษ์วิจารณ์กันเต็มที่ 

ในชั้นนี้ประสา 'เล็ก เลียบด่วน' ขอแสดงความเห็นส่วนตัวถึงโครงสร้างและรูปลักษณ์ของรัฐบาลเศรษฐาสั้น ๆ 3 ประการ

ประการแรก - เป็นรัฐบาลที่เป็นผลิตผลของรัฐบาลผสมระหว่างฝ่ายที่อ้างว่าเป็นฝ่ายเสรีนิยมกับฝ่ายอนุรักษ์นิยมซึ่งนำโดยพรรคสองลุง...ผลลัพธ์ที่ออกมาก็อย่างที่เห็น ๆ มันก็คือ เผ่าพันธุ์นักการเมืองทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น โดยมีนายทุนพรรคเข้ามาหยิบชิ้นปลามันอย่างสมน้ำสมเนื้อที่ได้ลงทุน เช่นกรณีกระทรวงคมนาคม, กระทรวงพลังงาน หรือแม้แต่กระทรวงอุตสาหกรรม, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นต้น

ประการที่สอง - แม้หลายตำแหน่งจะลงตัว เหมาะสม แต่เหตุเพราะการแบ่งกระทรวงอาจจะไม่ถูกที่ถูกพรรค ทำให้การวางตัวคนบางตำแหน่งอาจจะดูขัด ๆ เขิน ๆ ไม่ ‘พุท เดอะไร้ท์ แมน ออน เดอะ ไร้ท์ จ๊อบ’ ...เช่น ภูมิธรรม เวชยชัย ควรนั่งมหาดไทยหรือรองนายกฯ ควบกระทรวงเชิงสังคม แต่กลับต้องไปนั่งว่าการพาณิชย์ หรือแม้แต่กรณี พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ ต้องไปนั่งว่าการศึกษาธิการ และกรณีสุทิน คลังแสง ที่หากไม่พลิกก็จะไปคุมกองทัพในตำแหน่งว่าการกลาโหม เป็นต้น

ประการที่สาม - แม้ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ แต่ก็พอจะคาดหมายได้ว่า...เคาะสุดท้าย...คำสั่งสุดท้าย...โผสุดท้ายที่ออกมาจากห้องสูท ชั้น 14 ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง...ซึ่งนายกฯ ที่ชื่อเศรษฐา ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้...ดังกรณีตำแหน่งรมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับการปูนบำเหน็จให้คนชื่อพิชิต ชื่นบาน 'ทนายถุงขนม'

กรณีพิชิต ชื่นบาน นี่ต้องขอเสริมสักนิดว่า เมื่อตรวจสอบในเชิงตัวบทกฎหมายแล้ว ไม่สามารถไปห้ามเขาได้ครับ ที่พิชิตต้องไปนอนคุก 6 เดือนเมื่อปี 2551 กรณีพยายามติดสินบนบนศาลนั้นก็เป็นคำสั่งศาล ยังไม่ใช่ คำพิพากษา' ของศาลจากคดีอาญาแต่ประการใด...แต่ที่ 'เล็ก เลียบด่วน' ติดใจและสังคมก็น่าจะคาใจกันทั้งประเทศก็คือ ประเด็นจริยธรรม ที่เขาเป็นสินค้ามีตำหนิชัดเจน...

มาตรา 160 ของรัฐธรรมนูญ สองวงเล็บ บัญญัติชัดเจนว่า...รัฐมนตรีต้อง (4) มีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ (5) ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

ส่วนกรณีของ 'บิ๊กทิน' สุทิน คลังแสง นั้นเป็นคนมีความรู้รอบตัว ถ้าให้เหมาะสมกับสเปกของเจ้าตัวน่าจะเป็นกระทรวงศึกษาธิการ หรือวัฒนธรรม หรือเกษตรและสหกรณ์ แต่ด้วยเหตุที่เก้าอี้รัฐมนตรีจำกัดและไม่สามารถนายทหารในสเปกเพื่อไทยได้ รวมทั้งลึกๆ อยากสร้างมิติใหม่ทางการเมืองให้พลเรือนที่ไม่ใช่นายกฯ คุมกลาโหม จึงส่งพ่อใหญ่หมอลำอย่างสุทินไปว่าการ...ซะเลย

ก่อนหน้านี้มีการพูดถึงนายทหาร เตรียมทหารรุ่น 10 รุ่นเดียวกับทักษิณ ชินวัตร ปรากฏชื่อ พล.อ.พิศาล  วัฒนวงษ์คีรี อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 สส.ปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่ 27 ของพรรคเพื่อไทย แต่ พล.อ.พิศาล มีบาดแผลใหญ่กรณีสลายม็อบตากใบ 85 ศพ เมื่อปี 2547 เลยไม่ผ่าน...ต่อมาจึงมีชื่อ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ หรือ 'บิ๊กเล็ก' อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ นายทหารสายบุ๋น สายตรงลุงตู่...แต่สุดท้ายก็เงียบไป...

