Sunday, 22 June 2025
TheStatesTimes

แด่ผู้ท่องโลกกว้าง...ที่จากไป ตามรอย ‘เช เกบารา’ ที่ อัลตา กราเซีย (Alta Gracia)

ผมได้ยินชื่อ “เช เกบารา” น่าจะตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่นแล้ว เคยเห็นหน้าของชายคนนี้พิมพ์ลงไปตามหมวกบ้าง ตามเสื้อยืดบ้าง และเห็นตามท้ายรถสิบล้อบ้าง เห็นว่าเป็นชายเซอ ๆ เท่ ๆ ที่ดูดีคนหนึ่งเท่านั้นเอง จนกระทั่งภาพยนตร์เรื่อง The motorcycle diaries ออกฉายในโรงเมื่อสักสิบกว่าปีที่แล้ว เป็นการนำเอาเรื่องราวการเดินทางทั่วทวีปอเมริกาของเชและเพื่อนมาสร้าง โดยทั้งตัวหนังและนักแสดง รวมถึงองค์ประกอบทั้งหมดทำให้ยกให้เป็นหนึ่งในหนังประทับใจที่สุดของผม และน่าจะของใครอีกหลาย ๆ คนด้วย 

ในแง่ของบทบาททางการเมือง ลัทธิการต่อสู้แบบกองโจร รวมถึงการปฏิวัติเพื่ออุดมการณ์ในการต่อต้านโลกทุนนิยมชนิดสุดโต่งนั้นผมไม่ค่อยสนใจ รู้แค่ว่าการออกผจญภัยของ เช เกบารา มีส่วนกระตุ้นต่อมเดินทางของผมค่อนข้างมาก ผมเองชื่นชอบการเร่ร่อนส่องโลกมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ได้เห็นแบบอย่าง (อันดีงาม) แบบนี้จึงยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าตนเองก็สามารถใช้ชีวิตตามฝันได้เช่นกัน นี่จึงนับว่าเขาเป็น “ไอดอล” คนหนึ่งของการออกนอกกรอบและท่องโลกกว้างสำหรับตัวเอง 

การได้ผ่านไปสัมผัสสถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งเชเคยเกิด เติบโต ใช้ชีวิตอยู่ แม้กระทั่งสถานที่ตายและหลุมฝังศพ จึงเป็นความฝันอย่างหนึ่งของผม อธิบายง่าย ๆ ก็คงอารมณ์คล้าย ๆ บรรดาติ่งเกาหลีอยากไปตามรอยซีรีส์เกาหลีนั่นแหละ และครั้งนี้ผมมีโอกาสได้ไปเที่ยวบ้านเมืองที่เขาเกิดและเติบโตล่ะ

อันที่จริง ข้อมูลทั้งประวัติและวีรกรรมต่าง ๆ ของเชมีเพียบละเอียดถี่ยิบแล้ว ทั้งตามชั้นหนังสือและในโลกอินเตอร์เน็ต แต่การได้เดินทางไปเยือนด้วยตัวเองมันให้ความรู้สึกที่ต่างจากการซึมซับรับทราบข้อมูลมือสองเยอะเลย สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นครับ ดังนั้น เมื่อมีโอกาสได้ไปเยือนอาร์เจนติน่า จึงตั้งใจเป็นมั่นเหมาะว่าจะต้องไปให้ถึงบ้านเกิดเชให้ได้

เช เกบารา เป็นคนอาร์เจนตินา ประเทศซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของทวีปอเมริกาใต้ บ้านเกิดจริง ๆ ของเขาคือเมืองโรซาริโอ ตั้งอยู่บนที่ราบภาคกลางของประเทศ ปัจจุบันถือว่าเป็นเมืองข้างค่อนใหญ่และวุ่นวายขวักไขว่ สภาพอากาศคล้ายเมืองไทย คือร้อนชื้นและยุงเยอะ พื้นที่นอกเมืองเต็มไปด้วยทุ่งกสิกรรม ต่างกันตรงที่ทางโน้นไม่ได้ปลูกข้าวนาปีนาปรังเหมือนภาคกลางบ้านเรา เขาลืมตาดูโลกในโรงพยาบาลของเมืองนั้น แต่เนื่องจากอาการหอบหืด พ่อแม่จึงตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่เมืองเล็กตากอากาศ ซึ่งห่างออกไปราวสี่ร้อยกิโลเมตร ซึ่งอยู่ใกล้อีกเมืองใหญ่ชื่อกอร์โดบาร์

เอาเข้าจริง ๆ โดยตัวเมืองบนเนินเขาอย่างอัลตากราเซียนั้น แม้อากาศจะเย็นสบายกว่าเยอะ หากดูในแผนที่แล้วจะเห็นว่าเมืองนี้อยู่บริเวณเชิงเขาของเทือกเขาแอนดีส ซึ่งทอดตัวยาวมาจากตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้มายังตอนใต้สุด และเป็นหนึ่งในเทือกเขาที่เต็มไปด้วยยอดเขาสูงชันติดอันดับโลกไม่แพ้เทือกเขาหิมาลัยของทวีปเอเชีย แน่นอน อากาศดี สมเหตุสมผลแล้วโดยประการทั้งปวงที่ครอบครัวนี้จะย้ายมาลงหลักปักฐานที่นั่นด้วยเหตุผลด้านสุขภาพของเด็กชายเช และแม้ว่าอัลตากราเซียจะมีแหล่งท่องเที่ยวทั้งทางประวัติศาสตร์และธรรมชาติ แต่สำหรับผมแล้ว เหตุผลเดียวของการไปที่นั่นก็คือการได้ไปเยี่ยมชมบ้านเพียงหลังเดียวโดยไม่ได้สนใจอย่างอื่นเลย

ไปถึงแล้วก็ไม่เสียเวลา (ผมเดินทางโดยจักรยานครับ) เช็คข้อมูลในมือถือ รู้ว่าจากใจกลางเมืองต้องขึ้นเนินไปอีกนิด และลัดเลาะถนนเล็กซึ่งเป็นย่านที่อยู่อาศัย จนกระทั่งถึงบ้านเล็กที่ 501 ซึ่งเป็นบ้านชั้นเดียว มีรั้วรอบขอบชิดเหมือนบ้านทั่วไป นั่นแหละบ้านเชเขาล่ะ สิ่งที่แตกต่างก็คือ ปัจจุบันบ้านหลังนี้ได้ปรับเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้าชม ไม่ได้มีใครอาศัยอยู่อีกต่อไปแล้ว

เมื่อซื้อตั๋วแล้วก็เดินดูโดยรอบ แม้สถานที่ไม่ได้กว้าง มีเพียงไม่กี่ห้อง แต่เต็มไปด้วยรายละเอียดและสิ่งที่น่าสนใจ อบอวลไปด้วยความทรงจำมากมายจริง ๆ รู้สึกดีใจที่ได้เห็นสมุดบันทึกลายมือเช

เพราะเป็นที่รู้กันดีในหมู่นักเดินทางทั้งหลายว่าการจดบันทึกนั้นเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย บนผนังในห้องต่าง ๆ มีรูปภาพใส่กรอบติดไว้ ส่วนใหญ่เป็นภาพสมาชิกครอบครัวและกิจกรรมที่เคยทำกัน 

มีเตียงนอนและชุดเสื้อผ้าสมัยยังเป็นเด็กชายเช โดยมีจักรยานสามล้อคันเล็กของเขาอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องนอน ส่วนจักรยานซึ่งติดเครื่องยนต์อีกคันอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง คันนี้เชเคยใช้ปั่นเดี่ยวหลายพันไมล์ขึ้นเขาลงห้วยเดินทางภายในประเทศสมัยเป็นวัยรุ่น พันธุกรรมเร่ร่อนคงตกค้างอยู่ในตัวผู้ชายคนนี้มากเอาเรื่อง แม้ว่าจะมาจากครอบครัวฐานะปานกลางมีอันจะกิน และเจ้าตัวมีโอกาสได้ร่ำเรียนจนจบแพทย์ที่เมืองหลวงบัวโนสไอเรส แต่ก็ตัดสินใจออกเดินทางไกลด้วยมอเตอร์ไซค์ คราวนี้ไปไกลกว่าเดิมมาก และนั่นเอง เป็นจุดเริ่มต้นทำให้เขาไม่เคยได้กลับมาลงหลักปักฐานที่ประเทศบ้านเกิดเมืองนอนอีกเลย แน่นอน มอเตอร์ไซค์คันนั้นก็ถูกนำมาเก็บรักษาไว้ในบ้านหลังนี้ด้วย

สิ่งที่เห็นแล้วสะท้อนใจ พร้อมกระตุ้นความอยากไปให้ถึงสถานที่ดังกล่าว ก็คือ เศษอิฐชิ้นหนึ่ง มีคำเขียนไว้ว่า La Higuera Bolivia 09-10-67 เป็นชิ้นอิฐระบุสถานที่และวันเดือนปีที่เช เกบาราเสียชีวิต 

การได้ไปซึมซับอดีตเช่นนี้ ทำให้อยากไปเห็นอีกหลาย ๆ ที่ที่เขาเดินทางผ่านหรือไปใช้ชีวิตอยู่ในบางช่วง อย่างเช่น ชิลี กัวเตมาลา คิวบา รวมถึงสถานที่โดนสังหารอย่าง La Higuera ในประเทศโบลิเวียด้วย ลาก่อนเช... แล้วพบกันที่ปลายทางถัดไปนะ
 

‘นโยบาย​ -​ ค่านิยม​ -​ ความเชื่อ' รากลึก​แห่ง ‘ความไม่เท่าเทียมทางเพศ’ ในแดนมังกร

“ความเท่าเทียมทางเพศ” เป็นหัวข้อที่ถูกยกขึ้นมาถกเถียงกันอยู่บ่อยครั้งในสังคมปัจจุบัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องนี้มีพื้นฐานเป็นรากที่ฝังลึกยึดแน่นเหนี่ยวอยู่กับค่านิยมเก่า ๆ วัฒนธรรม ตลอดจนพลวัตทางสังคม การเคลื่อนไหวไปข้างหน้า และความเปลี่ยนแปลงในแต่ละยุคสมัย

สำหรับประเทศจีนนั้น ถึงแม้ว่าจะมีเศรษฐกิจที่เจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งหนึ่งที่ประเทศจีนถูกตั้งคำถามมาโดยตลอดคือเรื่องของความไม่เท่าเทียมทางเพศ ทั้งในมิติของสังคมชายเป็นใหญ่ และในมิติของเพศที่สาม

ซึ่งก็ต้องเรียนท่านผู้อ่านที่เคารพทุกท่านก่อนนะครับ ว่าบทความนี้มิได้มีเจตนาในการสนับสนุนหรือโจมตีประเทศใดประเทศหนึ่ง ทั้งยังมิได้เป็นการแสดงจุดยืนสนับสนุนหรือเห็นชอบกับพฤติกรรมการกดขี่ทางเพศ เพียงแต่ต้องการนำเสนอเรื่องราวความเป็นจริงในอดีต รวมถึงเหตุผลที่เป็น “ราก” ของปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ ณ ปัจจุบัน ด้วยประสบการณ์การใช้ชีวิตอยู่ในมหาวิทยาลัยในจีนของผู้เขียน การได้รับรู้รับฟังปัญหาจากเพื่อน ๆ และอาจารย์ รวมถึงการค้นคว้าข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับประเด็นเรื่องความไม่เท่าเทียมทางเพศในจีนมาสรุปให้ฟังคร่าว ๆ ในบทความนี้

จริง ๆ เรื่องนี้มันมีเป็นล้านเหตุผลครับ แต่เหตุผลหลัก ๆ ที่ผมมองว่าน่าสนใจที่สุด และจะหยิบยกมาเล่าในบทความชิ้นนี้มีอยู่ 3 ข้อด้วยกันครับ

1.) นโยบายลูกคนเดียว (One child policy)

2.) วัฒนธรรมการแต่งงาน และการให้ความสำคัญกับการแต่งงานของพ่อแม่ชาวจีน

3.) ความเชื่อเกี่ยวกับสถาบันครอบครัวตามหลักขงจื๊อ

นโยบายลูกคนเดียว

ข้อนี้เป็นข้อแรก และเป็นเหตุผลข้อที่สำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้ ที่ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมทางเพศในประเทศจีนปัจจุบัน ซึ่งก็ต้องขอเล่าย้อนไปถึงการให้ความสำคัญกับครอบครัวคนจีน การรวมญาติรวมมิตรและวงศ์ตระกูล และการสืบทอดเชื้อสาย ขยับขยาย และเพิ่มพูนสมาชิกครอบครัวที่ถือแซ่เดียวกัน เพื่อเป็นทั้งที่พึ่งพากัน เกื้อหนุนกัน เป็นแรงงานให้กัน สืบทอดกิจการกัน รวมถึงยังเป็นการส่งเสริมบารมีและสร้างอิทธิพลให้กับแซ่สกุลที่แต่ละคนถืออยู่ ข้อนี้ทำให้ผมไม่รู้สึกแปลกใจเลยครับ ที่อาเหล่ากงและอาเหล่าม่าของผมจะมีลูกด้วยกันทั้งหมด 9 คน…

