Friday, 16 May 2025
TheStatesTimes

“บิ๊กโจ๊ก” เดินหน้า!กวาดล้าง ‘มาเฟียน้ำมันเขียว’ จับกลางอันดามัน เวียนเทียนใช้รหัสเรือจม โผล่เติมน้ำมัน

จากกรณีที่ประเทศไทยได้ถูกลดอันดับการรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์จากทางการสหรัฐฯ ลงเป็นอันดับประเทศที่ต้องจับตามอง (Tier 2 Watch List) โดยมีข้อสังเกตในเรื่องการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการค้ามนุษย์อย่างจริงจังในทุกภาคส่วน ปัญหาการบังคับใช้แรงงานและแรงงานข้ามชาติซึ่งเกิดขึ้นในหลายอุตสาหกรรมรวมถึงภาคการประมง รวมทั้งปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ตามที่ทราบแล้ว นั้น

จากกรณีดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย เพื่อแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย และการบังคับใช้แรงงานในภาคการประมง โดยมี พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานคณะทำงานเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ ควบคุม เฝ้าระวังการทำการประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพื่อขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งได้แต่งตั้งชุดปฏิบัติการตรวจสอบและเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาการประมง เพื่อการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวและประสานการปฏิบัติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ในการนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ /ผู้อำนวยการ ศพดส.ตร. และ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ / รองผู้อำนวยการ ศพดส.ตร. /รองประธานอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) โดยเร่งด่วน

โครงการน้ำมันเขียว เป็นโครงการที่ภาครัฐจัดน้ำมันดีเซลที่เติมสารสีเขียวเพื่อให้แยกแยะจากน้ำมันบนฝั่งได้ และได้รับยกเว้นภาษีสรรพสามิต ทำให้มีราคาถูกกว่าน้ำมันดีเซลบนบกประมาณลิตรละ 6 บาท ซึ่งรัฐบาลจัดให้มีขึ้นเพื่อลดภาระต้นทุนการทำประมงให้กับชาวประมงพาณิชย์ตามมติคณะรัฐมนตรีตั้งแต่ 18 กันยายน 2555 ในการบริหารจัดการมีอธิบดีกรมสรรพสามิตทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการ ปัจจุบันมีเรือสถานีบริการ (Tanker) 51 ลำ ให้บริการพี่น้องชาวประมงพาณิชย์ทั่วเขตทะเลไทย

ต่อมาประเทศไทยได้รับ “ใบเหลือง” การทำประมง IUU จากสหภาพยุโรปเมื่อปี 2558 รัฐบาลดำเนินการจัดระเบียบการทำประมงประเทศไทยใหม่ทั้งระบบ ทำให้เรือประมงพาณิชย์ที่ได้รับสิทธิเติมน้ำมันเขียวลดลงจาก 10,459ลำ ในปี 2559 เหลือ 8,445 ลำ ในปี 2564 แต่ทว่าขณะที่เรือประมงพาณิชย์ที่เติมน้ำมันเขียวลดจำนวนลง แต่ปริมาณการจำหน่ายกลับมิได้ลดลงตามสัดส่วนจำนวนเรือ กลับ “คงที่อยู่ประมาณปีละ 610 ล้านลิตร” คิดเป็นภาษีที่รัฐบาลยกเว้นถึงปีละประมาณ 4,000 ล้านบาท หรือเท่ากับเรือประมงพาณิชย์ทุกลำที่เติมน้ำมันเขียว ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในการยกเว้นภาษีที่ควรจะเสียประมาณ 471,717 บาท/ลำ/ปี

นอกจากนั้น การอุดหนุนภาคประมงพาณิชย์ด้วยการ “ยกเว้นภาษี” น้ำมันดีเซลให้ต่ำกว่าราคาตลาดลิตรละ 6 บาท หรือน้ำมันเขียว ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญที่องค์การการค้าโลก (WTO) ให้ประเทศไทยชี้แจงว่า เป็นการอุดหนุนที่มีการบริหารจัดการอย่างเข้มงวดหรือไม่ เพื่อมิให้เป็นการสนับสนุนการทำประมง IUU การทำประมงทำลายล้างทรัพยากรสัตว์น้ำ Over Fishing ซึ่งหากประเทศไทยไม่มีแนวทางการบริหารจัดการ ก็มีความเสี่ยงสูงมากที่องค์การการค้าโลกจะประกาศให้ประเทศไทยต้องยกเลิกการอุดหนุนภาคประมงพาณิชย์ด้วยการยกเลิกโครงการน้ำมันเขียวทั้งหมด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเรือประมงพาณิชย์ประเทศไทยอย่างกว้างขวาง

คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2564 จึงอนุมัติกรอบการชี้แจงกับองค์การการค้าโลก (WTO) โดยยืนยันว่าประเทศไทยมีการกำกับดูแลที่ดีในการทำประมงไม่ให้เป็น IUU ทำลายล้างสัตว์น้ำ และมีระบบควบคุมดูแลการสนับสนุนการทำประมงอย่างดีมีประสิทธิภาพ ทำให้หน่วยงานภาครัฐโดยกรมสรรพสามิต ได้ประสานขอการสนับสนุนจาก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะประธานคณะทำงานเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ ติดตาม ควบคุม เฝ้าระวังการทำประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เข้าตรวจสอบ สืบสวน เพื่อ “จัดระบบ” ควบคุมดูแลโครงการน้ำมันเขียว ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์อย่างเคร่งครัด ไม่ให้ถูกนำไปใช้ในการทำประมง IUU การทำประมงทำลายล้างสัตว์น้ำ และการค้ามนุษย์ แรงงานบังคับ บนเรือประมง