ฉะนั้นถึงนาทีนี้ ชื่อ 'บิ๊กทิน' จึงยังเต็งจ๋า...แต่นาทีสุดท้ายเมื่อต้องเผชิญแรงต้านจากกองทัพในระดับพอสมควร ก็ต้องรอดูว่าจะเป็นอย่างไร...

ส่งท้ายวันนี้ 'เล็ก เลียบด่วน' สวมวิญญาณโหร นั่งเทียนพยากรณ์ว่ารัฐบาลเศรษฐาจะไปได้ยาวกว่าที่หลายคนกำลังแช่ง เพราะทุกพรรคจะถ้อยทีถ้อยอาศัยประสานผลประโยชน์กัน

วันนี้จึงขอบอกเพียงว่า...ครึ่งเทอมหรือสองปีจะผ่านไปได้ชิวๆ และถ้าไม่โกงและไม่ติดหล่มแก้รัฐธรรมนูญตามเกมพรรคก้าวไกลมากเกินไป..เอาไปเลยสามปี..!!

'อดีตบิ๊กข่าวกรอง' ยก 'ลุงตู่' ที่รู้จัก ต่างจากนักการเมืองทั่วไป 'แข็งนอก-อ่อนใน-ไม่สร้างวาทกรรม' ผู้ร่วมงานด้วยล้วนหลงเสน่ห์

ไม่นานมานี้ นายนันทิวัฒน์ สามารถ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Nantiwat Samart ดังนี้…

ลุงตู่ที่รู้จัก

วันนี้จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีซึ่งอาจจะเป็นนัดสุดท้ายของรัฐบาลลุงตู่ จะเล่าเรื่องลุงตู่ที่ผมรู้จัก

แม้จะไม่ใกล้ชิดสนิทสนมกับลุงตู่มากนัก แต่มีแง่มุมที่พอเล่าสู่กันฟังได้ แต่จะไม่เขียนถึงผลงานของลุงตู่ เพราะมีหลายท่านเขียนผลงานลุงตู่กันมากพอสมควรแล้ว เดี๋ยวจะกลายเป็นการสร้างกระแสลุงตู่

แน่นอน ในสมัยแรกลุงตู่เป็นนายกมาจากการยึดอำนาจ แต่ลุงตู่ยึดอำนาจเพื่อยุติการเผชิญหน้าทางการเมืองระหว่างคนเสื้อแดงและเสื้อเหลือง ที่มีการชุมนุมทางการเมืองด้วยมวลชนจำนวนมากและมีทีท่าที่จะเกิดสงครามกลางเมือง ลุงตู่จัดให้ฝ่ายการเมืองพูดคุยกันเพื่อหาทางออกแต่ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ จึงนำมาสู่การยึดอำนาจ เพื่อรักษาชีวิตและเป็นการยึดอำนาจที่ไม่มีการเสียชีวิตและเลือดเนื้อของคนในชาติ

ลุงตู่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเผด็จการ แต่เนื้อแท้จริง ๆ แล้ว ลุงตู่เป็นคนแข็งนอกอ่อนใน คือภาพของลุงตู่เป็นคนพูดไม่เพราะ พูดแข็ง ๆ ห้วน ๆ ภาษาแบบคนบ้าน ๆ แต่จริงใจ ไม่สร้างวาทกรรม ไม่มีการประดิดประดอยสรรหาถ้อยคำหวานหู ผิดจากนักการเมือง

หากลุงตู่เป็นเผด็จการอย่างที่ถูกกล่าวหา ม๊อบที่ออกมาต่อต้านรัฐบาล และชุมนุมตลอดสมัยการเป็นนายกของลุงตู่ ต้องถูกปราบปรามด้วยการเอาจริงเอาจังมากกว่านี้ เหมือนสมัยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่จัดการอย่างรุนแรงต่อผู้ชุมนุมมีคนเจ็บคนตาย 

แต่ลุงตู่กลับให้ตำรวจดำเนินการด้วยกฎหมาย ทำงานด้วยความอดทน จนถูกกองเชียร์ลุงตู่บอกว่า หน่อมแน๊ม ไม่มีน้ำยา 

ลุงตู่เป็นทหารมาตลอดช่วงชีวิต แต่เมื่อมาเป็นนักการเมือง ลุงตู่ใจเย็นมากในการทำงานร่วมกับนักการเมืองและฝ่ายต่าง ๆ แต่เมื่อจะจบการประชุมที่เคร่งเครียด คำพูดของลุงตู่ที่ง่าย ๆ แต่ติดหู คือ ขอบคุณ รู้นะว่าทุกคนทำงานหนักและเหนื่อย ความเรียบง่ายและจริงใจของลุงตู่ทำให้คนที่ทำงานด้วยรักลุงตู่

