Friday, 16 May 2025
TheStatesTimes

“โฆษกรัฐบาล” ซัด "หญิงหน่อย" หยุดดราม่า-ทำปชช. สับสน เหน็บ ลต.สมัยหน้า ระวังถูกเมิน ลั่น รัฐบาลดูแลราคาน้ำมัน-ปชช.ทุกกลุ่ม

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย กล่าวหารัฐบาลนี้ทำราคาน้ำมันแพงกว่าประเทศอื่นเพราะเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล สูงถึงลิตรละเกือบ 6 บาทว่า ไม่เข้าใจว่าคุณหญิงสุดารัตน์ใช้สมองส่วนไหนคิด เพราะเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง สร้างความสับสนให้ประชาชน และตามข้อเท็จจริงคือ รัฐบาลใช้กลไกเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปช่วยเหลือโดยการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ลิตรละ 3.79 บาท

โดยข้อมูลราคาน้ำมันเฉลี่ยในอาเซียน อ้างอิงวันที่  7 ก.พ. 2565 ประเทศไทยอยู่ลำดับที่ 5 ราคาน้ำมันของประเทศไทย เบนซิน ขายอยู่ที่ 34.55 บาทต่อลิตร  ดีเซลขายอยู่ที่  29.94 บาทต่อลิตร สิงคโปร์ เบนซินขายอยู่ที่ 66.89 บาท/ลิตร   ดีเซลขายอยู่ที่  56.07 บาทต่อลิตร  ลาว เบนซินขายอยู่ที่ 44.67 บาทต่อลิตร   ดีเซลขายอยู่ที่  34.75 บาทต่อลิตร  ฟิลิปปินส์ เบนซินขายอยู่ที่ 38.95 บาทต่อลิตร   ดีเซลขายอยู่ที่  32.02 บาทต่อลิตร  กัมพูชา เบนซิน ขายอยู่ที่ 38.19 บาทตาาอลิตร  ดีเซลขายอยู่ที่  30.88 บาทต่อลิตร 

นายธนกร กล่าวว่า ข้อมูลดังกล่าวไม่ได้เป็นไปตามข้อกล่าวหาของคุณหญิงสุดารัตน์ และอยากขอร้องคุณหญิงสุดารัตน์หยุดพฤติกรรมปั้นหน้าเศร้าเล่าความเท็จ ไม่เช่นนั้นการเลือกตั้งครั้งหน้าประชาชนจะเมินหนี และอย่าใช้วิธีการเดิมมาดิสเครดิตรัฐบาล เพราะประชาชนรู้ทันว่า ที่ผ่านมาคุณหญิงสุดารัตน์ ทำประโยชน์อะไรให้ประเทศนอกจากการรับใช้อดีตนายกฯ บางคนที่ทุจริตคอรัปชั่น

นายธนกร กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายชัดเจน โดยใช้กลไกของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปดูแลราคา ในส่วนของของราคาน้ำมันแพงเป็นภาวะที่ทั่วโลกเผชิญ คาดว่าเมื่อพ้นฤดูหนาวของต่างประเทศไปแล้ว แนวโน้มราคาน้ำมันจะปรับลดลง มาตรการภาษีจึงจะเป็นมาตรการสุดท้ายที่รัฐบาลจะดำเนินการ โดยจะดูราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ว่าปรับขึ้นไปถึงจุดที่ไม่สามารถรับได้ จะไม่เข้าไปอุดหนุนเกินความจำเป็น เพราะรายได้จากภาษีน้ำมันก็เป็นรายได้หลักของรัฐบาล ซึ่งตอนนี้มีกองทุนน้ำมันที่ทำหน้าที่รักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมันอยู่ โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้นโยบายดูแลระดับราคาพลังงานให้เหมาะสม เน้นดูแลประชาชนในภาพใหญ่  ลดผลกระทบต่อธุรกิจให้มากที่สุด  

‘ชนินทร์’ ซัด ‘บิ๊กตู่’ ยิ่งอยู่ยิ่งเจ๊ง ยิ่งแจกยิ่งจน!! หวั่นชาติล่ม จมอยู่ 8 ปี สร้างหนี้ 10 ล้านล้านบาท

วันที่ 10 ก.พ. 65 นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนฯ ครั้งที่ 1/2565 ร่วมกับก๊วน 3 ป. ว่า การประชุมเพื่อแก้ปัญหาความยากจน เกิดขึ้นในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ นับครั้งไม่ถ้วน แต่เหตุใดตัวเลขผู้ได้รับสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ “บัตรคนจน” เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 

หากดูจากตัวเลขผู้ได้รับสิทธิ์ในปี 2560 อยู่ ที่ 7.7 ล้านคน เพิ่มจนมาสูงสุดที่ 14.6 ล้านคนในปี 2562 หรือคิดเป็น 22% ของคนทั้งประเทศ และหากพลเอกประยุทธ์ มีการขยายสิทธิ์ใหม่ในปี 2565 ภายหลังปรับกฎเกณฑ์ตามมติ ครม. ที่ตั้งเป้าผู้เข้าร่วม 20 ล้านคน หรือคิดเป็น 30% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศในทันที ในขณะที่ตัวเลขคนจนไม่ได้ลดลง ในเวลาเดียวกันพลเอกประยุทธ์ ก็เดินหน้ากู้จนหนี้สาธารณะของไทย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 อยู่ที่ 9.64 ล้านล้านบาท หรือเกือบ 10 ล้านล้านบาท หรือ 59.57% ของจีดีพี สะท้อนให้เห็นว่าพลเอกประยุทธ์ บริหารประเทศแบบกู้แหลก แต่สร้างผลขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจได้น้อย เพราะตัวเลขหนี้สวนทางกับการเติบโตทางเศรษฐกิจในยุคพลเอกประยุทธ์ ที่โตเฉลี่ยเพียง 1.66% นับตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศภายหลังจากทำการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2557 จนถึงปัจจุบัน ขัดแย้งกับผลงานโดดเด่นในเรื่องของการกู้ และยังใช้งบประมาณไปกับโครงการประชานิยมรวมเกือบ 2 ล้านล้านบาท อาทิ

1.) งบประมาณที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร ใช้ในโครงการประชานิยมในช่วงปี 2557-2561 ซึ่งมี 19 โครงการ ใช้งบประมาณรวม 8.78 แสนล้านบาท
2.) โครงการประกันราคาสินค้าเกษตร ตั้งแต่ปี 2562/63 - 2564/65 ใช้งบประมาณ 2.61 แสนล้านบาท
3.) โครงการต่าง ๆ ที่ออกมาในช่วงของการระบาดของโควิด-19 ตาม พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคโควิด-19 รวมมากกว่า 6 โครงการ ในปี 2563-2564 ทั้งคนละครึ่ง 4 เฟส, เราชนะ, ม.33 เรารักกัน, ยิ่งใช้ยิ่งได้, บัตรคนจน, เราเที่ยวด้วยกัน ใช้งบประมาณรวมทั้งหมดรวมกว่า 1.15 ล้านล้านบาท จากกรอบวงเงินที่กู้ได้ 1.5 ล้านล้านบาท

'รศ.หริรักษ์'​ โพสต์!! อย่าเพิ่งด่วนสรุป 'สาธิตมธ.'​ ล้างสมองเด็ก​ ด้วยหลักสูตรบิดเบือนชาติ

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์​ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก​ ระบุว่า... 

อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่า โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีหลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอนที่บิดเบือนประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และพยายามล้างสมองเด็กนักเรียน

เรื่องทั้งหมดมีอยู่ว่า รศ.ดร.อนุชาติ พวงสำลี หรือ อ.อ้อ เพิ่งเกษียณอายุในปีที่ผ่านมา พ้นจากตำแหน่งคณบดีคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมารับตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งตัวเขาเป็นกำลังสำคัญในการก่อตั้งทั้งคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ และโรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วย

เรื่องเกิดขึ้นเมื่อ อ.อ้อ ให้สัมภาษณ์ Mappa Learning เกี่ยวกับโรงเรียนสาธิตซึ่งมีเนื้อหาการสัมภาษณ์มากมาย แต่มีคนเลือกเฉพาะข้อความบางข้อความไปโพสต์ใน social media เช่น ไม่ต้องยืนเข้าแถวเคารพธงชาติ ไม่ต้องสวดมนต์ตอนเช้า ไม่มีลูกเสือและเนตรนารี ไม่ต้องมีเครื่องแบบ เมื่อคนได้เห็นโพสต์เช่นนี้ บวกด้วยชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในระยะหลัง จึงแสดงความเห็นกันอย่างอื้ออึงว่า โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กำลังล้างสมองเด็กหรือไม่ สังคมบางส่วนถึงกับเชื่อไปแล้วด้วยซ้ำ 

ยิ่งพอได้ทราบว่า ได้มีการเชิญ ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกุล มาพูดถึงการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ให้คณะครูฟัง ยิ่งทำให้มีคนสงสัยว่า จะมีการบิดเบือนประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่ แม้แต่นายกรัฐมนตรีก็ออกปากว่า จะให้ตรวจสอบหลักสูตรว่าเป็นอย่างไร 

ย้อนหลังกลับไปเมื่อตอนที่ผมยังเด็ก ผมและเพื่อนๆ ไม่เคยมีความสุขในการเรียนหนังสือเลย เพราะถูกบังคับในทุกเรื่อง ส่วนใหญ่เป็นการบังคับที่ไร้สาระ การลงโทษนักเรียนโดยการตีส่วนใหญ่ก็ไม่สมเหตุผล เป็นไปตามอารมณ์ครู มาถึงรุ่นลูกซึ่งไม่ได้เรียนโรงเรียนเดียวกับผม การลงโทษแบบเดิมหมดไป แต่ก็ลูกชายผมก็ไม่ได้เรียนอย่างมีความสุข แม้จะได้รางวัลเรียนดีทุกปี เพราะมีการบังคับแบบอื่นที่ไร้เหตุผล จนกระทั่งส่งไปเรียนระดับมัธยมปลายที่ประเทศ New Zealand เขาจึงเรียนอย่างมีความสุข แม้โรงเรียนที่เรียนจะเป็นโรงเรียนประจำ มีระเบียบควบคุมไม่น้อย แต่ระเบียบเหล่านั้นล้วนสมเหตุสมผล 

เมื่อมาเห็นโรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็รู้สึกว่า น่าอิจฉาเด็กสมัยนี้ ที่มีโรงเรียนอย่างนี้ให้เลือกเรียนได้ ผมจึงไม่เคยรู้สึกต่อต้านวิธีการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แต่อย่างใดเลย แม้จะให้เสรีภาพกับนักเรียนมากไปสักนิดก็ตาม 

รศ.ดร.อนุชาติ พวงสำลี ผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการก่อตั้งโรงเรียนสาธิต เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รุ่นเดียวกับ ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ จะว่าไปอ.อ้อก็เคยเป็นลูกศิษย์ผม แม้ผมไม่เคยสอนเขาโดยตรง เพราะเขาเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ ผมสอนคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี แต่อ.อ้อ เคยเป็นอุปนายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประมาณปี 2522 ในขณะที่ผมเป็นผู้ช่วยรองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษา ขณะนั้นรองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษา ก็คือ รศ.นรนิติ เศรษฐบุตร (ตำแหน่งทางวิชาการในขณะนั้น) ต้องทำงานเกี่ยวข้องกันตลอดเวลา จนกระทั่งมีความสนิทสนมกันมากพอสมควร

ก่อนจะโอนมาอยู่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อ.อ้อ เป็นอาจารย์ประจำที่มหาวิทยาลัยมหิดล เคยเป็นคณบดีคณะสิ่งแวดล้อม และเป็นรองอธิการบดีในสมัยที่ ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร เป็นอธิการบดี จึงได้เจอกันในการประชุมต่างๆ​ เป็นครั้งคราว 

นอกจากเจอกันในที่ประชุมต่างๆ​ แล้ว บรรดานักกิจกรรมของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในระหว่างปี 2522-2526 จะนัดมาพบปะรำลึกความหลังกันที่บ้านผมเป็นประจำทุกปี แน่นอนว่าคนสำคัญที่จะขาดไม่ได้ก็คือ อ.นรนิติ เศรษฐบุตร และภรรยา เป็นการจัดเลี้ยงแบบ potluck ต่างคนต่างหิ้วอาหารมากันคนละอย่าง เจ้าของบ้านก็ทำสัก 2 อย่าง ทำอย่างนี้มาทุกปี เพิ่งมาเว้นได้ 2 ปี เพราะสถานการณ์โควิด อ.อ้อในระยะหลังก็มาร่วมงานด้วยเกือบทุกปี 

เรียกได้ว่า ผมรู้จัก อ.อ้อ ค่อนข้างดี และเป็นระยะเวลานานกว่า 40 ปี จึงเชื่อว่า เขามีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะไม่ทำอะไรนอกลู่นอกทาง และเมื่อพูดถึงเรื่องสถาบัน อ.อ้อแม้ไม่ใช่คนที่เทิดทูนจนถึงระดับ "คลั่งไคล้สถาบัน" แต่ตลอดเวลาที่รู้จักกันมา ยังไม่เคยได้ยินคำพูดที่เป็นการไม่เคารพสถาบันพระมหากษัตริย์จากปากอ.อ้อ แม้แต่คำเดียว