ชาวจีนส่วนใหญ่ในสมัยก่อนนิยมมีลูกเยอะ ๆ ครับ มีลูกชายก็เอามาช่วยการงาน มีลูกสาวก็จับแต่งงานแลกกับเงินค่าสินสอด ยิ่งมีมาก ยิ่งหาเงินง่าย ยิ่งสบาย แต่ด้วยความที่คนจีนนิยมมีลูกมาก ทำให้จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เฉพาะในปี ค.ศ.1949-1976 ระยะเวลาเพียง 27 ปี จำนวนประชากรจีนเพิ่มขึ้นถึง 400 ล้านคน จาก 540 ล้านคน กลายเป็น 940 ล้านคน คือเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวเลยทีเดียว

ตัวเลขประชากรที่เพิ่มขึ้นยังไม่น่ากลัวเท่าจำนวนประชากรที่ต้องตายเพราะความอดอยาก เฉพาะในปี ค.ศ.1959-1961 เวลาเพียง 2 ปี มีคนจีนอดตายไปอย่างน้อย 15-30 ล้านชีวิต ทางการจีนต้องแก้ปัญหาอย่างด่วนเลยครับ ซึ่งก็เป็นที่มาของการออกนโยบาย One child policy เพื่อมาแก้ไขต้นตอปัญหาประชากรล้นทำให้รัฐบาลไม่สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง

เมื่อมีลูกได้แค่คนเดียว พ่อแม่ชาวจีนส่วนใหญ่จึงคาดหวังให้ลูกที่เกิดมานั้นเป็นผู้ชาย เพื่อสืบทอดเชื้อสายสกุลแซ่ เกิดการ “พยายามทำให้ได้ลูกชาย” ด้วยวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้วยไสยศาสตร์ การขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธ์ หรือวิธีการที่โหดร้ายทารุณที่หากพ่อแม่คู่ไหนไม่พอใจที่ได้ลูกสาวก็เอาไปขาย หรือนำไปทิ้ง เพื่อรักษาสิทธิ์ในการมีลูกชายในการคลอดครั้งต่อไป

ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม แต่การพยายามทำให้เกิดลูกชายด้วยวิธีการต่าง ๆ นั้นทำให้สุดส่วนประชากรชายหญิงไม่สมดุลกัน ประชากรชายมีมากกว่าประชากรหญิงหลายสิบล้านคน เมื่อประชากรไม่สมดุลกัน ผู้ชายมีจำนวนมากกว่า จึงมีสิทธิ์มีเสียงมากกว่า อันเป็นเหตุให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเพศเป็นผลที่ตามมา

วัฒนธรรมการแต่งงาน และการให้ความสำคัญกับการแต่งงานของพ่อแม่ชาวจีน

การแต่งงานถือเป็น Highlight สำคัญของชีวิตชาวจีน เป็นเป้าหมายสูงสุดของพ่อแม่ ที่จะได้เห็นลูกชายประสบความสำเร็จ ได้เห็นลูกสาวเป็นฝั่งเป็นฝา และได้อุ้มหลานตัวน้อยในวัยชราก่อนจะลาจากโลกไป สมัยก่อนชาวจีนวัดค่าการประสบความสำเร็จที่การแต่งงาน ผู้ชายที่แต่งงานคือผู้ชายที่ประสบความสำเร็จระดับหนึ่งในชีวิตแล้ว ส่วนผู้หญิงที่แต่งงานก็จะอยู่อย่างสบายภายใต้การดูแลของสามี ไม่ต้องลำบากพ่อแม่อีกต่อไป

ใช่แล้วครับ หลังจากมีการประกาศใช้นโยบายลูกคนเดียว ของพ่อแม่ชาวจีน ความคาดหวังของพ่อแม่ที่จะได้เห็นลูกชายหรือลูกสาวคนเดียวแต่งงานนั้นมีแค่โอกาสเดียว คนเดียว ครั้งเดียว หมดแล้วหมดเลย

ONE CHANCE เท่านั้น !

เอาจริง ๆ พ่อแม่ชาวจีนก็หาทำเหลือเกินครับ ทั้งพยายามจับลูกไปคลุมถุงชนเอย พาไปตลาดนัดหาคู่ หรือสถานที่ที่พ่อแม่ชาวจีนจะเอาข้อมูลและคุณสมบัติของลูก ๆ ไปป่าวประกาศ และทำการดีลกับพ่อแม่ที่มีลูกเป็นเพศตรงข้ามกับลูกตัวเอง และพยายามจับคู่หากมีคุณสมบัติที่ตรงใจและราคาสินสอดที่เหมาะสม นี่เป็นสิ่งที่มีในจีนเท่านั้นครับ หาที่อื่นไม่ได้แน่ ๆ ไม่มีคนชาติไหนคิด และทำอะไรทำนองนี้ได้เหมือนอย่างจีนแน่นอน

ซึ่งนั่นก็สร้างความกดดันเป็นอย่างมากให้กับลูก ๆ ชาวจีนที่เป็นความหวังเดียวของพ่อแม่ ยิ่งเป็นผู้ชาย ยิ่งต้องแบกรับภาระในการสืบทอดเชื้อสายสกุล ซึ่งนี่อาจเป็นเหตุให้คนที่มีรสนิยมรักเพศเดียวกันต้องลำบากใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากการเปิดเผยรสนิยมทางเพศของตัวเองให้พ่อแม่ที่คาดหวังให้ลูกชายแต่งงานได้รับรู้ แน่นอนว่าจะต้องทำให้คนเป็นพ่อแม่ผิดหวังไม่มากก็น้อยอย่างปฏิเสธไม่ได้

หากคิดในมุมพ่อแม่ มีลูกได้แค่ครั้งเดียว หวังอย่างยิ่งว่าลูกจะเกิดเป็นชายเพื่อสืบทอดตระกูล ดีใจอย่างมากที่สมหวัง ได้ลูกชายจริง ๆ สมใจ แต่พอลูกชายโตขึ้นมาดันเป็น LGBTQ+ ความคาดหวังทั้งหมดคงจะพังทลายไปจนสิ้น

นี่จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ LGBTQ+ มิได้ถูกยอมรับในจีนนัก

ความเชื่อเกี่ยวกับสถาบันครอบครัวตามหลักขงจื๊อ

ปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ของชาวจีนในอดีต และยังทรงอิทธิพลต่อยุคปัจจุบันอย่าง ‘ขงจื้อ’ เป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับคุณธรรมความกตัญญูเป็นอย่างมาก ขงจื๊อย้ำมากว่า “บุตรต้องดีต่อบิดามารดา บุตรที่มีความกตัญญูต่อบิดามารดา จะต้องไม่ทำให้บิดามารดาขายหน้า หรือเสื่อมเสียเกียรติยศและชื่อเสียง” 

ความเชื่อดังกล่าว ส่งผลต่อสภาพสังคมจีนเป็นอย่างมาก ซึ่งมันก็กลายเป็นเรื่องยากสำหรับกลุ่ม LGBTQ+ ที่จะยอมนำเรื่องเพศสภาพไปเปิดใจคุยกับพ่อแม่ หรือเปิดเผยตัวเองต่อสาธารณะ เพราะกลัวจะเป็นการทำให้เป็นที่อับอายของครอบครัว จึงได้แต่อยู่อย่างหลบซ่อน 

มีแอปพลิเคชั่นหาคู่แต่งงานของเหล่าหนุ่มสาวที่เป็น LGBTQ+ ซึ่งแอปฯ ดังกล่าว เป็นแอปฯ จับคู่ระหว่างผู้ชายที่เป็นเกย์และผู้หญิงที่เป็นเลสเบี้ยนมาแต่งงานบังหน้า แต่ถึงเวลาจริงก็แยกย้ายกันไปอยู่กับคู่รักของตัวเองที่เป็นเพศเดียวกัน จะมาออกงานคู่กันก็ต่อเมื่อถึงช่วงเทศกาลสำคัญที่ต้องฉลองกันเป็นครอบครัว ซึ่งทั้งคู่ก็จะต้องทนเล่นบทเป็นสามีภรรยาที่รักกันต่อหน้าครอบครัวของตัวเองเพื่อปกปิดความจริง

ใช่ครับ นี่มัน 2021 แล้ว แต่ปัญหาความไม่เท่าเทียมกันทางเพศในจีนนั้นหยั่งรากลึกเกินกว่าจะแก้ให้หายขาดได้ภายในระยะเวลาอันสั้น แต่ด้วยความที่โลกมันก็เปิดกว้างขึ้นในปัจจุบัน ความคิดของคนจีนรุ่นใหม่ก็เปิดกว้างขึ้นแล้วครับ เรื่องนี้อาจจำเป็นต้องใช้เวลาอีกหน่อย

บางคนถามว่าทำไม่รัฐบาลไม่มีนโยบายหรือออกกฎหมายรับรองสิทธิของคนกลุ่มนี้ ก็ต้องย้อนไปดูเรื่องของ “อุดมการณ์ทางเศรษฐกิจ” ของสังคมนิยมในแบบของจีนด้วยครับ สังคมจีนยังคงต้องการแรงงานจำนวนมากเพื่อขยายฐานเศรษฐกิจอยู่ ยิ่งในตอนนี้เป็นยุคสังคมผู้สูงอายุด้วยครับ ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นแต่อัตราการเกิดน้อยลง และด้วยความที่ความรักของคนเพศเดียวกันไม่สามารถผลิตลูกได้ หากว่ารัฐมีนโยบายมาสนับสนุนกลุ่มคนที่รักเพศเดียวกันอย่างไม่ระมัดระวัง ก็มีแนวโน้มว่าอัตราการเกิดจะยิ่งลดลง

ในข้อนี้ผู้เขียนเห็นว่าต้องค่อย ๆ ออกนโยบายสนับสนุนให้คนจีนมีอิสระในการให้กำเนิดลูกได้มากขึ้น มากกว่าแค่ 1 หรือ 2 คน เพื่อทำให้อัตราการเกิดกลับมา on point แล้วค่อย ๆ เริ่มวางนโยบายเปิดกว้างให้กับกลุ่ม LGBTQ+

แต่ก็อย่างว่าครับ เรื่องมันับซ้อนเหลือเกิน ซับซ้อนเกินกว่าจะมาตัดสินโดยที่ยังไม่ได้ศึกษาอย่างลึกซึ้ง ซึ่งต้องใช้เวลาอ่าน พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้รู้ และได้เห็นได้สัมผัสด้วยตัวเอง

เมื่อพูดถึงเรื่องเพศ มันก็ต้องเชื่อมโยงไปเรื่องนโยบายลูกคนเดียว เรื่องวัฒนธรรมการแต่งงาน และเรื่องขงจื๊อ นี่ขนาดยังไม่ได้เอาเรื่องอุดมการณ์สังคมนิยมแบบฮาร์ดคอร์มาเล่านะครับ

อย่างไรก็ตามเรื่องความเท่าเทียมทางเพศในจีนดีขึ้นมากแล้วครับ เราเริ่มได้เห็นผู้หญิงที่มีความสามารถได้เป็นเจ้าของธุรกิจพันล้าน เจ้าหน้าที่ระดับสูงของชาติก็มีผู้หญิงอยู่ไม่น้อย ถึงแม้จะยังไม่สามารถเปิดกว้างในเรื่อง LGBTQ+ ได้เหมือนอย่างในประเทศไทย แต่กาลเวลานั้นเดินไปข้างหน้า ไม่ช้าก็เร็วประเทศจีนก็จะต้องมีที่ยืนให้กับกลุ่มคนเหล่านี้อย่างแน่นอน

ห่วงโซ่แห่งความห่วงใย หอมกลิ่น ‘น้ำใจ’ จากวิกฤตโควิด

แม้เวลาจะล่วงเลยมากว่า 1 ปี นับจากวันที่องค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้การระบาดนี้เป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ ในวันที่ 30 มกราคม 2563 และประกาศให้เป็นโรคระบาดทั่ว ในวันที่ 11 มีนาคม 2563 ณ ขณะนี้โควิดก็ยังคงแพร่ระบาดอยู่ทั่วโลกและทีท่าว่าจะไม่จบง่าย ๆ แม้มีการฉีดวัคซีนกันไปบ้างแล้ว สถานการณ์โควิดรอบโลกยังน่าเป็นห่วง ตัวเลข ณ วันที่ 29 เมษายน 2564 พบมีผู้ติดเชื่อทั่วโลกร่วมแล้วเกือบ 150 ล้านคน สหรัฐอเมริกามีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงที่สุด ตามมาด้วยอินเดีย และบราซิล