แม้แต่นักการเมืองจำนวนมากก็หลงเสน่ห์ลุงตู่และย้ายพรรคมาร่วมงาน ร่วมหัวจมท้ายกับพรรคลุงตู่ ไม่ไปไหนทั้ง ๆ ที่รู้ว่า พรรคตั้งใหม่เกิดยากถ้าหัวไม่ลง

ขอบคุณลุงตู่ที่เหน็ดเหนื่อย ช่วงนี้ให้ลุงตู่พักเหนื่อยก่อน

เจอกันใหม่เมื่อชาติต้องการ

‘แอน นภาพร’ หมอลำสาวดาวรุ่ง แห่งประถมบันเทิงศิลป์ ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำเสียชีวิต ด้านพี่สาวร่ำไห้ใจสลาย

(30 ส.ค. 66) ศูนย์วิทยุ สภ.เฉลิมพระเกียรติ อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ ได้รับแจ้งมีรถกระบะพลิกคว่ำบนถนนสาย 24 บริเวณ กิโลเมตรที่ 134/400 มุ่งหน้าสู่ อำเภอนางรอง ห่างจากแยกตะโก 1.3 กิโลเมตร มีผู้บาดเจ็บติดอยู่ภายในรถ

โดยที่เกิดเหตุเป็นถนน 4 เลน พบรถกระบะฟอร์ดแบบ 4 ประตู สีดำ หมายเลขทะเบียน 7247 นครราชสีมา พลิกคว่ำหงายท้อง ลักษณะข้ามเลนไปอยู่อีกฝั่งของถนน ปิดการจราจรไปอีกหนึ่งช่องทาง ตรวจพบมีผู้บาดเจ็บอยู่ในรถ 3 ราย เป็นชาย 1 ราย หญิง 2 ราย ในจำนวนนี้มีหญิงได้รับบาดเจ็บสาหัส 1 ราย กู้ภัยต้องเร่งนำตัวส่งโรงพยาบาล เพราะชีพจรต่ำหัวใจหยุดเต้น และมีบาดแผลฉกรรจ์ที่บริเวณศีรษะ

สอบถาม นายรณชัย งามมี อายุ 28 ปี ชาวจังหวัดสุรินทร์ เป็นครูสอนอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์ และเป็นคนขับรถเล่าว่า ขับรถมาส่ง น.ส.สุดารัตน์ อายุ 22 ปี มาร้องเพลงที่ผับแห่งหนึ่งที่จังหวัดบุรีรัมย์ หลังจากร้องเพลงเสร็จ ได้ตีรถกลับถึงที่จังหวัดสุรินทร์ เวลาประมาณ 03.00 น.

เพื่อเตรียมตัวจะออกไปร้องเพลงต่อที่จังหวัดนครราชสีมา โดยมี น.ส. นภาพร หรือ แอน อายุ 18 ปี น้องสาวแฟนที่เป็นนักร้องหมอลำดาวรุ่ง ของคณะประถมบันเทิงศิลป์ ขอเดินทางมาด้วย

แล้วเดินทางต่อหวังจะไปจังหวัดนครราชสีมา เมื่อขับมาถึงที่เกิดเหตุเวลาประมาณ 04.00 น. เกิดอาการวูบ ไม่รู้สึกตัวก่อนรถจะหมุนพลิกคว่ำดังกล่าว คาดว่าอาจจะไม่ได้พักผ่อน เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะหลังทราบว่าน้องสาวแฟนได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา แฟนสาวได้แต่ร้องไห้เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและไม่น่าจะพาน้องสาวเดินทางมาด้วย

สำหรับ น.ส. นภาพร หรือ แอน เป็นนักร้องอิสระที่โด่งดังมาก ในเขตจังหวัดบุรีรัมย์, สุรินทร์ และนครราชสีมา ล่าสุดวงดนตรีหมอลำ หมอลำประถมบันเทิงศิลป์ เพิ่งเปิดตัวสองพี่น้อง เอม-แอน พรประถม เป็นนักร้องประจำวง ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการปรับ และซ้อมให้เข้ากับวง

'ครูสาว' ผันตัวเป็น 'ดาว OnlyFans' เผยอาชีพเดิมมีแต่อึดอัด ลั่น!! เป็นดาวโป๊แล้วมีอิสระ รู้สึกเป็นตัวของตัวเองกว่าเยอะ

(30 ส.ค.66) เมื่อเร็ว ๆ นี้ ‘ชาแนล ยุย (Chanel Yui)’ ผู้สร้างเนื้อหาบน OnlyFans ได้ออกมาเปิดใจถึงการตัดสินใจลาออกจากอาชีพคุณครูมาเข้าสู่การคอสเพลย์และวงการ 18+

โดยชาแนลเปิดเผยว่า การเป็นคุณครูโรงเรียนมัธยมค่อนข้างกดดันและอึดอัด ทำอะไรตามใจไม่ได้นัก เพราะผลที่ตามมาคือการโดนตำหนิและโดนร้องเรียน จนทำให้เธอฉุกคิดว่า “ทำไมถึงจะเป็นตัวของตัวเองไม่ได้?”