“จุรินทร์” ยอมรับความขัดแย้งในรบ. ทำให้รัฐบาลขาดเสถียรภาพ แนะ นายกฯ ต้องเข้าไปจัดการ รวมทั้งปัญหาโหวตในสภาฯ พรรคแกนนำต้องเข้าไปดูให้ลึกเกิดอะไรขึ้น  ยันไม่กังวลซักฟอก ม.152 ยินดีตอบ

ที่กระทรวงพาณิชย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีข่าวความขัดแย้งในรัฐบาล จะทำให้รัฐบาลขาดเสถียรภาพหรือไม่ว่า เป็นเรื่องที่ตนคิดว่าหลายฝ่ายมีความเป็นห่วง ปฏิเสธไม่ได้เพราะเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่ค่อยเกิดให้เห็นบ่อยนัก แต่คิดว่านายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลกำลังพยายามคลี่คลายปัญหาและแก้ปัญหานี้อยู่ สุดท้ายนายกฯก็หนีไม่พ้นที่จะต้องเข้าไปดูเพราะท่านเป็นหัวหน้ารัฐบาล

นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า สำหรับในส่วนพรรคประชาธิปัตย์นั้น เราเป็นพรรคขนาดกลาง เป็นแค่พรรคร่วมรัฐบาล อย่างไรก็ตามสิ่งที่ตนได้เรียนย้ำไปหลายครั้งก็คือ เราก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับรัฐบาล เพราะเมื่ออยู่ด้วยกันแล้ว อะไรที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนก็ต้องจับมือกันเดินไปข้างหน้า ไม่อย่างนั้นประชาชนก็ไม่รู้จะพึ่งใคร เราก็มีหลักการ หลักเกณฑ์ของเรา ทั้งในฐานะที่เป็นพรรคการเมืองที่ทำงานร่วมกับรัฐบาล เรามีหน้าที่อะไรเราก็ทำหน้าที่เราให้ครบถ้วนสมบูรณ์แบบ ให้เต็มที่เหมือนที่ทำอยู่เดี๋ยวนี้ เมื่อมีปัญหาราคาสินค้าเราก็แก้ได้รวดเร็ว เมื่อมีปัญหาอื่นเกิดขึ้นเราก็จับมือกับรัฐบาลแก้ปัญหา อะไรที่เกินอำนาจกระทรวงก็ใช้มติคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในการตัดสินใจ ส่วนในรัฐสภา เมื่อมีข้อตกลงอะไรร่วมกัน เราก็เคารพข้อตกลงและเดินหน้าไปตามนั้น ในสภาฯก็ต้องใช้กลไกวิปเป็นกลไกหลักในการที่จะเป็นตัวกำหนดว่าจะตัดสินใจลงคะแนนไปทางไหน ซึ่งประชาธิปัตย์ก็ให้ความร่วมมือมาด้วยดีตลอด 

เมื่อถามว่าในระยะหลังเกิดเหตุสภาฯล่มบ่อยครั้ง มีหลายพรรคที่ออกไปตั้งพรรคใหม่มีการโหวตสวนรัฐบาล รวมไปถึงการตั้งกลุ่ม 16 เพื่อโหวตสวนรัฐบาลโดยยึดประโยชน์ประาชนเป็นหลักจนมีหลายฝ่ายมองว่าอาจทำให้ยุบสภาได้ นายจุรนทร์กล่าวว่า ตนยังไม่อยากมองไกลไปถึงขนาดนั้น และคงไม่ไปวิจารณ์พรรคการเมืองอื่น หรือวิจารณ์กลุ่มการเมืองใด ถือว่าเมื่อท่านเป็นตัวแทนพี่น้องประชาชน เป็นผู้แทนราษฎรก็มีสิทธิ์ในการที่จะดำเนินทิศทางทางการเมืองตามที่เห็นสมควร ส่วนประชาธิปัตย์ก็มีแนวทางของเรา อย่างน้อยในส่วนของรัฐบาล นายกฯก็อาจจะต้องใช้เวลาในการลงมาดูเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะพรรคที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลก็จะต้องลงมาดูลึกเป็นพิเศษ เพราะเสียงส่วนใหญ่อยู่ที่พรรคแกนนำ ไม่ได้อยู่ที่พรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคร่วมรัฐบาลอื่น 

"ส่วนของเรา เราก็ให้ความร่วมมือ อันนี้ตัดออกไปได้เลยว่าไม่มีปัญหาอะไร" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว 

'อนุทิน' ชี้  ค้านรฟฟ.สายสีเขียว คือเห็นต่างในการทำงาน ยัน ไม่เกี่ยวสัมพันธ์พรรคร่วมรบ. บอก ถ้า มท. ไม่แก้ตามความเห็น ก็ โหวตโน ลั่น ‘รู้สี่รู้แปด รู้ใหญ่รู้เล็ก’ ไม่คิดตีตัวเทียบ บิ๊กป๊อก ให้นายกฯ ต้องลำบากใจ ระบุ ไม่ต้องการมีคดี หลังพ้นเก้าอี้

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์ถึงสาเหตุที่ 7 รัฐมนตรีพรรค ภท. ไม่เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่พิจารณาเรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียว จะส่งผลกระทบต่อการพิจารณาเรื่องดังกล่าวในอนาคตหรือไม่ ว่า ต้องดูเป็นประเด็นๆ ไป เพราะกระทรวงคมนาคมได้ทำความเห็นออกมาแล้วเป็นหนังสือ 8 ฉบับ และหากกระทรวงคมนาคมคลายความกังวลหรือข้อวิตกแล้วก็ดำเนินต่อไปได้

เราไม่ได้ไม่เห็นชอบเรื่องต่อหรือไม่ต่อสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียว แต่เราต้องการความชัดเจนขอให้ทำตามขั้นตอนที่ฝ่ายกฎหมายของกระทรวงคมนาคมเห็นว่ายังขาดอยู่คือเรื่องการรับโอนทรัพย์สินจาก การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) มอบให้ กรุงเทพมหานคร (กทม.) ถือเป็นส่วนเดียวที่คมนาคมเกี่ยวข้อง เมื่อถามว่าหากสุดท้ายกระทรวงมหาดไทย และกทม. แก้ไขแล้วยังไม่ตรงกับที่กระทรวงคมนาคมต้องการจะมีผลอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่าต้องไปถามนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เมื่อถามว่าเรื่องนี้จะกระทบความสัมพันธ์พรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่เกี่ยว นี้เป็นเรื่องความเห็นของการทำงานที่ครม. มีสิทธิเห็นไม่ตรงกันได้ 

