Thursday, 2 May 2024
Southern

สส.เดชอิศม์ ทำสงครามบ่อทรายเถื่อน ประกาศจับตามกฎหมาย ไม่ยอมให้มีเจ้าพ่อเพื่อทำลายสิ่งแวดล้อม

ที่สำนักงานประสานงาน ผู้แทนราษฎรเขต 5 นายเดชอิศม์ ขาวทอง หรือ ”นายกชาย” ได้มีการประชุม ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น  และประชาชน ในพื้นที่ เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาคลองภูมี ซึ่งเป็นลำคลองขนาดใหญ่ ที่คนใน อ.รัตภูมิ และ ควนเนียง ใช้ประโยชน์ในการเกษตร  โดยคลองภูมี มีความยาว 65 กิโลเมตร  ต้นน้ำอยู่ที่ ต.เขาพระ อ.รัตภูมิ และไหลลงทะเลสาบสงขลาที่ อ.ควนเนียง โดยในรอบ 10 ปี ที่ผ่านมา มีนายทุนดำเนินกิจการ ดูดทรายเถื่อนเป็นจำนวนมาก สร้างความเสียหายให้กับคลองภูมี ทั้งในเรื่องของน้ำเสีย  ,ตะกอนดิน, ตลิ่งพัง และอื่น ๆ สร้างความเดือดร้อนให้กับคนในพื้นที่และน้ำเสีย ตะกอนดินดังกล่าว ไหลลงสู่ทะเลสาบสงขลา ตื้นเขิน และน้ำเน่าเสีย

โดยนายเดชอิศม์ ได้มีการระดมความคิดเห็น จากทุกภาคส่วนเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งในที่ประชุมได้เสนอความคิดเห็นอย่างหลากหลาย เพื่อที่จะทำให้กลับสู่สภาพเดิม โดยที่ไม่มีการทำลายด้วยการดูดทราย และการปล่อยน้ำเสียลงในลำคลอง และพัฒนาคลองให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว การสร้างประโยชน์ร่วมให้คนที่อาศัยริมคลอง เพื่อร่วมกันดูแลอย่าให้ลำคลองถูกทำลาย รวมทั้งการตัดถนนริมคันคลองเพื่อง่ายในการดูแลการถูกบุกรุกและดูดทรายเถื่อน คลองภูมี มี”ธรรมนูญ” ที่ประกาศใช้ เพื่ออนุรักษ์ และมีกรรมการคณะต่าง ๆ ที่ตั้งขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว และแนวทางหนึ่งในการแก้ปัญหาคือ ต้องนำ”ธรรมนูญ” ดังกล่าวมาใช้ และ กรรมการทุกคณะต้องร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว โดยมี ท้องที่ ท้องถิ่น อบจ. และ สส.ให้การสนับสนุน

ซึ่งนายเดชอิศม์ฯ ได้ประกาศกับผู้อยู่ในห้องประชุมกว่า 100 คน ว่า จะดำเนินการตามกฎหมาย แจ้งผู้ว่าราชการจังหวัด อุตสาหกรรมจังหวัด สิ่งแวดล้อม และ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้เข้าไปตรวจสอบและจับกุม บ่อทรายเถื่อนทั้งหมด เพราะถ้าปล่อยไว้คลองภูมีต้องยับเยินกว่านี้  คนใน 2 อำเภอจะเดือดร้อนกว่านี้ “ผมไม่กลัวผู้มีอิทธิพล ที่ดูดทรายเถื่อน ผมไม่ยอมให้มีเจ้าพ่อเพื่อทำลายสิ่งแวดล้อม เจ้าพ่อต้องไปอยู่โคนต้นไทรเท่านั้น ไม่ใช่มาทำลายธรรมชาติ ทลายสิ่งแวดล้อม และทำร้ายประชาชนในเขตเลือกตั้งของผม” นายกชายประกาศในห้องประชุม

ภาพ/ข่าว  นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์  (หาดใหญ่ จ.สงขลา)

พบพญาเต่าประหลาด 6 ขา ใกล้สูญพันธุ์ ขนาดเกือบครึ่งเมตร หนัก 12 กิโลฯ ด้านหลังมี 4 ขา เชื่อว่า ให้โชคให้ลาภแห่ตีเลขเด็ด

ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (24 มีค 64) ว่า ได้รับแจ้งจากชาวบ้านที่หมู่ 6 ต.คลองท่อมใต้  อ.คลองท่อม จ.กระบี่ ว่า มีชาวบ้านพบเต่า 6 ขา จึงไปตรวจสอบตามที่บ้านเลขที่ 12/2 ม.6 ต.คลองท่อมใต้ พบนายสุวิทย์ แก้วบุญ อายุ 54ปี อดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ม.6 บ้านวังหินเจ้าของบ้านซึ่งได้พาไปดูเต่าที่เลี้ยงไว้หน้าบ้าน เป็นเต่าขนาดใหญ่ ยาวประมาณ 40 เซนติเมตร กว้าง 30 เซนติเมตร น้ำ หนักประมาณ 12 กิโลกรัม ไม่สามารถระบุเพศได้ โดยบริเวณด้านหลังของเต่านอกจากจะมีหางและขาปกติมี    อีก 2 ขาซ่อนไว้ระหว่างหางและขาทั้ง 2 ข้างรวมด้านหลังเต่าจะมีขา 4 ขา

