Sunday, 22 June 2025
TheStatesTimes

ส่องฟาร์ม​ 'แอปเปิ้ล'​ ในแดนสวิสฯ 'ฟาร์มอดิเรก'​ สุดเก๋ !! ของคนอยากเติมพลังใจ ไม่ใช่แค่นำไปขายเอารวย

ตอนนี้ที่สวิส คือฤดูใบไม้ผลิ ถ้าพูดถึงความสวยงามของดอกไม้ที่กำลังผลิบานก็ต้องบอกว่าดอกของต้นแอปเปิ้ล มีความสวยงาม น่ารัก เปรียบดังสาวแรกรุ่นไม่แพ้ดอกไม้อื่น ๆ เลยทีเดียว ที่บอกแบบนั้นเพราะดอกของแอปเปิ้ลจะเป็นสีขาวแต่มีสีชมพูแซม เห็นไหมล่ะว่ามีความเป็นสาวน้อยแรกรุ่นยังไง 

ที่ฟาร์มนอกจากต้นไม้ต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้ว เราก้อจะซื้อมาปลูกเพิ่มอยู่เรื่อย ๆ เราจะมีที่ ที่เราไปซื้อประจำไม่ไกลจากบ้านมากเท่าไหร่ วิธีการที่เค้าปลูกน่ะเหรอ เป็นการเอาเมล็ดของต้นแอปเปิ้ลป่ามาเพาะ ที่ทำแบบนี้เพราะต้นแอปเปิ้ลป่าหรือที่มันขึ้นมาตามธรรมชาตินั้น ต้นมันจะมีความแข็งแรง แข็งแกร่ง และทนทาน พอต้นที่เพาะโตได้สักประมาณ 1 ปี เราก็จะเอามาตอนกิ่งกับพันธุ์ที่เราต้องการอยากจะได้ แต่วิธีนี้เป็นวิธีการดั้งเดิมสำหรับไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ คือต้นไม้สูง ซึ่งต้นนึงเนี่ยสูงหลายเมตรเลยทีเดียว ถ้าเป็นวิธีแบบนี้ทางฟาร์มเราเอาแต่พันธุ์เก่าแก่มาปลูกซึ่งโดยปกติแล้วอายุ 5-10 ปีกว่าจะให้ผล ซึ่งถ้าเป็นแบบที่ว่าคือจะมีอายุได้ยาวนานถึง 200 ปีเลยทีเดียว

ที่ฟาร์มของวี่มีอาณาเขต 44 ไร่เศษ มีต้นไม้ทั้งหมดประมาณ 80 กว่าต้น เฉพาะแอปเปิ้ลอย่างเดียว 28 ต้น มี 27 สายพันธุ์ เพราะบางต้นมีถึง 6 สายพันธุ์เลยนะ มีอยู่ต้นนึงที่วี่รักมาก แต่เมื่อสิงหาคมปี 2013 ที่ผ่านมามีพายุหนัก ต้นนี้เป็นหนึ่งในหลายต้นที่โค่นลงมา ณ ตอนนั้นมีอายุ 140 ปี สาเหตุที่รักต้นนี้เป็นพิเศษคือ ต้นและกิ่งเขาสวยมาก แถมต้นนี้ต้นเดียวให้ผลแอปเปิ้ลมากถึง 1,000 กิโลกรัมเลยทีเดียว ใช่ฮะ ไม่ต้องตกใจ ช่วงที่ผลเริ่มออกเราต้องหาไม้มาค้ำยันกิ่งไว้ไม่ให้กิ่งหักเพราะรับน้ำหนักที่มากเกินไป พูดถึงทีไรก็สุขใจปนเศร้าใจไปซะทุกที...

ต้นแอปเปิ้ลที่เก่าแก่ที่สุดในฟาร์มวี่ มีอายุถึง 150 ปี มากกว่าพวกเราอีกเนาะ ส่วนต้นที่สูงที่สุดอยู่ที่ 15 เมตร แอปเปิ้ลที่ฟาร์ม ไม่เหมาะสำหรับการนำมาขายในซุปเปอร์มาร์เก็ตหรือร้านทั่วไปเพื่อบริโภค แต่เพื่อทำอาหาร ทำน้ำผลไม้และเพื่อทำเหล้าโดยเฉพาะ วี่ชอบเอามาอบเค้กแอปเปิ้ล เรามีหลากหลายสายพันธุ์มาก ๆ แต่อย่างที่ย้ำ ๆ คือเรามีแต่พันธุ์เก่าแก่

ทั้งนั้น  เราจะเริ่มทำการเก็บแอปเปิ้ลช่วงกลางกันยายนถึงประมาณกลางตุลาคม ณ ตอนนี้ปี ๆ หนึ่งจะได้ประมาณ 2,000 กิโลกรัม นี่เฉพาะแอปเปิ้ลอย่างเดียวนะ สมัยก่อนเมื่อเก็บได้เราจะเอาไปส่งผู้ผลิตรายใหญ่ ในราคาต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก ๆ พูดไปจะต้องตะลึงแน่นอน คือต่อ 100 กิโลกรัม เพียงแค่ 11 สวิสฟรังค์เท่านั้น มีอยู่ปีหนึ่งที่เขาจะให้ราคาเรา 8 ฟรังค์ พอกันทีอ่ะเนอะ ตั้งแต่นั้นมาเราส่งเฉพาะคนที่ต้องการแอปเปิ้ลพันธุ์เก่าแก่นี่ละ ในราคาประมาณ 20-23 ฟรังค์ บางทีเขามารับ บางทีเราไปส่ง 

เขาบอกว่าแอปเปิ้ลเราดี และทำน้ำอร่อย ส่วนวิธีการเก็บเกี่ยวก็คือชาวนาอินดี้ (สามีวี่เอง) จะปีนขึ้นไปตามกิ่งต่าง ๆ และขย่ม ๆ ๆ ๆ จนลูกแอ๊ปเปิ้ลร่วงพลุ่บ ๆ ๆ ๆ เต็มพื้นไปหมด เสร็จแล้วก็ทำการเก็บ และเก็บอย่างเดียวเท่านั้น 

ลูกที่ไม่สวยมาก ๆ เกินจะรับไหวเราก็ไม่ได้ทิ้งนะ เอามาใส่เครื่องปั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ให้แพะของเรากิน ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบมาก

เรื่องการดูแล เราดูแลแบบจะเรียกว่าออร์แกนิคก็ได้ เพราะไม่ใช้สารเคมีใด ๆ เลยกับต้นไม้ทุกต้นในฟาร์ม เราจะตัดแต่งกิ่งทุกปีช่วงต้นธันวาคมเป็นต้นไปจนถึงปลายมีนาคม เพราะพอหลังจากนี้จะเริ่มออกดอก เพื่อให้กิ่งมีความแข็งแรงและให้ใบที่จะผลิได้รับแสงแดดที่ทั่วถึง อ้อ...สิ่งที่สำคัญและจะขาดไปไม่ได้เลยคือการจับหนู ใช่ ที่สวิสก็มีหนูนาด้วยนะเออ เราจะมีกับดักหนูแล้วเอาเหล็กด้ามแหลม ๆ ทิ่มลงไปในดินถ้ามีหนูมันจะเป็นโพรง วี่ชอบบอกว่าหนูมันสร้างถนนเหมือนกับคนนั่นแหละเพื่อไปโน่นนี่ เสร็จแล้วเราก็ขุดหลุมแล้วเอากับดักใส่ลงไป เอาไม้ปักไว้เพื่อให้เราสามารถเห็นได้ง่ายเพราะบางทีหญ้าสูงแล้วหากับดักไม่เจอ เมื่อรูนี้เคยดักหนูได้แล้วเราจะเอาไม้หนีบ หนีบไม้ไว้เพื่อให้รู้ บางครั้งรูนึงดักหนูได้ตั้งหลายตัว (แต่ครั้งละตัวเดียวเท่านั้นนะ) กับดักหนูเรามีประมาณ 30 อันเลยทีเดียว มันไม่ใช่สิ่งที่อยากทำนะ แต่ต้องทำ ถ้าไม่ทำหนูจะกินรากไม้ ไม่นานเดี๋ยวต้นไม้จะอ่อนแอลงเรื่อย ๆ จนตายไป 

ฟาร์มของเราเป็นเพียงงานอดิเรกเท่านั้น เพราะทุกคนในครอบครัวมีงานประจำทำ แต่เพราะโตมากับฟาร์มชาวนาอินดี้จึงอยากอนุรักษ์ รักษาไว้ให้อยู่ในสภาพเดิมมากที่สุดโดยใช้วิธีที่ยังค่อนข้างเป็นธรรมชาติเหมือนเมื่อสมัยห้าสิบปีที่แล้ว ใช้อุปกรณ์และเครื่องต่างๆที่ทันสมัยน้อย ใช้แรงกำลังซะเป็นส่วนใหญ่ วี่มีความสุขเพียงแค่ไปนั่งมองต้นไม้ฟังเสียงนกร้องดูแพะเล็มหญ้า มันเหมือนได้ชาร์จพลังชีวิต ธรรมชาติบำบัดมันเป็นแบบนี้นี่เองเนอะ

ศึกวัดใจในยามยาก-นายกฯ มองข้ามนักการเมือง​-PromptPay+PayNow​ | NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช EP.2

NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช

โดย​ อ.ต้อม -​ กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระ และอาจารย์ด้านสถาปัตยกรรม สอนพิเศษด้าน ปรัชญาการเมือง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง

สำหรับ​ EP.2 นี้​ ชวนไปคิดกับ​เรื่องร้อนๆ​ ในไทยและต่างแดน...