ด้านเหตุผลที่เลือกเข้าร่วมเส้นทางอาชีพที่ ‘เป็นที่ถกเถียง’ และ ‘ไม่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง’ นั้น ชาแนลเผยว่าเป็นเพราะ ‘ซากุระ’ เพื่อนสนิทคนหนึ่งค่อนข้างประสบความสำเร็จในฐานะอินฟลูเอนเซอร์ และแนะนำให้เธอรู้จักอินฟลูเอนเซอร์มากมาย ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นมักสร้างเนื้อหาบน OnlyFans ประจำ

แน่นอนว่าซากุระก็เข้าร่วม OnlyFans ด้วยเช่นกัน ชาแนลจึงเริ่มเข้าสู่วงการด้วยการช่วยงานเบื้องหลัง ตั้งแต่การถ่ายภาพไปจนถึงการช่วยจองเที่ยวบินสำหรับกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งหลังจากสัมผัสประสบการณ์เบื้องหลังมานาน ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจลองทำ OnlyFans ด้วยตัวเอง

อย่างไรก็ตาม หลังจากวิดีโอเปิดใจถูกเผยแพร่ ค่อนข้างมีกระแสตอบรับเชิงลบต่อการเปลี่ยนอาชีพของเธอ “น่าอับอาย กระทรวงศึกษาธิการเป็นต้องปรับปรุงการคัดเลือกครูในอนาคตจริงๆ”, “รัฐจ่ายเงินเดือนครูให้น้อยจนทำให้เธอต้องออกมาโชว์เนื้อหนังหรอ?”

'จีน' ออกแคมเปญดุ!! 'ปราบละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์' ปกป้อง 'ลิขสิทธิ์-คอนเทนต์' หลุดแพลตฟอร์มเถื่อน

(30 ส.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จีนริเริ่มโครงการรณรงค์ใหม่ เพื่อออกปฏิบัติการพิเศษปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ทางออนไลน์ทั่วประเทศ ระหว่างเดือนสิงหาคม-พฤศจิกายน นี้

โครงการดังกล่าวเปิดตัวโดยสำนักบริหารลิขสิทธิ์แห่งชาติจีน ในความร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ และหน่วยกำกับดูแลไซเบอร์สเปซของจีน

ทั้งนี้ หน่วยงานกำกับดูแลต่างๆ จะเพิ่มการคุ้มครองลิขสิทธิ์สำหรับการออกอากาศงานแข่งขันกีฬา ซึ่งมุ่งเป้าไปที่การเผยแพร่รายการแข่งขันกีฬาแบบไม่ได้รับอนุญาตและผิดกฎหมาย อาทิ การแข่งขันกีฬาหางโจว เอเชียนเกมส์ และเอเชียน พารา เกมส์ ที่กำลังจะมาถึง

โดยหน่วยงานเหล่านี้ จะยกระดับการกำกับดูแลลิขสิทธิ์สำหรับโรงภาพยนตร์ตามความต้องการและห้องชมภาพยนตร์ส่วนตัวภายในบ้าน อีกทั้งเสริมสร้างการคุ้มครองลิขสิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ของพิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ และห้องสมุด

ตลอดการรณรงค์ข้างต้น เว็บไซต์และแอปพลิเคชันสตรีมมิงวิดีโอ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เว็บเบราว์เซอร์ และโปรแกรมค้นหาข้อมูล จะต้องได้รับการตรวจสอบลิขสิทธิ์เช่นกัน

อนึ่ง สำนักบริหารฯ ให้คำมั่นว่าจะกำหนดบทลงโทษที่เข้มงวดสำหรับกรณีการละเมิดลิขสิทธิ์ทางออนไลน์

‘วิว กุลวุฒิ’ ตัวอย่างนักกีฬาที่ดี รักษาวินัย-ไม่มุ่งอบายมุข

‘วิว’ กุลวุฒิ วิทิตศานต์ แชมป์โลกแบดมินตัน 2023 บรรลุความฝันคือการได้เป็น ‘แชมป์โลก’ และเป้าหมายใหญ่สุดคือคว้าเหรียญทองโอลิมปิก