นายสุวิทย์  กล่าวว่า เต่าตัวดังกล่าวใช้ขาด้านหลังปีนขึ้นที่สูงชัน โดยจะยื่นออกมา 4 ขาพร้อมกัน ซึ่งวันที่ 20 มีค ที่ผ่าน ได้ไปเที่ยวบ้านภรรยา ไปพบเต่าดังกล่าว พร้อมกับพบไข่ 7 ฟอง   ที่ต.เขาแดง อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ที่ผ่านมาชาวบ้านไม่เคยพบเต่าลักษณะมานาน ซึ้งเต่าใกล้สูญพันธุ์ ส่วนใหญ่ถ้าชาวบ้านพบเต่าในลักษณะเดียวกันนี้ อยู่ริมภูเขาในเขตป่าที่เล็กกว่าตัวที่ตนจับได้ ก็จะนำไปฆ่าแกงและกินเป็นอาหาร เต่าชนิดนี้เป็นเต่าภูเขา ส่วนใหญ่จะอยู่ตามภูเขาในป่าใหญ่แถบจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตนกับภรรยาจึงคิดขอซื้อมาจากชาวบ้านในราคา 1,000 บ เพื่อนำกลับมาเลี้ยงที่บ้านกระบี่ เพื่อจะแจ้งให้ จนท.สวนสัตว์ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปเลี้ยงต่อ เพราะมีไข่ติดมา 7 ฟองมาด้วย เพื่อขยายพันธุ์ต่อไป และรอดพ้นจากที่ชาวบ้านจะนำเต่าตัวนี้ไปทำเป็นอาหาร และเป็นกุศลให้กับตน้องและครอบครัว  จึงขอฝากยังถึง จนท ที่เกี่ยวข้องให้นำเต่าดังกล่าวไปรับเลี้ยงดูต่อไป  



ส่วนเต่าชนิดนี้ ชาวบ้านมีความเชื่อว่า เป็นพญาเต่า ที่มีจำนวน 6 ขา ใครพบใครเห็นจะได้โชคได้ลาภ ต่างก็แวะมาดู พร้อมตีเลขสวยเลขเด็ดตามความเชื่อ


ภาพ/ข่าว : มโนธรรม  ใจหาญ  (กระบี่)

ชาวประมงบ้านเก้าเส้ง เจอสภาพอากาศแปรปรวนช่วงหน้าร้อน คลื่นลมแรงทำให้ต้องหยุดออกเรืออีกรอบ

หลังกรมอุตุใต้รายงานสภาพอากาศแปรปรวนช่วงหน้าร้อน มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ และฝนหนักกับลมกระโชกแรง ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

วันนี้ 24 มีนาคม 2564  สภาพอากาศบริเวณชายฝั่งจังหวัดสงขลาทะเลเริ่มมีคลื่นลมแรงซัดเข้าหาฝั่งเป็นระลอก ๆ บริเวณชายหาดบ้านเก้าเส้ง เขตเทศบาลนครสงขลา อ.เมือง จ.สงขลา มีลมกรรโชกแรงตลอดเวลา ทะเลมีคลื่นกำลังแรงพัดเข้าหาฝั่งเช่นเดียวกัน

ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออก รายงานสภาพอากาศในวันนี้ว่า บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนเริ่มมีกำลังอ่อนลง บริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนล่างมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ และฝนหนักกับลมกระโชกแรงบางแห่งทางตอนล่างของภาค บริเวณจังหวัดสงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ส่วนลมตะวันออกที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังปานกลาง  ขอให้ประชาชนระมัดระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง

สำหรับบริเวณอ่าวไทยตอนล่างทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองทะเลมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง หลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง

ชาวประมงพื้นบ้านเก้าเส้ง จึงจำเป็นต้องหยุดออกเรือจับปลานำเรือขึ้นมาจอดบริเวณชายฝั่ง ปากคลองสำโรงที่ถูกคลื่นซัดทรายขึ้นมาปิดปากคลองสำโรงเป็นสันดอนชายหาด สามารถนำเรือขึ้นไปจอดได้ กว่า 20 ลำ เนื่องจากไม่สามารถนำเรือเข้าไปจอดในคลองสำโรงได้

ในขณะเดียวกัน ก็ต้องคอยระมัดระวัง หมั่นเดินมาดูแลเรืออยู่เป็นระยะ ๆ เนื่องจาก บางครั้ง ช่วงน้ำขึ้น คลื่นมีกำลังแรง จะชัดขึ้นมาถึงบริเวณที่จอดเรือ หากผูกมัดหรือไม่ดีเรืออาจจะลอยตามน้ำลงไปในทะเลได้