 “ถ้าให้ภารกิจนี้เดินต่อไปก็ต้องลงมติ แต่ถ้าคนที่เห็นว่ายังผิดอยู่เขาสามารถสงวนสิทธิได้และเป็นสิ่งที่พรรค ภท. ทำมา ไม่ได้ขัดขวางอะไรเลย และที่เราไม่เข้าประชุมครม. เพราะเห็นมีการบรรจุวาระดังกล่าวเข้ามาล่วงหน้าและก่อนหน้านี้ก็ได้นำความกราบเรียนนายกฯตลอดเวลา เรามีความลำบากใจในประเด็นนี้ และถ้าจะให้ผ่านไปโดยไม่ต้องทะเลาะโต้เถียงกันหรือปะทะคาคมกัน ชี้แจงกันไปกันมาทำตรให้บรรยากาศการประชุมเสียเราจึงทำความเห็นเป็นหนังสือชี้แจงเหตผลของทั้ง 7 คนไป ซึ่งเราก็นึกว่าเรื่องผ่านไปแล้ว” นายอนุทิน กล่าว

 เมื่อถามว่าหลังการประชุมครม. ได้ชี้แจงกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแล้วหรือยังหลังการประชุมครม. ดังกล่าว นายอนุทิน กล่าวว่า ได้ชี้แจงแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นวันอังคาร ไม่ใช่เรื่องบังเอิญทุกฝ่ายรับทราบกันหมด ทั้งทีมงานนายกฯ ก็ได้ประสานงานโทรคุยกันหมด เมื่อถามว่า พรรค ภท. เล่นไม้เดิมเวลาพิจารณาเรื่องนี้ก็จะมีคำถามใหม่ของกระทรวงคมนาคมเพิ่มมาตลอด 

“ภูมิใจไทยเล่นอะไร ไม่ได้เล่นอะไรเลย ถามนำอีกแล้ว ตรงไปตรงมา เมื่อถามย้ำว่าการที่รัฐมนตรีไม่เข้าประชุม ครม. 7 คน เป็นการส่งสัญญาณต่อไปจะไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลในเรื่องสายสีเขียวใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลนี้ หรือรัฐบาลไหน ไม่ใช่พวกมากลากไป ไม่ใช่ใครอยากจะทำอะไรก็ทำได้ ถ้าคิดอย่างนั้นได้ก็ไม่ต้องมีอะไรมาเข้าที่ประชุม ครม. อย่างนี้ถ้าตนอยากบรรจุข้าราชการสาธารณสุขอีก 5 หมื่นคน ตนก็ทำได้เลย ไม่ต้องมาเข้าครม.ไม่ต้องมาขอ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ไม่ต้องขอ ผอ.สำนักงบประมาณ เพราะสุดท้ายต้องเป็นเรื่องที่เราต้องมาหารือในรัฐบาล และหากประเด็นยังค้างคาก็ต้องนำไปแก้ไขให้ถูกต้องทุกฝ่ายรับได้ นั้นคือเป้าหมาย ถ้าหากรับไม่ได้จริงๆ ก็ต้องโหวต” นายอนุทิน กล่าว

นายอนุทิน กล่าวว่า พรรค ภท. เห็นว่ามี ครม.มี 36 คน ถ้าจะผ่านให้ได้โหวตอย่างไรเราก็แพ้อยู่แล้ว เพราะมีเสียงเพียง 7 ต่อ 36 แต่ทำไมเราต้องไปถึงจุดนั้น ทำไมต้องทำความลำบากใจมาให้นายกฯ เราจึงทำหนังสือสงวนสิทธิของเราไปให้นายกฯ และหากนายกฯเห็นว่ามันต้องผ่านก็ผ่านมติครม.ก็นำไปปฏิบัติได้ แต่ถ้ามีเรื่องราวอะไรภายหลังร้องเรียนคดีความต่างๆ ครม.ก็ต้องรับผิดชอบส่วนบุคคลอยู่ แต่รัฐมนตรีทั้ง 7 คนของพรรค ภท. ก็มีหนังสือยืนยันว่าเราไม่เห็นด้วยกับเงื่อนไขที่นำเสนอในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ในรัฐบาลเพราะยังดีอยู่ ปึ้กแน่นอน ฟังเสียงปึ้กดูก็รู้

 นายอนุทิน กล่าวว่า ขอย้ำว่าถ้ามีการปรับปรุงอะไรแล้วเราไม่มีปัญหาเรื่องการถ่ายโอนทรัพย์สินระหว่าง รฟม. และกทม. เพราะยังเป็นสมบัติของรฟม. ที่เป็นหน่วยงานของกระทรวงคมนาคม ซึ่งกทม.ก็ควรโอนให้เรียบร้อย รฟม.พร้อมแล้ว 

 เมื่อถามว่า มีหลายฝ่ายระบุว่าความขัดแย้งดังกล่าวเป็นสัญญาณยุบสภา นายอนุทิน กล่าวว่าหลายคนอยู่ข้างนอก หลายคนอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ หลายคนคุยไลน์ระหว่างกันหรือเปล่า คุยไลน์กับท่านนายกฯ คุยไลน์กับหัวหน้าพรรคหรือเปล่า ประสานงานกันหรือไม่ ไลน์กลุ่มครม.เขาคุยกันรู้มากแค่ไหน เรื่องดังกล่าวไม่ใช่เหตุบังเอิญหรือเป็นการเรียกร้องต่อรองเราไม่มี ถ้าต่อรองเราไม่มี 7 คนหรอก เมื่อถามถึงกรณีพรรคเศรษฐกิจไทยโหวตเห็นด้วย ร่างพ.ร.บ.สรรสามิต (สุราก้าวหน้า) สวนทางกับรัฐบาล นายอนุทิน กล่าวว่า ต้องไปถาม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยาพรรคเศษรฐกิจไทย ส่วนภาพที่ทักทายกันในห้องประชุมสภาฯนั้น เมื่อตนเดินสวนจะไม่ทักทายกันได้อย่างไร เพราะเป็นเพื่อนกัน แต่กลับกลายเป็นเรื่องเป็นราว 

เมื่อถามถึงสัญญาณทางการเมืองที่เกิดขึ้นต่างๆ หลายคนมองว่าน่าจะมีการยุบสภา นายอนุทิน กล่าวว่า หลายคนที่ว่าอยู่ข้างนอกทั้งนั้น หลายคนที่ว่านั้นอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ ได้คุยไลน์กับ พล.อ.ประยุทธ์ และหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ หลายคนที่ว่านั้นรู้ว่าในไลน์กลุ่มคณะรัฐมนตรี (ครม.) คุยอะไรกันหรือไม่ อย่างที่บอกว่ามันไม่ใช่เหตุบังเอิญที่จะไปเรียกร้องหรือต่อรอง ถ้าต่อรองไม่มีแค่ 7 รัฐมนตรีหรอก 
 