ที่มา : Covidtracker - Covid-19 Coronavirus Tracker

ซึ่งบราซิลเป็นประเทศที่นักระบาดวิทยา ระบุว่า มีการกลายพันธุ์เป็นหลายสายพันธุ์ มีสายพันธุ์ที่กลายพันธุ์ในท้องถิ่นบราซิลเอง ซึ่งจะติดง่ายในหญิงตั้งครรภ์ ถึงขั้นว่ารัฐบาลต้องประกาศให้ประชากรชะลอการตั้งครรภ์ ส่วนยอดผู้ติดเชื้อสูงสุดในโลกต่อวันตอนนี้ คือ อินเดีย มียอดพุ่งสูงกว่าสองแสนรายต่อวัน และมีแนวโน้มว่าจะพุ่งสูงขึ้นไปอีก และที่สำคัญตอนนี้อินเดียมีการกลายพันธ์ุ์ของเชื้อ ซึ่งระบาดเร็วกว่าเดิมและมีแนวโน้มว่าวัคซีนอาจมีประสิทธิภาพไม่ได้เต็มที่กับสายพันธุ์ใหม่นี้ด้วย ส่วนประเทศที่สถานการณ์ดีที่สุด คือ อิสราเอล อิสราเอลเป็นประเทศเล็ก ๆ มีประชากรทั้งหมดประมาณ 9 ล้านกว่าคน มีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดไป 8 แสนกว่าคน เสียชีวิตไปมากกว่า 6 พันคน นับว่าเป็นอัตราการติดเชื้อและการสูญเสียที่สูงมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร แต่ขณะนี้อิสราเอลฉีดวัคซีนให้ประชาชนไปแล้วมากกว่า 53%  ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่สูงสุดในโลก และถึงแม้ว่าจะไม่ถึง 70% ตามที่ WHO ระบุว่าจะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ได้ แต่รัฐบาลอิสราเอลมีความมั่นใจว่าถ้ายังมีการติดเชื้อเกิดขึ้นก็น่าจะน้อยมาก และสามารถจัดการได้ จึงประกาศให้ประชาชนอออกมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติโดยไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัยแล้ว (แต่ยังต้องสวมในพื้นที่ปิด)  

ส่วนประเทศไทยเรา ระลอก 3 นี้ สถานการณ์ยังน่าเป็นห่วง จำนวนผู้ป่วยโควิดเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว วันละเป็นหลักพันราย ในขณะที่จำนวนโรงพยาบาล และบุคคลกรทางการแพทย์มีจำกัด แม้จะมีการเตรียมทั้งโรงพยาบาลหลัก โรงพยาบาลเฉพาะกิจ (Hospitel) และโรงพยาบาลสนามอย่างเต็มกำลัง แต่ก็ดูเหมือนว่ายังเสี่ยงที่จะไม่เพียงพอรองรับผู้ป่วย หากอัตราการติดเชื้อยังวิ่งสูงขึ้นทุกวัน และประการสำคัญแม้จะเพิ่มโรงพยาบาลสนามได้ แต่เราเพิ่มจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ไม่ได้ รุ่นพี่ท่านหนึ่งซึ่งเป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลของโรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่ง เล่าให้ฟังว่า ทีมแพทย์พยาบาลและบุคลากรต้องวางแผนจัดสรรกำลังพลกันอย่างหนัก แทบไม่มีเวลาได้พัก เพราะมีผู้ป่วยใหม่โควิดมาอยู่โรงพยาบาลวันละประมาณ 300 คน ไม่นับคนไข้เดิมที่มีอยู่แล้ว แล้วยังไม่รวมคนไข้ที่โรงพยาบาลสนามที่ก็ต้องการแพทย์ พยาบาลด้วย ได้ฟังแล้วนึกภาพตามได้ชัดเจนถึงภาระอันหนักหน่วงของบุคลากรทางการแพทย์ โควิดรอบนี้ต้องส่งกำลังใจให้ทีมแพทย์พยาบาลมาก ๆ จริง ๆ ค่ะ 

แต่ในความยากลำบากนี้ เราก็ได้เห็นน้ำใจคนไทย เราได้เห็นผู้คนมากมาย ทั้งดารา นักร้องและประชาชนทั่วไปที่ร่วมกันบริจาคเงิน บริจาคอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์เพื่อช่วยผู้ป่วย บางท่านก็ทำอาหาร ส่งเสบียงมาให้เจ้าหน้าที่ ดาราบางคนบริจาครถ หรือให้ยืมรถไปใช้เพื่อรับส่งผู้ป่วยติดเชื้อ บางคนอาสาจะช่วยลงแรง เราเห็นน้ำใจหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย ผู้เขียนได้อ่านเจอโพสต์ที่น่าประทับใจจนต้องขอนำมาเล่าต่อ คือโพสต์ของอาจารย์หมอท่านหนึ่ง ท่านเล่าถึงน้ำใจของผู้ป่วยโควิด ที่ช่วยทีมแพทย์พยาบาลดูแลผู้ป่วยโควิดด้วยกัน อาจารย์หมอท่านนี้ใช้ชื่อ Facebook ว่า Somnuek Sungkanuparph ท่านเล่าว่าที่สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ระลอกนี้รับจำนวนผู้ป่วย COVID-19 มาดูแลรักษามากเป็น 4 เท่าของระลอกแรกเมื่อปีที่แล้ว และมีผู้ป่วยสูงอายุจำนวนมาก (สูงสุดคืออายุ 89 ปี) และมีเด็กเล็กจำนวนไม่น้อย มีผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวหลายอย่างและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อีกจำนวนหนึ่ง ในขณะที่ผู้ป่วยเพิ่มขึ้น แต่มีข้อจำกัดของกำลังคนทั้งแพทย์และพยาบาล และการไม่สามารถเข้าห้องผู้ป่วยได้ถี่เหมือนผู้ป่วยปกติ และต้องอาศัยการ VDO call เป็นส่วนใหญ่ ทำให้การติดตามผู้ป่วยไม่สะดวก ทางโรงพยาบาลจึงมีการวางแผนจัดเตียงเพื่อให้ผู้ป่วยได้มีโอกาสในการช่วยดูแลกัน เช่น 

- ผู้ป่วยที่เป็นพยาบาล/ผู้ช่วยพยาบาล อยู่ห้องเดียวกับ ผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
- ผู้ป่วยชายหนุ่มแข็งแรงที่อาการไม่มาก อยู่ห้องเดียวกับผู้ป่วยสูงอายุที่เป็น Alzheimer (อัลไซเมอร์)
- ผู้ป่วยอาการไม่มาก อยู่ห้องเดียวกับผู้ป่วยน้ำหนักตัวมาก ที่ต้องติดตามใกล้ชิดเนื่องจากความเสี่ยงสูงกว่า ที่จะเกิดปอดอักเสบ
- ผู้ป่วยหญิงวัยกลางคน อยู่ห้องเดียวกับ เด็กเล็กที่พ่อแม่นอนอยู่โรงพยาบาลอื่นหรืออยู่ที่นี่แต่อาการหนักต้องเข้า ICU
- ผู้ป่วยเด็กที่พ่อแม่ไม่ติดเชื้อ อยู่ห้องเดียวกับผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่ข้างบ้าน หรือเพื่อนบ้านข้างบ้าน
- ผู้ป่วยที่ปรับตัวได้และมีความกระตือรือร้น อยู่ห้องเดียวกับผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้า เป็นต้น 

ท่านเล่าต่อด้วยว่า ผู้ป่วยหลายคนมีความเต็มใจและช่วยดูแลผู้ป่วยคนอื่นในห้องเดียวกันได้ดีมาก และเมื่อผู้ป่วยหายแล้วกำลังจะกลับบ้าน หลายคนก็ถามว่า "ถ้าผมกลับบ้านแล้ว มีใครจะมาช่วยดูแลคุณตาต่อจากผมไหมครับ?" หรือบอกว่า "รู้สึกยินดีมากค่ะ เป็นช่วงเวลาที่ได้ทำประโยชน์แม้ว่าจะเป็นผู้ป่วยอยู่ แต่รู้สึกว่าตัวเองยังมีคุณค่าอยู่ค่ะ" 

พอได้อ่านโพสต์นี้ของคุณหมอแล้ว รู้สึกขอบคุณ รู้สึกซาบซึ้งน้ำใจและความเอื้ออาทรต่อกันของผู้ป่วย ที่นอกจากจะช่วยแบ่งเบาภาระที่หนักหนาของแพทย์พยาบาลแล้ว ยังช่วยให้คนป่วยโควิดมีคนดูแลให้กำลังใจอย่างใกล้ชิด ในยามป่วยไข้ที่ต้องอยู่ห่างไกลครอบครัว คนที่รัก และญาติพี่น้องลูกหลานมาเยี่ยมมาดูแลไม่ได้ 

น้ำใจและความห่วงใยที่มีให้กันในยามนี้ย่อมมีคุณค่าและความหมายอย่างมาก..ในฐานประชาชนคนหนึ่งขอขอบคุณผู้ป่วยโควิดที่เต็มใจช่วยเหลือทีมแพทย์พยาบาลอีกครั้ง และขอเป็นกำลังใจให้ทั้งผู้ป่วย คุณหมอ คุณพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ทุก ๆ ท่าน เรารู้ว่าท่านเหน็ดเหนื่อยและเสียสละมากเพียงใด ประชาชนอย่างเราจะปฎิบัติตามและให้ความร่วมมือกับภาครัฐอย่างเต็มที่ในการป้องกันโควิด นอกจากวัคซีนแล้ว การมีน้ำใจต่อกัน การมีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม ไม่ประมาท การ์ดไม่ตก ก็จะเป็นทั้งวัคซีนป้องกันและเป็นยาขนานที่ดีจะช่วยให้เราผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้ไปให้ได้เหมือนกับ 2 ครั้งที่เราผ่านมาได้เช่นกัน...ว่ากันว่าผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 จมูกมักจะไม่ได้กลิ่นอะไร แต่ถ้าเราหอมกลิ่นน้ำใจ เราน่าจะยังปลอดภัยจากโควิดใช่ไหมคะ #ทีมไทยแลนด์สู้ๆ 


ข้อมูลอ้างอิง 
https://www.coronatracker.com/country/israel/?fbclid=IwAR3DrabAngd1Sg_sgvVrsW4Ph9HHgcwYxyEUafKcvHpIMqlDKBnKtA4xKks
Covidtracker - Covid-19 Coronavirus Tracker

https://www.facebook.com/ken.sungkanuparph/posts/3938938202808617
 

Vietnamese Boat People รำลึก ‘เรือมนุษย์เวียดนาม’ ชีวิตสุดสิ้นหวังของผู้อพยพลี้ภัยกลางทะเล

30 เมษายน พ.ศ.2518 (ค.ศ.1975) เป็นวันที่สาธารณรัฐเวียดนาม หรือ ‘เวียดนามใต้’ ล่มสลาย โดยกองกำลังของกองทัพปล่อยปลดประชาชนเวียดนามเหนือกับกองกำลังของเวียตกง สามารถยึดกรุงไซ่ง่อนหรือนครโฮจินมินห์ไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด (คำว่า “เวียด” สมัยก่อนสะกดด้วยตัว “ต” แต่น่าจะหลังจากสงครามเวียดนามสงบแล้ว ต่อมาจึงใช้ “ด” สะกดแทน) 

ว่าแล้ววันนี้ ผมขอรำลึกถึง 46 ปี การล่มสลายของสาธารณรัฐเวียดนามหรือเวียดนามใต้ แต่ขอถ่ายทอดผ่านเรื่องราวของอีกเรื่องสำคัญที่สะเทือนหัวใจชาวโลกกับ ‘เรือมนุษย์เวียดนาม’ หนึ่งในผลลัพธ์ตรงจากเหตุล่มสลายในครั้งนี้ครับ

Alan Kurdi เด็กน้อยชาวซีเรียวัยเพียง 3 ขวบ ซึ่งเสียชีวิตจากการจมน้ำ

ถ้ายังพอจำกันได้ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีข่าวเรือมนุษย์จากตะวันออกกลางและแอฟริกาข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนปรากฏอยู่มากมาย ทั้งที่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลต่าง ๆ ในยุโรป ตลอดจนเหตุโศกสลดหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะภาพการเสียชีวิตของ Alan Kurdi เด็กน้อยชาวซีเรียวัยเพียง 3 ขวบ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่สะเทือนใจไปทั่วโลก 