- การทูตวัคซีน 'อินเดีย - สหรัฐ - จีน’ ศึกวัดใจ มิตรแท้ (?) ในยามยาก

- รัฐจับมือ 45 CEO เอกชน สู้โควิด เมื่อนายกฯ มองข้ามนักการเมือง

- PromptPay + PayNow นวัตกรรมการเงิน แห่ง Asean จุดเปลี่ยนการท่องเที่ยวหลังยุคโควิด

.

.

.

.

.

เผลอใจให้คนหลอกลวง!! ตำหรับยา ‘หมอ (ไม่ได้) บอก’ หลอกให้หลง!! ส่ง ‘โควิด’ ไปสู่ที่ชอบ

วิกฤติโควิด-19 ดูจะยังหนักหนาหาที่จบยาก ทำให้ทุกคนต้องพยายามดิ้นรนหาทางเลี่ยงติดเชื้อให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ (ยกเว้นใครก็ไม่รู้) 

แน่นอนว่ามาตราการต่าง ๆ ในการป้องกันดูแลตัวเองไม่ว่าจะเป็นใส่หน้ากากอนามัย หมั่นใช้แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ เว้นระยะห่าง หรืออีกมากมาย

แต่ทำไมมันช่างดูวุ่นวายนัก ทำไมมันยากจัง อยากมีสูตรสำเร็จเลยอะ (พลีซซซซ)

เดี๋ยว ๆ อย่าทำเป็นเล่นไป!! ก่อนหน้านี้ได้ข่าวว่ามีสูตรสำเร็จ โดยมียาที่บอกสรรพคุณว่ากินแล้วป้องกันโควิดได้ด้วยนะ!!

ในช่วงวิกฤติที่ใคร ๆ เริ่มมองหาทางป้องกันและรักษาหลาย ๆ แบบ ก็เป็นจังหวะโอกาสของยาหลากตำหรับหลายสูตรโผล่ขึ้นมาให้เห็นกันที่หน้าจอโทรศัพท์ได้ไม่เว้นแต่ละวัน 

แต่มันก็ไม่มีปัญหาหรอกถ้าตำหรับยาเหล่านี้มันช่วยได้อย่างที่อวดอ้างสรรพคุณ เพราะในความเป็นจริงกลายเป็นว่ายาต่าง ๆ ที่ถูกแชร์กันโครม ๆ ไม่ว่าจะผ่านทางไลน์ เฟซบุ๊ก หรือแม้แต่ทวิตเตอร์ มันดันเป็นยาที่หมอ (ไม่ได้) บอก เนี่ยสิ...

อย่างเมื่อไม่นานมานี้หลาย ๆ คนคงได้เห็นการอวดอ้างสรรพคุณของสมุนไพร ‘ฟ้าทะลายโจร’ ที่แชร์กันให้พรึ่บว่า ช่วยป้องกันโควิด-19 ได้ (แหม่ขนาดนั้นเลยนะยาเทวดาปะเนี่ย) 

ความจริงมันก็ถูกครึ่ง ไม่ถูกครึ่ง!! เพราะว่ากันว่าฟ้าทะลายโจรมีประโยชน์ในการนำมาใช้กับผู้ป่วยโควิด และถ้ากินในปริมาณน้อย ก็ช่วยป้องกันหวัดได้ (แต่ต้องกินในปริมาณที่ถูกที่ควรนะจ๊ะ) ถึงกระนั้นก็ไม่เห็นมีหมอท่านไหนออกมาคอนเฟิร์มว่า ฟ้าทะลายโจรช่วยป้องกันโควิด-19 ได้จริง

แต่สิ่งที่น่ากลัว คือ ดันมีการแชร์ข้อมูลว่าฟ้าทะลายโจรช่วยป้องกันโควิด-19 จนมีคนมากมายหลงเชื่อและซื้อบริโภคกันยกใหญ่ ทำเอาขนาดขาดตลาดกันเลยทีเดียว 

แน่นอนว่าการแห่กันมาซื้อมาใช้โดยไม่ได้ศึกษา ย่อมส่งผลลบมากกว่าผลลัพธ์ที่ดี เพราะแม้ว่าฟ้าทะลายโจรจะเป็นสมุนไพรแต่ก็ใช่ว่าใคร ๆ ก็ใช้ได้ โดยมีข้อห้ามสำหรับผู้ที่แพ้ยาฟ้าทะลายโจรตั้งแต่ หญิงตั้งครรภ์ให้นมบุตร ผู้ป่วยโรคตับ โรคไต และไม่ควรใช้ร่วมกับยาวาร์ฟาริน แอสไพริน โคลพิโดเกรล ยาลดความดันโลหิต เพราะยาเหล่านี้ถ้าใช้ร่วมกันขึ้นมาละก็ ถึงขั้นอัมพฤกษ์ อัมพาต เส้นเลือดหัวใจตีบ เพราะจะทำให้เกิดการแข็งตัวของเลือด และอาจเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงได้ 

อย่างว่าล่ะนะ ขึ้นชื่อว่ายาแล้ว มันก็ไม่ใช่ขนมที่จะบริโภคเท่าไรก็ได้ หากคิดจะใช้ยาก็ต้องใช้ตามปริมาณที่เหมาะสม ใช้เยอะเกินแทนที่จะให้คุณ จะกลายเป็นให้โทษแทน ซึ่งเรื่องนี้ก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่หลงเชื่อข้อมูลผิด ๆ โดยไม่ศึกษาให้ครบถ้วน คิดแค่ว่าเป็นสมุนไพร กินเข้าไป กินเข้าไป สุดท้ายไปลงเอยที่โรงพยาบาลกันถล่มทลาย 

นี่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องของ ‘ข่าวปลอม’ ในโลกออนไลน์ ที่หยิบยกมาเล่าให้ฟัง ซึ่งเกิดจากการปล่อยข้อมูลผิด ๆ จนคนหลงเชื่อและกลายเป็นสร้างผลกระทบในทางลบต่อคนอื่น ๆ และอยากหยิบยกมาให้คิดให้ถี่ถ้วนก่อนจะเชื่อ

อย่าตกเป็น ‘เหยื่อ’ ของข่าวลวงในโลกออนไลน์ ยอมเสียเวลาสักนิด ใช้เวลาค้นหาข้อมูล ใช้วิจารณญาณในการเสพข้อมูล เพิ่มสิ่งเหล่านี้เข้าไปสักนิดในชีวิตคุณ 

เราไม่อยากให้ใครเป็น ‘เหยื่อ’ ของข้อมูลลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวิกฤติแบบนี้ ‘คนหลอกลวง’ เขาพร้อมทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ตัวเอง โดยไม่ใส่ใจชีวิตคนอื่นอยู่แล้ว 

...จริงๆ นะ!! 


อ้างอิง:
https://www.facebook.com/DramaAdd/posts/10158599361813291
https://www.hfocus.org/content/2021/04/21423
https://www.facebook.com/mix.watcharapakorn/posts/2915209905420389
https://news.thaipbs.or.th/content/303508
 

‘วิชามาร’ สร้างข้อมูลเท็จ ลดความน่าเชื่อถือ ‘แบรนด์’ ธุรกิจ

ต้องยอมรับว่า Social Media เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยกระจายข่าวสารไปยังกลุ่มคนได้เป็นจำนวนมาก ทำให้ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่เลือกเสพข้อมูลข่าวสารจากช่องทาง Social Media มากกว่าช่องทางอื่น ๆ ส่งผลให้ Social Media นั้นมีความทรงอิทธิพลอย่างมาก อีกทั้งยังกระจายข้อมูลข่าวสารไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง

จากอิทธิพลของ Social Media ดังกล่าว ทำให้เกิดข้อมูลทั้งที่เป็นเรื่องจริงและไม่จริง ผุดขึ้นอย่างมากมายด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะข่าวปลอม หรือ Fake News ที่ระบาดอย่างหนัก พอ ๆ กับการระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ว่าได้ เพราะจากข้อมูลของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ที่สรุปข้อมูลจากการแจ้งเบาะแส และการใช้สื่อโซเชียลมีเดียในโลกออนไลน์ เกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงการระบาดรอบที่ 2 ระหว่างวันที่ 19 ธ.ค. 63-28 ก.พ. 64 พบข้อความที่เกี่ยวข้องทั้งหมด จำนวน 35.47 ล้านข้อความ หลังจากคัดกรองแล้วพบข่าวที่เข้าหลักเกณฑ์เป็นข่าวปลอม 2,784 ข้อความ โดยมีข่าวที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 1,346 เรื่อง  