เนื่องจากในช่วงนี้ปรกติเป็นหน้าร้อน ทะเลจะเรียบไม่มีคลื่นลม ชาวประมงพื้นบ้านจะออกเรือจับสัตว์น้ำได้ ตลอดช่วงหน้าร้อน แต่ในช่วงนี้สภาพอากาศแปรปรวน ทำให้ชาวประมงพื้นบ้านเก้าเส้ง ต้องหยุดออกเรือทำการประมง มา 2-3 วันแล้วและในวันนี้ก็ยังคงหยุดต่อไปอีก เพื่อรอให้คลื่นลมสงบจึงจะสามารถออกไปทำการประมงได้ตามปกติ

อย่างไรก็ตามชาวประมงพื้นบ้านก็จะต้องดูสภาพอากาศและคลื่นลมในช่วงย่ำรุ่งก่อนออกเรือทุกวัน เพราะสภาพอากาศแปรปรวนไม่แน่นอน  วันนี้ลมตะวันออกความเร็ว 15-35 กม./ชม. ยังคงพัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ อ่าวไทยตอนล่างทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองทะเลมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ภาพ/ข่าว  นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ (หาดใหญ่ จ.สงขลา)

องค์การจัดการน้ำเสีย เร่งจับมือท้องถิ่น แก้น้ำเสีย เพื่อรักษาสมดุลน้ำในการอุปโภคบริโภค พร้อมประสานทุกความร่วมมือ ดำเนินแนวทาง "น้ำเสีย อยู่คู่ชุมชนได้"

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 25 มีนาคม 2564 ที่องค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมคณะได้เดินทางมาตรวจเยี่ยม เพื่อมอบนโยบายการดำเนินงานขององค์การจัดการน้ำเสีย โดยมี นายพรพจน์ เพ็ญพาส ประธานกรรมการ อจน.พร้อมด้วยคณะกรรมการ นายชีระ วงศบูรณะ ผู้อำนวยการ อจน.ให้การต้อนรับ

นายนิพนธ์ กล่าวว่า "ปัญหาน้ำเสียเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทยและต้องดำเนินการให้เป็นกิจจะลักษณะเป็นปัญหามลพิษทางน้ำที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัย และคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงคุณภาพสิ่งแวดล้อมของประเทศ ที่ผ่านมารัฐบาลมีความตั้งใจในการแก้ปัญหาน้ำเสียอย่างจริงจัง คณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงมีมติเห็นชอบกำหนดเขตพื้นที่จัดการน้ำเสียขององค์การจัดการน้ำเสียให้ครอบคลุมทุกจังหวัดของประเทศไทย เพื่อเร่งรัดการพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำเสียของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบูรณาการดำเนินงานร่วมกันระหว่างองค์การจัดการน้ำเสียและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)

นายนิพนธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้เน้นย้ำให้องค์การจัดการน้ำเสีย(อจน.)เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชน รวมถึงการสร้างความตระหนัก ในการช่วยกันลดความสกปรกของน้ำเสียจากแหล่งกำเนิด การมีส่วนร่วมกันรักษาสิ่งแวดล้อมของชุมชน สร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนว่าต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาน้ำเสียด้วยกันถึงจะประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาน้ำเสีย พร้อมบูรณาการความร่วมมือหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย โดยมุ่งเน้นการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านต่าง ๆ อย่างจริงจัง และเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เช่น องค์การจัดการน้ำเสีย ในฐานะหน่วยงานในการบริหารจัดการน้ำเสีย การประปาส่วนภูมิภาค และการประปานครหลวง

ในฐานะหน่วยงานที่ผลิตน้ำประปา บูรณาการความร่วมมือระหว่างกันในการดำเนินงานด้านการบริหารจัดการคุณภาพน้ำอย่างเป็นระบบมีประสิทธิภาพเน้นการดำเนินงานตามกรอบแนวทางการกำกับกิจการที่ดีและตามมาตรฐานสากล ดำเนินงานอย่างโปร่งใส สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน และอีกประการหนึ่งที่สำคัญคือต้องเข้าไปประสานงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ที่มีความพร้อมดำเนินการเพื่อจัดการแก้ไขปัญหาน้ำเสียที่มีมากถึง 7 ล้านลบ.ม.ต่อวัน โดยน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วสามารถนำมาเป็นนำกลับมาใช้ได้อย่างมีคุณภาพและปลอดภัย ดังนั้น จึงถือว่าแนวทางดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้การใช้ทรัพยากรน้ำเกิดความคุ้มค่าสูงสุด"