แต่อันที่จริงแล้ว เหตุการณ์นี้ เป็นไปตามวงล้อประวัติศาสตร์ เพราะเคยเกิดขึ้นภายหลังจากที่สาธารณรัฐเวียดนามหรือเวียดนามใต้ล่มสลาย เมื่อ 46 ปีก่อน

เรือมนุษย์เวียดนาม (Vietnamese Boat People)

สงครามเวียดนาม หรืออีกชื่อหนึ่งว่า ‘สงครามอินโดจีนครั้งที่สอง’ ส่วนในเวียดนามจะเรียก ‘สงครามต่อต้านอเมริกา’ (เรียกสั้น ๆ ว่า สงครามอเมริกา) เป็นสงครามที่เกิดจากความขัดแย้งในเวียดนาม, ลาว และกัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ2498 จนกรุงไซ่ง่อนถูกยึดโดยกองกำลังของกองทัพปล่อยปลดประชาชนเวียดนามเหนือกับกองกำลังของเวียดกง เมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ.2518 

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เกิด ‘เรือมนุษย์เวียดนาม’ (Vietnamese Boat People) หรือแปลตรง ๆ จากภาษาอังกฤษจะแปลได้ว่า “มนุษย์เรือเวียดนาม” (แต่ตามคำที่ใช้กันในบ้านเรามาอย่างต่อเนื่องจะใช้ว่า “เรือมนุษย์เวียดนาม” ซึ่งผู้เขียนก็ขอใช้คำว่า “เรือมนุษย์เวียดนาม” เช่นที่ใช้กันมา)

ชาวเวียตนามใต้จำนวนมากแออัดกันรอเฮลิคอปเตอร์บนดาดฟ้าสถานทูตสหรัฐฯประจำเวียตนามใต้ ณ กรุงไซ่ง่อน

ผู้อพยพลี้ภัย ‘เรือมนุษย์เวียดนาม’ หมายถึงผู้อพยพลี้ภัยที่หนีออกจากเวียดนามโดยทางเรือ หลังจากสิ้นสุดสงครามเวียดนามในปี พ.ศ.2518 โดยวิกฤตการอพยพครั้งนี้พุ่งสูงสุดในปี พ.ศ.2521 และ พ.ศ.2522 อันเนื่องมาจากความตึงเครียดที่เกิดจากข้อพิพาทระหว่างเวียดนามกับกัมพูชา และระหว่างเวียดนามกับจีน  แต่ยังคงมีการอพยพต่อเนื่องมาจนถึง พ.ศ.2538 ในช่วงการล่มสลายของสาธารณรัฐเวียดนามหรือเวียดนามใต้ มีการอพยพของชาวเวียดนามมากกว่า 130,000 คน ซึ่งทำงานเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลหรือกองทัพสหรัฐอเมริกา และอดีตรัฐบาลของเวียดนามใต้ในระหว่างนั้น โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ส่งผู้อพยพลี้ภัยจากเวียดนามทางเครื่องบินและเรือไปปักหลักชั่วคราวยังเกาะกวม ก่อนที่จะย้ายไปยังที่พักพิงซึ่งถูกจัดไว้ในสหรัฐอเมริกา ภายในปีเดียวกันกับกองกำลังคอมมิวนิสต์ได้เข้าควบคุมกัมพูชาและลาว จึงทำให้มีผู้อพยพลี้ภัยจำนวนมากที่หลบหนีออกจากทั้งสามประเทศ และในปี พ.ศ.2518 ประธานาธิบดีเจอรัลด์ ฟอร์ด ได้ลงนามในรัฐบัญญัติการอพยพและการช่วยเหลือผู้อพยพลี้ภัยในอินโดจีน โดยใช้งบประมาณประมาณ 415 ล้านดอลลาร์ในการจัดหาระบบการขนส่งลำเลียง การดูแลสุขภาพ และที่พัก เพื่อให้ผู้อพยพลี้ภัยจากอินโดจีนสามารถตั้งถิ่นฐานใหม่ในสหรัฐอเมริกาได้

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรือมนุษย์เวียดนาม

ผู้อพยพลี้ภัยอาศัยเรือขนาดเล็กหลบหนีออกมาจากระบอบการปกครองใหม่ของสาธารณรัฐเวียดนาม โดยการออกนอกประเทศในขั้นต้นถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ถึงแม้ว่าสิ่งนี้จะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา และการแทรกแซงของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้อพยพลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) แต่การหลบหนีที่เกิดขึ้น ก็เป็นความผิดกฎหมายทางทะเล ผู้อพยพลี้ภัยมาจากครอบครัวเกษตรกร ชาวประมง และผู้ที่มีอาชีพในชนบทอื่นๆ จึงเข้าหาเรือที่ใช้สำหรับแล่นใกล้ชายฝั่ง แต่เรือเหล่านี้ไม่ได้ถูกออกแบบมาสำหรับการเดินทางในทะเลเปิด แต่มันก็เป็นทางเลือกเดียวในการออกเดินทาง จึงเกิดเป็น ‘การอัดยัดครอบครัวลงไปในเรือลำเล็ก ๆ’

แน่นอนว่า ชุมชนและเชื้อชาติที่หลากหลายต้องตกอยู่ในความเสี่ยง เหตุจากสงครามทำลายโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซ้ำร้ายยิ่งกว่าคือในปี พ.ศ.2522 (ค.ศ.1979) ได้เกิดสงครามจีน-เวียดนาม ทำให้ผู้ที่มีเชื้อสายจีนหวาดกลัวต่อความปลอดภัยในชีวิต เนื่องจากเห็นตัวอย่างในการประหารชีวิตและการกวาดจับเข้าค่ายแรงงาน ส่งผลให้มีผู้อพยพลี้ภัยจากสาเหตุนี้ คิดเป็น 70 เปอร์เซ็นต์ของผู้อพยพลี้ภัยชาวเวียดนาม 

การหลบหนีออกจากเวียดนามเป็นเรื่องอันตราย โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้อพยพลี้ภัยจำนวนมาก มาจากประเทศอื่นๆ ในอินโดจีนขณะนั้น ซึ่งยากที่จะคาดการณ์จำนวนผู้อพยพลี้ภัยหลบหนีออกจากเวียดนามได้อย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญประเมินได้ชัด คือ มีผู้อพยพลี้ภัยหลบหนีมากถึง 1.5 ล้านคน และกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ของผู้อพยพเสียชีวิตจากการจมน้ำ การขาดน้ำ และเจ็บป่วยระหว่างรอนแรมในเรือ ฯลฯ 

ผู้อพยพลี้ภัยเรือมนุษย์เวียดนามที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากความหิวโหย โรคภัย และโจรสลัด

นอกจากนี้ คนบนเรือ ยังต้องเผชิญกับพายุโรคความอดอยากและการหลบหนีโจรสลัด เพราะอย่างที่บอกไปว่า เรือลำเล็ก ๆ ไม่ได้ถูกออกแบบไว้สำหรับการเดินเรือในน่านน้ำเปิด และโดยปกติแล้วเรือทุกลำมักจะมุ่งหน้าไปยังช่องทางการเดินเรือระหว่างประเทศที่พลุกพล่านทางทิศตะวันออกประมาณ 240 กิโลเมตร (150 ไมล์) ผู้โชคดีจะประสบความสำเร็จด้วยการได้รับการช่วยเหลือจากเรือบรรทุกสินค้า หรือถึงฝั่งหลังจาก 1-2 สัปดาห์หลังจากออกเดินทาง แต่ผู้โชคร้ายจะยังคงเดินทางต่อไปในทะเลที่เต็มไปด้วยอันตราย ซึ่งบางครั้งก็กินเวลานานสองสามเดือน โดยต้องทนทุกข์ทรมานจากความหิวโหย, โรคภัย และ ‘โจรสลัด’ 

ผู้อพยพลี้ภัยเรือมนุษย์เวียดนามหญิงรายหนึ่ง ซึ่งถูกโจรสลัดลักพาตัวไปตั้งแต่ปี พ.ศ..2527 และสาบสูญจนทุกวันนี้

มีเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับกลุ่มผู้อพยพลี้ภัยเรือมนุษย์เวียดนามราว 17-18 คน ที่ต้องเผชิญกับโจรสลัดอย่างน่าเศร้า โดยกลุ่มนี้ โดยสารด้วยเรือยาว 23 ฟุต (7 เมตร) เพื่อพยายามเดินเรือระยะทาง 300 ไมล์ (480 กม.) ข้ามอ่าวไทยไปยังภาคใต้ของไทยหรือมาเลเซีย แต่ท้ายที่สุดเครื่องยนต์เรือสองตัวของพวกเขาเกิดขัดข้อง และในไม่ช้าก็ต้องลอยไปอย่างไร้เรี่ยวแรงและไร้จุดหมาย อาหารและน้ำหมด  

เหตุการณ์หลังจากนั้น คือ เรือดังกล่าวถูกโจรสลัดไทยขึ้นเรือสามครั้งในระหว่างการเดินทาง 17 วัน ข่มขืนผู้หญิงสี่คนบนเรือ และฆ่าคนไป 1 คน ปล้นเอาทรัพย์สินของผู้อพยพลี้ภัยทั้งหมด และลักพาตัวชายคนหนึ่งซึ่งไม่มีใครพบเห็นอีก 

ความโชคดีของผู้เหลือรอด (เรือของพวกเขาจม) คือ พวกเขาได้รับการช่วยเหลือจากเรือประมงไทย และจบลงที่ค่ายผู้อพยพลี้ภัยบนชายฝั่งประเทศไทย ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องโจรสลัดยังมีอีกพอสมควรที่ทางประเทศได้ทำการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยที่เจอโจรสลัดเข้าปล้นจี้

จากปัญหาโจรสลัดระบาด ในปี พ.ศ.2525 กองทัพเรือจึงได้รับมอบเครื่องบินตรวจการณ์แบบ T-337 G จำนวน 2 เครื่อง จาก UNHCR ตามโครงการปราบปรามการกระทำอันเป็นโจรสลัดในทะเล โดยกองทัพเรือได้จัดตั้งหน่วยบินป้องกันและปราบปราม โจรสลัดขึ้นที่จังหวัดสงขลา เพื่อทำการปราบปรามการกระทำอันเป็น ‘โจรสลัด’ ในอ่าวไทย ซึ่งหน่วยบินดังกล่าว ได้ปฏิบัติงานอย่างได้ผลดี

อย่างไรเสีย วิบากกรรมของเรือมนุษย์เวียดนาม ช่างน่าสังเวชยิ่งนัก โดยจากข้อมูลของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้อพยพลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ที่เริ่มรวบรวมสถิติการปล้นจี้ของโจรสลัดต่อผู้อพยพลี้ภัยเรือมนุษย์เวียดนามในปี พ.ศ.2524 ในปีนั้นมีเรือ 452 ลำบรรทุกผู้อพยพลี้ภัยเรือมนุษย์เวียดนามเข้ามาในประเทศไทย โดยบรรทุกผู้อพยพลี้ภัย 15,479 คน เรือ 349 ลำถูกโจรสลัดปล้น หญิง 228 คนถูกลักพาตัว และผู้อพยพลี้ภัยเรือมนุษย์เวียดนาม 881 คน เสียชีวิตหรือสูญหาย 

การรณรงค์เพื่อปราบปรามโจรสลัดระหว่างประเทศ จึงเริ่มขึ้นในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2525 และสามารถลดจำนวนการปล้นของโจรสลัดลงได้บ้าง แม้ว่าจะยังคงเกิดขึ้นบ่อยครั้งก็ตาม ประมาณการจำนวนผู้อพยพลี้ภัยเรือมนุษย์เวียดนามที่เสียชีวิตในทะเลสามารถประมาณได้ตามที่ UNHCR ระบุคือ มีผู้เสียชีวิตในทะเลระหว่าง 200,000 ถึง 400,000 คน หรือประมาณการอย่างกว้าง คือ 10-70 เปอร์เซ็นต์ ของผู้อพยพลี้ภัยเรือมนุษย์เวียดนามจะเสียชีวิตในทะเล

วิกฤตการณ์ดังกล่าวไม่เป็นที่รับรู้ต่อชาวโลก จนกระทั่งจำนวนผู้อพยพลี้ภัยเพิ่มมากขึ้น ผู้อพยพลี้ภัยประมาณ 62,000 คนได้ขอลี้ภัยไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งภายในปี พ.ศ.2521 จำนวนผู้อพยพลี้ภัยเพิ่มขึ้นเป็น 350,000 คนภายในกลางปี พ.ศ.2522 โดยอีก 200,000 คน ต้องย้ายไปพำนักถาวรในประเทศอื่น ทั้งๆ ที่ตอนแรกประเทศใกล้เคียงกับเวียดนามจะยอมรับผู้อพยพลี้ภัยและจัดหาที่ลี้ภัยให้ แต่อย่างไรก็ตาม ต่อมานโยบายของหลาย ๆ ประเทศเหล่านั้นก็เปลี่ยนไป