อย่างไรก็ตาม ‘ข่าวปลอม’ ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เป็นสิ่งที่มีมาช้านาน แต่ในอดีตการจะปล่อยข่าวปลอม จะต้องมีเครื่องมือที่สามารถกระจายข่าวได้ หากไม่เครื่องมือของตัวเอง ก็จะใช้วิธี อย่างเช่น การส่งจดหมายลูกโซ่ ถัดมาเมื่อมีอินเทอร์เน็ต ข่าวปลอมยิ่งเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นส่งผ่าน FWD Mail การส่งในเว็บบอร์ดต่าง ๆ จนกระทั่งมาถึงการแชร์ผ่าน Social Media

การสร้างข่าวปลอมมีทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็นด้านธุรกิจ การเมือง และสังคม แม้บางครั้งคนที่สร้างข่าวปลอม อาจต้องการเพียงแค่ความสนุก แต่กลับส่งผลกระทบต่อผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างคาดไม่ถึง โดยเฉพาะในฝั่งของภาคธุรกิจ ที่อาจจะถูกลดความน่าเชื่อถือในตัวบริษัท หรือ แบรนด์สินค้า ก็ได้

ยกตัวอย่างเคส คลาสสิค ข่าวปลอมในธุรกิจประกันภัย ที่เริ่มมีคนส่งต่อผ่าน FWD Mail ครั้งแรกราวปี 2549 แต่กระทั่งปัจจุบันก็ยังมีแชร์ข่าวนี้ผ่าน Social Media อยู่เรื่อย ๆ

โดยข่าวที่แชร์กันในโลกออนไลน์ เป็นข้อความเกี่ยวกับ “รายชื่อ Black List บริษัทประกัน(รถยนต์)” ที่ระบุ ข้อความว่า...

รายชื่อ Black List บริษัทประกัน (รถยนต์) สำหรับผู้ที่จะถอยป้ายแดงทั้งหลาย รวมทั้งที่ถอยแล้วมาป้ายไม่แดงแล้ว

รายชื่อ Black List บริษัทประกัน (รถยนต์) ข้อมูลจากบริษัท ทิสโก้ รู้ไว้ก็ดีนะ

จากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ

บริษัทประกันดังกล่าว คือ

อันดับที่ 1. ลิเบอร์ตี้ประกันภัย มี ดร.พาชื่น รอดโพธิ์ทอง และพ.ต.ท.พงษ์ชัย วราชิต ถือหุ้นใหญ่

อันดับที่ 2. มิตรแท้ประกันภัย (ไทยประสิทธิ์เดิม)

อันดับที่ 3. บ.สัมพันธ์ประกันภัย นายศรีศักดิ์ ณ นคร ถือหุ้นใหญ่

บ.ทั้ง 3 ข้างต้น อู่ต่าง ๆ ส่ายหน้าหนี ไม่รับรถเข้าซ่อมเพราะเบี้ยวค่าซ่อมหลายร้อยล้านบาท โดยลิเบอร์ตี้เป็นสุดยอดแห่งการเบี้ยว

ยังมี บริษัทประกันภัยที่อยู่ในข่ายจะโดนอู่ต่าง ๆ ขึ้นบัญชีดำอีกคือ

อันดับที่ 4 บ.อาคเนย์ประกันภัย เพราะถึงแม้จะไม่ชักดาบแต่จะใช้วิธี 'HairCut ' คือจะต่อรองกับอู่ว่าจะจ่ายให้น้อยกว่าค่าซ่อมที่ค้างไว้ ซึ่งอู่ต่าง ๆ หลายแห่งก็ต้องยอม เพราะไม่อยากยุ่งยากเรื่องฟ้องร้อง

ยังมีอีกประเภท คือ จ่ายค่าซ่อมช้ามาก บางที่เป็นปีถึงจะชำระให้' ได้แก่

อันดับที่ 5 พัชรประกันภัย

และอันดับที่ 6 เอราวัณประกันภัย

อันดับที่ 7 พาณิชยการประกันภัย บริษัทนี้คนที่เรารู้จักเพิ่งโดนสด ๆ ร้อน รถชนมา 4 เดือนแล้วยังไม่ได้เริ่มแตะเลย เนื่องจากว่าไม่มีเงินจ่าย ให้อู่ซ่อม พูดง่าย ๆ ว่าจะเจ๊งแล้ว

ข้อมูลข้างบนนี้คงมีประโยชน์กับท่านที่กำลังมองหา บ.ประกัน จะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง เพราะจ่ายเบี้ยประกันแล้ว ใคร ๆ ก็อยากได้รับบริการที่ดี ไม่มีตุกติก

และก็เพิ่งมีรายล่าสุดก็คือ อันดับ 8 บ.สินทรัพย์ประกันภัย อยู่ในอาการง่อนแง่น

บริษัทประกันภัยทั้งหมดนี้ คุณควรจะช่วยกันแชร์ให้คนที่น่าสงสารรู้ก่อนที่จะเค้าจะเสียรู้ บริษัทพวกนี้

 

นี่คือข้อความทั้งหมดจากเคสกรณีตัวอย่าง!!

อย่างไรก็ตาม หากเป็นคนที่ไม่อยู่ในแวดวงธุรกิจ หรือไม่ได้ติดตามข่าวสารธุรกิจประกันภัย ก็จะหลงเชื่อข้อความเหล่านี้โดยง่าย เพราะในอดีตที่ผ่านมาภาพลักษณ์ของธุรกิจประกันภัยในสายตาคนทั่วไปมักไม่ค่อยดีอยู่แล้วนั่นเอง

แต่หากคนที่ติดตามข่าวสารจะพบข้อเท็จจริงว่า บริษัทประกันวินาศภัยที่ถูกกล่าวอ้าง ได้แก่ บริษัท พาณิชยการประกันภัย จำกัด บริษัท สัมพันธ์ประกันภัย จำกัด บริษัท ลิเบอร์ตี้ประกันภัย จำกัด และบริษัท พัชรประกันภัย จำกัด ได้ถูกเพิกถอนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยไปแล้วในระหว่างปี 2547 ถึงปี 2557

ส่วนอีก 4 บริษัท ยังประกอบธุรกิจอยู่ โดยมีฐานะการเงินอยู่ในเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัท อาคเนย์ ประกันภัย ยังเป็นหนึ่งในเครือกลุ่มธุรกิจการเงินของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี อีกด้วย

หากย้อนไปดูต้นของข้อความเท็จดังกล่าว มีทั้งหมด 3 เวอร์ชั่น ยุคปี 2549-2552 ข้อความอันเป็นเท็จมีบริษัททั้งหมด 7 แห่ง ถูกกล่าวหาว่ามีฐานะทางการเงินไม่ดี มีการส่งผ่านกระดาษในลักษณะจดหมายลูกโซ่ ต่อมาปี 2553-2556 ข้อความดังกล่าวยังคงเหมือนเดิม จำนวนบริษัทยังคงมี 7 บริษัท เพียงแต่ลบสัญลักษณ์ขึ้นย่อหน้าใหม่ และมีการจั่วหัวเป็นตัวดำ ส่งผ่าน e-mail จากนั้น ในปี 2557 เป็นต้นมา มีการเพิ่มบริษัทประกันภัยอีก 1 แห่ง รวมเป็น 8 บริษัท แต่ข้อความส่วนใหญ่ยังคงเหมือนเดิม ส่งผ่านกันทางสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะกลุ่มไลน์ เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ ทำให้บริษัทที่ยังดำเนินธุรกิจอยู่ ได้รับความความเสียหายและขาดความน่าเชื่อถือจากประชาชนที่ได้รับข้อมูลเท็จดังกล่าวอย่างมาก

กระทั่ง หนึ่งในบริษัทที่ได้รับความเสียหาย อย่างมิตรแท้ประกันภัย ได้ปฏิบัติการ ‘เชือดไก่ให้ลิงดู’ ด้วยการฟ้องร้องผู้ที่แชร์ข้อมูลดังกล่าวรายหนึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช ในคดีอาญาในข้อหา ความผิดนำเข้าข้อความอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ตามพรบ.กระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และฟ้องคดีแพ่ง ข้อหา ละเมิด เรียกร้องค่าเสียหายอีก 1 ล้านบาท ซึ่งศาลได้ตัดสินให้คู่กรณีทำการไกล่เกลี่ย โดยให้ผู้ถูกฟ้องทำการส่งข้อความขอโทษผ่านทาง Social Media ทั้งเพจเฟซบุ๊ก และไลน์กลุ่ม ที่ผู้ถูกฟ้องเป็นสมาชิกอยู่ เนื่องจากไม่มีเงินชดใช้ 

