Friday, 16 May 2025
TheStatesTimes

"พรรคกล้า" ยื่น 8,000 รายชื่อ เสนอบทลงโทษ ส.ส. โดดประชุมสภา ตัดเงิน - ตัดสิทธิ ลง ส.ส. สมัยหน้า ระหว่างยื่น สภาฯ ล่มซ้ำ เสนอ กก.จริยธรรมสภาฯ สอบ ส.ส.ทำสภาล่ม

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ พร้อมผู้เสนอตัวสมัคร ส.ส. กรุงเทพมหานคร เข้ายื่นหนังสือต่อนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่านนายแพทย์ สุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเสนอแก้ไขข้อบังคับการประชุม เพิ่มโทษทางวินัยแก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่บกพร่องในการทำหน้าที่ พร้อมแนบรายชื่อผู้สนับสนุนแนวคิดนี้กว่า 8,000 รายชื่อ

นายพงศ์พล กล่าวว่า ส.ส. คือตัวแทนประชาชน หนึ่งในหน้าที่สำคัญตามที่รัฐธรรมนูญระบุคือ การเสนอและพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญและร่างพระราชบัญญัติ ทำหน้าที่แทนประชาชนในทางนิติบัญญัติที่สำคัญยิ่ง แต่เมื่อปฏิบัติหน้าที่จริง ส.ส. หลายท่านกลับไม่มาแสดงตัวที่สภา เป็นเหตุให้ "สภาล่ม" เพราะแสดงตนไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ตลอดระยะเวลาของสภาชุดนี้ ตั้งแต่ 24 ก.ค. 2562 ถึง 4 ก.พ. 2565 เกิดสภาล่ม ถึง 16 ครั้ง ผลาญภาษีประชาชนกว่า 66.8 ล้านบาท หากเวลาในสมัยประชุมสภา ถูกใช้ไปกับ ”สภาล่ม” ไม่ว่าจะด้วยความไม่มีวินัย หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจงใจทำให้องค์ประชุมไม่ครบ

นอกจากเป็นการสิ้นงบประมาณแผ่นดิน ยังเป็นการเอา “ความเจริญก้าวหน้าของประเทศ” มาเป็นตัวประกัน.. เพราะกฎหมายสำคัญหลายฉบับ ที่ออกมาเพื่อแก้ความเดือดร้อนปวงชน ต้องหยุดชะงักเพราะ "สภาล่ม” อาทิ การพิจารณาร่าง พ.ร.บ. การศึกษา (17 ก.ย. 2564),  ญัตติด่วนแก้ไขเรื่องวิกฤติ (1 ก.ค. 2564), ร่าง พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ (15 ธ.ค. 2564) , รายงานการศึกษาแนวทางการบริหารจัดการลุ่มน้ำทั้งระบบ (17 ธ.ค. 2564) , ร่าง พ.ร.บ. กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (19 ม.ค. 2565), ร่าง พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิต สุรา (2 ก.พ. 2565) และอื่นๆอีกมาก 

นายพงศ์พล กล่าวอีกว่า นักเรียนขาดเรียน ยังโดนตัดคะแนน พนักงานเงินเดือน ขาดงาน ยังโดนตัดเงิน ส.ส.ผู้ทรงเกียรติที่รับเงินเดือนเต็มจากภาษีประชาชน แต่ขาดความรับผิดชอบในการทำหน้าที่นิติบัญญัติ ควรมีมาตราการลงโทษทางวินัย เราจึงเสนอเปลี่ยนข้อบังคับการประชุม เพิ่มบทลงโทษทางวินัย แก่ส.ส. ที่ไม่แสดงตน 3 ประการ คือ 1. การตัดเงินเดือนในวันที่ไม่แสดงตัว โดยคิดเป็นอัตรารายวัน คำนวนจากฐานเงินเดือน หารด้วยจำนวน 30 วัน หากไม่มีจดหมายลาแจ้งล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษร

2. เมื่อ ส.ส.ท่านใด ขาดการแสดงตัวเกินร้อยละ 25 จะถูกคาดโทษ “ใบเหลือง” คือ การจำกัดสิทธิในการโหวตรับรองร่างกฎหมาย และการอภิปรายในการประชุม 2 ครั้ง และ3. เมื่อ ส.ส.ท่านใด ขาดการแสดงตัวเกินร้อยละ 50 จะถูกคาดโทษ “ใบแดง” คือ การจำกัดสิทธิการสมัครลงรับเลือกตั้งผู้แทนราษฎร และการดำรงตำแหน่งข้าราชการทางการเมือง ในสมัยเลือกตั้งหน้า ซึ่งโทษใบแดง อาจดูรุนแรง แต่ทั้งหมดถูกอ้างอิงจากโทษของประชาชนทั่วไป ผู้ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ยังโดนตัดสิทธิการสมัคร และการดำรงตำแหน่งข้าราชการทางการเมือง ถึง 2 ปี ขณะที่ ส.ส.ที่ถูกเลือกเข้ามาโดยประชาชน แต่มีประวัติจำนวนการแสดงตัวในสภาต่ำกว่าครึ่งหนึ่ง หรือกระทั่งไม่เคยแสดงตัวโหวตร่างกฎหมาย ขณะนี้ยังไม่มีโทษทางวินัยแต่อย่างใด 

นายพงศ์พล กล่าวด้วยว่า การทำหน้าที่ในสภา เป็นหน้าที่ของ ส.ส. ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลส.ส. มีอำนาจโหวต เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย หรืองดออกเสียง แต่การใช้เครื่องมือในการเดินหนี ไม่ใช่วิถีประชาธิปไตย มีสิทธิ แต่ไม่ใช้ ไม่ต่างจากการบอยคอตเลือกตั้งที่มีมาในอดีต เพราะฉะนั้นกรอบข้อบังคับการประชุมต้องรัดกุมกว่านี้ ไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำ ให้ภาษีของประชาชนเสียหาย พร้อมขอชื่นชม ส.ส. ทุกท่านทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลที่ตั้งใจทำงานและแสดงตน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อเสนอจากพรรคกล้าและประชาชนกว่า 8,000 คน ที่หวังดีต่อประเทศ อยากให้การการประชุมมีประสิทธิภาพมากขึ้น และอยากให้การเมืองมีคุณภาพมากขึ้น

กรุงเทพฯ - ม.เกษตร ผนึกกำลัง! ซีพีเอฟ ซีพีพี ยกระดับงานวิจัย - การศึกษาของชาติ นำร่องการวิจัยการปรับปรุงพันธุ์กัญชา และอาหารเพื่อนักกีฬา

ดร.จงรักษ์ วัชรินทร์รัตน์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding – MoU) และบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (Memorandum of Agreement – MoA) กับนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ นายสุเมธ ภิญโญสนิท ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จำกัด หรือ ซีพีพี บริษัทในเครือซีพี

เพื่อยกระดับงานวิจัยด้านอาหารและการเกษตร ควบคู่กับพัฒนาการศึกษาของประเทศให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ภายใต้กรอบความร่วมมือ 3 ด้าน คือ ด้านการพัฒนาหลักสูตร ด้านพัฒนางานวิจัย และด้านการจัดกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ ที่มุ่งเน้นเปิดโอกาสให้นิสิตได้แสดงศักยภาพของตนเอง ได้เรียนรู้ผ่านการปฏิบัติและการลงมือทำจริง ช่วยสร้างบัณฑิตที่มีคุณภาพ มีทักษะความรู้ที่ตรงตามความต้องการของตลาด

โดยมีคณะผู้บริหารของมหาวิทยาลัย และบริษัท ร่วมด้วย ได้แก่ รศ.ธานี ศรีวงศ์ชัย คณบดีคณะเกษตร รศ.อภิสิฎฐ์ ศงสะเสน คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ นางสาวพิมลรัตน์ รีพัฒนาวิจิตรกุล ประธานผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล และ ดร.สมหมาย เตชะศิรินุกูล รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ซีพีเอฟ

การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ ประกอบด้วย MoU และ MoA ซึ่งนำไปสู่สัญญาให้ทุนอุดหนุนโครงการวิจัยการปรับปรุงพันธุ์กัญชาไทยให้มีคุณภาพและมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น มีส่วนร่วมสนับสนุนให้อุตสาหกรรมเกษตร และอุตสาหกรรมอาหารของไทย ขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยผลงานวิจัยที่มีคุณภาพ และมีความเหมาะสมกับบริบทความต้องการของคนไทย เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ และเพื่อส่งเสริมให้คนไทยได้บริโภคอาหารที่ดี เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี ผ่านความร่วมมือในการดำเนินโครงการวิจัยต่าง ๆ อาทิ อาหารเพื่อนักกีฬา อาหารเพื่อผู้สูงวัย จุลินทรีย์โปรตีนทางเลือก อาหารจากวัตถุดิบท้องถิ่น เป็นต้น เพื่อยกระดับงานวิจัยสู่การใช้งานจริงในเชิงอุตสาหกรรม

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญของความร่วมมือด้านวิชาการ การศึกษาวิจัย รวมถึงการดำเนินกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับการพัฒนาชุมชน กับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สถาบันการศึกษาชั้นนำที่มีความเป็นเลิศในด้านการเกษตร และวิทยาศาสตร์อาหาร จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ รวมถึงองค์กรทั้ง 2 ฝ่าย ในการนำองค์ความรู้ต่อยอดด้านงานวิจัย ช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารของไทยบนเวทีโลก

"ซีพีเอฟมุ่งมั่นส่งมอบอาหารปลอดภัย สร้างความมั่นคงทางอาหาร โดยทุ่มเทพัฒนานวัตกรรมที่มุ่งเน้นสุขโภชนาการ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และตอบโจทย์ผู้บริโภคในอนาคต โดยมีเป้าหมายให้คนไทยมีสุขภาพและสุขภาวะที่ดี นอกจากนั้น ยังส่งเสริมการนำวัตถุดิบท้องถิ่นมาใช้ผลิตเชิงอุตสาหกรรม ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น" นายประสิทธิ์กล่าว

ด้านนายสุเมธ ภิญโญสนิท ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีพีกล่าวเสริมถึงความมุ่งมั่นขององค์กร “ในฐานะของบริษัทที่เป็นดั่งต้นน้ำของธุรกิจการเกษตรภายใต้เครือเจริญโภคภัณฑ์  ซีพีพีทำงานอย่างใกล้ชิดกับเกษตรกรของไทย  ด้วยเหตุนี้เอง ปรัชญาในการดำเนินธุรกิจคือ “เกษตรกร คือ คู่ชีวิต” เพราะเราต้องการดูแลให้มีความเป็นอยู่ที่ดี เรามุ่งพัฒนาอาชีพให้กับเกษตรกรไทยให้มีประสิทธิภาพและมีความเป็นเลิศไม่แพ้ชาติอื่น  บริษัทต้องการเห็นเกษตรกรไทยมีรายได้ที่คงที่และยั่งยืน  จึงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมให้การดำเนินธุรกิจแบบ Business-to-Customer (B2C) ของเกษตรกรไทยมีรูปแบบที่ครบวงจร มีคุณภาพและมาตรฐานตั้งแต่การผลิตไปจนการนำผลิตภัณฑ์ออกมาสู่ตลาด รวมถึงการส่งเสริมการพัฒนาเรื่องน้ำเพื่อการเกษตร การดูแลทางด้านการตลาดให้แก่เกษตรกรผ่านนโยบารับซื้อคืน และให้การสนับสนุนปัจจัยต่าง ๆ สำหรับการเกษตร เช่น เมล็ดพันธุ์พืชคุณภาพ ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยอินทรีย์ที่ได้มาตรฐาน บริการการเกษตร เทคโนโลยีเกษตรกรสมัยใหม่ เป็นต้น เพื่อช่วยเพิ่มผลผลิต และลดต้นทุนให้แก่เกษตรกรไทย

"ซีพีพีมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสจับมือกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ การผนึกกำลังระหว่างซีพีพีและซีพีเอฟในครั้งนี้ จะแตกต่างจากที่ผ่านมา เพราะจะเป็นการนำองค์ความรู้ที่เรามีจากประสบการณ์ของพวกเราในฐานะผู้ประกอบการ มาผนวกรวมกับองค์ความรู้จากผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเกษตรฯ ซึ่งเป็นสถาบันวิชาการชั้นนำ ที่มากไปด้วยนิสิตและคณาจารย์ที่รอบรู้ และเปี่ยมด้วยความสามารถ  มีความเชื่อมั่นว่า พวกเราจะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้แก่อุตสาหกรรมเกษตรของประเทศไทยได้แน่นอนจากการจับมือกัน” นายสุเมธกล่าว