ถึงกระนั้นผู้อพยพลี้ภัย ก็มักเดินทางผ่านหลายประเทศ โดยเริ่มแล่นเรือไปยังประเทศที่ใกล้เคียงที่สุด เช่น มาเลเซีย, ฮ่องกง และอินโดนีเซีย ซึ่งทาง UNHCR ได้จัดทำข้อตกลงชั่วคราวขึ้นกับหลาย ๆ ประเทศเหล่านี้ที่เริ่มปฏิเสธรับลี้ภัย แต่จะยอมเป็น “โรงพยาบาลแห่งแรก” ให้ หรือหมายความว่าผู้อพยพลี้ภัยจะอยู่ที่นั่นชั่วคราวจนกว่าจะได้รับการคัดเลือกและเข้าสู่ประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐอเมริกาและแคนาดา

แม้จะมีข้อตกลงในปี พ.ศ.2522 แต่ประเทศต่าง ๆ ก็เริ่มรับผู้อพยพลี้ภัยน้อยลง เพราะจำนวนผู้อพยพลี้ภัยเรือมนุษย์เวียดนามในประเทศแรกรับผู้อพยพลี้ภัยเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่พวกเขาจะสามารถบริหารจัดการได้ ในที่สุดความเป็นปรปักษ์ต่อผู้อพยพลี้ภัยก็เพิ่มขึ้น ในขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองภายในแต่ละประเทศทวีความตึงเครียดมากขึ้นตาม ตัวอย่างเช่น ฮ่องกงปฏิเสธที่จะรับผู้อพยพทางเศรษฐกิจของจีน แต่ยอมรับผู้อพยพลี้ภัยชาวเวียดนาม ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชาติขึ้น

มาเลเซียเป็นอีกประเทศที่ต้องเผชิญกับทางเลือกที่ยากลำบากกับการมาถึงของผู้อพยพลี้ภัยเรือมนุษย์เวียดนาม สถานการณ์เลวร้ายลงจนถึงจุดที่ชาวมาเลเซียผลักดันเรือลำหนึ่งที่มีผู้อพยพลี้ภัยอยู่บนเรือราว 2,500 คน สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากความตึงเครียดทางชาติพันธุ์ระหว่างชาวมลายูมุสลิมและชาวจีนพื้นเมือง  ด้วย “เส้นแบ่งทางชาติพันธุ์ที่มีความยาวและความกว้างของประเทศระหว่างชาวมลายูมุสลิม และชาวจีนที่ทานหมู” ด้วยเหตุนี้ในที่สุดมาเลเซียก็จึงเหมือนกับประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ปฏิเสธจะรับผู้อพยพลี้ภัยเพิ่ม

UNHCR กับภารกิจดูแลช่วยเหลือผู้อพยพลี้ภัยเรือมนุษย์เวียดนาม

อย่างไรก็ตาม บทสุดท้ายของความเลวร้ายจาก ‘เรือมนุษย์เวียดนาม’ ก็มาถึง เมื่อองค์การสหประชาชาติได้จัดการประชุมระหว่างประเทศที่นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ช่วงเดือนกรกฎาคม ปีพ.ศ.2522 ระบุเรื่อง “วิกฤตการณ์ร้ายแรง ซึ่งเกิดขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากกรณีของผู้อพยพลี้ภัยจำนวนหลายแสนคน” และเพื่อแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจต่อปัญหาดังกล่าวจากสหรัฐฯ ทางรองประธานาธิบดีวอลเตอร์ มอนเดล หัวหน้าคณะผู้แทนสหรัฐฯ จึงได้สรุปผลการประชุมว่า... 

“ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตกลงที่จะให้ลี้ภัยชั่วคราวแก่ผู้อพยพลี้ภัยเวียดนาม และจะสนับสนุนการเดินทางออกอย่างเป็นระบบ ส่วนบรรดาประเทศตะวันตกต่างตกลงที่จะเร่งการตั้งถิ่นฐานใหม่” 

ผู้อพยพลี้ภัยเรือมนุษย์เวียดนามจำนวน 346 คน ขณะได้รับการช่วยเหลือจากเรือสินค้า MV Wellpark ในทะเลจีนใต้ เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2521 (ค.ศ.1978)

จากผลการประชุมครั้งนั้น ทำให้เกิดโครงการออกเดินทางอย่างเป็นระบบ ที่ทำให้ชาวเวียดนามได้รับการอนุมัติให้เดินทางออกจากเวียดนาม เพื่อไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศอื่นได้ โดยไม่ต้องเป็นผู้อพยพลี้ภัย ‘เรือมนุษย์เวียดนาม’ และส่งผลให้ผู้อพยพลี้ภัยเรือมนุษย์เวียดนามลดจำนวนลงเหลือไม่กี่พันคนต่อเดือน  แต่กลับเพิ่มการตั้งถิ่นฐานใหม่ขึ้นมาราว 9,000 คนต่อเดือน และในปี พ.ศ.2522 เป็น 25,000 คนต่อเดือน โดยชาวเวียดนามส่วนใหญ่เดินทางไป สหรัฐอเมริกา, ฝรั่งเศส, ออสเตรเลีย และแคนาดา 

ปิดฉากวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายที่สุดสิ้นสุดลง แม้ว่าจะยังคงมีผู้อพยพลี้ภัยเรือมนุษย์เวียดนามเดินทางออกจากเวียดนาม และต้องเสียชีวิตในทะเล หรือถูกกักขังอยู่ในค่ายผู้อพยพลี้ภัยเป็นเวลานาน ต่อมาอีกกว่าทศวรรษก็ตาม

ครอบครัวผู้อพยพลี้ภัยเรือมนุษย์เวียดนามครอบครัวหนึ่ง ซึ่งประสบความสำเร็จในการตั้งถิ่นฐาน นายแพทย์ Hung Nguyen (คนกลางแถวบน) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือจากเรือ MV Wellpark ถ่ายกับครอบครัวหน้าคลินิกของเขา ในเขต Orange County มลรัฐ California

 

???? LOCK LENS GURU เปิดตัว ‘กูรู’ ทั้ง 5 ท่าน ในสัปดาห์นี้ !!

???? LOCK LENS GURU  เปิดตัว ‘กูรู’ ทั้ง 5 ท่าน ในสัปดาห์นี้ !! 
???? เริ่ม วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม - วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม  
???? ทุกเช้า 8 โมงตรง   
???? มาร่วมเจาะลึกประเด็นที่น่าสนใจ ไปกับ ‘กูรู’ ตัวจริง พร้อมกัน เร็วๆนี้

????EP.6 วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม
???? GURU : ผศ.ดร.สุทัศน์ จันบัวลา
ประธานสาขาวิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
▶️ หัวข้อ  : ‘พายุฤดูร้อน’ วาตภัยที่มาพร้อมกับความชื่นฉ่ำ พร้อมต่อลมหายใจให้กับเกษตรกร
อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021031303

????EP.7 วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม
???? GURU : คุณอรุณรัตน์ เปรมสิริอำไพ  
คอลัมนิสต์อิสระ นักแปล นักเล่าข่าว 
▶️ หัวข้อ  : สิงคโปร์ ท้าโลกร้อน ขอเปลี่ยนเมืองร้อนให้เป็นเมือง Cool ด้วยนวัตกรรม
อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021041107
 

????EP.8 วันพุธที่ 5 พฤษภาคม
???? GURU : ดร.โญธิน มานะบุญ  
นักวิชาการอิสระ 
▶️ หัวข้อ : เรื่องราวความเป็นมาของคลองสุเอซ (Suez Canal)
อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021040308

????EP.9 วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม
???? GURU : ครูแพท แสงธรรม 
นักวิชาการอิสระ ด้านCommunication facilitator
▶️ หัวข้อ : ‘Feminism’ และการเคลื่อนไหวแนวคิด ผ่านความสนุกทางเพศ
อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021040413

????EP.10 วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม
???? GURU : อ.กมลวรรณ รอดหริ่ง 
อาจารย์ประจำสาขาการเงิน คณะการจัดการและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยบูรพา
▶️ หัวข้อ : ‘วัคซีนพาสปอร์ต’ ความหวังฟื้นเศรษฐกิจ ‘โลก - ไทย’
อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021031406

???? ดำเนินรายการโดย เจ THE STATES TIMES

???? ช่องทางรับชม LIVE 
Facebook: THE STATES TIMES
YouTube: THE STATES TIMES

สังคมแห่งการเกื้อกูล!! คนไทยไม่ทิ้งกัน!! นายก "มหาชนคนพิการ" ผนึกรายการ "คนละไม้คนละมือ" รับมอบรถวีลแชร์ ส่งต่อ "คนพิการเมืองเลย" สร้างรอยยิ้มและโอกาสแก่ผู้ยากไร้

นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล นายกสมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการไทย และตำแหน่ง คณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการด้านแรงงาน

พร้อมด้วย นายชัยพร ภูผารัตน์ ผู้อำนวยการสมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย ลงพื้นที่อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี เพื่อเข้าพบ นายสายัณต์ ดีเลิศ นายกสมาคม "ส่งเสริมอาชีพและช่วยเหลือรถเข็นเพื่อคนพิการ" รับมอบรถวีลแชร์​ (มือ 2) ไปส่งให้กับสตรีคนพิการ คุณหล้า บุญวงษ์ ซึ่งมีภูมิลำเนาอาศัยอยู่ในอำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย

ก่อนหน้านี้​ คุณหล้า​ ได้ขอความช่วยเหลือผ่านทางรายการ "คนละไม้_คนละมือ" ว่า​ อยากได้รถเข็นวีลแชร์ที่สามารถ พับได้และมีน้ำหนักเบา เพื่อใช้สำหรับการดำรงชีวิตของตนเอง ซึ่งแต่เดิมมีแต่รถวิลแชร์ที่เป็นลักษณะคล้ายๆ​ รถเข็นคนป่วยในโรงพยาบาลซึ่งเป็นเหล็ก และมีน้ำหนักมาก อีกทั้งยังไม่สามารถพับได้ จึงมีความลำบากที่จะนำรถวิลแชร์ใส่รถ หรือขนย้ายเพื่อเดินทาง ไปยังพื้นที่อื่นๆ​ ได้โดยสะดวก จึงได้ประสานงานผ่านเพื่อนคนพิการที่อยู่จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อสอบถาม และขอความช่วยเหลือในครั้งนี้ จึงเป็นที่มาของการประสานงาน จนมาสู่การร่วมน้ำใจที่ดีต่อกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันสามารถจัดหารถเข็นวีลแชร์ ได้จนสำเร็จ

ในการนี้ นายชัยพร ภูผารัตน์ ผู้อำนวยการสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย ได้เป็นตัวแทน ส่งมอบเงินซึ่งได้รับมาจากผู้ใหญ่ใจดี ส่งถึงมือ นายสายยัณต์ ดีเลิศ เพื่อเป็นกำลังใจและนำไปจัดซื้ออะไหล่ อุปกรณ์ ที่จะนำมาซ่อมแซมรถวิลแชร์ ให้สามารถใช้งานได้ตามปกติในการข้างหน้า

อีกทั้ง​ ยังได้รับความอนุเคราะห์จาก คุณกุณฑล ฉายศิริ​ ผู้อำนวยการกองจัดการเดินรถ บริษัท ขนส่ง จำกัด เป็นธุระในการประสานงาน จัดส่งรถวิลแชร์นี้ ไปยังจังหวัดเลย เพื่อให้ถึงคนพิการอย่างทันท่วงที โดยไม่เรียกเก็บค่าใช้จ่ายใดๆ​ ทั้งสิ้น​ รวมถึง​ นายเขื่อน สุปัญบุตร นายกสมาคมคนพิการจังหวัดปทุมธานี ที่ช่วยกัน "คนละไม้_คนละมือ" เอื้อเฟื้อสถานที่ให้เป็นสำนักของของสมาคมฯ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องคนพิการอีกด้วย

เป็นอีกเรื่องดีๆ​ ของสังคมไทยที่ยังหลงเหลือ​ ท่ามกลางมหันตภัยโรคระบาด​ ผ่านการร่วมกัน "คนละไม้_คนละมือ" เพื่อสร้างสรรค์สังคมไทยให้น่าอยู่ อย่างมีความสุขต่อไป