ในกรณีนี้ จึงถือเป็นหนึ่งตัวอย่างของธุรกิจที่ได้รับจากข้อมูลอันเป็นเท็จ หรือข่าวปลอม แม้จะมีการฟ้องร้องเอาผิดกับผู้แชร์ข้อมูลไปแล้วหลายราย แต่ข้อมูลดังกล่าว ก็ยังส่งต่อกันผ่าน Social Media จนถึงทุกวันนี้ 

ฉะนั้น ก่อนจะแชร์ข่าวสารข้อมูล หรือ โพสต์ข้อความอะไรบน Social Media ควรเช็คข้อมูล หรือ ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนทุกครั้ง เพราะถ้าแชร์ข้อมูลเท็จ หรือ ข่าวปลอมออกไป แล้วเกิดความเสียหายกับคนอื่น ถูกฟ้องร้องขึ้นมา จะต้องเสียเวลาขึ้นโรงขึ้นศาล และอาจถึงขั้นติดคุก และเสียเงินเสียทอง โดยไม่รู้ตัว เพราะอย่าลืมว่า โทษจากการทำผิด พรบ.คอมพิวเตอร์นั้น หนักหนามิใช่น้อย
 

ถอดรหัส​ 'วันทอง'​ รอยต่อ​ ​'ความสำเร็จ'​ ของช่องวัน ขึ้นแท่น “นัมเบอร์วัน” ละครหลังข่าว

ปรากฏการณ์ละครเรื่อง “วันทอง” ของช่อง ONE31 ที่จบไปเมื่อช่วง 20 เมษายนที่ผ่านมา ทำให้วงการละครหลังข่าวกลับมาคึกคักอีกครั้ง กับการทำเรตติ้งตอนจบด้วยการทะยานขึ้นเป็นที่ 1 ด้วยตัวเลข 7.767 (ทั่วประเทศ)  และ 9.280 (กรุงเทพฯ) ประสบความสำเร็จที่วัดออกมาได้จากเรตติ้งในยุคที่ช่องไหนก็ต้องการ และเป็นเรตติ้งละครหลังข่าวของช่องวันที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งช่องมา ส่งผลให้ช่องวันขยับเรตติ้งแซงช่อง Mono 29 มาเป็นที่ 3 ประจำสัปดาห์ของวันที่ 19-25 เมษายน 2564 เพราะละครเย็นของช่องวันก็มีเรตติ้งแรงดีไม่มีตกเช่นกัน กับละครเรื่องดงพญาเย็น นอกจากเรตติ้งทางทีวี ในตอนจบของวันทอง โลกออนไลน์ก็ร้อนแรงด้วยการติดเทรนด์ Twitter ที่ 1 ประเทศไทย และที่ 3 เทรนด์โลก, เทรนด์ Youtube อันดับ 1 ฉากประหารวันทอง, เทรนด์ Google อันดับ 1 คำค้นหา วันทองตอนจบ รวมไปถึง TikTok ที่มียอดวิวรวม 500 ล้านวิว 

การได้มาของเรตติ้งและการถูกพูดถึงในโลกออนไลน์อย่างถล่มทลาย คงไม่ใช่ความบังเอิญอย่างแน่นอน หากย้อนดูตั้งแต่การโปรโมทก่อนที่ละครจะออกอากาศ ทั้งโลโก้ช่องวันที่ทำเฉพาะกิจให้สอดคล้องกับละคร รวมถึงเพลงประกอบละคร “เพลงสองใจ” ที่ได้นักร้องคุณภาพอย่าง ดา เอ็นโดรฟิน มาถ่ายทอดความรู้สึกของวันทองให้คนดูได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น กับท่อนติดหูอย่าง “ใครจะอยากเป็นคนไม่ดี ผิดที่ใจไม่จำว่ามันไม่ควรรักใคร” ปล่อยออกมาให้คนฟังได้ฟังก่อนละครจะออกอากาศเกือบครึ่งเดือน และความสำเร็จของเพลงนี้ ส่งผลให้เพลงสองใจใน Youtube ทะลุ 100 ล้านวิวเพียงแค่ 41 วัน กลายเป็นเพลงไทยสากลที่ทำยอดวิวทะลุร้อยล้านวิวได้เร็วที่สุด แม้ว่าละครจะจบไปแล้ว เพลงสองใจยังได้รับความนิยมทั้งการเปิดในวิทยุ และการฟังผ่านทาง Music Streaming ซึ่งตัวเลข 200 ล้านวิวไม่น่าไกลสำหรับเพลงนี้ 

อีกหนึ่งกลยุทธ์ของช่องวันคือ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 10-12 เมษายน 2564 ที่ช่องวัน ได้นำละครเรื่อง วันทอง มาฉายแบบมาราธอน ซึ่งช่องวันเคยทำแบบนี้กับละครหลาย ๆ เรื่องมาแล้ว ทำให้คนที่อาจจะไม่ได้ติดตามดูมาตั้งแต่ตอนแรก ได้ดูย้อนหลังไปพร้อมกันก่อนที่จะเข้าสู่ตอนจบ 2 ตอนสุดท้าย ซึ่งก่อนที่จะฉายตอนจบ ด้วยสโลแกน “อย่าไว้ใจช่องวัน” ทำให้เกิดการถกเถียงในในโลกออนไลน์ ว่าจะจบอย่างไร จะโดนใจคนดูหรือไม่ คนดูน่าจะได้คำตอบแล้วว่า ช่องวันไว้ใจได้หรือไม่ (ฮ่า ๆ ๆ) แต่นี่คือกลวิธีในการนำเสนอที่ทีมทำละคร พยายามทำให้คนดูได้ลุ้นและติดตามจนกระทั่ง Break สุดท้ายของละครจริง ๆ

ความสำเร็จในครั้งนี้ นอกจากกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่กล่าวไป ความสนุกของละครเรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับทีมผลิตทั้งหมด ตั้งแต่ ผู้กำกับละคร ทีมนักแสดงที่แสดงได้ดีทุกบทบาท ทั้งนักแสดงหลักและนักแสดงสมทบ และทีมเขียนบท กับการนำเสนอตีความของวันทองแบบใหม่ ได้อย่างสนุก ครบรส สอดแทรกแง่คิด และคุยในประเด็นที่ประชากรโลกกำลังคุยกัน สิ่งที่พลเมืองโลกสนใจ เช่น เรื่องความเสมอภาค, สิทธิเสรีภาพ, Women Empowerment และแง่คิดเรื่องการใช้ชีวิตในครอบครัว นี่น่าจะเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จละครไทย ที่ก้าวข้ามผ่านการนำเสนอและกล้าตีความแบบใหม่ ๆ ในการพยายามสื่อสารกับคนดูในครั้งนี้ ความสำเร็จจะสะท้อนออกมาเองจากกระแสตอบรับของคนดู โดยเฉพาะการพูดถึงในโลกออนไลน์ กับเนื้อหาในช่วงตอนสุดท้ายของละคร ที่มีการนำคำพูดของตัวละครมาถกกันต่อในหลายประเด็น เป็นการดูละครในยุคใหม่ ที่มีการ Interactive ผ่านสื่อออนไลน์ได้อย่างทันท่วงที ... และสุดท้าย ละครเรื่องนี้ก็ทำให้เราได้เรียนรู้ วรรณคดีสุดคลาสสิกของไทย ที่ถูกเล่าได้อย่างสนุกสนาน สอดแทรกวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของไทยในอดีต ในแบบที่เราพยายามผลักดันความเป็นไทย วัฒนธรรมไทย หรือ Soft Power ไทยของเรา ซึ่งนี่น่าจะเป็นกรณีศึกษาได้ว่าละคร หรือสื่อบันเทิงไทยของเรา ควรทำยังไงให้ความเป็นไทย ถูกสื่อสารออกมาได้อย่างสนุกและไม่รู้สึกว่าถูกยัดเยียดความเป็นไทยแบบพร่ำเพรื่อ 


ข้อมูลอ้างอิง
https://www.tvdigitalwatch.com/rating-19-25-apr64/
https://www.thaipost.net/main/detail/97877
ขอบคุณรูปภาพจาก  IG : @one31thailand

อีกมิติวิกฤตไวรัสโควิด มหันตภัย คู่ขนาน... ‘ข่าวปลอม-ข้อมูลไม่ชัด’ ‘ความมั่นคงของชาติ’ ที่รัฐต้องไม่ละเลย

หลายคนอาจมองว่า “ความมั่นคงของชาติบ้านเมือง” มีแค่มิติของการทหาร ตำรวจ การรักษาความสงบเรียบร้อยปลอดภัยจากข้าศึก การก่อการร้าย และภัยพิบัติภายในประเทศ 