'นายกฯ' หารือ 'ออท.สาธารณรัฐสโลวักฯ' เห็นพ้องสานต่อการค้าการลงทุน ส่งเสริมความร่วมมือในสาขาที่มีศักยภาพบริหารจัดการน้ำ และขยะ โดยต่างสนับสนุนการเจรจา FTA ไทย-EU ให้สำเร็จ 

ที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายยาโรสลัฟ เอาต์ (H.E. Mr. Jaroslav Auxt) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสโลวักประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เนื่องในโอกาสเข้ารับหน้าที่

นายกรัฐมนตรี กล่าวต้อนรับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสโลวักประจำประเทศไทย ว่า ยินดีที่ไทยกับสาธารณรัฐสโลวักมีความสัมพันธ์ที่ราบรื่นและเป็นมิตรที่ดีต่อกันเสมอมากว่า 40 ปี โดยนายกรัฐมนตรีหวังว่า ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันส่งเสริมความสัมพันธ์และเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นในทุกมิติ ทั้งในกรอบทวิภาคี และพหุภาคี

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่ารัฐบาลไทยพร้อมช่วยเหลือและสนับสนุนการดำเนินงานของเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสโลวักฯ อย่างเต็มที่ พร้อมหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันสานต่อความสัมพันธ์อันดีที่มีต่อกัน และริเริ่มความร่วมมือในสาขาใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ พร้อมกล่าวอวยพรเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสโลวักฯ ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ

ขณะที่เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสโลวักประจำประเทศไทย กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้เข้าเยี่ยมคารวะในวันนี้ ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่ได้หารือร่วมกันในประเด็นสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ โดยเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสโลวักฯ พร้อมสานต่อความสัมพันธ์และความร่วมมืออันดีระหว่างกันให้แน่นแฟ้นมากขึ้น

โดยเฉพาะความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน ตลอดจนประสงค์ที่จะขยายความร่วมมือกับไทยในสาขาใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะด้านการบริหารจัดการน้ำ และการบริหารจัดการขยะและของเสีย ซึ่งเป็นสาขาที่สาธารณรัฐสโลวักเชี่ยวชาญและมีศักยภาพ ซึ่งสอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (BCG Model) ของไทย ซึ่งจะส่งผลถึงแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนในยุคหลังโควิด-19 

โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่า ไทยและสาธารณรัฐสโลวักยังมีโอกาสและช่องทางที่จะขยายความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนระหว่างกันได้อีกมาก โดยนายกรัฐมนตรีต้องการเพิ่มพูนการค้าระหว่างกันให้มากขึ้นอย่างสมดุล ทั้งในแง่ปริมาณและมูลค่าทางการค้า พร้อมทั้งเชิญชวนให้นักลงทุนจากสาธารณรัฐสโลวักเข้ามาลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูง 3 กลุ่มที่ไทยสนับสนุน

นักลงทุนสโลวักสามารถใช้ประโยชน์จากที่ตั้งของไทยในการเป็นฐานการผลิตและกระจายสินค้าสู่ตลาดอาเซียน นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่า ควรรื้อฟื้นกลไกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (Joint Commission on Economic Co-operation: JEC) ไทย-สโลวัก ครั้งที่ 1 ในระดับ ผู้แทนระดับสูง เพื่อเป็นช่องทางในการขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างกัน ตลอดจน สนับสนุนการเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรป ซึ่งเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสโลวักฯ ยืนยัน พร้อมให้การสนับสนุนการเจรจาดังกล่าวอย่างเต็มที่ โดยเห็นว่าการเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรป จะเป็นประโยชน์ต่อความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งในระดับพหุภาคีและทวิภาคี