จากการตรวจสอบข้อมูลเรือประมงที่มีสิทธิเติมน้ำมันเขียว ซึ่งต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามประกาศกรมศุลกากร ที่ 68/2561 ลงวันที่ 10 เมษายน 2561 ประกอบด้วย

1) ต้องเป็นเรือประมงที่ได้รับใบอนุญาตทำการประมงจากกรมประมง 

2) ต้องเป็นเรือประมงที่ผ่านการรับรองจากสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย 

3) ต้องเป็นเรือประมงที่มีรหัสและรับรองจากสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย

โดยสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยส่งให้กับกรมสรรพสามิต เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2564 จำนวน 8,445 ลำ พบข้อมูลว่า มีเรือที่ไม่มีคุณสมบัติตามประกาศกรมศุลกากร แต่สมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ออกรหัสและรับรองให้เติมน้ำมันเขียว ถึง 791 ลำ ประกอบด้วย เรือประมงพาณิชย์ไม่มีทะเบียนเรือ เรือประมงพาณิชย์ไม่มีใบอนุญาตประมงพาณิชย์จากกรมประมง เรือประมงพาณิชย์ที่แจ้งจมหรือทำลายไปแล้ว เรือประมงพาณิชย์ที่เปลี่ยนประเภทไปเป็นเรือบรรทุกสินค้า เรือลากจูง และเรือประมงพื้นบ้านที่มีขนาดถังน้ำมันตั้งแต่ 1,500 - 10,000 ลิตร ซึ่งเกินกว่าขนาดตัวเรือที่สามารถบรรทุกได้

เมื่อนำรายชื่อเรือพร้อมรหัสเติมน้ำมันเขียวจากสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ไปสอบยันกับข้อมูลการเติมน้ำมันเขียวที่ตำรวจน้ำได้รับจากเรือสถานีบริการ (Tanker) พบว่า มีเรือประมงที่ใช้รหัสของเรือประมงที่ขาดคุณสมบัติข้างต้น “ไปเติมน้ำมันเขียว” จำนวนหลายลำ และยิ่งไปกว่านั้นยังพบว่ามีเรือประมงอีกจำนวน 599 ลำ ใช้รหัสเติมน้ำมันไม่ตรงกับรหัสเติมน้ำมันที่สมาคมการประมงแห่งประเทศไทยออกให้และรับรอง “เข้ามาเติมน้ำมันเขียว” ด้วย เช่นเดียวกัน ทำให้จำนวนเรือที่เกี่ยวข้องในการกระทำผิด “เติมน้ำมันเขียว” โดยขาดคุณสมบัติตามประกาศกรมศุลกากร ซึ่งออกตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มีจำนวนถึง 1,390 ลำ

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. จึงบูรณาการกำลังออกปฏิบัติการร่วมกัน ระหว่าง กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กรมประมง กรมเจ้าท่า ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) และเจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้าจับกุมเรือประมง ชื่อ ช.ศรีพลนภา 5 ขนาด 122 ตันกรอส ขณะทำการประมงบริเวณทะเลอันดามัน พื้นที่รอยต่อจังหวัดพังงาและระนอง โดยให้เข้าเทียบท่าที่ อ.คุระบุรี จ.พังงา มีพฤติกรรมวนเวียนเติมน้ำมันจากเรือสถานีบริการ (Tanker) หลายลำ ในช่วงเวลาต่าง ๆ กัน โดยใช้รหัสเติมน้ำมันของ “เรือประมงที่แจ้งทำลายเรือ” ไปเรียบร้อยแล้ว ก่อนวันที่ 13 กรกฎาคม 2564 และขยายผลเข้าตรวจค้นเอกสารหลักฐานต่าง ๆ จากผู้เกี่ยวข้อง คือ เรือสถานีบริการน้ำมันเขียว บริษัทเข้าของเรือสถานีบริการน้ำมันเขียว รวมถึงสมาคมประมงที่ให้การรับรอง เพื่อดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560มาตรา 189 ขนถ่ายน้ำมันในเขตต่อเนื่องโดยไม่มีคุณสมบัติ มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือปรับเป็นเงินสองเท่าของราคาน้ำมันที่อยู่ในเรือ หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งเรือประมงที่ถูกจับกุมวันนี้บรรทุกน้ำมันประมาณ 30,000 ลิตร และได้เติมน้ำมันเขียวโดยใช้รหัสเติมน้ำมันเขียวจากเรือประมงลำอื่นที่แจ้งกับกรมเจ้าท่าว่า ถูกทำลายไปแล้ว จำนวน 6 ครั้ง จะต้องโดนปรับ 4,320,000 บาท นอกจากนั้น ยังเข้าข่ายกระทำความผิดพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มาตรา 203 ฐานนำน้ำมันที่ยังไม่เสียภาษีสรรพสามิตเข้ามาในราชอาณาจักร มีโทษปรับสองถึงสิบเท่าของภาษี จึงจะต้องเสียค่าปรับอีก 12,600,000 บาท รวมค่าปรับทั้งสองกฎหมาย รวม 16,920,000 บาท ทั้งนี้ยังไม่รวมการดำเนินคดีจากกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น พระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 พระราชบัญญัติเรือไทย พ.ศ. 2481 เป็นต้น และจะมีการจับกุมดำเนินคดี กับเรือประมงที่กระทำความผิดในลักษณะเดียวกันตามมาอีกจำนวนมากในทุกจังหวัดชายทะเล ซึ่งชุดปฏิบัติการได้กำหนดเป้าหมายไว้เรียบร้อยหมดแล้ว ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นต้นไป