แต่แท้ที่จริงแล้วหากเราย้อนกลับไปดูตลอดหน้าประวัติศาสตร์การเมืองโลก เราจะพบว่าเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้องและคุณภาพชีวิต คือตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดความวุ่นวายทางสังคมและการเมืองในทุกสังคมทั่วโลก

การลุกขึ้นมาล้มผู้ปกครองล้วนแต่มาจากความขาดความเชื่อมั่นว่าผู้ปกครอง “มีความสามารถ“ หรือ “มีประสิทธิภาพ” ในการบริหารจัดการสังคมในภาวะวิกฤตได้ เช่น การล้มราชวงศ์ชิง หลังไม่สามารถปกครองให้ชนชาติจีนสู้กับชาติตะวันตกที่เข้ามารุมกินโต๊ะชาวจีนในเวลานั้นได้

ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญภาวะวิกฤตจากไวรัสโควิด-19 ที่กลับมาระบาดรุนแรงอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ต่างจาก 2 ครั้งที่ผ่านมา ตรงที่กลุ่มของการแพร่เชื้อมีจำนวนมากกว่า 2 ครั้งแรก และมีการกระจายตัวของผู้ติดเชื้อในวงกว้าง ทั้งจากสถานบันเทิงและงานอีเว้นท์ที่มีผู้คนจำนวนมากออกมารวมตัวกัน

เป็นเวลาเกือบ 1 เดือนกับสถานการณ์การแพร่ระบาดที่รุนแรงกว่า 2 ครั้งแรก แต่สิ่งที่ทำให้ประชาชนรู้สึกไม่พอใจและวิตกกังวลมากกกว่า 2 ครั้งแรกก็คือ 

(1.) การแสดงความรับผิดชอบ: ประชาชนไม่เห็นระดับผู้นำรัฐบาล ออกมาแสดงความรับผิดชอบอย่างจริงใจ ต่อการที่เจ้าหน้าที่รัฐละเลยการปฏิบัติหน้าที่ และปล่อยให้สถานประกอบการดำเนินการ อย่างหละหลวมในช่วงเวลาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

(2.) การสื่อสารที่ไม่ชัดเจน: ปัจจุบันคนไม่มีข้อมูลที่ทำให้ทราบได้ว่า ภาครัฐมีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการผู้ป่วยจากไวรัสโควิด-19 แค่ไหน? ปัจจุบันไทยมีวัคซีนเท่าไร? วัคซีนที่กำลังจะมาถึงหรือผลิตได้มีอีกเท่าไร? ปัจจุบันมีผู้ฉีดวัคซีนไปแล้วเท่าไรแล้วและเป็นใครบ้าง? และแผนการฉีดวัคซีนต่อวันเป็นอย่างไร? 

เราเห็นข่าวประชาชนจำนวนหนึ่งที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ที่ไม่สามารถหาเตียงเข้าพักรักษาในโรงพยาบาลได้ เราเห็นผู้คนจำนวนมากตั้งคำถามว่าทำไมถึงไม่มีการเปิดให้เอกชนนำเข้าวัคซีนตั้งแต่แรก แต่กลับมาทำในช่วงหลังที่โดนกระแสโจมตีจากประชาชน

ในทางจิตวิทยา มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อพบเจอกับสิ่งที่ตนไม่รู้ และคาดคะเนไม่ได้ มันจะทำให้พวกเขาขาดกรอบอ้างอิง (Frame of Orientation) ว่าพวกเขาอยู่ตรงไหนและ กำลังจะพบเจออะไรในอนาคต 

คำถามหรือประเด็นข่าวสารเหล่านี้ ทำให้ประชาชนรู้สึกไม่สามารถคาดคะเนหรือเห็นภาพของสถานการณ์ทั้งหมดได้ ซึ่งส่งผลให้เกิดความวิตกกังวล ความเครียดสะสม อันจะนำไปสู่ช่องโหว่ให้เกิดการแพร่กระจายความลือ ความปลอมได้อย่างง่ายดาย

สิ่งที่ภาครัฐต้องทำในเวลานี้ คือ การแสดงท่าทีระดับผู้นำของภาครัฐที่มีความเข้มแข็งชัดเจน มีตัวเลขและข้อมูลที่เข้าใจได้ง่าย ประกอบกับประชาสัมพันธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพในวงกว้าง

ผมขอยกตัวอย่างงานวิจัยที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับข่าวปลอมในช่วงไวรัสโควิด เมื่อวันที่ 14 เมษายนที่ผ่านมา ทีมนักวิจัยใน Los Alamos National Laboratory รัฐนิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา ได้เผยแพร่งานวิจัยที่เกิดจากการรวบรวมข้อมูลจากทวิตเตอร์กว่า 1.8 ล้านแอคเคาท์ แล้วนำมาวิเคราะห์ด้วยระบบ AI จนพบรูปแบบหรือพฤติกรรมของการเผยแพร่ข่าวปลอมและทฤษฎีสมคบคิด

งานวิจัยดังกล่าวพยายามวิเคราะห์และสังเคราะห์ให้เข้าใจถึงพฤติกรรมของการเผยแพร่ ดัดแปลงข่าวสาร และการใช้คำที่ผสมอารมณ์ความรู้สึกเพื่อให้เกิดความรู้สึกลบ กระตุ้นให้ผู้รับสารเชื่อและแชร์สารต่อไปในวงกว้าง 

โดยทีมวิจัยระบุว่า เป้าหมายหลักของงานวิจัยชิ้นนี้ ก็เพื่อที่จะทำให้เจ้าหน้าที่รัฐหรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขนำข้อมูลจากการวิเคราะห์ด้วยระบบ AI ไปใช้ในการ “วางแผน” เพื่อการทำข้อมูลที่ถูกต้องในประชาสัมพันธ์ เพื่อที่จะได้ต่อสู้กับข่าวปลอมได้อย่างมีประสิทธิภาพก่อนที่มันจะทำให้คนเชื่อไปในวงกว้าง

ผมคิดว่าอาจถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลไทย หรือ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES) จะต้องเริ่มทำงานอย่างเป็นระบบ มีการใช้ข้อมูลทางวิชาการ ข้อมูลจากการวิเคราะห์พฤติกรรมในโซเชียลมีเดีย ให้รู้ว่าแนวโน้มข่าวลือ ความปลอมเป็นอย่างไร 

เพื่อจะได้ทราบว่าจะวางแผนในการนำข้อมูลข่าวสารไปให้ถึงประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่มีความเสี่ยงต่อการวิตกกังวลในการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในครั้งนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เพราะหากประชาชนไม่ทราบข้อเท็จจริง และตื่นตระหนกด้วยข่าวลือความปลอมที่เกิดขึ้น สิ่งที่ตามาคือการบริหารบ้านเมืองในภาวะวิดฤตที่จะทำได้ยากขึ้น เพราะคนจะขาดความเชื่อมั่นในการให้ความร่วมมือกับภาครัฐในปฏิบัติการต่าง ๆ และสุดท้ายจะส่งผลเสียต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย รวมถึงส่งผลเสียต่อประชาชนทุกคนในประเทศนี้ด้วย


ข้อมูลอ้างอิง 
https://losalamosreporter.com/2021/04/14/rep-christine-chandler-speaks-to-county-council-on-legislative-session-what-passed-how-covid-measures-worked/
https://www.independent.co.uk/life-style/gadgets-and-tech/ai-bill-gates-covid-conspiracy-b1834287.html
 

เป็นภัยต่อเพื่อนร่วมชาติ!! ‘บรูไน’ ตัดสินโทษ ชายวัย 44 จำคุก 3 ปี 9 เดือน ฐานทำตัวกร่าง-คุกคามเจ้าหน้าที่

นาย ‘Azlan bin Awang Damit’ ชายอายุ 44 ปี ถูกศาลบรูไนพิพากษาจำคุก 3 ปี 9 เดือนแล้ว เมื่อวันเสาร์ ที่ 24 เมษายน พ.ศ.2564 ด้วยการกระทำความผิด 3 ข้อหา คือ ไม่ให้ความร่วมมือ , ข่มขู่หมอ/พยาบาล และทำชีวิตเพื่อนร่วมชาติให้ตกอยู่ในความเสี่ยงในช่วงวิกฤตโรคระบาดเมื่อปี 2563 ที่ผ่านมา ขณะได้เข้ารับการทดสอบ หรือตรวจหาเชื้อโควิด-19 แล้วทราบผลออกมาเป็นบวก หรือทราบว่าตนติดเชื้อโควิด จากนั้น นาย ‘Azlan bin Awang Damit’ ได้กระทำการดังนี้