เมื่อถามถึงกรณีพรรคเศรษฐกิจไทยลงมติเห็นชอบกับร่างกฎหมายที่พรรคฝ่ายค้านเสนอ นายอนุทิน กล่าวว่า ส่วนนี้ต้องไปถาม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา พรรคเศรษฐกิจไทย ส่วนที่มีภาพตนกับ ร.อ.ธรรมนัสนั้น ตนเดินผ่าน จะไม่ให้ทักได้อย่างไร เพราะเป็นเพื่อนกัน ขณะที่รัฐบาลส่วนรัฐบาล สภาส่วนสภา 
 
นายอนุทิน กล่าวว่า การไปของรัฐบาลมาจาก 1.นายกฯ พ้นจากตำแหน่ง 2.นายกฯ ลาออก 3.นายกฯ ยุบสภา และ 4.รัฐบาลไม่ได้รับความไว้วางใจ ในส่วนนี้ต้องรวมที่ตัวนายกฯ ด้วย เรื่องเหล่านี้มีข้อกำหนดอย่างชัดเจน 

เมื่อถามว่า หากความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคเศรษฐกิจไทย ยังเป็นแบบนี้อยู่ มีโอกาสเสี่ยงที่จะตายคาสภาและยุบสภา นายอนุทิน กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องไปถามคนที่ยุบสภา เราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด สิ่งที่เราทำได้ไปเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ คือ การทำหน้าที่ของเรา โดยทำหน้าที่เพื่อหลีกเลี่ยงการโต้เถียงและความเห็นที่ไม่ตรงกันในที่ประชุม ครม. เรื่องนี้เป็นเรื่องการทำงานของแต่ละคน เราไม่ใช่นักบู๊และตีรันฟันแทง เราใช้สติทำงาน

เมื่อถามว่า รัฐบาลจะไปเพราะศัตรู จนทำให้มีอันเป็นไปหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลเป็นของประชาชน ไม่มีศัตรู เพราะรัฐบาลมีศัตรูไม่ได้ 

เมื่อถามว่า ในการประชุม ครม.สัปดาห์ต่อไป รัฐมนตรีของพรรค ภท. จะเข้าประชุมหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เราได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนแล้ว และเคลียร์กันหมดแล้ว จากนี้ไปจะไม่มีการไม่เข้าประชุม ครม.แล้ว ถ้าเข้าประชุมหมายความว่าพร้อมที่จะรับฟัง นายศักดิ์สยาม จะเข้ามาซักถามหรือโต้แย้ง หากนายกฯ เห็นว่ามีความจำเป็นและต้องดำเนินต่อไปในทางใดทางหนึ่ง นายกฯ ก็สามารถสั่งการได้ เราถือว่าเราหลบและหมอบแล้ว ในเรื่องของความเห็นไม่ตรงกัน พูดให้ชัดเจนคือ เมื่อถึงเวลาโหวตแล้วไม่เกิดการแก้ไขอะไรเลย เราก็โหวตโน แต่ถ้าแก้ไขมา และไม่มีความกังวลว่าจะมีอะไรตามมาบ้างหลังจากที่พ้นตำแหน่งและถูกต้องตามกระบวนการทุกอย่าง ค่าโดยสารถูกลง เรามีแต่จะเร่งให้รีบโอนและทำให้สำเร็จโดยเร็ว  

เมื่อถามว่า หากไม่โหวตร่วมกับ ครม. จะรอดพ้นจากความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ได้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เราไม่ก้าวก่ายแล้ว เพราะเราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด แต่ไม่ใช่ไม่โหวตเพราะกลัวว่าเราจะเป็นอะไร สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ไม่ผิดกฎหมาย เป็นไปตามขั้นตอน ประชาชน ประเทศชาติ และรัฐบาลต้องได้ประโยชน์ เราพยายามอยู่ในแนวทางนี้ 

เมื่อถามว่า การเคลื่อนไหวของรัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทยไมได้เป็นการกดดันให้นายกฯหนักใจ และให้นายกฯต้องเลือกระหว่าง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กับนายอนุทินใช่หรือไม่ นายอนุทิน ส่ายหัวพร้อมกล่าวเสียงดังว่า “ระหว่าง พล.อ.อนุพงษ์ กับนายอนุทิน ไม่ต้องถามเลยว่านายกฯ จะเลือกใคร ท่านเป็นพี่น้องกัน ผมรู้สี่รู้แปด รู้ใหญ่รู้เล็ก ไม่ได้เทียบกันตรงนั้น คนละเรื่องกัน ผมไม่ต้องการให้เลือก เพราะต้องเลือกประชาชน”

'ไทย-ฮังการี' สานต่อความสัมพันธ์และมิตรภาพที่มีมาอย่างยาวนาน พัฒนาความร่วมมือในด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ

ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ต้อนรับ นาย Sandor Sipos (ชานโดร์ ชีโปช) เอกอัครราชทูตฮังการีประจำประเทศไทย ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ เอกอัคราชทูต.ฮังการีประจำประเทศไทย

โดย ทั้งสองฝ่ายได้ชื่นชมความสัมพันธ์ที่มีต่อกันมาอย่างยาวนาน และการแลกเปลี่ยนความร่วมมือของทั้งสองประเทศด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ การพัฒนาความร่วมมือที่มีอยู่เดิมให้ดียิ่งขึ้นในทุกด้าน อีกทั้งความร่วมมือกันในภารกิจรักษาสันติภาพ
   
รมช.กลาโหม ได้กล่าวชื่นชมความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศที่มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความร่วมมือระหว่างกันในเรื่องการค้าการลงทุน การบริหารจัดการน้ำ การศึกษา รวมถึงทางการทหารและขอบคุณทางฮังการีที่บริจาควัคซีนให้กับประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา

‘Gaston Glock’ วิศวกรอัจฉริยะ!! ผู้ออกแบบและสร้างอาวุธ ‘ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ GLOCK’

ปัจจุบันอาวุธปืนพกกึ่งอัตโนมัติยี่ห้อ GLOCK มีส่วนแบ่งการตลาดที่ใหญ่ที่สุดในตลาดปืนพกพลเรือน และเป็นปืนพกกึ่งอัตโนมัติที่เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาใช้ถึง 65% ของอาวุธปืนพก

ความสำเร็จที่ไม่คาดฝันมาก่อนของ GLOCK นั้นเกิดขึ้นได้จากการเป็นบริษัทผู้ผลิตปืนพกคุณภาพเยี่ยมราคาประหยัดออกมาแข่งกับบริษัทที่มีชื่อเสียงอาทิ Smith & Wesson และ Beretta ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดปืนพกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ความสำเร็จเชิงกลยุทธ์เกิดจากการผลิตผลิตภัณฑ์ที่เหนือกว่าอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับการทำการตลาด การโฆษณา และการส่งเสริมการขายไปยังกลุ่มตลาดหลัก ๆ