แน่นอนว่า…กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ต้องผ่านการฝึกฝนที่หนักและอุปสรรคมากมาย ทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ การมีวินัย และจิตใจที่แน่วแน่ อีกทั้งยังต้องสูญเสียช่วงเวลาการใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นทั่วไปด้วย

‘ปาริน นาคเสน’ ชี้ ธุรกิจสตาร์ตอัปไทยรอวันเจ๊ง เหตุหาเงินทุนหนุนยาก หลัง Investor เริ่มไม่เชื่อมั่น

ปาริน นาคเสน CEO & Founder OneDee.ai โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า "สิ้นสุดยุค Startup เมื่อ Startup หมดมนต์ขลัง"... ถามว่าทุกวันนี้ หลายคนยังเชื่อในคำว่า Startup อยู่ไหมนะ? ด้วยกระแสที่ผู้ก่อตั้ง Startup ระดับโลกเป็นข่าวเรื่องหลอกลวงอย่าง Theranos และอีกหลายๆ เจ้าในระดับโลก แต่ในไทย กลับไม่เป็นข่าว กลายเป็นแค่เรื่องซุบซิบนินทา กันเฉพาะคนวงใน กันบางกลุ่มแค่นั้น .. 

ถามว่า Startup เป็นเรื่องหลอกลวงหรือไม่ .. โดยหลักการแล้วมันไม่ใช่เรื่องหลอกลวง มันมีแนวคิดที่ดี วิธีการที่ดี แต่ตัวคนต่างหาก ที่เอากระแสมาใช้ประโยชน์จนมันฉิบหายเป็นโดมิโนกันอยู่ทุกวันนี้ .. เอาเป็นว่า สรุปความฉิบหาย กันเป็นเรื่องๆ ละกัน

จุดเริ่มต้นจากนักเรียนนอก มาเผยแพร่ Startup ในไทยจากเด็กจบนอกไปทำงานบริษัท IT ยักษ์ใหญ่ ออกมาทำ Startup ในอเมริกา เจ๊งภายใน 3 เดือน ซมซานกลับมาเมืองไทย เป็นผู้บุกเบิก Startup ในไทย ทุกคนชื่นชมเป็นกูรู กูรู้ ประหนึ่ง เคยทำ Startup สำเร็จมาก่อน ... สร้าง Community และมีสื่อที่เป็น Connection ในมือ แม้แต่ผมก็อดชื่นชม ติดตามไปด้วย จริงๆ ก็น่าชื่นชมนะครับ เพราะก็ช่วยให้หลายๆ คนลืมตาอ้าปากได้ รวมถึงผมด้วย แต่แค่กระดุมเม็ดแรกก็ไม่น่ารอดแล้ว สุดท้ายก็เป็นการ Leverage จาก Connection กันเอง สื่อพวกเดียวกัน ก็ยกหางกันเอง

คำว่าการลงทุน Startup ต้องดูที่ Founder!!! ซึ่งมันก็จริง แต่สำหรับเมืองไทยคือ มรึงลูกใคร.. บ้านรวยไหม มีชื่อเสียงหรือป่าว อยู่ค่ายไหน มันทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Halo Effect (ไปหาอ่านกันเอาเอง ) เอาสั้นๆ ก็คือเกิดความลำเอียงในใจนั้นแหละ ประเภทเขาหน้าตาดี ชาติตระกูลดี คนรู้จักเยอะ น่าจะเก่ง แล้วก็จบลงด้วยคำพูดหล่อๆ ว่า เราลงทุนเพราะ Founder ครับ เอาจริงๆ คือเพราะก็แค่ พวกเดียวกัน ช่วยกันต่อยอดก็แค่นั้นแหละ สาสสส.. 

ถามว่าทุกวันนี้ ชั้นแนวหน้าที่บอกว่าเป็น Idol startup อยู่ไหนกันหมดล่ะ แมร่งก็โดดออกกันไปหมดแล้ว เอาชื่อเสียงต่อยอด ไปเป็นผู้บริหาร Corporate ยักษ์ใหญ่บ้างล่ะ แม้แต่ระดับ Idol startup ไทย แตกบริษัทแล้ว แตกบริษัทอีก ยอดขายยังแพ้ SME ที่ทุกวันนี้เข้าตลาดหลักทรัพย์ไปแล้วอย่างเช่น MEB ... แต่กับ Startup Idol ได้รับเงินลงทุนหลายร้อยล้าน ไปอยู่ไหนกันหมดล่ะ?