นอกจากจะมีการดำเนินคดีกับกลุ่มเรือประมงที่ไม่มีคุณสมบัติเติมน้ำมันเขียวแล้ว ในส่วนของเรือสถานีบริการ (Tanker) และสมาคมการประมง ที่ให้การรับรองคุณสมบัติและออกรหัสเติมน้ำมันเขียว ก็จะถูกดำเนินคดีด้วยทั้งหมดเช่นเดียวกัน

“ผมขอเรียนว่า ปฏิบัติการครั้งนี้ไม่มีผลกระทบต่อพี่น้องชาวประมงที่ประกอบอาชีพโดยสุจริตแต่อย่างใด ทุกท่านยังสามารถเติมน้ำมันเขียวได้ตามปกติเหมือนเดิมทุกประการ ผมขอย้ำว่าการทำงานของผมคือการแยกน้ำเสียออกจากน้ำดี ให้คนดีมีที่ยืนอย่างภาคภูมิใจในสังคม คนไม่ดีต้องได้รับการลงโทษ ซึ่งผมมั่นใจว่า พี่น้องชาวประมง 95% เป็นคนดี หน้าที่ของผมคือ นำคนไม่ดี 5% ไม่ให้ปะปนกับคนดีและทำให้คนดีได้รับความเสียหาย การบูรณาการการทำงานร่วมกันหลายหน่วยงานครั้งนี้ เป็นการสร้างความเป็นธรรมในระบบภาษีของประเทศในภาวะที่ประชาชนกำลังได้รับความลำบาก แต่มีบางพวก บางกลุ่ม แสวงหาผลประโยชน์จากสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ภาครัฐดูแลสนับสนุนไป เพื่อประโยชน์ส่วนตัว สร้างความเสียหายจากมูลค่าภาษีที่รัฐควรจะได้ถึงปีละ 700 ล้านบาท อย่างไรก็ตามผมจะประสานงานหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กรมประมง ในการเร่งรัดปรับปรุงกระบวนการควบคุม ดูแลการบริหารจัดการน้ำมันเขียวไม่ให้เกิดการกระทำความผิดเช่นนี้อีก โดยเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นประเทศของเราจะอยู่ในความเสี่ยงสูงที่จะถูกองค์การการค้าโลก (WTO) พิจารณายกเลิกมาตรการอุดหนุนการทำประมงโดยโครงการน้ำมันเขียว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อพี่น้องชาวประมงทุกคนอย่างร้ายแรง อีกทั้งโดนประชาคมโลกกล่าวหาว่าสนับสนุนการทำประมง IUU ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสินค้าประมงไทยที่กำลังเป็นรายได้หลักของประเทศในขณะนี้”

 

ระยอง - พบน้ำมันรั่วไหลกลางทะเล ซ้ำอีกที่จุดเดิม 5,000 ลิตร สาเหตุเกิดจาก เจ้าหน้าที่ยกท่ออ่อนจุดที่รั่วเดิมขึ้นมาตรวจสอบ แต่มีน้ำมันค้างท่อ

เมื่อเวลา 16.00 น. ของวันที่ 10 ก.พ.2565 ที่ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัดระยอง กรณีน้ำมันดิบรั่วกลางทะเล หมู่บ้านสบาย สบาย หาดแม่รำพึง อ.เมือง จ.ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ว่าที่ ร.ต.พิรุณ เหมะรักษ์ รอง ผวจ.ระยอง ในฐานะคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงปริมาณการรั่วไหลของน้ำมัน บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด(มหาชน)หรือ SPRC และ นายพุทธิกรณ์ วิชัยดิษฐ อุตสาหกรรมจังหวัดระยอง เปิดแถลงข่าวด่วนหลังมีรายงานว่า มีน้ำมันดิบรั่วไหลกลางทะเลซ้ำจุดเดิมอีก สาเหตุเกิดจากทางบริษัท SPRC ได้มีการยกท่ออ่อนขนถ่ายน้ำมันบริเวณทุ่นขนถ่ายน้ำมันกลางทะเลจุดที่พบการรั่วไหลครั้งที่ผ่านมา ขึ้นมาตรวจสอบแต่พบว่ามีน้ำมันค้างท่ออยู่ จึงเกิดการรั่วไหลลงทะเลซ้ำอีก

ว่าที่ ร.ต.พิรุณ กล่าวว่า เมื่อช่วงเช้าวันนี้ เวลาประมาณ 09.00 น.ได้รับแจ้งจาก บ. SPRC ว่าได้เกิดเหตุน้ำมันรั่วไหลซ้ำอีกจุดเดิมที่มีการรั่วไหลกลางทะเลเมื่อวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งสาเหตุเกิดจากเจ้าหน้าที่ของ บ.SPRC ได้มีการยกท่ออ่อนจุดที่รั่วไหลขึ้นมาตรวจสอบ แต่พบว่ามีน้ำมันดิบค้างท่ออยู่ จำนวน 5,000 ลิตร เกิดรั่วไหลลงทะเล แต่เป็นน้ำมันที่ไม่หนาแน่นเหมือนครั้งที่ผ่านมา โดยจุดที่พบคราบน้ำมันอยู่ห่างทุ่นขนถ่ายน้ำมันประมาณ 3 ไมล์ทะเล และอยู่ห่างจากฝั่งประมาณ 20 กม. เบื้องต้นทางบริษัทฯ ได้ระดมเรือ จำนวน 9 ลำ และเฮลิคอปเตอร์ 1 ลำ เข้าควบคุมสถานการณ์ โปรยสารเคมีสลายคราบน้ำมันดังกล่าวอย่างเร่งด่วนแล้ว อย่างไรก็ตามมั่นใจว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และเอาอยู่ไม่พัดเข้าฝั่งแน่นอน

ระยอง - โฆษกกองทัพเรือแจง ทรภ. 1 ส่งอากาศยาน ขึ้นสำรวจน้ำมันรั่วรอบ 2 ที่ระยอง พบไม่รุนแรง!!