กาฬสินธุ์ - สร้างปราสาทรวงข้าว ในงาน "ประเพณีบุญคูณลานสู่ขวัญ" ประจำปี 2565 เพื่อสืบสานตำนานพระแม่โพสพ ระหว่างวันที่ ณ วัดเศวตวันวนาราม อำเภอเมืองกาฬสินธุ์

ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ พร้อมด้วยที่ปรึกษารมว.คมนาคม นำส่วนราชการ ประชาชน สืบสานประเพณีบุญคูณลาน เพื่อบูชาพระแม่โพสพ และสู่ขวัญข้าวเพื่อความเป็นสิริมงคล ไฮไลต์อยู่ที่การสร้างปราสาทรวงข้าว ซึ่งชาวบ้านได้ใช้ภูมิปัญญานำรวงข้าวจำนวนมาก มาร้อยเรียงสร้างขึ้นอย่างวิจิตรสวยงาม รายล้อมด้วยการจัดซุ้มปราสาทรวงข้าวบริวารอีกหลายหลัง อีกหนึ่งแลนด์มาร์กส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่หาดูได้ยาก และมีที่เดียวในจังหวัดกาฬสินธุ์

ที่บริเวณวัดเศวตวันวนาราม ต.เหนือ อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ นายทรงพล ใจกริ่ม ผวจ.กาฬสินธุ์ พร้อมด้วย นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายธวัชชัย รอดงาม รอง ผวจ.กาฬสินธุ์ นายชานุวัฒน์ วรามิตร นายก อบจ.กาฬสินธุ์ นายชาญณ์ บุตรวงค์ ปลัดอาวุโส อ.เมืองกาฬสินธุ์ ส่วนราชการ ผู้นำชุมชน ประชาชน และเยาวชน ร่วมกันจัดงานประเพณีบุญบายศรีสู่ขวัญข้าวคูณลานสืบตำนานพระแม่โพสพ ประจำปี 2565  โดยมีนางรำกว่า 300 คน รำบวงสรวงพระแม่โพสพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทำหน้าที่ปกปักรักษาผืนนาและรวงข้าวให้อุดมสมบูรณ์ ภายใต้มาตรการป้องกันโควิด-19

นายทรงพล ใจกริ่ม ผวจ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า บุญบายศรีสู่ขวัญข้าวคูณลานสืบตำนานพระแม่โพสพ เป็นอีกหนึ่งประเพณีในฮีต 12 คอง 14 ของชาวอีสาน ที่สืบสานมาตั้งแต่บรรพบุรุษในช่วงเดือน 3 หลังเสร็จสิ้นฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวนาปี โดยมีการถ่ายทอดมารุ่นต่อรุ่น เพื่ออนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม และประเพณีพื้นบ้านดั้งเดิม เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในท้องถิ่น สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ที่สนับสนุนการท่องเที่ยว ซึ่ง จ.กาฬสินธุ์ มีความโดดเด่นด้านวิถีชีวิตและประเพณีที่ยิ่งใหญ่ตลอดปี  อย่างบุญคูนลานของชาว ต.เหนือ ที่ได้มีการปรับปรุงและพัฒนาให้เหมาะสมกับยุคสมัย โดยเฉพาะรูปแบบปราสาทรวงข้าวมีการพัฒนาเรื่อยมา จนกระทั่งมีรูปแบบเป็นปราสาทรวงข้าวตามที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีความสวยงามโดดเด่นและยังคงรูปแบบวัฒนธรรมอีสานไว้ จนกระทั่งถูกยกระดับให้เป็นประเพณีและแหล่งท่องเที่ยวของ จ.กาฬสินธุ์ และปฏิทินการท่องเที่ยวของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