สื่อ Startup ในไทยก็ขยัน "making stupid people famous" กันจัง เพียงเพราะก็สนิทชิดเชื้อกันเอง สรุปในไทยอาจจะใช้ Connection กันพร่ำเพรื่อเกินไป จนมองข้าม Skill จริงๆ กันไป โดยที่พวกเขาก็ไม่รู้ตัวกันเท่าไหร่ เพราะ Halo effect ยิ่งเป็นคนฉลาด ยิ่งสามารถหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองจนปฏิเสธไม่ได้นั่นแหละ

เรื่องต่อมา แนวคิดการทำธุรกิจในไทย ที่คิดว่า มีเงินทำได้ทุกอย่าง และต้องการควบคุมความเป็นเจ้าของสูง ผมได้ยินคำ ๆ นึงจนอยากจะอ๊วก คือ แอพแค่นี้ พี่ไปจ้างโปรแกรมเมอร์ แค่ สามสี่แสน ก็ได้แล้ว ไม่เห็นต้องลงทุนกับน้องเลย หรือบริษัทพี่มี Dev เป็นร้อย ทำเองก็ได้... ผมก็ได้นึกในใจว่า แล้วที่ผ่านมา .. พวกมรึงทำเหี้ยไรกันอยู่อะ?.. แล้วสุดท้ายผ่านไปเป็นปี กูก็ไม่เห็น Corporate ที่ว่า ทำเสร็จนะ มี Dev เป็นร้อยไอ้สัส..

หรือคำพูดแบบว่า เนี่ย พี่เคยลงทุนกับ Startup แล้ว คนนั้นคนนี้ แนะนำมา ไม่เห็นได้เรื่องได้ราวอะไร มันก็วนกลับมาเรื่องเดิม ใคร? แนะนำพี่อะ กลุ่มไหน สุดท้ายก็กลุ่มข้างบนนั่นแหละ ก๊วนเดียวกัน พวกเดียวกัน หลอกแดกเงิน Investor ล๊อตแรกกันจนอิ่ม... ได้กันเป็น สิบล้านร้อยล้าน ทำห่าไรไม่ได้สักอย่าง.. ผลมันก็มาตกกับรุ่นหลังๆ ก็จะเจอคำว่า เมื่อก่อนพี่เคยลงทีเดียว เป็นสิบๆ ล้าน เด่วนี้พี่ไม่เชื่อละ อะ ลงล้านเดียวพอนะ ไปทำมาให้ Success นะน้อง เดฟแอพยังไม่เสร็จดี ค่า Marketing ไม่ต้องพูดถึง ไม่พอแดกหรอก..

ธุรกิจแบบ Startup สุดท้ายมันก็กึ่งๆ เป็น Money game ที่อาศัยปัจจัยทั้งด้านนวัตกรรม และการทุ่มตลาด การที่ระดมทุนไม่ได้มากพอ มันก็เหมือนเบี้ยหัวแตก การได้เงินไม่มากพอ ในการแข่งขันที่สูง ก็ยากละที่จะเดินในวิถี Startup ยิ่งช่วงหลังๆ Corporate ต่างๆ ก็เอาเงินไปจ้าง Dev เป็นร้อยมาวิ่งเล่นในออฟฟิศ กูจะจ้างคนละเจ็ดแปดหมื่นอะ ทำไมอะ กูรวย

CVC คือความฉิบหายของ Startup ไทย.. เอาพนักงานประจำที่ไม่เคยทำธุรกิจห่าอะไร มาตัดสินอนาคตธุรกิจ Startup มันจะได้อะไรไหมอะ? ความจริงใจของ CVC ไทยที่ลงทุนแค่จะเอาหน้า หรือแค่ต้องการซื้อตัว Dev ไปเป็นลูกจ้าง ส่วน Product ก็เอาไปเผาทิ้ง ถามว่า ทุกวันนี้มี CVC ไหนในไทยยัง Active อยู่เหรอ บาง CVC ถึงขนาดเอาเงินมาจ้าง Dev เอง แล้วบอก Dev จะเอาแบบ Startup เจ้านั้นเจ้านี้ แล้วก็บอก กูเป็น Incubator 

รวมถึงนักลงทุนที่ตั้งตัวเป็น Investor ออกข่าว ออกสื่อ แต่ผ่านไป 3 ปี ไม่เคยลงทุนห่าอะไร ตอบหล่อๆ ว่า พอดียังไม่เจอ Startup ที่ใช่ .. เอาจริงๆ มรึงว่าง... แค่จะเอาป้าย Investor มาแปะหน้า แล้วก็เดินหล่อๆ ในงาน ให้ Startup ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร ไปยกมือไหว้ปะหลกๆ ทุกวันนี้หายไปไหนหมดอะ บางคนยังออกสื่อ เป็นไลฟ์โค้ชสบายๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยลงเหี้ยไรเลย งงไหมล่ะ

หลายคนบอกว่า Startup สมัยนี้ เน้นความยั่งยืน ต้องมีรายได้จริง ลูกค้าจริง ค่อยๆ โต... ... มรึง SME ไอ้สัส... 
ตอนต่อไป Startup หนีตาย ไปทำคริปโต เร็วกว่า แรงกว่า เชี่ยกว่า ทะลุนรก..