ข้อหาที่ 1 ตามมาตรา 506 แห่งประมวลกฎหมายอาญาหมวด 22 สำหรับการข่มขู่ทางอาญามาตรา 
จากเหตุการณ์ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2563 ปีที่ผ่านมา นาย ‘Azlan bin Awang Damit’ หรือจำเลย กระทำการขู่ว่าจะทำร้ายเจ้าหน้าที่ดูแลที่ศูนย์สงเคราะห์บ้านสวัสดิการ 

ข้อหาที่ 2 ตามมาตรา 269 แห่งประมวลกฎหมายอาญาหมวด 22 สำหรับการกระทำโดยประมาทซึ่งมีแนวโน้มที่จะแพร่เชื้อของโรคที่เป็นอันตรายต่อชีวิต
จากเหตุการณ์ในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ.2563 นาย ‘Azlan bin Awang Damit’ หรือจำเลย ไอใส่บุคลากรทางการแพทย์ โดยไม่สวมหน้ากากอนามัย เพราะรู้ว่าตนเองได้รับการตรวจแล้วทราบว่าตนเองได้รับเชื้อโควิด-19 เป็นการกระทำโดยประมาท และกระทำการโดยรู้ว่าเขาอาจแพร่เชื้อของโรคที่เป็นอันตรายไปยังคนรอบข้างให้เกิดอันตรายได้

ข้อหาที่ 3 ตามมาตรา 352 แห่งประมวลกฎหมายอาญาหมวด 22 สำหรับการทำร้าย และใช้อาวุธ
นาย ‘Azlan bin Awang Damit’ หรือจำเลย ได้กระทำการขมขู่ และทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข ขณะที่มีมีดพกด้วย

หลังจากที่ศาล และรักษาการผู้พิพากษาอาวุโส ‘Hajah Ervy Sufitriana binti Haji Abdul Rahman’ ไม่เห็นความสำนึกผิดใด ๆ และนาย ‘Azlan bin Awang Damit’ ก็ยังยืนยันว่าการกระทำของเขาไม่ได้ทำให้ใครได้รับเชื้อจากเขา การปฏิเสธนี้ไม่สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งในขณะนี้ นาย ‘Azlan bin Awang Damit’ ถูกศาลบรูไนพิพากษาจำคุก 3 ปี 9 เดือน

สำหรับบรูไนแล้ว ถือเป็นข้อหาที่ค่อนข้างหนัก โดยเฉพาะการกระทำให้ชีวิตเพื่อนร่วมชาติตกอยู่ในความเสี่ยง บรูไนไม่มีการรอลงอาญา หรือไม่มีการลดหย่อนโทษแม้ว่าจะประพฤติตัวดีในคุกแล้วก็ตาม โดยเฉพาะช่วงวิกฤตโควิด-19 เกิดขึ้น จึงได้มีการใช้กฏหมายลงโทษที่รุนแรงขึ้นไปอีกด้วย เนื่องจากทางการบรูไนมีกำหนดบังคับใช้กฎหมายอาญาภายใต้กฎหมายชารีอะห์ ที่มีบทลงโทษรุนแรง ตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย. พ.ศ.2562 

แต่กฎหมายดังกล่าวเป็นกฎหมายทางศีลธรรมของศาสนาอิสลาม โดยมีมาตรการลงโทษที่พิจารณาจากความผิดที่ก่อขึ้น ซึ่งจะมีบทลงโทษจากสถานเบาไปสู่สถานหนัก ทั้งโทษปรับ จำคุก เฆี่ยนตี ตัดมือและอวัยวะอื่น ๆ ไปจนถึงการขว้างปาหินใส่ผู้กระทำผิด หรือแขวนคอ กฎหมายฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ต่อชาวบรูไนทั้งหมด ทั้งที่นับถือศาสนาอิสลาม และศาสนาอื่น ๆ รวมทั้งชาวต่างชาติที่อยู่ในบรูไนด้วย

‘พายุฤดูร้อน’ วาตภัยที่มาพร้อมกับความชื่นฉ่ำ พร้อมต่อลมหายใจให้กับเกษตรกร | LOCK LENS GURU EP.6

???? GURU : ผศ.ดร.สุทัศน์ จันบัวลา ประธานสาขาวิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสวนดุสิต

 ▶️ หัวข้อ : ‘พายุฤดูร้อน’ วาตภัยที่มาพร้อมกับความชื่นฉ่ำ พร้อมต่อลมหายใจให้กับเกษตรกร

อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021031303

???? ดำเนินรายการโดย เจ THE STATES TIMES

.

.

ถอดรหัส!! แผนฟื้นฟู​ใหม่ ดัน​ 'บินไทย'​ ทะยานฟ้า เปิดโอกาส 'ธุรกิจ​ -​ ประเทศ'​ ที่น่าคิดตาม

เป็นที่ทราบกันดีว่า บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI กำลังอยู่ในกระบวนการทำแผนฟื้นฟูกิจการ ซึ่งมีกำหนดการนัดประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกในวันที่ 12 พฤษภาคม 2564 เพื่อพิจารณาแผนฟื้นฟูกิจการและโหวตแผนฟื้นฟูกิจการ

โดยแผนฟื้นฟูกิจการของการบินไทย ประกอบด้วยส่วนที่เป็นสาระสำคัญหลายประการ เช่น... 

1) วิเคราะห์และกำหนดรูปแบบการปรับโครงสร้างหนี้ 

2) โครงสร้างทุน 

และ 3) โครงสร้างองค์กร ตลอดจนแผนธุรกิจและแผนการเงิน ที่จะสะท้อนความสามารถในการดำเนินกิจการและความสามารถในการชำระหนี้ภายใต้ข้อกฎหมาย ข้อสัญญาที่มีกับพนักงานและคู่ค้าตลอดจนเจ้าหนี้ทั้งหลาย 

อย่างไรก็ตามข้อแตกต่างของแผนฟื้นฟูการบินไทยที่ยื่นต่อศาลล้มละลายกลางเมื่อเทียบกับแผนฟื้นฟูกิจการอื่นๆ นั้น ต้องยอมรับว่ามีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงและเป็นการร่างแผนฟื้นฟูกิจการแบบ “นอกตำรา” 

เนื่องจากปกติแผนฟื้นฟูกิจการส่วนใหญ่ ที่เกิดจากความมีหนี้สินล้นพ้นตัวของบริษัท มักปล่อยให้บริษัทล้มละลาย​ ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายมากกว่า (ทั้งต่อเจ้าหนี้ เจ้าของ และสังคม) จึงมักจะมีบริษัทกระทำโดยการ 'ลดหนี้​ ลดทุน'​ แล้วดำเนินการ เป็นส่วนใหญ่แทน

แน่นอนว่า​ กรณีการฟื้นฟูกิจการของบริษัททั่วไป​ รวมถึงบริษัทที่เกี่ยวข้องกับสายการบิน​ ก็มักจะลดหนี้ลดทุนแล้วดำเนินการทั้งสิ้น!! 

แต่กรณีการบินไทย โดยผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ ไม่ดำเนินการเช่นนั้น!! 

เพราะปัญหาการบินไทยแท้จริงแล้วมีสองสามปัญหาใหญ่ๆ คือ... 

1) การบริหารจัดการ 

2) โครงสร้างองค์กร 

และ 3) การแทรกแซงจากผู้มีอำนาจ 

การฟื้นฟูกิจการการบินไทยที่อยู่บนฐานคิดที่ว่า ธุรกิจต้องไปรอดและเติบโตอย่างยั่งยืนนั้น จึงจำเป็นต้องแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างให้เสร็จสิ้น เพื่อนำไปสู่การบริหารจัดการที่ดี มีระบบและกลไกในการป้องกันการแทรกแซง​ ที่จะส่งผลเสียต่อธุรกิจของการบินไทย

ในฐานะที่ติดตามเรื่องการฟื้นฟูการบินไทย ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ตั้งแต่มีการเตรียมเรื่องการเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการนั้น โครงสร้างองค์กรและโครงสร้างธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเป็นองค์กรที่มีพนักงานในจำนวนที่เหมาะสมเพียงพอ และมีประสิทธิภาพในการบริหารงาน 

นั่นก็เพราะ โครงสร้างพนักงานใหม่​ ที่จะใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 นั้น​ จะมีพนักงานที่ทำสัญญาเริ่มต้นกันใหม่ ทำให้เหลือพนักงานทั้งหมดราว 1.4 -​ 1.5 หมื่นคน จากจำนวนพนักงานมากกว่าสองหมื่นคนในอดีต และปรับลดการจ้างงานภายนอกลง รวมถึงการปรับฝูงบินที่ทำให้เหลือชนิดและประเภทของเครื่องบินและเครื่องยนต์น้อยลง 

ทั้งสองกรณีนำไปสู่การปรับลดต้นทุนอย่างมีนัยยะสำคัญ!! 