แฝดคนละฝา !! วัฒนธรรม​ 'เมียนมา-อินเดีย'​ ที่ยากจะแยกออก

คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าประเทศที่รับวัฒนธรรมของอินเดียมาแบบเต็ม ๆ แม้จะไม่ได้เป็นประเทศที่นับถือฮินดูเป็นศาสนาหลัก และไม่ได้เป็นเขตอิทธิพลของชมพูทวีปมาก่อน ประเทศนั้นคือเมียนมานั่นเอง สังเกตได้จากเวชภัณฑ์ในเมียนมาร์ส่วนใหญ่มาจากอินเดีย รวมถึงภาพยนตร์อินเดียในเมียนมาก็ยังได้รับความนิยมอย่างสูง

Biogesic ยาพาราเซตามอลจากอินเดียที่ขายดีในเมียนมา

และที่เห็นจนชินตาในสังคมเมียนมา จนนึกว่านี่คือวัฒนธรรมต้นตำรับของเมียนมาแล้วละก็...นั่นคืออาหารอินเดีย ที่มีอยู่มากมายและหลากหลายเมนู ถูกสอดแทรกในร้านอาหารพม่าจนคิดว่านี่คืออาหารพม่าไปเสียแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ‘ซาโมซา’ และ ’นานเปีย เปียง’  หรือในไทยคือ ‘โรตีโอ่ง’ อาหารชื่อดังของแม่สอด ที่พบเห็นได้เป็นปกติในร้านชาในเมียนมมา รวมถึงร้านชานมใหญ่ ๆ บางร้าน มีอาหารเช้าสไตล์อินเดียอย่าง โตเช ซึ่งเป็นแป้งกรอบทานกับมันฝรั่งบดและซุปถั่วสไตล์อินเดีย

อาหารอินเดียที่พบเห็นได้ในร้านอาหารเช้าในเมียนมา

โตเช

แนนเปียกับชานม

ซาโมซา ทานกับชานม และปาท่องโก๋

แต่ที่เราอาจจะลืมไปแล้ว ว่านี่คือเมนูยอดฮิตของคนเมียนมาที่เป็นอาหารอินเดียแท้ ๆ เลยแบบไม่ได้ทวิสต์แบบไทยคือ ข้าวหมก หรือในพม่าเรียกว่า ‘Dan Pauk’ ออกเสียงว่า ‘แดนเป๊าก์’ ซึ่งในเมียนมามี 2 แบบ คือ ข้าวหมกไก่ และข้าวหมกแพะ เนื่องจากคนเมียนมาส่วนใหญ่ทานเนื้อแพะมากกว่าเนื้อวัว จึงไม่มีข้าวหมกเนื้อขาย

ข้าวหมกในเมียนมานี่เรียกได้ว่าแทบจะถอดแบบข้าวหมกของอินเดียมาแบบร้อยเปอร์เซ็นต์เลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากจะอุดมไปด้วยกลิ่นของเครื่องเทศแล้ว บางทีตักข้าวขึ้นมาเคี้ยว ๆ ติดลูกกะวาน ใบกานพลูขึ้นมาด้วยซ้ำ ข้าวหมกในเมียนมาร์ส่วนใหญ่จะมีใส่ธัญพืชเข้าไปด้วยเช่นเม็ดถั่วลันเตา แครอทเข้าไปเพื่อเพิ่ม Texture ในการทานให้มีความอร่อยมากขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมียนมา คนเมียนมานิยมใช้ไก่พื้นบ้านของเมียนมามาทำเป็นข้าวหมกไก่ เพราะเนื้อไก่ที่ได้จะมีเนื้อแน่น เวลาทานจะสู้ฟันกว่าไก่ฟาร์มซึ่งจะออกไปทางเนื้อฟู คนเมียนมาจะนิยมทานกับซอสมะม่วงที่มีรสชาติเปรี้ยวเค็ม และพริกป่น ซึ่งจะต่างจากไทยที่ทานกับซอสบ๊วยที่มีรสหวาน


ข้าวหมกไก่ของพม่า  

ข้าวหมกไก่ของไทย

ข้าวหมกในเมียนมาราคาจะอยู่ที่ประมาณ จานละ 1,500 จ๊าด สำหรับแบบสตรีทฟู๊ด ไปจนถึง 3,500 จ๊าด ที่เป็นร้านข้าวหมกมีแบรนด์และมีสาขา คิดเป็นราคาไทยประมาณ 30-70 บาทต่อจาน ข้าวหมกเจ้าดังที่มีหลายสาขาในเมียนมาร์ก็มี KSS, KK, Nilar, Kyat Shar Soe โดยแต่ละร้านจะมีรสชาติแตกต่างกันไปตามแต่ละร้าน ตามแต่ใครชอบรสชาติแบบไหน หากคุณมาเมียนมาและอยากสัมผัสกลิ่นอายของอินเดีย นอกจากอาหารอินเดียที่หาทานได้จากร้านชามแล้ว ข้าวหมกก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือก ที่อยากให้คุณได้ลิ้มลองความเป็นอินเดียที่ฝังอยู่ในวิถีชีวิตของคนเมียนมาร์จากอดีตจนถึงปัจจุบัน


ข้อมูลอ้างอิง : ขอบคุณภาพจาก
Biogesic Myanmar Facebook Page
ข้าวหมกไก่สยาม
KSS Briyani Shop
 

ถอดสมการ ‘เฟกนิวส์’ ‘ทฤษฎีสมคบคิด + ข่าวปลอม’ ยกกำลังสองด้วย ‘โซเชียลมีเดีย’ = โกหกอย่างมีหลักการ

การที่เทคโนโลยีได้นำพาสิ่งที่เรียกว่า ‘โซเชียลมีเดีย’ ออกมาแนบชิดประชาคมโลก มันก็เป็นอะไรที่ช่วยเปิดหูเปิดตาคนได้เยอะ

ข่าวสารมากมาย ความรู้หลากหลาย หาพบได้แค่ ‘นิ้วคลิก’ และ ‘ลากรูด’ ผ่านหน้าจอกะทัดรัดที่เรียกว่าสมาร์ทโฟน ซึ่งสามารถเชื่อมโลกทั้งใบให้เรา ‘รู้กว้าง’ ได้มากกว่าเคย

แต่อย่างว่าเหรียญย่อมมี 2 ด้าน (ถ้าไม่ทะลึ่งไปทำหัว 2 ฝั่ง ก้อย 2 ฝั่ง) เรื่องดี ๆ มีเพียบ แต่เรื่องอัปรีย์ก็มีเสียบแทรกเข้ามาให้เห็นได้พร้อม ๆ กัน

ข่าวปล่อย ข่าวปลอม ข่าวเท็จ หรือเรียกรวม ๆ กันว่า ‘เฟกนิวส์’ (Fake News) มันก็คือหนึ่งในสิ่งที่วนเวียนอยู่ในโลกโซเชียลมีเดียที่มาพร้อมกันกับโลกจริงแบบคู่ขนาน และดูท่าช่วงนี้จะหลุดออกมามาก ถึงขนาดที่ว่ากันว่าไฟลามทุ่ง ยังไม่รุ่งเท่าแสงแห่ง ‘เฟกนิวส์’ ที่ปล่อยกันในโลกโซเชียลยังไงยังงั้น!! 

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องพูดเอาฮา เพราะเคยมีทีมวิจัยของมหาวิทยาลัย MITตีพิมพ์เรื่องราวเกี่ยวกับข่าวปลอมในปี 2018 โดยระบุว่า พบ ข่าวปลอม ที่ไม่ใช่เรื่องจริง แต่เป็นเพียงการลือถึง 126,000 โพสต์ แพร่กระจายไปในวงกว้างถึงผู้คนราว 3 ล้านคน และรีทวีตไปรวมมากกว่า 4.5 ล้านครั้ง ระหว่างปี 2006–2017 

ยิ่งไปกว่านั้นงานวิจัยชิ้นเดียวกันยังระบุด้วยว่า แค่ 1% ของเฟกนิวส์ สามารถแพร่กระจายเป็นวงกว้างไปสู่คนได้ตั้งแต่ 1,000 ถึง 100,000 คนต่อหนึ่งข่าว (แล้วแต่ข่าว) กันเลยทีเดียว

คำถาม คือ ทำไมผู้คนจึงเชื่อเฟกนิวส์?

ตรงนี้มี 2 ปัจจัยใหญ่ ๆ ให้ลองเช็ค...

ปัจจัยแรก หากพูดตามหลักการแล้ว ‘เฟกนิวส์’ เป็นสิ่งที่เล่นกลกับจิตใจคน เหตุเพราะทุกคนล้วนมีสิ่งที่เรียกว่า ‘การรับรู้อย่างมีอคติ’ (Cognitive Bias) ซ่อนอยู่ในตัว และการรับรู้ในลักษณะนี้นี่แหละ ที่มักจะนิยมชมชอบเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์อย่างรุนแรง หรือแม้แต่สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจ ตื่นกลัว เกลียดชัง ขยะแขยง ดูถูกดูหมิ่น ฯลฯ (รวม ๆ แล้วฝักใฝ่เรื่องแย่ ๆ ซะมาก)

...มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ชวนเชื่อได้ง่ายกับสิ่งเหล่านี้!!

และถ้ายิ่งเนื้อหานั้น ๆ ออกมาจากคนในครอบครัว เพื่อน ๆ หรือคนที่เราชื่นชม ผสมผสานไปกับความคิดเห็นหรือความเชื่อที่เรามีอยู่แล้วเป็นทุนเดิมด้วยล่ะก็...โอ้โห!! ความถูกผิดที่เคยสั่งสมมาในสมองนี่ถูกย่อยสลายเกลี้ยงได้เลย 

ยกตัวอย่างง่าย ๆ เลย หากเราเชื่อว่าผู้นำบางคนในต่างประเทศ (ประเทศไทยก็ได้) ชอบพูดอะไรที่ดูไม่เข้าท่าหรือไม่ฉลาด และบังเอิญดันมีคนไปแชร์คำพูดประหลาด ๆ จากคนเหล่านั้นมาผ่านตาเรา เราก็จะเชื่อง่ายเป็นพิเศษและรีบแชร์ต่ออย่างรวดเร็ว โดยจะตัดความคิดว่านี่คือข่าวปลอมไปจากหัว (ถามใจดูซิว่าเคยทำไหม)

ปัจจัยที่สอง เป็นเพราะคนยุคนี้ไม่ชอบเรื่องราว ‘ซับซ้อน’ และ ‘ขี้เกียจ’ ที่จะตามหาหรือสืบค้นต้นตอให้ยุ่งยาก 

เฮ้ย!! ขนาดนั้นเลยหรอ? 

ขนาดนั้นเลยแหละ!! ขนาดพอ ๆ กับที่เขาบอกกันว่าคนยุคนี้อ่านหนังสือไม่เกิน 8 บรรทัดยังไงยังงั้นนั่นแหละ 

เรื่องนี้ถ้ายกตัวอย่าง อยากจะพูดในเชิงเปรียบเทียบให้เห็นภาพสักนิด โดยย้อนไปถึงยุคที่ผู้คนส่วนใหญ่ มักจะรู้ว่าสื่อต้นตอข่าวที่ตัวเองรับข่าวสารมา ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ นิตยสาร รายการวิทยุ และรายการโทรทัศน์ใดบ้างมีระดับความน่าเชื่อถือในระดับที่ไปบอกเล่าต่อได้

แต่บังเอิญทุกวันนี้ หลากหลายสื่อเล่นกันง่าย ๆ แค่ไปเอาเรื่องราวจากในโซเชียลมีเดีย เอาโพสต์จาก Facebook หรือ Twitter มาอ่านออกอากาศกันอย่างหน้าตาเฉย ราวกับอยากจะช่วยรับประกันว่า ข่าวพวกนั้นเชื่อถือได้ พอมันเป็นแบบนี้ เรื่องจริง เรื่องปลอม จึงปะปนกันมั่วซั่วไปหมด แล้วมันจะไปประสาอะไรกับคนที่อยู่ในโลกโซเชียลที่พบเจอเรื่องอะไรก็เชื่อไปโดยไม่หาต้นตอ ถ้าบังเอิญเรื่องนั้นมันจริง ก็ OK ไป แต่ถ้าไม่ใช่นี่สิ ฮ่วย!! หน้าแหก 

...และนี่แหละที่บ่งชี้ชัดว่า ‘จิตใจคน’ เอย ‘ความไม่ชอบซับซ้อน’ เอย และความ ‘ขี้เกียจ’ เอย เป็นตัวเร่งชั้นดีให้ข่าวปลอมเกิดได้อย่างรวดเร็ว 

ทฤษฎีสมคบคิด ส่วนผสมที่ลงตัวแห่ง ‘เฟกนิวส์’ ที่ทรงเสน่ห์

อย่างไรก็ตาม เฟกนิวส์ หรือ ข่าวปลอมที่ดี (เดี๋ยว ๆ มีด้วยเหรอ) มักจะมาจาก ‘ทฤษฎีสมคบคิด’ ที่บ้างก็เรียกว่า ‘ลัทธิการกบฏ’ (Conspiracy Theory) ซึ่งเป็นเรื่องเล่า บทความที่สร้างขึ้นมาจากความคิดของคน หรือกลุ่มคน โดยนำเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน มีข้อเท็จจริงประกอบอยู่เพียงเล็กน้อย กับทุกประเด็นทั้งการเมือง ศาสนา วัฒนธรรม กีฬา และอื่น ๆ 

แต่บอกไว้ก่อนว่าเรื่องเหล่านี้ นักวิชาการจะไม่นำมาใช้อ้างอิงหรอกนะฮะท่านผู้ชม!!