พลเรือโท ปกครอง  มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ ชี้แจงข่าวกรณีเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 บริษัทสตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด(มหาชน) หรือ SPRCได้ประกาศภาวะฉุกเฉินน้ำมันรั่วไหล Tier 1  (ภาวะน้ำมันรั่วไหลขนาดเล็ก ไม่เกิน 20 ตัน)  เนื่องจากพบฟิล์มน้ำมันดิบ (สีเงิน) บริเวณทิศเหนือ ห่างจากทุ่นผูกเรือน้ำลึกแบบทุ่นเดี่ยวกลางทะเลประมาณ 3 ไมล์ เนื่องจากมีการเข้าไปเก็บหลักฐานเพื่อประกอบทางคดี และมีการสอบสวนถึงน้ำมันในท่อและระบบซึ่งขณะทำการตรวจสอบ ได้เกิดการรั่วไหลของน้ำมันค้างท่อจำนวนประมาณ 5,000 ลิตร และ บริษัทฯ ได้ขอกำลังทางเรือและอากาศยานจากทัพเรือภาค 1 ขึ้นบินลาดตระเวนตรวจคราบน้ำมันและวางแผนการใช้สารขจัดคราบน้ำมันเพื่อระงับเหตุ ให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว และอยู่ในวงจำกัด

เชียงใหม่ - อบจ.เชียงใหม่ จัดการประกวดนางสาวเชียงใหม่ ประจำปี 2565 เชื่อมโยงอัตลักษณ์ความเป็นล้านนา...สู่สากล!!

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ จัดพิธีเปิดการจัดประกวดนางสาวเชียงใหม่ ประจำปี  พ.ศ. 2565 โดยมีนายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานในพิธีเปิด งาน เพื่อขับเคลื่อนการกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยว ของจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมทั้งรองรับนโยบายการเปิดประเทศของรัฐบาลและนโยบายการเปิดเมืองของจังหวัดเชียงใหม่   (CHARMING Chiang Mai) ณ ลานกิจกรรมตรงข้ามสวน  เฉลิมพระเกียรติ 82 พรรษา องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ (ด้านหลังศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่)

นายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า จังหวัดเชียงใหม่เรามีประเพณี ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมล้านนารวมถึงยังมีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมสร้างสรรค์ อันเป็นอัตลักษณ์ทรงคุณค่า มีเสน่ห์ที่โดดเด่น เป็นปัจจัยที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาจังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้งมาสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมร่วมกัน เกิดการประชาสัมพันธ์กันในวงกว้าง จนติดอันดับต้น ๆ ในการจัดอันดับเมืองที่น่าเที่ยวที่สุดในโลกเป็นประจำทุก ๆ ปี

เนื่องจากเกิดสถานะการโควิด19 เกิดวิกฤตครั้งใหญ่ ทำให้การท่องเที่ยวทั่วโลกหยุดชะงัก เศรษฐกิจซบเซา ซึ่งจังหวัดเชียงใหม่ได้มีมาตราการเพื่อรับมือกับโควิด19 มาอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน ภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ในการร่วมมือป้องกันและตั้งรับโรคโควิด19 จึงทำให้ขณะนี้เชียงใหม่ได้เริ่มกลับมามีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวเชียงใหม่อีกครั้ง ยอดจองห้องพักเพิ่มขึ้น การท่องเที่ยวทางธรรมชาติและศิลปวัฒนธรรมเชียงใหม่ กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

การจัดการประกวดนางสาวเชียงใหม่ในปี2565 นี้ ทางจังหวัดเชียงใหม่หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นกิจกรรมหนึ่งที่จะช่วยประชาสัมพันธ์เชียงใหม่ สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการท้องถิ่น ตลอดจนนักท่องเที่ยว ว่าเชียงใหม่ เที่ยวได้ โดยคำนึงถึงมีมาตรการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 อย่างเข้มงวดตามมาตรฐานสาธารณสุข เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดให้อยู่ในวงจำกัด   ขอความร่วมมือ พี่น้องประชาชน ยังคงต้องระมัดระวังตนเองในการปฏิบัติเว้นระยะห่างสวมหน้ากากอนามัย ตรวจเช็คอุณหภูมิ ล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ เพื่อยับยั้ง การแพร่ระบาดให้อยู่ในวงจำกัด ให้สามารถควบคุมได้ โดยคำนึงถึงมีมาตรการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 อย่างเข้มงวดตามมาตรฐานสาธารณสุข

นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวเพิ่มเติมว่าว่า เพื่อเปิดโอกาสให้สาวงามทั่วประเทศไทย ได้ลงชิงชัย และแสดงศักยภาพของผู้หญิงไทยในการเชื่อมโยงอัตลักษณ์ความเป็นล้านนาสู่สากล อีกทั้งเป็นตัวแทนประชาสัมพันธ์เมืองเชียงใหม่ให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และเป็นแม่แบบตัวอย่าง  ด้านวัฒนธรรม การส่งเสริมขนมธรรมเนียมประเพณีจริยธรรมล้านนาให้อยู่คู่แผ่นดินล้านนา เป็นตัวอย่างที่ดีแก่เยาวชน รวมถึงเป็นทูตสายสัมพันธ์การท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ และเป็นตัวแทนของจังหวัดเชียงใหม่ในการร่วมกิจกรรมงานเทศกาลด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ ทั้งในระดับจังหวัด และในระดับประเทศ