นอกจากนี้ เรื่องบุคลากรถือเป็นกลไกหลักในการสนับสนุนภารกิจขององค์กร ควรมีการเพิ่มศักยภาพความรู้ความสามารถของบุคลากรในองค์กรให้มีทักษะที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับหน่วยงานภายในประเทศและต่างประเทศ พัฒนาเทคโนโลยีในการบำบัดน้ำเสียให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์ ประชาชนในชุมชนสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม เพื่อสร้างทัศนคติที่ดีต้องทำให้เห็นว่าน้ำเสียสามารถอยู่คู่กับชุมชนได้อย่างเป็นระบบ มุ่งเน้นความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมประยุกต์ใช้พื้นที่ของระบบบำบัดน้ำเสียให้เป็นสถานที่ที่ประชาชน โดยใช้โรงงานน้ำเสียที่บำบัดอยู่ใต้ดิน ส่วนข้างบนเป็นสวนสาธารณะ หรือสนามฟุตบอลตามที่ท้องถิ่นต้องการให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ รวมทั้งมีการนำน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วกลับมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสมต่อไป

ภาพ/ข่าว  นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ (หาดใหญ่ จ.สงขลา)

ผู้ว่าฯ นราธิวาส เปิดประตูระบายน้ำ สูบน้ำจากคลองน้ำดำ ป้องกันไฟไหม้ป่า บรรเทาภัยแล้ง และเพิ่มความชุ่มชื้นแก่พื้นที่พรุบาเจาะ

วันนี้ (25 มี.ค. 64) นายเจษฎา จิตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ลงพื้นที่เพื่อเปิดประตูระบายน้ำสูบน้ำจาก “คลองน้ำดำ” ป้องกันไฟไหม้ป่าและบรรเทาภัยแล้ง โดยผันน้ำเข้าสู่ “คลองระบายน้ำพรุบาเจาะสายที่ 4”  โครงการพรุบาเจาะ - ไม้แก่น อันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยมีนายเฉลิมชัย ตรีนรินทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 17 นายอภิวัฒน์ ชนะสงคราม ผู้อำนวยการโครงการชลประทานนราธิวาส ปลัดอำเภอยี่งอ ร่วมให้ข้อมูลการดำเนินงาน ณ สถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าคลองยะกัง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลละหาร อำเภอยี่งอ จังหวัดนราธิวาส

ทั้งนี้ สถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าคลองยะกังพร้อมอาคารประกอบ โครงการพรุบาเจาะ - ไม้แก่น อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2555 อัตราค่าไฟฟ้าชั่วโมงละ 260 บาท ต่อชั่วโมงต่อเครื่อง สามารถสูบน้ำได้ 1.0 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จำนวน 3 เครื่อง

สถิติการสูบน้ำปี พ.ศ. 2563 ผันน้ำเข้าพรุบาเจาะ เป็นเวลา 1,977 ชั่วโมง ปริมาณน้ำ 7,117,200 ลูกบาศก์เมตร โดยมีการบริหารจัดการช่วงภัยแล้ง คือ การเปิดเครื่องสูบน้ำสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าคลองยะกัง โครงการพรุบาเจาะ - ไม้แก่น อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้กับพื้นที่โครงการพรุบาเจาะ - ไม้แก่น ช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำในพื้นที่เกษตร และเพิ่มความชุ่มชื้นในพื้นที่พรุบาเจาะ ตามมาตรการป้องกันไฟไหม้ป่าพรุบาเจาะ โดยการสูบน้ำจากคลองยะกังเพิ่มไปยังคลองระบายน้ำพรุบาเจาะสายที่ 2 และคลองระบายน้ำพรุเจาะสายที่ 4 ซึ่งโครงการพรุบาเจาะ - ไม้แก่น มีเนื้อที่ 96,400 ไร่

จากนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสพร้อมคณะ ได้เดินทางไปยังพื้นที่อนุรักษ์พรุบาเจาะ ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าไม้ส่วนกลาง ร้อยละ 20 นิคมสหกรณ์บาเจาะ จังหวัดนราธิวาส เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสพระชนมายุ 60 พรรษา ครอบคลุมพื้นที่ตำบลลุโบะบือซา ตำบลตะปอเยาะ ตำบลละหาร อำเภอยี่งอ จังหวัดนราธิวาส / ตำบลบาเระใต้ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส / ตำบลโคกเคียน อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส ที่มีความยาวคันเก็บกักน้ำ 15,750 เมตร พื้นที่ประมาณ 5,500 ไร่

ภาพ/ข่าว  ปทิตตา หนดกระโทก (ผู้สื่อข่าวนราธิวาสรายงาน)

เกษตรอำเภอคลองใหญ่ จัดงาน “วันถ่ายทอดเทคโนโลยี (Field Day) เพื่อเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่” ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง

ตําบลคลองใหญ่ จัดการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรในทุกอําเภอทั่วประเทศ อําเภอละ 1 จุด พร้อมทั้งให้มีการจัดตั้งศูนย์เครือข่าย ศูนย์ละ 10 จุด ที่หมู่ที่ 9 ตำบลคลองใหญ่  อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ซึ่งเป็นของ นายฐิติชัย ผลาเกษ เป็นสถานที่เรียนรู้มากมาย