ข้อดีของวิกฤติโควิด-19 ทำให้การปรับลดต้นทุนนี้ทำได้ง่ายขึ้น ทั้งการเจรจาเจ้าหนี้เครื่องบิน และการปรับลดพนักงาน 

แต่ข้อเสียของโควิค-19 ทำให้การดำเนินธุรกิจที่สร้างรายได้ชะงักไป โดยเฉพาะธุรกิจหลักอย่างการให้บริการขนส่งผู้โดยสารระหว่างประเทศ

กลับมาที่ตัวแผนฟื้นฟูฯ เนื่องจากแผนฟื้นฟูฯ ที่ยื่นต่อศาลล้มละลายนั้น ผ่านการเจรจาเจ้าหนี้จำนวนมาก และอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า เป็นแผนฟื้นฟูฯ ที่นอกตำรา และอาจกล่าวได้ว่าทั้งชีวิตอาจจะเห็นได้ครั้งเดียว 

เนื่องจากเป็นแผนฟื้นฟูฯ ที่มีการลดหนี้ไม่มาก และไม่ได้ลดทุนโดยตรง ซึ่งตามปกติของแผนฟื้นฟูฯ จะทำโดยการ ลดหนี้ ลดทุน ใส่เงินใหม่ และดำเนินกิจการ

อย่างไรก็ตาม​ ผู้ทำแผนฟื้นฟูฯ เสนอแผนบนฐานที่ 'เจ้าหนี้'​ และ 'เจ้าของ'​ ต้องร่วมกันสนับสนุนการบินไทย และช่วยกันกับผู้บริหารแผนเพื่อทำให้ธุรกิจอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการเสนอแผนฟื้นฟูฯ โดยการยืดระยะเวลาการชำระหนี้ และกำหนดให้เจ้าหนี้และเจ้าของต้องร่วมกัน “ใส่เงินใหม่” เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินธุรกิจ 

ดังนั้น โอกาสที่เจ้าหนี้จะโหวตเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูดังกล่าว​ จึงมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง โดยทุนใหม่ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในแผนนั้นกำหนดไว้ตามแผนฟื้นฟูฯ ที่ 5 หมื่นล้านบาท ภายใต้ หลักการคร่าวๆ คือ ยืดหนี้ เจ้าหนี้​ และเจ้าของใส่เงิน “คนละครึ่ง” และดำเนินกิจการต่อไป

โดยเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นนั้น ก็ไม่ได้ถูกลดมูลค่าหุ้นลงจากกระบวนการฟื้นฟูกิจการ และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของการบินไทย ก็ยังเป็นกระทรวงการคลัง (ราวร้อยละ 48) และกองทุนวายุภักษ์ (ราวร้อยละ 16-17) หากเป็นแผนฟื้นฟูฯ อื่น หุ้นจะถูกปรับลดเหลือ 1 สตางค์ หากมีการขาดทุนจำนวนมากๆ

ในขณะที่เจ้าหนี้มีหลายกลุ่มมีการปรับลดหนี้ลงเล็กน้อย เช่น เจ้าหนี้การค้า ผู้ให้กู้ สถาบันการเงิน ผู้ถือหุ้นกู้ พนักงาน และอื่นๆ โดยมีเจ้าหนี้รายใหญ่ คือ ธนาคาร สถาบันการเงิน และกลุ่มสหกรณ์ออมทรัพย์ นอกจากนั้น กระทรวงการคลังยังนับเป็นเจ้าหนี้อีกด้วย 

คำถามสำคัญ คือ เจ้าหนี้และเจ้าของควรใส่เงินใหม่หรือไม่?

โจทย์นี้ จะเกี่ยวข้องกับการพิจารณาอนาคตธุรกิจเป็นสำคัญ 

เพราะตามที่กล่าวไว้ข้างต้น โครงสร้างสำคัญได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะโครงสร้างพนักงาน โครงสร้างธุรกิจ ทั้งเรื่องการบริหารจัดการเครื่องบินเครื่องยนต์ การปรับกลไกการจำหน่ายตั๋ว และอื่นๆ 

นอกจากนั้น เรื่องราวความซ่อนเงื่อนของการบินไทยได้ถูกตีแผ่จากทั้งสื่อสารมวลชน คณะกรรมการที่มาตรวจสอบ และเป็นที่สนใจของสาธารณชน 

พูดง่ายๆ ว่า การบินไทย ในอนาคตจะอยู่ในที่​ 'สว่าง'​ กว่าเดิม และต้องดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและโปร่งใส 

ดังนั้น ในด้านต้นทุนจะมีความสมเหตุสมผลและมีประสิทธิภาพมากขึ้น!!

นอกจากนั้น รายได้ของการบินไทย ที่มาจากธุรกิจการขนส่งผู้โดยสาร และการขนส่งสิ่งของแล้ว ยังมีธุรกิจที่มีอนาคตดีหลังจากโควิด-19 เช่น 

>> ธุรกิจอาหารที่แตกไลน์จากการบริการอาหารให้สายการบิน 
>> สู่การบริการอาหารผ่านร้านสะดวกซื้อ 
>> ธุรกิจการเทรนนิ่งนักบินและบุคลากรสืบเนื่อง ธุรกิจการซ่อมบำรุงเครื่องยนต์ ฯลฯ 

การประมาณการรายได้ที่ระบุในแผนมีความเป็นไปได้ทางธุรกิจ​ จากการใส่เงินใหม่จำนวน 5 หมื่นล้าน ซึ่งมีความสมเหตุสมผลอย่างยิ่ง และในแผนฟื้นฟูฯ แถมยังกำหนดสิทธิพิเศษสำหรับผู้ใส่เงินใหม่ที่จะได้สิทธิในการแปลงหนี้เดิมเป็นทุนได้อีกด้วย เพื่อจะได้ไม่ต้องรอเวลาการชำระหนี้ที่ถูกยืดออกไปนาน และจะได้รับการชำระหนี้เพิ่มเติมหากมีกระแสเงินสดมากกว่าที่คาดการณ์ไว้

สำหรับภาครัฐโดยกระทรวงการคลัง ที่เป็นทั้งเจ้าหนี้และเจ้าของนั้น การใส่เงินใหม่ในรูปแบบที่เหมาะสม จะทำให้รัฐไม่เสียประโยชน์ เพราะหากการฟื้นฟูกิจการการบินไทยเริ่มต้นด้วยการลดหนี้ลดทุนตามตำราฝรั่ง เงินของรัฐที่อยู่ในการบินไทยก็จะลดลงทันที ซึ่งเงินของรัฐที่อยู่ในการบินไทยนั้นมีมากกว่า 2.5 หมื่นล้าน

แต่ที่สำคัญที่สุด เวลาพูดถึงการบินไทย สิ่งที่รัฐควรพิจารณาคือ ห่วงโซ่ที่เกี่ยวข้องของการบินไทยทั้งหมด ทั้งผู้ทำธุรกิจร่วม พนักงาน เจ้าหนี้ ภารกิจที่ต้องใช้สายการบินแห่งชาติ และเศรษฐกิจโดยรวม

ในภาวะที่เศรษฐกิจกำลังประสบปัญหาเนื่องจากวิกฤติโควิด-19 การปล่อยให้ธุรกิจที่มีอนาคตหลังปรับโครงสร้างอย่างหนักอย่างการบินไทยให้ล้มไป กระทบกับภาพรวมทางเศรษฐกิจไม่น้อย 

ฉากทัศน์ที่คาดการณ์ได้อย่างชัดเจน คือ การปล่อยล้มนั้น​ จะทำให้เม็ดเงินที่เกี่ยวข้องกับการบินไทยผ่านสถาบันการเงิน กลุ่มสหกรณ์ออมทรัพย์ ต้องเสียหายอย่างมาก เพราะสถาบันการเงิน และกลุ่มสหกรณ์ออมทรัพย์ต้องตั้งสำรอง ทำให้กิจการเหล่านั้น ไม่สามารถจ่ายปันผลได้ตามปกติ จนกระทบกับกระแสเงินสดของประชาชนจำนวนมากกว่า 3 ล้านคน พนักงานการบินไทยที่มีอนาคตกว่า 1.5 หมื่นคน และพนักงานของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบินไทยที่จะตกงานอีกกว่า 3 หมื่นคน

การใส่เงินใหม่ของกระทรวงการคลัง​ จึงสำคัญยิ่ง ขณะที่การใส่เงินใหม่ของเจ้าหนี้​ ก็สำคัญยิ่งไม่แพ้กัน

สำหรับเม็ดเงินใหม่นั้น ถูกกำหนดให้มีการจ่ายคืนพร้อมดอกเบี้ยภายในหกปี รวมถึงมีหลักประกันที่เป็นทรัพย์ก้นถุงของการบินไทยที่เริ่มดำเนินธุรกิจมากว่า 60 ปี นั่นหมายถึง การใส่เงินใหม่มีความเสี่ยงที่ไม่มากนักเพราะมีหลักประกัน และมีผลตอบแทนที่เหมาะสม