โดยการประกวดนางสาวเชียงใหม่ ประจำปี 2565 วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นการประกวดนางสาวเชียงใหม่ ประจำปี 2565 รอบแรก 30 คน วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2565 ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป การประกวดนางสาวเชียงใหม่  ประจำปี 2565 รอบที่ 2 คัดเลือกสาวงาม 20 คน เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ  วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2565 ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป การประกวดนางสาวเชียงใหม่  ประจำปี 2565 รอบตัดสิน และประกาศผลผู้ได้รับตำแหน่งนางสาวเชียงใหม่ ประจำปี 2565 

สำหรับรางวัลการประกวดนางสาวเชียงใหม่ ประจำปี 2565 มีดังนี้

1. ตำแหน่งนางสาวเชียงใหม่ ประจำปี 2565 จะได้รับมงกุฎเพชร สายสะพาย ผ้าคลุมและ

ถ้วยรางวัล พร้อมเงินรางวัลมูลค่ากว่า 100,000 บาท

2. ตำแหน่งรองอันดับ 1 นางสาวเชียงใหม่ ประจำปี 2565 จะได้รับมงกุฎเพชร สายสะพาย และถ้วยรางวัล พร้อมเงินรางวัลมูลค่ากว่า 50,000 บาท

3. ตำแหน่งรองอันดับ 2 นางสาวเชียงใหม่ ประจำปี 2565 จะได้รับมงกุฎเพชร สายสะพาย และถ้วยรางวัล พร้อมเงินรางวัลมูลค่ากว่า 30,000 บาท

4. ตำแหน่งรองอันดับ 3 นางสาวเชียงใหม่ ประจำปี 2565 จะได้รับมงกุฎเพชร สายสะพาย และถ้วยรางวัล พร้อมเงินรางวัลมูลค่ากว่า 25,000 บาท

5. ตำแหน่งรองอันดับ 4 นางสาวเชียงใหม่ ประจำปี 2565 จะได้รับมงกุฎเพชร สายสะพาย และถ้วยรางวัล พร้อมเงินรางวัลมูลค่ากว่า 20,000 บาท

6. ตำแหน่งขวัญใจสื่อมวลชน จะได้รับสายสะพาย และถ้วยรางวัล พร้อมเงินรางวัลมูลค่ากว่า 10,000 บาท

7. ตำแหน่งขวัญใจมหาชน จะได้รับสายสะพาย และถ้วยรางวัล พร้อมเงินรางวัลมูลค่ากว่า 10,000 บาท

‘พัชรี อาระยะกุล’ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ลงพื้นที่!ตรวจเยี่ยมหน่วยงาน One Home พม.น่าน

"นางพัชรี อาระยะกุล" ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยงาน One Home พม.น่าน เพื่อติดตามผลการดำเนินงานร่วมรับฟังปัญหาอุปสรรคการทำงานของหน่วยงาน One Home พม.น่าน ในเรื่องการดำเนินงานการพัฒนาคุณภาพชีวิต ครอบครัวกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือนในระดับพื้นที่

พร้อมทั้งให้แนวทางการดำเนินงานขับเคลื่อนศูนย์ช่วยเหลือสังคมตำบล ตามนโยบายของกระทรวง พม.พร้อมให้ขวัญและกำลังใจบุคลากรกระทรวง พม. ในการทำงานแก้ไขปัญหาสังคม

 

เบอร์หนึ่ง 2 ปีติด!! เปิดตัวแปร BMW ปั้นยอดแซง BENZ ในรอบ 20 ปี ‘ค่านิยม-รถใหม่-เซอร์วิสโดนใจ’ ดันขึ้นแท่นผู้นำ

...เรามักคุ้นเคยกับคำกล่าวที่มักเปรียบเทียบ 2 ค่ายรถยนต์หรูสัญชาติเยอรมนีกันบ่อยๆ แม้จะผ่านนานข้ามยุคข้ามสมัย
...เจ้าหนึ่งถูกนิยามถึงประสิทธิภาพที่มาพร้อมกับความภูมิฐาน
...อีกเจ้าถูกนิยามถึงความสปอร์ต โฉบเฉี่ยวล้ำสมัย สมวัยคนรุ่นใหม่

เรากำลังพูดถึงนิยามของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ และ BMW ตามมุมมองความชื่นชอบของคนที่แตกต่างกัน

ในประเทศไทยการขับเคี่ยวของทั้ง 2 เจ้าเรียกว่าหาผู้เล่นใดขึ้นมาแทรก แต่ก็ต้องยอมรับว่าค่ายดาวสามแฉกยังไม่เคยเพลี่ยงพล้ำให้กับ BMW เลยตลอดร่วม 20 ปี

ทว่าหากดูตัวเลขในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ผู้นำของตลาดรถหรูในไทยได้เปลี่ยนมือมาเป็น BMW โดยเฉพาะกับตัวเลขปีล่าสุด 2021 ที่ BMW เคลมตัวเลขยอดขายจากกรมขนส่งด้วยสัดส่วนยอดขายกว่า 45.5% โดยจุดเริ่มต้นของการช่วงชิงบัลลังก์ในครั้งนี้ต้องย้อนไปในปี 2020 ที่ยอดขายอย่างเป็นทางการจาก BMW นั้น อยู่ที่ 11,242 คัน ลดลง 4.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเป็นยอดขายที่ไม่รวมแบรนด์ในเครืออย่าง ‘มินิ’ ที่มียอดขาย 1,184 คัน ส่วนเมอร์เซเดส-เบนซ์ มียอดจำหน่ายทั้งสิ้น 10,613 คัน ลดลง 29.7%

จากตัวเลขนี้ ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเถลิงแชมป์ยอดขายตลาดรถยนต์หรูไทยของ BMW 

...แล้วเหตุใด BMW ถึงสามารถกระชากบัลลังก์จาก เมอร์เซเดส-เบนซ์ ลงมาได้?