นายผจงศักดิ์ วงษ์สง่า ประมงจังหวัดตราด เป็นประธานเปิดการจัดงาน “วันถ่ายทอดเทคโนโลยี (Field Day) เพื่อเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่” ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ให้ทุกหน่วยงานในสังกัด เตรียมความพร้อมเกษตรกรเข้าสู่ฤดูกาลผลิต เพื่อกระตุ้นให้เกษตรกรเริ่มต้นการผลิต โดยใช้เทคโนโลยีและภูมิปัญญาที่เหมาะสมกับพื้นที่ในการวางแผนการผลิต การเข้าถึงปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพ การลดความเสี่ยงของผลผลิต การเชื่อมโยงเครือข่าย การบริหารจัดการระบบการผลิตตามแนวทางการส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ เพื่อให้เกษตรกรเข้มแข็ง พึ่งพาตนเองได้ โดยมีนายวีระศักดิ์ คงเปี้ยว ปลัดอําเภอคลองใหญ่ กล่าวให้การต้อนรับผู้เข้าร่วม พร้อมด้วยนายภูวพงศ์ ระวังชื่อ เกษตรอําเภอคลองใหญ่ กล่าวรายงาน

โดยมีวัตถุประสงค์

1. เพื่อกระตุ้นให้เกษตรกรเริ่มต้นการผลิตในปีการเพาะปลูกใหม่ โดยใช้เทคโนโลยีและภูมิปัญญา ที่มีความเหมาะสมกับพื้นที่

2. เพื่อให้เกิดการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และองค์ความรู้จากศูนย์ศึกษาการพัฒนาและโครงการพระราชดำริต่าง ๆ ให้เข้าถึงเกษตรกรและนำไปประยุกต์ใช้ได้กว้างขวางยิ่งขึ้น

3. เพื่อให้บริการและช่วยเหลือแก้ไขปัญหาการผลิตของเกษตรกร

4. เพื่อเผยแพร่ให้เกษตรกรรู้จักและใช้ประโยชน์จากศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรที่มีอยู่ในพื้นที่ ซึ่งกลุ่มเป้าหมายที่มาร่วมงานในวันนี้ ได้แก่ เกษตรกรจากอำเภอจังหวัดตราด และอําเภอคลองใหญ่จำนวน 10 กว่าราย

ดังนั้นในการจัดงาน “วันถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่ (Field Day)” ในปี 2564 จึงเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะทำให้เกษตรกรได้มาเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ ด้านการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรได้ตัดสินใจนำเอาองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่การเกษตรของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีการเกษตรในวันนี้ ได้กำหนดให้มีฐานเรียนรู้ไว้ จำนวนกลายฐานเรียนรู้ ได้แก่ ฐานเรียนรู้เทคโนโลยีการเพิ่มผลผลิต โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการให้ความรู้  โดยจัดกิจกรรมในครั้งนี้ประกอบด้วยฐานต่าง ๆ เช่น การผลิตผักปลอดภัย การใช้ธาตุอาหารเสริม เชื้อรามหัศจรรย์ป้องกันโรคพืช สนับสนุนพันธ์ปลา การเลี้ยงชันโรงและแปรรูปผลิตภัณฑ์ชันโรง การผสมปุ๋ยใช้เองตามค่าวิเคราะห์ดิน การเลี้ยงกบ การทําบัญชีฟาร์ม และการตรวจสารเคมีในเลือดเป็นต้น จากหน่วยงาน ส่วนราชการต่าง ๆ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บริษัทเอกชน ที่ได้สนับสนุนในการร่วมจัดนิทรรศการ และเจ้าหน้าที่ของส่วนราชการต่าง ๆ ในเขตอำเภอคลองใหญ่และจังหวัดตราดที่นำเกษตรกรเข้ารับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ตามเป้าหมายของวัตถุประสงค์ที่วางไว้

ภาพ/ข่าว วิเชียร ม่วงสี (ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จ.ตราด)

หมู่เรือฝึกนักเรียนนายเรือ ดำน้ำเก็บขยะใต้ทะเลหาดทรายขาว หลังผ่านฝึกอบรมหลักสูตรการดำน้ำ

เมื่อวันที่ 24 มี.ค.64 พลเรือตรี ประวุฒิ รอดมณี เสนาธิการโรงเรียนนายเรือ ปฏิบัติหน้าที่ผู้บังคับหมู่เรือฝึกนักเรียนนายเรือ (มฝ.นนร.) ได้นำข้าราชการ และนักเรียนนายเรือ ซึ่งได้ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตร การดำน้ำเพื่อการอนุรักษ์ปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย ภายใต้มูลนิธิอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทำกิจกรรมจิตอาสาเก็บขยะใต้ทะเล และชายฝั่ง บริเวณหาดทรายขาว เพื่อเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเล ในโอกาสที่หมู่เรือฝึกนักเรียนนายเรือ แวะจอดเรือบริเวณเกาะช้าง อำเภอเกาะช้าง จังหวัดตราด 