แต่ ๆ ๆ ถึงแม้จะไม่มีใครหยิบมาอ้างอิง ก็จะมีบางกลุ่มที่หยิบ ทฤษฎีสมคบคิดเหล่านี้ มาอ้างอิงให้เป็นข่าว (ปลอม) โดยพยายามปั้นทฤษฎีให้กลายเป็นข่าว แล้วดันข่าว (ปลอม) เหล่าให้คนในสังคมยอมรับว่าเป็น ‘เรื่องจริง’

ตรงนี้น่ากลัวกว่าข่าวปลอม จากแหล่งที่โกหกและแชร์ต่ออย่างไม่มีนัยยะแอบแฝงอย่างมาก 

เพราะต้องขอบอกว่า เฟกนิวส์ ที่มาจากทฤษฎีสมคบคิดเหล่านี้ มีความรุนแรงและพร้อมสร้างความแตกแยกให้กับผู้คนในสังคมได้ง่ายๆ เนื่องจากผู้เผยแพร่ส่วนใหญ่จะหวังผลในระดับสังคม ประเทศ การเมือง ศาสนา และวัฒนธรรม โดย ‘ยกระดับข่าวปลอม’ ด้วยข้อมูลเหตุผลช่วยประคอง ทำให้คนบางพวกที่มี ‘ขบถทางความคิด’ มักจะชอบและเลือกหยิบมาเผยแพร่ต่อได้ง่าย

เอาง่าย ๆ อย่างตอนนี้เรื่องที่ถูกจับมาเป็นข่าวปลอมเชิงทฤษฎีสมคบคิดบ่อยสุด มันก็จะวน ๆ กับเรื่องของโควิด-19 

ตัวอย่างแค่ใกล้ ๆ อย่างในประเทศไทยก็พอ เราคงได้เห็นข่าวปลอม ข่าวมั่วเกี่ยวกับโควิด ที่มีการให้เหตุผลเกี่ยวกับการดูแลร่างกาย การรักษาระยะห่าง วิธีใส่หน้ากาก หรือแม้แต่การฉีดวัคซีนแบบผิด ๆ มาปนเปื้อนใส่หัวคนแบบมีเหตุผลประกอบ แต่มีคนแชร์กันเพียบ ซึ่งหากมองผลลัพธ์ของมันแล้ว นอกจากจะทำให้เกิดการติดเชื้อแพร่หลาย ยังกระทบต่อความมั่นคงของรัฐบาล ที่สะท้อนถึงความห่วยไม่สามารถคุมสถานการณ์อยู่ก็เป็นได้

หรืออย่างทฤษฎีสมคบคิด ที่ถูกใช้ทางการเมืองระหว่างประเทศที่ใหญ่โตหน่อย ก็กรณีสหรัฐอเมริกากับจีนที่กล่าวหากันเรื่องที่มาของผู้แพร่ไวรัส ที่มองว่าผู้แพร่โรคนี้ต้องการใช้ไวรัสเป็นเครื่องมือบ่อนทำลายอีกฝ่ายหนึ่ง แต่เพราะหลักฐานไม่ชัดเจน ไม่หนักแน่นพอ สุดท้ายแนวคิดเหล่านี้ก็หายไป

อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับโควิด-19 ก็ยังมีหลุดออกมาอีกมาก ถึงขนาดมีองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อเผยแพร่อย่างเป็นทางการ เช่น QAnon ที่สหรัฐอเมริกา กลุ่มขวาจัดที่มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบ มีผู้ติดตามจำนวนไม่น้อย

เรื่องราวของกลุ่มนี้ สามารถจับนั่นโยงนี่ได้จนต้องเบ้ปากมองบน เช่น สร้างข่าวปลอมทฤษฎีสมคบคิดในยุโรปว่าเสา 5G เป็นสื่อกลางกระจายไวรัสโควิด-19 ในอังกฤษ และ เนเธอร์แลนด์ หรือบ้างก็พยายามเผยแพร่ให้เห็นว่าแผนการล้างโลกด้วยการปล่อยเชื้อโรคให้ระบาดอย่างร้ายแรงและรวดเร็ว 

แม้แต่ บิลล์ เกตส์ (Bill Gates) เจ้าพ่อ Microsoft ก็ยังโดน!! โดยมีการอ้างว่าโควิด-19 เป็นแผนของนายบิลล์ เกตส์ ที่หวังรวยจากการพัฒนาวัคซีนและยา ที่มูลนิธิของเขาให้การสนับสนุนหลายแห่ง โดยไม่เชื่อมโยงจากคำพูดในงาน TED Talk เมื่อปี 2015ที่เตือนเรื่องการระบาดของไวรัสที่ถูกเผยแพร่ออกมาก่อนหน้านี้ 

อันที่จริงแล้ว หลากหลายทฤษฎีสมคบคิด มักเป็นแนวคิดที่เกิดจากการ ‘สะสมอคติ’ แม้หลักฐานจะไม่น่าเชื่อถือในเชิงวิชาการ แต่ในเชิงหลักคิดที่มีอารมณ์นำพา มันตอบโจทย์!!  

ที่น่ากลัว คือ ‘ต่อให้มีใครมาบอกข้อมูลจริง ก็ไม่ได้ต้องการการพิสูจน์แล้ว’ เหมือนกับกรณีที่วันนี้ยังมีบางกลุ่มถกกันเรื่อง ‘โลกกลม VS โลกแบน’ อยู่ไม่เลิก

แน่นอนว่า ส่วนผสมที่ลงตัว ต้องพึ่งพาเครื่องมือที่พร้อมลงทัณฑ์ นั่นก็เลยย้อนกลับมาที่โซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ทฤษฎีสมคบคิดและข่าวปลอมกลายเป็น ‘เนื้อเดียวกัน’ แถมยังกระจายไปไกลและรวดเร็ว เกิดมีแอปพลิเคชัน มีแพลตฟอร์ม มีเว็บไซต์มากมายหลายร้อยที่ใช้เผยแพร่ แม้บรรดาเจ้าของเครื่องมือสื่อใหญ่อย่าง Facebook, Twitter, Line และ YouTube จะออกมาตรการควบคุม แต่ก็ไม่สามารถจัดการลบอะไรพวกนี้ได้หมด

ความบิดเบือนทางการเมือง ศาสนา สังคม วัฒนธรรม และอื่น ๆ ของ ‘เฟกนิวส์’ เหล่านี้ เป็นสิ่งที่ต่อยอดความเชื่อและความศรัทธา ได้มากกว่า ‘เหตุผล’ ไปเป็นที่เรียบร้อยในยุคที่สมการ ‘ทฤษฎีสมคบคิด + ข่าวปลอม ยกกำลังสองด้วย โซเชียลมีเดีย’ 

ใคร? ซึ่งในที่นี้ไม่ได้อยากระบุว่าเป็น คน, รัฐบาล หรือองค์กรใด ๆ ที่คิดว่าตนเองมี ‘ข่าวแท้’ อยู่ในมือ แต่กลับนิ่งเฉย จะไม่มีวันเอาชนะ ‘เฟกนิวส์’ เหล่านี้ได้ 

และถ้าหากแต่ปล่อยให้พลังของเฟกนิวส์ เกิดการทำซ้ำ ย้ำเรื่องปลอมเข้าไปเรื่อย ๆ โอกาสที่เรื่องปลอม ๆ จะกลายร่างเป็นเรื่องจริง จนถึงขั้นมาทดแทน ‘เรื่องที่แท้จริงแบบไม่บิดเบือน’ ก็มีสูง 

โกหกคำโต พูดง่ายๆ ซ้ำ ๆ สุดท้ายผู้คนก็จะเชื่อ!!

ธรรมชาติของมนุษย์มันก็จะประมาณนี้แหละ!!


อ้างอิง: 
https://siamrath.co.th/n/174018
https://www.the101.world/fake-news/
https://www.nytimes.com/2020/04/17/technology/bill-gates-virus-conspiracy-theories.html
 

วัยเก๋า...ไกลโรค ป้องกันการล้ม ในผู้สูงอายุ

ผู้สูงอายุหมายถึงผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป โดยตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 ประเทศไทยมีผู้สูงอายุ 10 ล้านคน ซึ่งนับเป็นร้อยละ 16 ของประชากรทั้งหมด จึงถือว่าประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging society) และคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ.2564 ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุมากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด ทำให้ประเทศไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุแบบสมบูรณ์ (Aged society) ดังเช่น ประเทศญี่ปุ่น, อิตาลี, เยอรมันและสวีเดน

ผู้สูงอายุเป็นวัยที่ระบบต่าง ๆ ในร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพ, ความแข็งแรงเริ่มถดถอย, การทรงตัวแย่ลง จึงทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย การล้มเป็นสาเหตุหลักของการเกิดกระดูกหักในผู้สูงอายุ และยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้สูงอายุต้องย้ายจากบ้านไปอยู่สถานพักฟื้น รวมถึงสภาพจิตใจและอารมณ์ที่เปลี่ยนไป ในผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงต่อการล้มมากถึงร้อยละ 28-35 และผู้สูงอายุที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไปเสี่ยงต่อการล้มเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 32-42 นอกจากนี้ยังพบว่าผู้สูงอายุมีอัตราการเสียชีวิตจากการล้มสูงเป็นอันดับ 2 รองจากการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนอีกด้วย

ทำไมผู้สูงอายุถึงล้ม
1.) มีปัญหาเรื่องการทรงตัว
2.) มีความบกพร่องทางการมองเห็น
3.) มีปัญหากระดูกสันหลังหรือหลังค่อม ทำให้ไม่สามารถยืดลำตัวตรง
4.) เป็นโรคความดันโลหิตหรือกินยาบางชนิดที่ส่งผลต่อความดันโลหิต
5.) กล้ามเนื้อขาและสะโพกไม่แข็งแรง

วิธีป้องกันและแก้ไขเบื้องต้น
1.) พบผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินและแก้ไขปัญหาการทรงตัวที่เกิดจากทางกระดูกหูชั้นใน 
2.) แก้ไขปัญหาสายตา เช่น การตัดแว่นสายตาให้เหมาะสม
3.) เปลี่ยนอิริยาบทบ่อยๆ ไม่นั่งหลังค่อมเป็นระยะเวลานาน
4.) ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านโรคความดันโลหิต
5.) ออกกำลังกายกล้ามเนื้อขาและสะโพก โดยใช้เก้าอี้เป็นอุปกรณ์ช่วยในการออกกำลังกาย ดังนี้

ท่าที่ 1

เขย่งเท้า : ค้าง 10 วินาที ทำซ้ำ 20 ครั้ง

กระดกเท้า : ค้าง 10 วินาที ทำซ้ำ 20 ครั้ง

ท่าที่ 2     

ย่ำเท้า ซ้าย-ขวา สลับกัน

ยกขาขึ้น ค้าง 10 วินาที แล้วสลับข้าง ทำซ้ำ 40 ครั้ง (ข้างละ 20 ครั้ง)


ท่าที่ 3

แกว่งขาไปด้านหน้า ค้างไว้ 10 วินาที แล้วแกว่งไปด้านหลัง ค้างไว้ 10 วินาที ตัวตรง หลังตรง ทำซ้ำข้างละ 20 ครั้ง

ท่าที่ 4 กางขาออกด้านข้าง ซ้าย-ขวาสลับกัน

กางขา ค้างไว้ 10 วินาที แล้วเปลี่ยนข้าง

ตัวตรง หลังตรง ทำซ้ำข้างละ 20 ครั้ง

การออกกำลังกายดังกล่าวจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อขาและสะโพก เมื่อออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะมีส่วนช่วยฝึกการทรงตัวและป้องกันการล้มในผู้สูงอายุได้ นอกจากนี้ลูกหลานต้องให้ความรัก ความห่วงใย ดูแลเอาใจใส่ผู้สูงอายุ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เปรียบเหมือนน้ำทิพย์หล่อเลี้ยงจิตใจให้ท่านมีชีวิตอยู่กับเราไปอีกนาน


ข้อมูลอ้างอิง 
12 Best Elderly Balance Exercises For Seniors to Help Prevent Falls – ELDERGYM®
หกล้มในผู้สูงอายุ อันตรายกว่าวัยอื่นหลายเท่าตัว ปัญหาที่ต้องระวัง • RAMA Channel (mahidol.ac.th)

ชัวร์ ก่อน แชร์ !! ‘ตระหนก & ตระหนัก’ ยุควิกฤติโรคระบาด ก่อนแชร์ให้ใคร!! เข้าใจ ‘ความจริง’ ดีหรือยัง?