GLOCK GmbH ตั้งอยู่ใน Deutsch-Wagram ออสเตรีย และไม่ได้เข้าสู่ตลาดอาวุธปืนจนกระทั่งปี 1980 แรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือ ผู้ก่อตั้ง Gaston Glock วิศวกรที่มีประสบการณ์ในการผลิตเรซินสังเคราะห์ขั้นสูง

ช่วงต้นปี 1980 Gaston Glock ได้ไปเยือนสำนักงานใหญ่ของกระทรวงกลาโหมออสเตรีย (AMD) เพื่อเสนอขายอุปกรณ์ทางทหารที่เขาผลิต อาทิ เข็มขัดสำหรับยึดสัมภาระที่ผลิตจาก polymer พลั่ว ลูกระเบิดมือฝึก และเครื่องมือแบบ Multifunction

ขณะที่รอการประชุม Glock ได้ยินการสนทนาของนายทหารระดับสูงสองนาย จึงแอบฟังอย่างตั้งใจ ซึ่งหารือกันเกี่ยวกับข้อกำหนดอย่างเป็นทางการเพื่อเสนอข้อเสนอ (RFP) ให้กับบริษัทผู้ผลิตอาวุธปืน 5 รายในโครงการผลิตปืนพกแทนที่ ปืนพก Walther P38 ที่ล้าสมัยแล้ว

สองพันเอกโอดครวญถึงความคืบหน้าของคำขอและปืนพกซึ่งต้องใช้เวลาในการพัฒนาราว 4-5 ปี จำเป็นต้องผ่านคุณสมบัติบังคับ 17 ประการ เพื่อให้เป็นไปตาม RFP ของ AMD ซึ่งกำหนดให้ปืนพกต้องแม่นยำ น้ำหนักเบา และทนทาน พร้อมซองกระสุนซึ่งจุกระสุนได้มาก (ลูกดก) และใช้กระสุนปืนพกตามมาตรฐาน NATO (9x19 มม.)

การสนทนาของนายทหารทั้งสองยังทำให้ Glock ทราบว่า เมื่อได้รับอาวุธปืนพกแล้วตามกำหนดเวลาแล้ว AMD จะต้องประเมินความคาดหวังของ AMD ให้ได้ถึง 70% ของคุณสมบัติที่จำเป็นเหล่านี้ ข้อกำหนดที่เข้มงวดเหล่านี้ทำให้วิศวกรนักออกแบบอาวุธปืนฝันร้าย บริษัทผู้ผลิตปืนยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่กำหนด ตามกระบวนการผลิตเริ่มต้นจากโครงปืนด้วยเครื่องมือที่มีอยู่เดิมปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับรายละเอียดตามข้อกำหนดเช่นเดียวกับที่พวกเขาทำมานานหลายทศวรรษแล้ว ปืนพกเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นตามแนวคิดเดิม ๆ ประกอบด้วยชิ้นส่วนต่าง ๆ 45-60 ชิ้น Glock จึงได้แนะนำตัวกับนายทหารทั้งสอง และเสนอว่า เขาต้องการได้รับการพิจารณาในการผลิตอาวุธปืนพกสำหรับ AMD ด้วย 

และหลังจากอธิบายธุรกิจและทฤษฎีของเขาเกี่ยวกับเรซินแล้ว ไม่นานก็ถูกปฏิเสธอย่างเหยียดหยามแบบออสเตรีย ซึ่งเห็นได้ชัดว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณสามารถแสดงออกกับ Glock ด้วยความชาญฉลาด Glock ซึ่งได้ลงทะเบียนในรายชื่อผู้ประมูลของ AMD สถานะของเขาจึงอยู่ในฐานะผู้จัดหาสินค้าในปัจจุบัน ทำให้ได้รับข้อมูลจำเพาะและข้อกำหนดการปฏิบัติตามกระบวนการเสนอราคาและกำหนดเวลา จากนั้น Glock ก็ทำงานทั้งวันทั้งคืนต่อมาอีก 2 ปี

Glock ได้ซื้อปืนพกทุกแบบในตลาด และทำการถอดประกอบเข้า-ออกทั้งหมด ด้วยการที่ไม่รู้ถึงกระบวนการผลิตอาวุธปืนจึงกลายเป็นข้อดี เนื่องจากไม่มีประสบการณ์ Glock จึง “ไม่มีข้อปัญหาในการพัฒนาวิธีคิดเกี่ยวกับการผลิตอาวุธปืน” ซึ่ง Glock ได้บอกในภายหลังว่า เพื่อเสริมความไม่มีประสบการณ์เขาได้ว่าจ้างที่ปรึกษาด้านอาวุธปืนที่เก่งมาก 2 คน และมี 'กลุ่มสนใจ' อีกหลายกลุ่มเพื่อช่วยออกแบบและสร้างอาวุธปืน

จากการที่ Glock มีประสบการณ์ในการพัฒนา polymer สูงมาก และมีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตอย่างมากด้วย และเมื่อผสานทักษะเหล่านั้นเข้ากับการออกแบบอาวุธปืนพกปืนที่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหว 34 ชิ้นบรรจุกระสุน 17 นัด และมีน้ำหนักน้อยกว่าอาวุธปืนพกแบบอื่น ๆ ที่มีอยู่ อาวุธปืนพกกึ่งอัตโนมัติ GLOCK ได้รับการออกแบบที่ดีกว่า ผลิตได้แม่นยำกว่า และถูกกว่าด้วยการออกแบบที่ไม่น่าจะสำเร็จ แต่ก็คุ้มกับการลองอาวุธปืนพกที่มีความซับซ้อน แต่มีราคาเพียงประมาณ 70 เหรียญสหรัฐ ที่จะอาวุธปืนพกกึ่งอัตโนมัติ GLOCK ใช้โครงปืนเป็น polymer สไลด์ (ลำเลื่อน) ผลิตด้วยเหล็กจากเบ้าพิมพ์มีความแม่นยำสูง และการชุบเคลือบผิวด้วยความร้อนที่จดสิทธิบัตรเพื่อเพิ่มความต้านทานต่อการสึกหรอและการเกิดสนิม ไม่มีอะไรที่เหมือนและพิสูจน์แล้วว่า เชื่อถือได้ ทนทาน และแม่นยำ อาวุธปืนพกกึ่งอัตโนมัติ GLOCK 17 ได้รวมคุณสมบัติที่จำเป็นทั้งหมดตาม RFP ของ AMD ทั้ง 17 ประการไว้ และเข้าร่วมในการทดสอบของกองทัพออสเตรียเพื่อจัดหาอาวุธปืนพกในปี 1982 แน่นอนที่สุด GLOCK 17 ชนะการแข่งขัน