ภาพ/ข่าว  สมนึก เชื้อสนุก

จับกุมบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง และขยายผลจับกุมเครือข่าย สืบตม.6 และ ตม.จว.นราธิวาส บูรณาการร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี  เรื่อง การควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง   รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สุเมธ เมฆขจร ผบก.ตม.6, พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ เปี่ยมมนัส รอง ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.ตม.6 ได้สั่งการกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามนโยบาย ผบ.ตร. โดยเคร่งครัด นำไปสู่ผลสัมฤทธิ์ในการป้องกันปราบปรามการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และร่วมแถลงข่าวจับกุมคดีที่น่าสนใจ ดังนี้

จนท.ชุดสืบสวน กก.สส.บก.ตม.6 และ จนท. ชุดสืบสวน ตม.จว.นราธิวาส ได้บูรณาการร่วมกับเจ้าหน้าที่ความมั่นคงในพื้นที่ ตั้งจุดตรวจจุดสกัด บริเวณด่านตรวจถาวรโคกมะเฟือง  ม.1 ต.ศาลาใหม่ อ.ตากใบ จว.นราธิวาส เพื่อสกัดกั้นการก่อเหตุลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ตามนโยบายของผู้บังคับบัญชา

ได้มีรถยนต์เก๋งยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่นแอคคอร์ด สีน้ำตาล หมายเลขทะเบียนกรุงเทพมหานคร ขับมายังบริเวณที่ด่านตรวจฝั่งขาออกจาก อ.ตากใบ ไป อ.เมืองนราธิวาส เจ้าหน้าที่ได้สังเกตเห็นบริเวณที่นั่งตอนหลังของรถยนต์คันดังกล่าว  มีชายผิวดำลักษณะรูปพรรณคล้ายคนอินเดียนั่งอยู่ จึงได้เรียกให้หยุดรถเพื่อขอตรวจสอบ จากการตรวจสอบภายในรถ พบนายอัมรี อายุ 27 ปี  สัญชาติไทย เป็นผู้ขับขี่ นายอาบีดี อายุ 34 ปี สัญชาติไทย นั่งข้างคนขับด้านหน้า และพบบุคคลต่างด้าว จำนวน 4 คน นั่งอยู่ที่นั่งตอนหลังของรถ ทั้งหมดเป็นบุคคลสัญชาติมาเลเซีย ถือหนังสือเดินทางประเทศมาเลเซีย เมื่อตรวจสอบหนังสือเดินทางไม่พบข้อมูลการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรแต่อย่างใด ทั้งหมดให้การรับสารภาพว่าได้ลักลอบเข้ามาประเทศไทยทางช่องทางธรรมชาติ ข้ามแม่น้ำสุไหงโก-ลก (ไม่ทราบสถานที่แน่ชัด) และได้มาพักรอที่บ้านหลังหนึ่งในพื้นที่ อ.ตากใบ จว.นราธิวาส สอบถามนายอัมรี และนายอาบีดี ให้การว่า  ได้รับการว่าจ้างจากนายวงค์สถิต หรือนายโจ ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ จว.ประจวบคีรีขันธ์ ทางโทรศัพท์ ให้ไปรับคนต่างด้าวจากนางซีตีมารือแย หรือ ก๊ะยัง ที่ อ.ตากใบ แล้วให้ไปส่งต่อพื้นที่ อ.หาดใหญ่  จว.สงขลา โดยตกลงค่าจ้างเป็นเงิน 6,000 บาท จึงได้ทำการจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมดพร้อมด้วยรถยนต์ของกลางนำส่ง พงส.สภ.ตากใบ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย จากการสืบสวน ขยายผลทราบว่าบ้านพักที่คนต่างด้าวสัญชาติมาเลเซีย ได้มาพักรอระหว่างเดินทาง ที่ อ.ตากใบ คือบ้านพักต้องสงสัย  ใน ต.เจ๊ะเห อ.ตากใบ จว.นราธิวาส ซึ่งเป็นบ้านของนางซีตีมารือแย