เรื่องนี้น่าสนใจ เพราะต้องยอมรับว่าในยุคหลังคนรุ่นใหม่รวยเร็ว ความต้องการรถยนต์หรูมีไปถึงระดับซูเปอร์คาร์ แต่คนที่มีปัจจัยน้อยกว่าพรีเมียมคาร์ ก็จะเริ่มถูกเวทมาที่ค่ายพรรคนักปลุกใจคนรุ่นใหม่ อย่าง BMW

ไม่ใช่ว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยุคนี้แก่หรือเชย แต่ค่านิยมที่คุ้นเคยและยาวนาน บวกช่วงอายุของคนรุ่นใหม่ที่เติบโตขึ้นมาตามกาลเวลา ผสานตัวแปรของ BMW ในการเติบโตช่วง 2 ปีมานี้ มีมาก!! จนยากที่เจ้าตลาดจะคุมอยู่

ทั้งนี้หากลองมาดูภาพรวมของปี 2021 ที่การันตีให้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย รักษาตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดรถยนต์พรีเมียมไทยได้อีกครั้งนั้น มาจากยอดขายรถยนต์รวมกันของบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ ซึ่งครองส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 45.5% ในปี 2564 เพิ่มขึ้นจาก 44.6% ในปี 2563 

แถมปีนี้ทั้งปี ก็ยังเตรียมโฉมรถยนต์ทั้งบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด รวม 10 รุ่น อีกทั้งยังเน้นย้ำการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกในรูปแบบของ Gran Coupe ด้วยบีเอ็มดับเบิลยู i4 รุ่นใหม่ บีเอ็มดับเบิลยู i4 M50 ราคา 4,999,000 บาท และ บีเอ็มดับเบิลยู i4 eDrive40 M Sport ราคา 4,499,000 บาท รวมถึงทัพผลิตภัณฑ์ที่มีความน่าสนใจทุกรุ่น อาทิ...

- บีเอ็มดับเบิลยู 430i Convertible M Sport ราคาโดยประมาณ 4,300,000 - 4,500,000 บาท
- บีเอ็มดับเบิลยู X6 xDrive40i M Sport (รุ่นประกอบในประเทศ) ราคา 5,499,000 บาท 
- บีเอ็มดับเบิลยู X7 xDrive40d M Sport (รุ่นประกอบในประเทศ) ราคาโดยประมาณ 6,100,000 - 6,300,000 บาท

- มอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 RT ราคา 1,310,000 บาท สำหรับสี Triple Black / สี Racing Blue Metallic และ 1,420,000 บาท สำหรับ Option 719 Mineral White Metallic
- มอเตอร์ไซค์ บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 R ราคา789,000 บาท
- มอเตอร์ไซค์ บีเอ็มดับเบิลยู K 1600 B ราคาโดยประมาณ 1,600,000 - 1,800,000 บาท 

ด้านยอดสินเชื่อของ บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ก็ทำลายสถิติด้วยยอดสินเชื่อใหม่ที่เพิ่มขึ้นถึง 13% รวมมูลค่า 19,000 ล้านบาท พร้อมตัวเลขยอดสินเชื่อรวมในพอร์ททะยานสู่หลัก 52,000 ล้านบาท

ขณะที่ยอดการผลิตรถยนต์และสองล้อของ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย สูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 33,428 คัน แถมยังเปิดตัวโมเดลใหม่ 10 รุ่น ทั้งจากบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด เพื่อนำเสนอทางเลือกที่ครอบคลุมให้แก่ลูกค้า รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่อีก 2 รุ่น

>> รถยนต์ไฟฟ้าเกมที่ต้องมองยาวๆ

แน่นอนว่าในระหว่างที่ข่าวคราวการวางแผนตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเต็มสูบของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในไทยจะน่าสนใจ แต่เมื่อตลาดรถยนต์ไฟฟ้ายังไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาอันว่องไว การแค่เลือกบางรุ่นที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าของ BMW เข้ามาลองชิมตลาดนี้ จึงน่าจะเพียงพอ ภายใต้การบริหารงานของ มร. อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ที่เชื่อในเรื่องของความยืดหยุ่นจากดีมานด์ไซส์ หรืออารมณ์อยากได้กันมากเดี๋ยวค่อยผลิตให้ตามความต้องการ ตามสไตล์ Limited Offer ที่ช่วงหลัง BMW ใช้ไม้นี้บ่อย จนทำให้รู้สึกว่าสินค้าของ BMW ช่างดูเอ็กซ์คลูซีฟเสียนี่กะไร

แต่ถึงกระนั้น หากดูจากยอดจดทะเบียนของ BMW และมินิในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้า ก็ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งในส่วนของรถยนต์พรีเมียมไฟฟ้าด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 32.9% ร่วมกับการขยาย ChargeNow ตามพื้นที่ต่างๆ ซึ่งคาดว่า BMW จะมีสถานีอัดประจุไฟฟ้าได้ทั้งหมดกว่า 600 หัวจ่าย ภายในไตรมาสที่ 2 ของปี พ.ศ. 2565 แถมเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิสามารถใช้บริการผ่านแอปพลิเคชัน EVolt ได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้บัตรเพื่อใช้บริการสถานี ChargeNow ซึ่งนี่คือการปูพรมแบบเงียบๆ