'เศรษฐา' ลั่น!! ประชุม ครม.นัดแรกประกาศลดราคาพลังงานแน่ แย้ม!! 'สุพัฒนพงษ์' เน้นส่งไม้ต่อให้ด้วยความราบรื่น

(30 ส.ค.66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ให้การต้อนรับนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ ม.ล.ชโยทิต กฤดากร หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เพื่อหารือถึงการส่งไม้ต่อในการทำงานด้านเศรษฐกิจ รวมถึงการจัดทำร่างนโยบายของรัฐบาลเพื่อแถลงต่อรัฐสภา

เวลา 12.50 น. นายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์ว่า ได้มีการหารือเรื่องของราคาพลังงาน รวมถึงประเด็นอื่นๆ ซึ่งนายสุพัฒนพงษ์ก็ได้ฝากฝังไว้หลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือขั้นตอนในการลดราคาค่าไฟกับค่าน้ำมันดีเซล โดยจะมีประกาศหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรกแน่นอน 

เมื่อถามว่าหลังการประชุมครม. นัดแรกจะสามารถลดได้ทันทีแน่นอนใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ทันทีครับทันที ประกาศทันทีและขอดูขั้นตอนนิดหนึ่ง” ก่อนจะย้ำว่าทำงานไม่หยุด เพราะต้องดูนโยบายอื่นๆ ด้วย และถือว่านายสุพัฒนพงษ์ให้ความกรุณาและยินดีส่งไม้ต่อให้ด้วยความราบรื่น

ด้านนายสุพัฒนพงษ์ ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องการลดราคาพลังงานว่า เป็นเรื่องที่ต้องคุยกับหัวหน้าพรรค เมื่อถามถึงนโยบายหลักที่เสนอต่อ พท. ที่จะนำไปเป็นนโยบายร่วมของรัฐบาล นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันมากกว่า ส่วนการพูดคุยอย่างเป็นทางการต้องให้ หัวหน้าพรรค รทสช.มาพูดคุยกันอีกครั้ง วันนี้เป็นการมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่า มีอะไรจะส่งไม้ต่อไปถึงรัฐบาลใหม่ได้ การมาหารือวันนี้ เป็นโอกาสที่ดีของรัฐบาลรักษาการ จะมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่ามีอะไรจะส่งมอบ หรือส่งต่อความคิดเห็นใดๆ ไปถึงรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะเรื่องของเศรษฐกิจที่รัฐบาลใหม่ได้ขอรับทราบสิ่งที่รัฐบาลรักษาการ หรือรัฐบาลที่ผ่านมาได้ทำอะไรไว้บ้าง ส่วนจะสานต่อเรื่องอะไร จะดัดแปลง หรือทำให้ดีขึ้นก็เป็นนโยบายของรัฐบาลใหม่ ว่าจะพิจารณา และในการหารือ นายเศรษฐาก็รับทราบสิ่งต่างๆ ของรัฐบาลที่ทำมาแล้ว ถือเป็นการให้ข้อมูลระหว่างกัน เพื่อให้รัฐบาลใหม่สามารถพิจารณานโยบายเดิมที่ทำอยู่แล้วไปพิจารณาต่อได้โดยไม่ต้องไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ โดยข้อคิดเห็นต่างๆ มีการคุยกันครั้งนี้ก็คงจะมีการไปพิจารณาในรายละเอียดอีกที

เมื่อถามว่ามีการหารือเกี่ยวกับการจัดทำนโยบาย ร่วมกันของพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อแถลงต่อรัฐสภาหรือไม่ นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ไม่ได้คุยอะไรเป็นพิเศษในลักษณะของการหารือด้านนโยบาย เพราะคงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่นำข้อมูลต่าง ๆ ไปพิจารณา

'ผู้ว่าฯ ชัชชาติ' ชวนผู้ใจบุญแบ่งปันอาหารแก่คนไร้บ้าน ย่านราชดำเนิน พร้อมเล็งปรับพื้นที่ กทม.โซนสะพานวันชาติเป็นบ้านอิ่มใจ-จุดรวมสวัสดิการ

(30 ส.ค. 66) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายสุขสันต์ กิตติศุภกร รองปลัดกรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาคนไร้บ้านบริเวณถนนราชดำเนิน ณ วงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เขตพระนคร

ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ปัญหาคนไร้บ้านเป็นปัญหาใหญ่ของกรุงเทพมหานคร ปัจจุบันมีคนไร้บ้านมาอาศัยอยู่บริเวณถนนราชดำเนินค่อนข้างมาก ซึ่งช่วงโควิดระบาดมีคนไร้บ้านประมาณ 1,800 คน เมื่อมิถุนายน 2565 ลดลงเหลือประมาณ 1,200 คน ส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณถนนราชดำเนินเป็นหลัก และตรอกสาเก ด้านหลังถนนราชดำเนิน และมีบ้างที่คลองผดุงกรุงเกษม ซึ่งที่ราชดำเนินค่อนข้างเยอะเพราะมีผู้ใจบุญนำอาหารมาแจก และบางคนก็มีการแจกเงินด้วย 

ขอบคุณผู้ที่นำอาหารมาแจกทุกคน แต่อยากขอความร่วมมืออย่านำมาแจกที่ถนนราชดำเนิน ให้นำไปแจกในจุดกรุงเทพมหานครได้กำหนดไว้ให้ 2 จุดหลัก คือ เวลากลางวันที่บริเวณใต้สะพานพระปิ่นเกล้า เลยโรงละครแห่งชาติ ตรงจุดกลับรถ ซึ่งตรงนั้นจะเป็นจุดสวัสดิการด้วย มีการจัดหางาน ตรวจคัดกรองโรค ซักผ้า เป็นต้น ซึ่งคนไร้บ้านมีสิทธิเหมือนทุกคนในการรับสวัสดิการขั้นพื้นฐาน มีการช่วยเหลือในการพิสูจน์ตัวตนเพื่อให้สามารถรับสวัสดิการต่าง ๆ ได้ด้วย ส่วนตอนเย็นแจกได้ที่จุดหลังโรงแรมรัตนโกสินทร์ บริเวณตรอกสาเก 

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวต่อว่า การแก้ปัญหาคนไร้บ้านไม่ใช่การนำอาหารมาแจก การแก้ปัญหาคือการให้คนไร้บ้านได้สิทธิ ได้งานที่มีความมั่นคง หลายคนมีความรู้ ต้องหางานให้เพื่อที่จะได้มีรายได้ หากมีหน่วยงานที่ช่วยสนับสนุนเรื่องนี้ก็จะช่วยแก้ปัญหาได้ ส่วนกรณีมีคนไร้บ้านที่สร้างความกังวลในประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณโรงเรียนสตรีวิทยาต้องดูแลให้เรียบร้อยโดยทุกส่วนต้องช่วยกัน ซึ่งการแก้ปัญหาไม่อยากให้เป็นระยะสั้น อยากให้ดูระยะยาว ส่วนกรณีขอทานหลายคนไม่ใช่คนไทย บางคนเช่าบ้านอยู่แต่พาลูกมาขอทานเพราะมีคนให้เงินเยอะ ซึ่งจะมีการเข้าไปดูต่อไป

รองผู้ว่าฯ ศานนท์ กล่าวเสริมว่า ในอนาคตกรุงเทพมหานครจะมีการปรับพื้นที่ของกรุงเทพมหานครบริเวณสะพานวันชาติเป็นบ้านอิ่มใจ เมื่อเรียบร้อยแล้วก็จะนำสวัสดิการต่าง ๆ ไปรวมอยู่ตรงนั้น ซึ่งจะมีการร่วมมือกันระหว่างกรุงเทพมหานครและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) คาดว่าถ้าทำเป็นระบบขึ้นน่าจะดีขึ้น

นอกจากนี้ มูลนิธิกระจกเงาได้ร่วมกับกรุงเทพมหานครในการช่วยเหลือคนไร้บ้านทั้งที่จุดสะพานปิ่นเกล้า และเรื่องอื่น ๆ เช่น โครงการจ้างวานข้า ที่เป็นการจ้างงานคนไร้บ้านเพื่อให้มีรายได้ ซึ่งจากเดือนกันยายน 2565 ถึงกรกฎาคม 2566 มีคนเข้าร่วมโครงการจำนวน 60 คน มี 30 คน ที่สามารถเปลี่ยนผ่านไปเป็นคนที่มีบ้าน มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคงได้

ทั้งนี้โครงการจ้างวานข้า เป็นความร่วมมือระหว่างมูลนิธิกระจกเงาร่วมกันสำนักงานเขตพระนคร ในการจ้างงานคนไร้บ้านให้มีรายได้ เช่น การทำความสะอาด คัดแยกขยะ งานช่างทั่วไป หรือการช่วยงานในมูลนิธิกระจกเงา เป็นต้น ซึ่งในวันนี้มีคนไร้บ้านบางส่วนได้สมัครร่วมโครงการทำงานกวาดกับทางเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตพระนครด้วย

สำหรับวันนี้ มีนายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกของกรุงเทพมหานคร และผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายสัมฤทธิ์ สุมาลี ผู้อำนวยการเขตพระนคร สำนักพัฒนาสังคม ผู้แทนมูลนิธิกระจกเงา และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมลงพื้นที่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top