อาวุธปืนพกกึ่งอัตโนมัติ GLOCK เอาชนะอาวุธปืนที่ผลิตโดยบริษัทผู้ผลิตรายสำคัญอีก 5 ราย เมื่อกระทรวงกลาโหมออสเตรีย (AMD) ได้ทำสัญญาสั่งซื้อปืนไฮบริดจ์เหล็กกล้าคาร์บอนกับ polymer จำนวน 25,000 กระบอกจาก GLOCK และกลายเป็นผู้นำในการผลิตอาวุธปืนเชิงพาณิชย์ เข้าสู่อันดับดีเยี่ยมของบริษัทผู้ผลิตอาวุธปืนของโลก ปืนพก GLCK 17 ต่อมาถูกนำมาใช้โดยทหารและตำรวจออสเตรีย และถูกกำหนดเป็นปืนพกแบบ P80 โดยคู่แข่งที่ใกล้เคียงที่สุดคือ Smith & Wesson ซึ่งทำธุรกิจมาตั้งแต่ ปี 1850 พ่ายแพ้แบบหมดท่าเลยทีเดียว

GLOCK GmbH เป็นบริษัทเอกชน ดังนั้นกำไรจะไปยัง Gaston Glock เท่านั้น และจากการประมาณการ ตามเอกสารที่ยื่นโดย GLOCK ในคดีสิทธิบัตรเมื่อปี 1992 กำไรขั้นต้นเฉลี่ย ณ โรงงานคือ 68% องค์กรที่ทันสมัยเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ระดับนี้ และเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้อย่างมาก โดยไม่ต้องแบ่งกับใครเลย Gaston Glock ได้ก้าวเดินไปตามคมมีดนี้อย่างประสบความสำเร็จ และในตลาดสมัยใหม่ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างผูกขาดเป็นเอกเทศ ยอดขายของกลุ่มผลิตภัณฑ์ GLOCK ทั้งหมดเพิ่มขึ้นทุกปีตั้งแต่เปิดตัวปืนพก GLOCK 17 ปัจจุบันปืนพกยี่ห้อ GLOCK วางจำหน่ายในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก

GLOCK GmbH มีบริษัท Holding ตั้งอยู่ใน Lichtenstein ซึ่งเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการบริหารจัดการอย่างชาญฉลาด เนื่องจากมีการเก็บภาษีนิติบุคคลแบบเฉพาะจาก บริษัท Holding ตั้งอยู่ในอาณาเขต Lichtenstein นั้น (1) คิดอัตราภาษีที่คงที่ 12.5% (2) ไม่มีภาษีกำไรจากการขาย และ (3) มีการลดหย่อนภาษีพิเศษในกรณีที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา และ Gaston Glock มี Charles Ewert อัจฉริยะทางการเงินเป็นที่ปรึกษาของเขา

Charles Ewert ขณะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัว

‘แรมโบ้’ นัด 17 ก.พ. เตรียมหอบล้านรายชื่อ ร้อง ‘กรมการปกครอง-สมช.’ ขับ ‘แอมเนสตี้’ พ้นไทย

‘แรมโบ้’ ลั่นล่ารายชื่อเกินล้านแล้ว เตรียมร้อง ‘มท.-สมช.’ ขับ ‘แอมเนสตี้’ พ้นไทย อ้างทำลายความมั่นคงของประเทศ

เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี รับเรื่องพร้อมรายชื่อภาคประชาชนจำนวน 1,200,000 ชื่อ ทั้ง 4 ภาค ที่ได้ร่วมกันลงชื่อเพื่อขับไล่กลุ่มแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล จากนายอานนท์ แสนน่าน ผู้ริเริ่มก่อตั้งหมู่บ้านเสื้อแดง อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งประเทศไทย และอดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดง ที่ยื่นเพื่อขอให้นำไปยื่นต่ออธิบดีกรมการปกครอง และพล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)

นายเสกสกล กล่าวว่า การยื่นหนังสือครั้งนี้เป็นไปตามที่ตนได้ประกาศไว้ว่าจะขอล่ารายชื่อ 1 ล้านรายชื่อ ซึ่งขณะนี้ได้ครบจำนวนแล้ว เพื่อขับไล่ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เนื่องจากจุดประสงค์ของประชาชนที่ได้มายื่นหนังสือต่อตน เพราะไม่ต้องการให้องค์กรชั่วๆ เลวๆ นี้มาทำลายความมั่นคง และทำร้ายสถาบัน ทำให้เกิดความแตกแยกในประเทศ
 

ประจวบคีรีขันธ์ - มอบเข็ม- เกียรติบัตรดีเด่น!! ให้ อส.ครบรอบ 68 ปี

นายเสถียร เจริญเหรียญ ผู้ว่าราชการ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในฐานะผู้บังคับการกองอาสารักษาดินแดนจังหวัดประจวบฯเป็นประธานพิธีเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากองอาสารักษาดินแดน ครบรอบ 68 ปี ที่ห้องประชุมชั้น 5 ศาลากลางจังหวัด เพื่อระลึกถึงคุณความดี ความเสียสละของผู้บังคับบัญชา เจ้าหน้าที่ และสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน หรือสมาชิก อส.ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติและประชาชน มีรองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่และสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เข้าร่วมในพิธี จากนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดฯ ได้อ่านสารของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการกองอาสารักษาดินแดน สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน ประธานได้มอบเข็มอาสารักษาดินแดนสดุดีผู้ประกอบคุณงามความดี จำนวน 5 นาย มอบประกาศเกียรติคุณให้แก่สมาชิก อส.ที่มีผลงานดีเด่นเป็นที่ประจักษ์ จำนวน 10 นาย มอบทุนการศึกษามูลนิธิอาสารักษาดินแดนในพระบรมราชินูปถัมภ์ให้แก่บุตรสมาชิก อส.จำนวน 5 ราย 

โอกาสนี้ นายเสถียร ได้กล่าวให้โอวาทแก่สมาชิก อส.โดยน้อมนำพระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันพิธีสวนสนามและพระราชทานธงประจำกองอาสารักษาดินแดน เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พุทธศักราช 2497 ความว่า "ขอให้เจ้าหน้าที่กองอาสารักษาดินแดนตั้งใจปฏิบัติหน้าที่โดยพยายามฝึกสอนอบรมประชาชนให้เข้าใจกิจการในหน้าที่ของตน ทั้งในส่วนตัวบุคคล ของครอบครัว ของหมู่บ้านที่เขาอาศัยอยู่ ตลอดจนบ้านเมืองในที่สุด เพื่อให้ได้มีความสามัคคี ร่วมมือร่วมใจกันที่จะช่วยป้องกันภัยอันตรายและรักษาความสงบในท้องถิ่นของตนด้วยความองอาจ กล้าหาญ และซื่อสัตย์สุจริตเพื่อชาติบ้านเมือง และความเป็นเอกราชของเรา จะได้วัฒนาถาวร" 