ด้านนายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า จ.กาฬสินธุ์ มีวัฒนธรรมประเพณีที่สำคัญตามฮีต 12 คอง 14 และแหล่งท่องเที่ยวมากมาย ซึ่งทุกภาคส่วนทั้งราชการ ภาคประชาชน ได้ร่วมกันอนุรักษ์สืบสาน ให้อนุชนรุ่นใหม่ได้เห็นคุณค่า และร่วมกันรักษาประเพณีอันดีงามให้คงอยู่สืบไป เช่นเดียวกับการจัดงานประเพณีบุญบายศรีสู่ขวัญข้าวคูณลาน สืบตำนานพระแม่โพสพในครั้งนี้  เป็นการแสดงถึงศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น และวิถีชีวิตดั้งเดิม ผ่านรูปแบบการจัดกิจกรรมต่างๆ ในงาน เช่น การร่วมบริจาคข้าวเปลือก เพื่อช่วยเหลือครอบครัวผู้ยากไร้ บำรุงพระพุทธศาสนา พัฒนาชุมชน แสดงออกถึงพลังสามัคคี และความกตัญญูต่อพระแม่โพสพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ทำหน้าที่ปกปักรักษานาข้าว น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ และหล่อเลี้ยงต้นข้าวให้เจริญงอกงาม ออกผลผลิตข้าวให้บริบูรณ์ ได้รับประทานเพื่อยังชีพและจำหน่ายสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัว

คาด! ใช้จ่ายช่วงวาเลนไทน์เงียบเหงา

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจทัศนคติ พฤติกรรมและการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงวันวาเลนไทน์ พบว่า วัยรุ่นให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์มากที่สุด 50.3% รองลงมาคือวัยทำงานให้ความสำคัญ 42.2% และคู่สมรสให้ความสำคัญน้อยที่สุด 7.5% ส่วนความเห็นเกี่ยวกับบรรยากาศในวันวาเลนไทน์ในปี 2565 เปรียบเทียบกับปี 2564 พบว่า ปี 2565 จะมีความคึกคักน้อยกว่า ปี 2564 ถึง 51.8% เนื่องจากจากมองว่า เศรษฐกิจแย่ลง ราคาสินค้าแพงขึ้น การแพร่ระบาดของโควิด-19 รายได้ลดลง มีความกังวลเรื่องความปลอดภัยและภาวะตกงาน

สำหรับ คำถามการสำรวจที่ถามว่า ความรักของท่านคืออะไร ผู้ตอบแบบสอบถามโดยรวม มากที่สุดร้อยละ 26.3% ตอบว่า ความรัก คือ ความรับผิดชอบ และรองลงมา 21.6 % คือ ความเข้าใจ ทั้งนี้ช่องทางการบอกรักและอวยพรในวันวาเลนไทน์ ช่องทาง การบอกต่อหน้า มีมากที่สุด 52.6% และค่าใช้จ่ายเฉพาะซื้อของสำหรับมอบให้คู่รัก เฉลี่ยรวมจะอยู่ที่ 840.25 บาทต่อคน

วันนี้ในอดีต ‘สนธิ ลิ้มทองกุล’ นัดชุมนุมขับไล่ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ให้ลาออกจากตำแหน่ง

วิกฤตการณ์การเมืองไทย พ.ศ. 2548 - 2549 เริ่มต้นจากการประท้วงขับ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากข้อกล่าวหาการบริหารประเทศของรัฐบาลที่อาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งปัญหาฉ้อราษฎร์บังหลวง และได้ขยายตัวเป็นวงกว้างยิ่งขึ้นเมื่อถึงปลายปี พ.ศ. 2548 โดยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่มีสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นผู้นำ และขยายตัวในวงกว้างไปยังบุคคลในหลายสาขาอาชีพในเวลาต่อมา

ในการรณรงค์ขับนี้ มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก ในกลุ่มที่แสดงความคิดเห็นสนับสนุนให้นายกรัฐมนตรีลาออกก็มีความเห็นที่แตกต่างกันเป็นหลายๆ กลุ่ม ในเรื่องกระบวนการและประเด็นในการขับ ส่วนในกลุ่มที่สนับสนุน ซึ่งประกอบด้วยประชาชนจำนวนไม่น้อย รวมไปถึงกลุ่มคาราวานคนจน และขบวนรถอีแต๋นเดินทางมาจากต่างจังหวัด ก็ได้รวมตัวชุมนุมเพื่อสนับสนุนให้นายทักษิณ ชินวัตรดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป โดยปักหลักอยู่ที่สวนจตุจักร และตามจังหวัดต่างๆ ของประเทศไทย