การร่วมมือร่วมใจของเจ้าหนี้และเจ้าของในครั้งนี้จะมีส่วนผลักดันให้โอกาสธุรกิจมีมากขึ้น และประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูกิจการอย่างยั่งยืน เพราะมีการแก้ไขปัญหาภายใน และนำธุรกิจขึ้นมาอยู่ในที่ที่การแทรกแซงทำได้ยาก และกำจัดจุดอ่อนจำนวนมากในการบินไทยออกไป 

นอกจากนั้น การฟื้นฟูกิจการการบินไทยจะมีการบริหารแผนและมีคณะกรรมการเจ้าหนี้ในการทำให้แผนฟื้นฟูกิจการการบินไทยประสบความสำเร็จตามแผน ซึ่งคงไม่ง่ายนักที่จะมีการแทรกแซงและรุมทึ้งการบินไทยโดยการวางโครงสร้างที่บิดเบี้ยวและไร้ประสิทธิภาพเช่นในอดีต และเชื่ออย่างยิ่งว่าพนักงานการบินไทยและประชาชนไทยที่รักการบินไทยจะไม่ยอมให้เกิดการผิดพลาดซ้ำรอยสร้างความเสียหายซ้ำๆ จากคนที่ฉวยโอกาสอย่างแน่นอน

โอกาสทางธุรกิจของการบินไทยและโอกาสของประเทศ จึงอยู่ในมือของ​ 'เจ้าหนี้'​ และ 'เจ้าของ'​ แล้ว

การร่วมมือร่วมใจในการทำให้การบินไทยรอด ก็จะทำให้เจ้าหนี้และเจ้าของได้ประโยชน์ ประเทศก็จะได้ประโยชน์จากสายการบินแห่งชาติที่ชื่อ... 

การบินไทย—รักคุณเท่าฟ้า

เรื่อง: ผศ. ดร.ประชา คุณธรรมดี
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

 

จังหวะดีผลไม้ไทย!! เจ้ากระทรวงเกษตรฯ​ สั่งทูตเร่งดันผลไม้เด่นไทยรุกจีน ชู​ 'ทุเรียน'​ เด่น!! โกย​ 5​ แสนลูก​ ช่วงเทศกาลวันแรงงาน 5​ เดือน​ 5

'เฉลิมชัย' สั่งทูตเกษตรเร่งผลักดันผลไม้ไทยช่วงเทศกาลวันแรงงานจีน จับมือ​ 'ท​ทท.-คาร์ฟูร์'​ รุกตลาดเซี่ยงไฮ้​ ใช้กลยุทธ์ไลฟ์สตรีมมิ่ง​ ตั้งเป้าขายทุเรียน​ 5​ แสนลูกช่วงเทศกาลวันแรงงาน 5​ เดือน​ 5

ด้าน​ 'อลงกรณ์'​ เผยสัปดาห์หน้าใช้กลยุทธ์สั่งซื้อล่วงหน้า (Pre Order) รุกภาคตะวันตกจีน​ ใช้ซีอานเปิดตลาดผลไม้ไทยทุกมณฑล​ โดยผนึก​ 'พณ.-กต.-ททท.'​ แนะผู้ส่งออกกระจายขนผลไม้เข้า 4  ด่าน 'โมฮ่าน-โหยวอี้กวน-ผิงเสียง-ตงชิง'​ ช่วงพีค

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ประชุมคณะกรรมการและบริหารการจัดการผลไม้ (Fruit Board) เปิดเผยวันนี้ว่า ในช่วงนี้เป็นฤดูกาลผลไม้ไทย มีผลไม้ออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และประธาน​ Fruit  Board จึงได้สั่งการให้​ 'ทูตเกษตร'​ สร้างความเชื่อมั่นและผลักดันผลไม้ไทยออกสู่ตลาดต่างประเทศให้มากที่สุด​ โดยเฉพาะตลาดจีน

เพราะช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมเป็น​ 'ช่วงพีค'​ ที่ทุเรียนส่วนใหญ่ในภาคตะวันออกจะออกมากที่สุด จากยอดประมาณการรวม 6.2 แสนตัน

นายอลงกรณ์ฯ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564 ฝ่ายเกษตร ประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครเซี่ยงไฮ้ ร่วมกับ 'ททท. เซี่ยงไฮ้'​ และ 'ห้างคาร์ฟูร์'​ จัดกิจกรรม Live Streaming ณ ห้างคาร์ฟูร์ เซี่ยงไฮ้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเชิญชวนชาวจีนบริโภคผลไม้ไทย ต้อนรับเทศกาลช้อปปิ้งวันที่ 5 เดือน 5 (Five Five Shopping Festival) ของนครเซี่ยงไฮ้​ (1-5พ.ค.เป็นช่วงหยุดวันแรงงานของจีน)

ในช่วง Live Streaming นางสาวอาทินันท์ อินทรพิมพ์ กงสุลฝ่ายเกษตร ได้แนะนำผลไม้ไทยยอดนิยม ได้แก่ ทุเรียน, มังคุด, มะพร้าว, ส้มโอ และลำไย ที่นอกจากจะมีรสชาติที่อร่อยเป็นเอกลักษณ์แล้ว​ ยังมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์มากมาย 

นอกจากนี้ ยังมีการสาธิตการปอกทุเรียน มะพร้าว และมังคุด รวมทั้งสอนทำอาหารอย่างง่ายด้วยผลไม้ไทย ได้แก่ เมนูสาคูเปียกลำไย และยำส้มโอ และมีการจับรางวัลให้กับผู้โชคดีที่เข้าร่วมชมการ Live ด้วย

การ Live Streaming ครั้งนี้ ได้รับการตอบรับอย่างดีมากจากชาวจีน มีผู้เข้าชมมากถึง 560,000 คน โดยทุเรียน มังคุด และลำไย ถูกขายออนไลน์จนหมดภายใน 2 ชั่วโมงของการ Live และคาดว่าในช่วง 1 สัปดาห์ของเทศกาลช้อปปิ้ง 5 เดือน 5 จะมียอดจำหน่ายทุเรียนถึง 5 แสนลูก

นายอลงกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีนี้ทุเรียนไทยที่จำหน่ายในนครเซี่ยงไฮ้มีคุณภาพดีมากและรสชาติหวานอร่อย ซึ่งเป็นผลจากนโยบายการปราบปรามทุเรียนอ่อนอย่างจริงจังของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหรณ์ ทำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือควบคุมคุณภาพทุเรียนอย่างจริงจัง  

“เราต้องใช้ทุกกลยุทธ์ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์เน้นคุณภาพและความสดอร่อยสร้างความเชื่อมั่น โดยสัปดาห์หน้าจะเริ่มใช้กลยุทธ์ระบบสั่งซื้อล่วงหน้า​ (Pre Order) ออนไลน์รุกภาคตะวันตกจีนใช้ซีอานเปิดตลาดทุเรียนและผลไม้อื่นๆ เราจะบุกตลาดทุกมลฑลคนจีน​ 1,400 ล้านคนเป็นเป้าหมายขยายตลาดโดยทูตเกษตร, ทูตพาณิชย์​ และสถานทูต/สถานกงสุลทุกแห่งรวมทั้ง​ ททท.​ และผู้ประกอบการไทย-จีน​ เป็นกลไกขับเคลื่อนที่สำคัญยิ่ง”

นายอลงกรณ์​ ยังกล่าวต่อไปว่า ในส่วนของการส่งออกทางบก​ ช่วงนี้​อยากขอให้ผู้ส่งออกบริหารโลจิสติกส์​ ด้วยการกระจายการขนส่งผลไม้กระจายเข้า​ 4​ ด่านคือ​ 'โมฮ่าน-โหยวอี้กวน-ผิงเสียง-ตงชิง'​ เพราะเป็นช่วงพีคของผลไม้ไทยและเวียดนามที่ออกมาพร้อมกัน​ ทำให้เกิดความแออัดบริเวณด่านโหยวอี้กวน 

"ปีที่แล้วเราส่งผลไม้ไปจีนกว่าแสนล้านบาทฟันฝ่าอุปสรรคจากผลกระทบโควิดและมาตรการการแพร่ระบาดของจีนเวียดนามและลาวบนเส้นทางขนส่งกว่าจะถึงลูกค้า​ แต่เราก็ทำได้เกินเป้า ปีนี้เพิ่มกลยุทธ์ใหม่ๆ​ และผนึกความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ ททท.และสถานเอกอัครราชทูตไทยในการโปรโมท ทุเรียน, ลำไย, มังคุด, มะม่วง, เงาะ, ลองกอง, ขนุน​ เป็นต้น​ จึงมั่นใจว่าเราจะทำยอดขายได้สูงกว่าปีที่แล้วและเพิ่มมูลค่าด้วยระบบการสร้างแบรนด์ผลไม้ไทย”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top