>> ตัวแปรสลับเก้าอี้ผู้นำ
อย่างไรก็ตาม หากลองวิเคราะห์แบบเห็นภาพชัดๆ หน่อยนั้น จะพบตัวแปรสำคัญของ BMW ในช่วง 2 ปีที่ส่งผลให้เกมพลิกกลับมานำเมอร์เซเดส-เบนซ์ในรอบ 20 ปีได้นั้น มันมีเหตุและผลที่สมควรแก่จังหวะเวลาจริงๆ

เรื่องแรก คือ รถใหม่ สิ่งสำคัญที่สุดในการเพิ่มยอดขายหรือรักษายอดขายท่ามกลางวิกฤตของ BMW ในช่วงตั้งแต่ปี 2020 เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง ซีรีส์ 3 ที่เป็นรถรุ่นขายดีที่สุดมาโดยตลอดอยู่แล้ว เวียนมาบรรจบกับการเปิดตัวรุ่นประกอบในประเทศ เมื่อเดือนมีนาคม 2020 ทั้งเครื่องยนต์ดีเซล และปลั๊กอินไฮบริด ทำให้มีราคาถูกลงกว่ารุ่นนำเข้าถึงกว่า 400,000 บาท โดยมีราคาที่ 2,519,000 บาท ในรุ่น 320d และ 2,769,000 บาท ในรุ่น 330e

เช่นเดียวกับรุ่น เอ็กซ์ 1 ที่มีการทำราคารุ่นเริ่มต้นให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 2 ล้านบาท พร้อมกับการไมเนอร์เชนจ์ปรับโฉมกระตุ้นความสดใหม่ รวมถึงการมีรถรุ่นอื่นๆ ทยอยออกมาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่ใช่รุ่นที่โกยยอดขายเป็นกอบเป็นกำ แต่ส่งผลในแง่ของจิตวิทยาได้เป็นอย่างดี เหนืออื่นใดคือ การมีรถพร้อมส่งมอบ ลูกค้าไม่ต้องรอนาน จึงทำให้ BMW รักษาระดับการขายเอาไว้ได้โดยลดลงเพียง 4.3% 

ในทางกลับกัน ปี 2020 เมอร์เซเดส-เบนซ์ ผิดแผนในหลายจุด โดยเฉพาะเรื่องของรถใหม่ ที่เป็นจังหวะของการเปลี่ยนโมเดลในการทำตลาดของตัวขายที่สำคัญอย่าง ซีแอลเอ (CLA) ที่มีการหยุดทำตลาดไปและมีรุ่น เอ-คลาส มาทำตลาดเป็นหลักแทนด้วยรุ่นนำเข้าตั้งแต่เมื่อปี 2019 โดยในปี 2020 นั้น เอ-คลาสจะมีรุ่นประกอบในประเทศออกจำหน่าย ซีแอลเอ จึงถูกถอดจากไลน์อัพการขายไปและไม่มีรถส่งมอบ

เมีย ‘ฮุมเมลส์’ วอนอย่าเหมารวมคนไทยไม่ดี แม้เจ้าตัวโดนทุบหัวชิงทรัพย์ที่พังงา

จากกรณีที่ เคธี ฮุมเมลส์ ภรรยาของ มัตส์ ฮุมเมลส์ กองหลังของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เปิดเผยออกสื่อว่าถูกทำร้ายร่างกายและปล้นทรัพย์สิน ขณะเดินทางมาถ่ายทำรายการที่ภูเก็ต จนส่งผลให้ภาพลักษณ์การท่องเที่ยวประเทศไทย โดยเฉพาะภาคใต้เสียหาย

ซึ่งระหว่างนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันว่าเหตุดังกล่าวเกิดในท้องที่ สภ.โคกกลอย จังหวัดพังงา โดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามลงพื้นที่หาเบาะแสคนร้าย

ขณะที่ เคธี ฮุมเมลส์ ที่ปัจจุบันอยู่ที่ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้โพสต์ไอจีสตอรี่ ระบุว่า แม้เธอจะถูกทำร้าย และชิงทรัพย์ไป แต่ก็รู้สึกดีใจที่ตนเองได้รับความช่วยเหลือ และความห่วงใยจากคนไทย

“ดร.เอ้ สุชัชวีร์” ยื่น ป.ป.ช.สอบเชิงลึกทรัพย์สินตัวเอง-ภริยา บอก ถูกกันแกล้งทางการเมือง ยัน ไม่ท้อ บอก ตอนนี้เดินหาเสียง แบบเป็นผู้ว่าฯแล้ว

ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ เข้าหนังสือต่อ ป.ป.ช. เพื่อขอให้ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของตัวเองและภรรยา โดยนายสุชัชวีร์ กล่าวว่าจากการที่โฆษกคณะกรรมาธิการการป้องกันปราบปรามการทุจริตเเละประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.) ออกมาให้ข้อมูลอ้างว่ามีผู้ร้องเรียนที่ไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้ว่า ตนขณะดำรงตำแหน่งอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริตประพฤติมิชอบ และยังให้ข้อมูลชี้นำตามสื่อว่าตนมีพฤติกรรมร่ำรวยผิดปกติ 

นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า จากข้อมูลการยื่นทรัพย์สินที่ตนยื่นต่อ ป.ป.ช. ทำให้ตนรู้สึกไม่ยุติธรรม ไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกรังแก ถูกกลั่นแกล้งทางการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ และมีการบวนการที่บั่นทอนความน่าเชื่อถือและความตั้งในใจการออกมาทำงาน ซึ่งไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมาเจอเรื่องที่ไม่เป็นธรรมแบบนี้ ยืนยันว่าตนลาออกมาเพื่อทำงานให้ประชาชน ไม่ปฏิเสธการถูกตรวจสอบ และพร้อมที่จะให้มีการตรวจสอบ จึงมายื่นหนังสือที่ ป.ป.ช.เพราะเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญที่มีหน้าที่ตามกฎหมายโดยตรงในการดำเนินการเรื่องนี้ จึงมั่นใจในกระบวนการตรวจสอบของ ป.ป.ช.ว่าจะสามารถให้ความเป็นธรรมกับตนและครอบครัวได้ 

นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า ยืนยันว่า ขณะปฏิบัติหน้าที่อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ทุจริต บัญชีทรัพย์สินและหนี้สินที่ยืนต่อ ป.ป.ช.ทำตามความจริง และไม่มีการร่ำรวยผิดปกติ ผมก้าวเดินมาถึงวันนี้ไม่ปฏิเสธการตรวจสอบ แต่ต้องเป็นการตรวจสอบโดย ป.ป.ช. ที่เป็นองค์กรอิสระ และมีหน้าที่โดยตรง

นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า ขอขอบคุณประชาชนไม่เฉพาะชาว กทม. ที่ให้กำลังใจตนและครอบครัวผ่านทุกช่องทาง และยืนยันว่าไม่ท้อแต่อยากขอความเป็นธรรม และขอกำลังใจ ซึ่งไม่ได้ขอให้กับตนเท่านั้นแต่ขอให้กับคนรุ่นต่อๆไปที่จะออกมาทำงาน รุ่นน้องที่มีความพร้อมจะออกมาทำงานไม่ให้เขาถูกสกัดกั้นทางการเมืองจะได้ออกมารับใช้บ้านเมือง

เมื่อถามว่า มองว่ากมธ.ปปช. สภา ถูกแทรกแซงจากบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือไม่ นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า ไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ ขอให้ถามผู้ที่ออกมาให้ข่าว แต่ส่วนตัวรู้สึกว่าสิ่งที่ กมธ.ปปช. ดำเนินการทำให้ประชาชนเกิดความเคลือบแคลงสงสัย และมีผลกระทบกับตนและครอบครัว กระทบต่อความตั้งใจที่จะออกมาทำงาน  

โซเชียลวิจารณ์เมนูฮิต ‘หมึกช็อต’ นักวิจัยเตือน เสี่ยงเจอพยาธิตัวกลม

โซเชียลวิจารณ์เมนูฮิต ‘หมึกช็อต’ รสชาติอร่อย แต่อาจเป็นการทรมานสัตว์ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเตือนเสี่ยงพยาธิตัวกลม ปวดท้องภายใน 1-2 ชั่วโมงหลังกิน

โซเชียลวิจารณ์เมนู ‘หมึกช็อต’ นำหมึกเป็นๆ ไปจุ่มน้ำจิ้มซีฟูี๊ดในแก้วช็อต หรือแก้วเล็กๆ แต่บางร้านปรับใช้เป็นแก้วขนาดใหญ่ หลังจากจุ่มไปหมึกจะดูดน้ำจิ้มเข้าไป จากนั้นก็หยิบหมึกมากิน หลายคนที่ได้ลองบอกว่า รสชาติดี เนื้อหมึกมีรสหวานเข้ากันได้ดีกับน้ำจิ้มซีฟู้ด แต่อีกด้านก็มองว่า น่าสงสาร เพราะการกินแบบนี้เป็นการทรมานสัตว์

ลูกค้าที่เข้ามากินเมนูหมึกช็อต บอกว่า รสชาติอร่อย มึกสด หวานดี แต่น่าจะลองกินเพียงครั้งเดียว เพราะสงสาร

ขณะที่เจ้าของร้าน บอกว่า ปกติที่ร้านขายซาซิมิ เพิ่งนำเมนูหมึกช็อตมาขายในช่วงที่มีกระแสเกิดขึ้น เพื่อเป็นตัวเลือกของลูกค้า และลูกค้าอยากกินเมนูดังกล่าวที่ร้าน

กองทัพบก เปิดตัวเฮลิคอปเตอร์พยาบาล พร้อมอุปกรณ์ทันสมัย 1 ใน 4 ลำ ทั่วประเทศ

กองพลทหารราบที่ 9 เปิดตัวเฮลิคอปเตอร์พยาบาลที่ติดตั้งอุปกรณ์ดูแลผู้ป่วยสุดทันสมัย 1 ใน 4 ลำทั่วประเทศ สำหรับใช้ดูแลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกล 26 จังหวัดภาคกลาง พร้อมจัดการฝึกซ้อมสถานการณ์เคลื่อนย้ายผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกลขึ้นเฮลิคอปเตอร์ สร้างความคุ้นเคยให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน

ที่บริเวณสนามบินภายในกองพลทหารราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์ พลตรีกันตพจน์ เศรษฐารัศมี รองแม่ทัพภาคที่ 1 พร้อมด้วย พลตรีบรรยง ทองน่วม ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 9 ร่วมกันตรวจดูความพร้อมของเฮลิคอปเตอร์พยาบาล 1 ใน 4 ลำ จากทั่วประเทศที่ถูกส่งมาประจำการอยู่ที่กองพลทหารราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์แห่งนี้ โดยเฮลิคอปเตอร์พยาบาลนี้จัดสร้างขึ้นตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารบกที่อนุมัติให้นำอากาศยาน ฮ.ท.145 ซึ่งประจำการในกองทัพบกมาปรับปรุงเป็นเฮลิคอปเตอร์พยาบาล มีการติดตั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยสำหรับใช้ในการดูแลและลำเลียงผู้ป่วยฉุกเฉินจากพื้นที่ห่างไกลมารับการรักษายังโรงพยาบาลในตัวเมือง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top