อียูไฟเขียว รับรอง Thailand Digital Health Pass บน ‘หมอพร้อม’ ใช้เดินทางเข้าออกยุโรปฉลุย 60 ประเทศ

10 ก.พ. 65 - ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายธานี ทองภักดี ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒน์พันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข ร่วมกันแถลงข่าวเรื่อง “การใช้ Digital Health Pass บนหมอพร้อม เพื่อการเดินทางในกลุ่มประเทศ EU”

นายอนุทิน กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยเปิดให้เดินทางเข้าประเทศผ่านระบบ Test&Go อีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 รวมถึงยังมีการเข้าประเทศผ่านระบบแซนด์บอกซ์และระบบกักตัว จึงต้องมีการเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคในผู้เดินทางเข้าประเทศอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2564 สหภาพยุโรป (EU) ได้มีมติยอมรับและขึ้นทะเบียนเอกสารรับรองเกี่ยวกับโควิด-19 ของประเทศไทย หรือ Thailand Digital Health Pass บนหมอพร้อม ให้มีความเท่าเทียมกับเอกสารรับรองของสหภาพยุโรป (EU Digital COVID Certificate : EU DCC) ดังนั้น ผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยทุกคนจึงสามารถใช้เอกสารรับรองบน Thailand Digital Health Pass ของหมอพร้อม แสดงสถานะสุขภาพเกี่ยวกับโควิด-19 ก่อนเดินทางสู่ประเทศ/ดินแดนที่เข้าร่วมระบบการตรวจสอบเอกสารรับรองของสหภาพยุโรปนี้กว่า 60 ประเทศ/ดินแดน (ข้อมูล ณ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565) รวมถึงสามารถใช้แสดงข้อมูลก่อนเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ในประเทศ/ดินแดน เหล่านั้นได้ด้วย ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้เปิดให้ประชาชนเริ่มทดสอบใช้งานระบบดังกล่าวได้แล้ว

“ต้องขอบคุณคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข และผู้บริหารทั้ง 3 กระทรวง ที่ร่วมกันขับเคลื่อนและผลักดันเรื่องนี้จนประสบความสำเร็จ เชื่อมั่นว่าประชาชนทุกคนจะได้รับความสะดวกจากการใช้งานระบบ Digital Health Pass และสามารถเดินทางระหว่างประเทศได้อย่างอุ่นใจและปลอดภัย” นายอนุทินกล่าว

ดร.สาธิต กล่าวว่า การเข้าร่วม EU DCC นอกจากจะช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางแก่ประชาชน ที่ถือเอกสารรับรองฯ ของประเทศไทยแล้ว ยังจะช่วยให้กระทรวงสาธารณสุข สามารถติดตามและตรวจสอบสถานะสุขภาพของนักเดินทางจากประเทศกลุ่มสหภาพยุโรป และประเทศนอกกลุ่มสหภาพยุโรปที่ได้รับการขึ้นทะเบียน EU DCC ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ด้วย โดยเจ้าหน้าที่ของไทย ร้านค้า/หน่วยงานต่างๆ สามารถสแกนคิวอาร์โคดตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวกับโควิด-19 ของนักเดินทางได้เช่นกัน เป็นการยกระดับระบบตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับโควิด-19 ของประเทศไทย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมโรคของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข อย่างไรก็ตาม สายพันธุ์โอมิครอนสามารถแพร่ระบาดได้ง่าย การเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ จึงยังคงต้องระมัดระวังสูงสุดยึดมาตรการ VUCA คือ การฉีดวัคซีน การป้องกันตนเองสูงสุดตลอดเวลา COVID Free Setting และการตรวจ ATK เพื่อช่วยป้องกันการแพร่และรับเชื้อ

นพ.เกียรติภูมิกล่าวว่า เอกสารดิจิทัลเกี่ยวกับโควิด-19 ของ EU DCC ใน Thailand Digital Health Pass จะแสดงข้อมูลสำคัญ 2 ส่วน คือ 1.) ข้อมูลพื้นฐานจำเป็นในการยืนยันตัวตน ได้แก่ ชื่อ-นามสกุล เลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก อายุ สัญชาติ และหมายเลขหนังสือเดินทาง (ถ้ามี) ซึ่งได้รับความร่วมมือจากกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ในการเชื่อมโยงข้อมูลชื่อนามสกุลภาษาอังกฤษและหมายเลขหนังสือเดินทาง (passport number) ของผู้ที่ถือหนังสือเดินทางของประเทศไทย 

และ 2.) ข้อมูลเกี่ยวกับโควิด-19 ประกอบด้วย 1.) ข้อมูลการฉีดวัคซีนโควิด-19 มีอายุ 180 วัน นับจากวันที่รับเข็มล่าสุด 2.) ข้อมูลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR หรือ ATK เฉพาะรุ่นที่ EU รับรอง มีอายุ 7 วัน นับจากวันที่ตรวจล่าสุด และ 3.) ข้อมูลการหายป่วยจากโควิด-19 มีอายุ 180 วัน นับจากวันที่ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วย โดยแสดงในรูปแบบ QR Code ที่มีลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Signature) กำกับ เพื่อป้องกันการปลอมแปลงเอกสาร ซึ่งจะอ่านได้เฉพาะแอปพลิเคชันที่ถูกพัฒนาตามมาตรฐานของ EU เท่านั้น

นายธานี กล่าวว่า การที่สหภาพยุโรปรับรอง Thailand Digital Health Pass ให้มีสถานะเทียบเท่า EU Digital COVID Certificate แสดงถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างไทยและยุโรป รวมถึงความสามารถ ความพร้อม และมาตรฐานด้านดิจิทัลของไทย ทำให้ระบบของประเทศไทยเชื่อมโยงกับระบบเอกสารวัคซีน 60 ประเทศ ได้แก่ ประเทศกลุ่มสหภาพยุโรป 27 ประเทศ และประเทศนอกสหภาพยุโรปที่ได้รับการขึ้นทะเบียนรับรอง 33 ประเทศ โดยไทยเป็นประเทศที่ 2 ในอาเซียนที่ได้รับการรับรองระบบนี้ อย่างไรก็ตาม การเดินทางเข้าประเทศต่างๆ จะมีความแตกต่างกันในเงื่อนไข ทั้งชนิดวัคซีนและชุดตรวจ ATK ที่องค์การยาแห่งสหภาพยุโรปให้การยอมรับ จึงขอให้ตรวจสอบเงื่อนไขก่อนเดินทางทุกครั้ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top