ต่อมา จนท.ชุดสืบสวน กก.สส.บก.ตม.6 และ จนท.ชุดสืบสวน ตม.จว.นราธิวาส ได้บูรณาการกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ โดยอาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึก พ.ศ. 2547 เข้าทำการปิดล้อมตรวจค้นบ้านพักต้องสงสัยดังกล่าว พบ นายมะยารี  อายุ 46 ปี แสดงตัวเป็นเจ้าบ้านหลังดังกล่าวและเป็นผู้นำตรวจค้น ส่วนนางซีตีมารือแย ได้ออกไปทำธุระนอกบ้านก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเดินทางมาถึง จากการตรวจค้นภายในบ้านพบบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมา จำนวน 2 คน ไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางแต่อย่างใด รับสารภาพว่าได้ลักลอบเข้ามาในประเทศไทยทางช่องทางธรรมชาติ ข้ามแม่น้ำสุไหงโก-ลก (ไม่ทราบสถานที่แน่ชัด) สอบถามนายมะยารี ให้การว่าภรรยาของตน คือ นางซีตีมารือแย  เป็นผู้พาคนต่างด้าวชาวเมียนมาทั้งสองคนเข้ามาพักที่บ้านเพื่อรอเดินทางกลับประเทศเมียนมา จึงได้ทำการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 3 คน นำส่ง พงส.สภ.ตากใบ ดำเนินคดีตามกฎหมาย ในเวลาต่อมาเจ้าหน้าที่ทหาร ฉก.นราธิวาส 30 ได้เชิญตัวนางซีตีมารือแย ไปที่ศูนย์ซักถามกรมทหารพรานที่ 46  ต.กะลุวอเหนือ อ.เมือง จว.นราธิวาส และ จนท.ชุดจับกุมได้ทำการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องกับเครือข่าย

ต่อมา จนท.กก.สส.บก.ตม.6, จนท.ตม.จว.นราธิวาส ร่วมกับ จนท.ตร.สภ.ตากใบ ทำการจับกุมนางซีตีมารือแย หรือก๊ะยัง อายุ 42 ปี สัญชาติไทย ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดนราธิวาส ที่ จ 104/2564 ลง 17 มี.ค.64 ในฐานความผิด “ร่วมกันซ่อนเร้นหรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆ แก่บุคคลต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นการจับกุม” ได้ที่บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 48 ม.7 ต.เจ๊ะเห อ.ตากใบ จว.นราธิวาส ส่ง พงส.สภ.ตากใบ ดำเนินคดีตามกฎหมาย

จนท.ตร.สภ.บางสะพานน้อย จว.ประจวบคีรีขันธ์ ได้เข้าทำการจับกุมนายวงค์สถิต หรือนายโจ อายุ 36 ปี สัญชาติไทย ตามหมายจับของศาลจังหวัดนราธิวาสที่ จ 105/2564 ลง 17 มี.ค.64 ในฐานความผิด “ร่วมกันซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆ แก่บุคคลต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นการจับกุม” จับกุมได้ที่บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 168/1 ม.1 ต.ไชยราช อ.บางสะพานน้อย จว.ประจวบคีรีขันธ์ ควบคุมตัว ส่ง พงส.สภ.ตากใบ ดำเนินคดีตามกฎหมาย

สรุป การดำเนินการเกี่ยวกับเครือข่ายนี้

    1. จับกุมผู้ต้องหาที่เป็นบุคคลต่างด้าว ในข้อหาหลบหนีเข้าเมือง จำนวน 6 ราย

แยกเป็น สัญชาติมาเลเซีย 4 ราย สัญชาติเมียนมา จำนวน 2 ราย

   2. จับกุมผู้ต้องหาคนไทย จำนวน 5 ราย ในข้อหาช่วยเหลือฯ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง มีนโยบายในการป้องกันปราบปรามการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย

ในทุกรูปแบบ เพื่อสนองนโยบายของของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการป้องกันปราบปรามขบวนการลักลอบนำพาแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และฝากประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชนคนไทย ห้ามเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการเหล่านี้ เพราะอาจถูกจับกุมดำเนินคดี และรับโทษตามกฎหมาย หากพบหรือทราบข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลคนต่างด้าวที่ลักลอบเข้าเมือง หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ สายด่วนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โทร.1178 หรือที่ www.immigration.go.th

ฉก.นราธิวาส ช่วยชาวบ้านตอหลังเก็บเกี่ยวข้าว สืบสานวัฒนธรรมและประเพณีประจำท้องถิ่น ส่งเสริมเพื่อพัฒนาที่ดินเปรี้ยว

พลตรีไพศาล หนูสังข์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15  ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส เป็นประธาน เปิดกิจกรรมพหุวัฒนธรรมการเก็บเกี่ยวข้าว เพื่อสืบสานวัฒนธรรม ประเพณีประจำท้องถิ่น สนับสนุน ส่งเสริม เพื่อพัฒนาที่ดินเปรี้ยว ณ บ้านตอหลัง ตำบลไพรวัน อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส โดยมี นายสังคม เกิดก่อ นายอำเภอตากใบ ,พันโททวีรัตน์ เบญจาทิกุล ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 30 , ผู้นำท้องที่ และประชาชนชาวไทยพุทธ ไทยมุสลิม ในพื้นที่ร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก

สำหรับกิจกรรมการเก็บเกี่ยวข้าวครั้งนี้จัดขึ้น โดยมีจุดประสงค์ คือ ที่ผ่านมารัฐบาลได้แก้ไขปัญหาในเรื่องดินเปรี้ยว ทำให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ทำการเพาะปลูกได้ ทางหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส จึงร่วมกับทุกภาคส่วน มาส่งเสริมการปลูกข้าว โดยใช้พันธุ์ข้าวพื้นเมือง คือ พันธุ์ซีบูกันตัง และพันธุ์หอมกระดังงา ซึ่งเป็นข้าวพันธุ์พื้นเมืองที่มีชื่อเสียง มีคุณค่าทางอาหาร ประการต่อมาการใช้พื้นที่มาเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย  จะช่วยให้รอดพ้นวิกฤตอาหารในสถานการณ์ต่าง ๆ อาทิ สถานการณ์โควิด-19  ด้วยการหุงข้าวกินเอง ปลูกผักรอบบ้าน ดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่สำคัญประชาชนในพื้นที่มีพี่น้องไทยพุทธ พี่น้องมุสลิม อยู่ร่วมกันภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็งมาอย่างยาวนาน ก็ได้มารักษาต่อยอด ได้ร่วมกันดำนาตามวิถีชีวิตดั้งเดิม และสืบสานภูมิปัญญาอีกด้วย

ทั้งนี้ พลตรีไพศาล หนูสังข์ กล่าวว่า การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เพื่อเป็นการพัฒนาเสริมสร้างความสัมพันธ์ ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ และ ประชาชนในพื้นที่ภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรม และส่งเสริม ฟื้นฟูวัฒนธรรม และประเพณีอันดีงาม ที่มีมาตั้งแต่ในอดีต ขับเคลื่อนให้ชุมชน 2 วิถี เรียนรู้ และ ยอมรับการอยู่ร่วมกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือการรักษาคุณภาพดินเพื่อให้มีความอุดมสมบูรณ์ ใช้เพาะปลูกพืชได้อย่างยั่งยืน และ เพื่อเป็นการสร้างความสามัคคี สร้างอาชีพ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ของประชาชนในพื้นที่ ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข

ภาพ/ข่าว  กรียา  (นราธิวาส)

เสียชีวิตเพิ่ม โลมาอิรวดีเกยชายหาดบ้านเจ๊กลัก คลองใหญ่ จ.ตราด ยาวกว่า 2 เมตร

เมื่อเวลา 15.30 น.วันที่ 29 มี.ค. 64 นายเสาร์ พรมรอด ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 บ้านเจ๊กลัก ต.คลองใหญ่ อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ได้รับแจ้งจาก นายสําลอง สุขเจริญ ลงวัย 72 ปีว่าพบซากโลมาตายเกยตื้นที่ชายหาดบ้านเจ๊กลัก หมู่ 1 ต.คลองใหญ่ อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ขอให้มาตรวจสอบด้วย หลังรับแจ้งจึงแจ้งสมาคมสว่างบุญช่วยเหลือธรรมสถานตราดเขตอำเภอคลองใหญ่ รุดตรวจสอบ

ไปถึงที่เกิดเหตุชายหาดบ้านเจ๊กลักพบซากโลมาอิรวดีความยาว 2 เมตรเกยชายหาด อยู่ในสภาพเน่าเปื่อยส่งกลิ่นเหม็น จากการตรวจสอบพบว่าตายมาแล้วไม่ตํ่า 7 วัน เป็นโลมาเพศผู้ เจ้าหน้าที่จึงทําการผ่าพิสูจน์ไม่พบอาหารในกระเพาะและลําใส้ หลังจากนั้นจึงทำการตัดเก็บเนื้อเยื่อส่งพิสูจน์ที่ศูนย์วิจัยจังหวัดระยองเพื่อหาสาเหตุการตายต่อไป

นายสําลอง สุขเจริญ ลงวัย 72 ปี บอกว่ามาเดินเล่นชายหาดช่วงบ่ายที่ผ่านมา พบซากโลมาตัวดังกล่าวถูกคลื่นซัดมาเกยชยหาด จึงโทรศัพท์แจ้งนายเสาร์ พรหมรอด ผู้ใหญ่บ้านให้มาตรวจสอบดังกล่าว ซึ่งโลมาอยทะเลมาเกยชายหาดที่อำเภอคลองใหญ่หลายครั้งแล้ว บางครั้งไม่มีเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ ต้องปล่อยให้เน่าคาชายหาดก็มี เนื่องจากหน่วยงานที่จะช่วยเก็บซากโลมามีเพียงอาสาสมัครสมาคมสว่างบุญช่วยเหลือธรรมสถานตราดหน่วยงานเดียวเท่านั้น ที่ต้องทำหน้าที่เก็บเนื้อเยื่อ ส่งทางราชการ และทำการกลบฝังซากโลมาดังกล่าว


ภาพ/ข่าว  วิเชียร ม่วงสี  (ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จ.ตราด)


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top