'นายกฯ' สั่งไล่เช็คบิลเอสเอ็มอีฮั้วประมูล พบทุจริตเจอโทษหนัก 

พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เปิดเผยภายหลังการเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (บอร์ด สสว.) ว่า การดำเนินงานเพื่อส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี จะต้องหาแนวทางให้สามารถดูแลช่วยเหลือเอสเอ็มอีเข้ามาอยู่ในระบบให้มากที่สุด เพื่อให้เอสเอ็มอีเข้าถึงการช่วยเหลือดูแลของรัฐบาลได้ ซึ่งเรื่องการขึ้นทะเบียนเอสเอ็มอีนั้นพบว่า ตัวเลขจำนวนเอสเอ็มอีของภาครัฐกับภาคธุรกิจเอกชนยังไม่ตรงกัน จึงขอให้ช่วยกันบริหารจัดการข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความร่วมมือระหว่างกันในเรื่องการใช้ฐานข้อมูล และระเบียบต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ เป็นเรื่องที่สำคัญต่อการช่วยเหลือเอสเอ็มอี 

ทั้งนี้ ยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับธุรกิจเอสเอ็มอีเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งที่ผ่านมาได้เร่งรัดเรื่องการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และการทำให้เอสเอ็มอีเข้าสู่ระบบการช่วยเหลือมาโดยตลอด สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจว่ารัฐบาลมีความจริงใจ ขับเคลื่อนทุกอย่างในการยกระดับเอสเอ็มอีให้ดีขึ้น  

ศาลสั่งจำคุก 2 ปี เจ้าของเพจ 'ตาสว่าง' ปมบิดเบือนการเลี้ยงไก่ หมิ่นประมาทซีพี

10 ก.พ. 65 - สำนักยุทธศาสตร์ข้อมูลและการสื่อสาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ออกเอกสารข่าวระบุว่า ตามที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) โดย บมจ.ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสถิต โคกศรี สมาชิกเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อบัญชีผู้ใช้ว่า “ตาสว่าง” ในข้อหา “หมิ่นประมาทและหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา” ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ เมื่อวันที่ 15 ม.ค. 61 จากกรณีที่นายสถิต โคกศรี หมิ่นประมาทกล่าวใส่ร้ายบริษัทฯ กระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน โดยการโฆษณาคลิปวิดีโอบันทึกภาพ บันทึกเสียง โดยบิดเบือนข้อมูลว่าซีพีได้ใช้อาหารและสารเคมีต้องห้ามตามกฎหมายในการเลี้ยงไก่อย่างไม่ถูกต้อง และเลี้ยงไก่โดยใช้ฮอร์โมนเข้าไปทำให้ไก่โตไวผิดปกติ และกล่าวหาว่าซีพีประกอบธุรกิจเกษตรพันธสัญญาอย่างไม่เป็นธรรม เอารัดเอาเปรียบเกษตรกร โดยจากการสืบพยานของศาลอาญากรุงเทพใต้ พบว่าคำบิดเบือนของเพจตาสว่างไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ทั้งพบข้อเท็จจริงอีกว่า การใช้ฮอร์โมนในการเลี้ยงไก่เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายในประเทศไทย และซีพีประกอบธุรกิจตามหลักกฎหมาย และตามหลักธรรมาภิบาลมาโดยตลอด รวมถึงได้ให้การสนับสนุนเกษตรกรเป็นอย่างดี

States TOON EP.48

ขอบใจ๊จริงๆ

ติดตามการ์ตูนอัปเดตได้ทุกสัปดาห์…

 

หลักสูตรสาธิต มธ. ‘ก้าวหน้า’ หรือ ‘บิดเบือน’ !? | Click on Clear THE TOPIC EP.146

📌 ไขข้อข้องใจหลักสูตร ‘โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์’ !!
‘ดร.เกียรติศักดิ์ แสงอรุณ’ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการและกระบวนการเรียนรู้ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

📌ใน Topic :  หลักสูตรสาธิต มธ. ‘ก้าวหน้า’ หรือ ‘บิดเบือน’ !?

ในรายการ Click on Clear THE TOPIC จับประเด็น เน้นความรู้

ดำเนินรายการโดย ปริม กุญชนิตา กุญชร ณ อยุธยา PROGRAM DIRECTOR THE STATES TIMES

.

.


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top