เป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ ที่วันนี้โลกโซเชียลมีเดีย ซึ่งมีหลากหลายแพลตฟอร์ม ได้ปล่อยข่าวสาร ข้อมูล หรือบทความต่าง ๆ ออกมาสู่สาธารณะชนมากมาย จนช่วยเปิดโลกให้ประชนอย่างเราได้รับรู้ถึงเหตุการณ์ เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมได้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าจรวด

แต่จะมีใครรู้ไหมว่า เรื่องบางเรื่อง ข่าวสารบางอย่าง มันก็ไม่ได้เปิดโลกที่ดีให้กับเราทั้งหมด เพราะบางเรื่องราวก็พร้อมจะเป็นข่าวปลอม หรือ ‘Fake News’ ที่เล่นกับความสนใจของผู้คนในสังคมช่วงนั้น ๆ เพียงเพื่อโน้มน้าว ชักจูง เรียกยอดไลค์ ยอดแชร์ หรืออะไรก็ตามแต่ แพร่ลามไปมาก จนเริ่มแยกไม่ออกแล้วว่าระหว่าง ‘การแพร่กระจายข่าวปลอม’ กับ ‘การแพร่กระจายไวรัสโควิด-19’ อะไรที่จะกระจายเป็นวงกว้างไปมากกว่ากัน

ยิ่งในโลกโซเชียลด้วยแล้ว ยิ่งลุกลามหนักจนเกิดความเข้าใจผิดในหลากเรื่อง หลายประเด็น และที่แย่คือเจ้า ‘ไอ’ แห่งความเสียหายจากการที่เราแชร์ๆ กันออกไป มันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว จนไปทำร้ายใครหรือไม่ ก็มิทราบได้... 

อย่างประเด็นข่าวปลอมเรื่องโควิด-19 นี่เรียกว่าเป็นประเด็นเท็จสุดคลาสสิคที่หนีไม่พ้นเอามาก ๆ

มากซะจนมีเรื่องมาให้รวบรวมไว้เพียบ จนต้องขอหยิบมาสร้างความกระจ่างกันอีกรอบแก่ผู้ที่อาจจะยังไม่กระจ่าง 

ฉะนั้นเพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจกันแบบง่าย ๆ ก็เลยขออนุญาตพาไปแยกแยะว่าเรื่องไหนจริง หรือเรื่องไหนลวงในโลกโซเชียลกันดู แต่จะรับรู้กันธรรมดา ก็คงจะน่าเบื่อ!!

ลองมาปล่อยนิ้วเลือก ‘กด’ กับ 2 ปุ่มสัญลักษณ์ของความ ‘จริง-เท็จ’ อย่าง ‘ปุ่มตระหนก’ (แตกตื่น) และ ‘ปุ่มตระหนัก’ (แตกฉาน) กันสักนิด น่าจะสร้างแรงจดจำให้ผู้อ่านได้มากยิ่งขึ้น หากพร้อม ‘กดปุ่ม’ แล้วตามมาเลย...


ข่าวเท็จ: กินฟ้าทะลายโจรสามารถป้องกันโควิด-19 ได้

ปุ่มตระหนก : บนสังคมออนไลน์มีการแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับการป้องกันโควิด-19 ด้วยฟ้าทลายโจรเป็นจำนวนมาก เนื่องจากคนไทยมีความหวาดกลัวติดเชื้อโควิด-19 มากขึ้นและต่อเนื่อง จึงได้พยายามติดตามข้อมูลจากสังคมออนไลน์ พบว่า สมุนไพร ฟ้าทะลายโจร มีสรรพคุณช่วยป้องกันโรคโควิด-19 ทำให้ประชาชนเริ่มเดินทางหาซื้อสมุนไพรฟ้าทะลายโจร ที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร อย่างต่อเนื่อง เพื่อหวังจะป้องกันความเสี่ยงจากโรคโควิด-19 ได้ 

ปุ่มตระหนัก : ข้อมูลไม่เป็นความจริง ภญ.ดร.ผกากรอง ขวัญข้าว หัวหน้าศูนย์หลักฐานเชิงประจักษ์ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร โดย ภญ.ดร.ผกากรอง กล่าวยืนยันกรณีที่มีการแชร์ข้อมูลระบุว่าฟ้าทะลายโจรสามารถใช้เป็นทางเลือกแทนวัคซีนเพื่อป้องกันโควิด-19 ได้นั้น ไม่เป็นความจริง เพราะยังไม่มีการศึกษาวิจัยว่าการใช้ฟ้าทะลายโจรสามารถป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ได้ ที่ผ่านมาเป็นการศึกษาว่าฟ้าทะลายโจรมีผลต่อภูมิคุ้มกัน แต่ยังไม่มีการศึกษาว่ามีผลต่อภูมิคุ้มกันของเชื้อโควิด-19 ไม่เหมือนกับวัคซีนที่มีการศึกษาแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ควรใช้ฟ้าทะลายโจรแทนวัคซีน

ข่าวเท็จ : ยาเขียว ใช้รักษาโควิด-19 ได้ ด้วยวิธีขับไวรัสออกทางเหงื่อ และปัสสาวะ

ปุ่มตระหนก : บนสังคมออนไลน์มีการแชร์คลิปเสียง พร้อมบอกว่า เป็นเสียงของคณบดีศิริราช ที่แนะนำว่าให้กิน “ยาเขียว” เพื่อขับพิษโควิด-19 ได้ ด้วยวิธีขับไวรัสออกทางเหงื่อ และปัสสาวะ โดยให้รับประทานยาเขียวเพื่อทำให้เกิดความร้อนในร่างกาย เมื่อร่างกายเกิดความร้อนก็จะมีการขับเหงื่อและปัสสาวะออกมาซึ่งเชื้อไวรัส จะออกมาด้วยกับเหงื่อและน้ำปัสสาวะ 

ปุ่มตระหนัก : ข้อมูลไม่เป็นความจริง เสียงดังกล่าวไม่ใช่เสียงของคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราช และปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลด้านประสิทธิผล และความปลอดภัยในผู้ป่วยโรคโควิด-19 ดังนั้น จึงยังไม่สามารถกล่าวได้ว่าการกินยาเขียว สามารถใช้รักษาโรค โควิด-19 ได้ โดยทางคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้ชี้แจงว่า เสียงดังกล่าวไม่ใช่เสียงของคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และข่าวนี้เป็นข่าวเก่าที่เคยมีการส่งต่อแล้ว โดยยาเขียวเป็นตำรับยาไทย ตามองค์ความรู้ของแพทย์แผนไทย หรือหมอพื้นบ้าน ที่มีการใช้กันมานานหลายทศวรรษ และเป็นตำรับที่ยังมีการผลิตขายทั่วไปตราบจนปัจจุบัน ประชาชนทั่วไปในสมัยก่อนจะรู้จักวิธีการใช้ยาเขียวเป็นอย่างดี กล่าวคือ มักใช้ยาเขียวในเด็กที่เป็นไข้ออกผื่น เช่น หัด อีสุกอีใส เพื่อกระทุ้งให้พิษไข้ออกมา เป็นผื่นเพิ่มขึ้น และหายได้เร็ว ซึ่งยาเขียวจัดเป็นยาเย็น ทำให้ตำรับยาเขียวส่วนใหญ่มีสรรพคุณ ดับความร้อนของเลือดที่เป็นพิษ ซึ่งพิษในที่นี้หมายถึงของเสีย หรือความร้อนที่อยู่ภายในร่างกายเท่านั้น 

นี่เป็นเพียงการยกตัวอย่างของข่าวที่ทำให้ผู้คนตื่นตระหนก และมีการแชร์ข้อมูลกันอย่างมากมาบางข่าวเท่านั้น โดยจะเห็นได้ว่าข่าวที่ปล่อยออกมา มีการแชร์กันแพร่หลาย ซึ่งถือว่าไม่ได้มีการกลั่นกรองกันเสียเลย ช่องทางของข้อมูลทางออนไลน์ในยุคนี้เปลี่ยนแปลงไปมาก และเข้าใจว่า ‘ทุกคน’ สามารถเป็นผู้ส่งสาร หรือเป็นคนกระจายข่าวได้ เพราะฉะนั้น ก่อนจะทำการส่งต่อข่าว เราต้อง เข้าใจข้อมูล ‘ความจริง ’เองเสียก่อน 

ทีนี้มาดูข่าวที่เป็นข่าวจริง เกี่ยวกับโควิด-19 ที่อยากให้ได้ทราบกันบ้าง!! 

ข่าวจริง : ปรับคนขับรถไม่ใส่หน้ากาก-ออกนอกเคหสถาน จริงหรือ?

ปุ่มตระหนก : ในโซเชียลมีเดีย มีการแชร์ภาพใบเสร็จรับเงินค่าปรับ พร้อมคำเตือนว่า “ถึงจะอยู่ในรถส่วนตัว ก็ต้องใส่ Mask ด้วยนะ เจอด่านตรวจ จับปรับทันที”

ปุ่มตระหนัก : เป็นข้อมูลจริง เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ.2564 ณ เวลา 14.30 น. ศูนย์โควิดกระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) ได้อัพเดทรายชื่อ 50 จังหวัดที่มีบทลงโทษ กรณีประชาชนไม่ใส่หน้ากาก ทั้งหน้ากากอนามัย หน้ากากผ้า เมื่ออยู่นอกเคหสถาน หรือ สถานที่สาธารณะ หรือในชุมชน ซึ่งมีโทษปรับไม่เกิน 20,000 (สองหมื่นบาท) ถ้าขับรถหรืออยู่ในรถคนเดียวไม่ใส่หน้ากากอนามัยได้ แต่ถ้ามีคนอื่นนั่งมาด้วยต้องใส่หน้ากากอนามัย ซึ่งคนที่ไม่ใส่หน้ากากที่อยู่ในรถนั้นจะเป็นผู้ที่ถูกปรับ การจับและปรับผู้ไม่ใส่หน้ากากอนามัยนั้น เจตนาในการประกาศคือการป้องกันการติดต่อของโรคจากบุคคลไปสู่บุคคล ดังนั้นเมื่อมีบุคคลอื่นอยู่ในรถด้วยจึงต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า ไม่ยกเว้นแม้เป็นครอบครัวเดียวกัน เพื่อประโยชน์ในการควบคุมโรคและการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ และกรณีนั่งคนเดียวจึงอนุโลมได้ว่าไม่ต้องใส่หน้ากากอนามัย 

เมื่อข่าวสารได้แพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้างแล้ว หากเป็นข่าวปลอมหรือ Fake News ก็เท่ากับมีคนรับข่าวสาร ข้อมูลที่ผิดเพิ่มเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉะนั้นทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้เราเป็นส่วนหนึ่งในการปล่อยข่าว Fake News และรับข้อมูลผิด ๆ เราต้องหาแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือก่อน ใช้เวลาสักนิดก่อนกดแชร์ จะช่วยลดอัตราการส่งต่อข่าวสารข้อมูลผิด ๆ

ก่อนจบเนื้อหานี้ไป ขอแชร์ 6 วิธีทิ้งทาย ที่อยากให้ลองไปปรับใช้กันดู เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อของ Fake News อีกต่อไป ดังนี้ 
1.) ข่าวต้องมีความน่าเชื่อถือ มีแหล่งอ้างอิงที่มาที่ชัดเจน สามารถตรวจสอบได้
2.) สังเกตการเรียบเรียงเนื้อข่าว และการสะกดคำต่างๆ เพราะข่าวปลอมมักจะสะกดผิดและมีการเรียบเรียงที่ไม่ดี
3.) สังเกต URL ให้ดี โดยข่าวปลอมอาจมี URL คล้ายเว็บของสำนักงานข่าวจริง
4.) ดูรายงานข่าวจากที่อื่น ๆ ว่ามีข่าวแบบเดียวกันหรือไม่ มีแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ
5.) ตรวจสอบข่าวจากการเสิร์ชหาข้อมูล อาจพบว่าเป็นข่าวเก่า หรือพบการแจ้งเตือนจากเว็บไซต์อื่นว่าเป็นข่าวปลอม
6.) ข่าวปลอมอาจมีการนำรูปภาพจากข่าวเก่ามาใช้ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ


ข้อมูลอ้างอิง 
https://tna.mcot.net/category/sureandshare
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top