Tuesday, 17 June 2025
Politics

เพิ่งเข้าเมืองมาได้หมาดๆ ก็ถูกไล่เข้าป่าอีกแล้ว หลัง ‘ติ๊ก เจษฎาภรณ์’ โดนวิจารณ์แหลกหลังออกมาทวิตเกี่ยวกับทางเดินเท้าไทยที่ยังย่ำแย่

โดยพระเอกหล่ออมตะ ‘ติ๊ก - เจษฎาภรณ์ ผลดี’ แชร์ภาพคนเดินตกท่อ แม่เข็นลูกบนถนนแทนฟุตบาท พร้อมทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ ตั้งคำถามถึงสิทธิพื้นฐานเกี่ยวกับทางเดินเท้า

‘ติ๊ก เจษฎาภรณ์’ โพสต์ทวิตเตอร์ว่า “เรารู้สึกอย่างไรกันบ้างครับที่จะต้องคอยมาสอดส่องเรียกร้องสิทธิพื้นฐานกับผู้ที่มีหน้าที่โดยตรง สวัสดิภาพที่ดีกับบรรยากาศที่ดีย่อมน่าจะได้รับก่อนสิ่งใด ขอบคุณเจ้าของเพจนะครับ #ทางเท้า #ฟุตบาทไทย”

หลังจากนั้นกลายเป็นกระแสในโลกออนไลน์ทันที เพราะมีคนแห่แชร์โพสต์ดังกล่าวหลายหมื่นแชร์ในเวลาไม่นาน ซึ่งในนั้นมีทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย แต่ในส่วนที่ไม่เห็นด้วยนั้น ก็เรียกว่ากลายเป็นดราม่าถึงขั้นด่ายับพระเอกหล่ออมตะว่าไม่มีสมอง พร้อมไล่กลับเข้าป่ากันเลยทีเดียว


ที่มา: https://www.facebook.com/141108613290/posts/10159534528253291/

รัฐบาล เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อขบวนการแลกสิทธิ ‘เราชนะ’ และมาตรการอื่นๆ เป็นเงินสด ชี้เป็นการใช้ผิดวัตถุประสงค์เข้าข่ายผิดกฎหมาย ฐานฉ้อโกง

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้มีประชาชนแจ้งเข้ามาเกี่ยวกับการดำเนินการนำสิทธิของโครงการเราชนะ หรือมาตรการอื่นๆ ไปซื้อขายสิทธิ จึงขอแจ้งเตือนประชาชนว่าขอให้หลีกเลี่ยงการดำเนินการในลักษณะเช่นนั้น เพราะถือเป็นความผิด โดยกองบังคับการปราบปรามได้ดำเนินการตรวจสอบเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการฉ้อโกง จึงขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ หากมีการเสนอให้ผลประโยชน์แลกเปลี่ยนเป็นเงินสด

นอกจากนี้ มีอีกประเด็นที่มีการร้องเรียนเข้ามาคือ ผู้ร่วมโครงการในส่วนของร้านค้าในโครงการเราชนะมีการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า ขอให้ส่วนที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์และกรมการค้าภายในไปดำเนินการออกตรวจสอบทุกจังหวัด ทุกพื้นที่ให้ขึ้นป้ายแสดงราคาสินค้าให้ชัดเจน และห้ามจำหน่ายสินค้าเกินราคา หากใครฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี

“อยากขอประชาสัมพันธ์เรื่องการลงทะเบียนของประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน นอกจากจะสามารถลงทะเบียนที่ธนาคารกรุงไทยแล้ว ยังสามารถลงทะเบียนได้ที่ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) รวมถึงสามารถลงทะเบียนได้ที่สำนักงานคลังจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานสรรพสามิต และสำนักงานสรรพากรพื้นที่”

วัคซีนชิโนแวค ล็อตแรก 2 แสนโดส ภายใต้ชื่อ "วัคซีนโควิด-19 คืนรอยยิ้มประเทศไทย’ จัดส่งจากจีนถึงไทย 10 โมงวันนี้ ‘บิ๊กตู่’ เป็นประธานรับที่สุวรรณภูมิ ด้วยตัวเอง

ผู้สื่อข่าวรายงานจาก เขตปลอดอากรและคลังสินค้า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และคลังรับรองวัคซีนโควิด-19 (คลังศรีเพชร DKSH) ว่า

พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานรับวัคซีนโควิด-19 จากประเทศจีน ภายใต้ชื่อ "วัคซีนโควิด-19 คืนรอยยิ้ม ประเทศไทย" ซึ่งขนส่งโดยเที่ยวบินขนส่งสินค้าของบริษัทการบินไทย เที่ยงบิน 675 ( TG675) เส้นทางปักกิ่ง-กรุงเทพฯ ถึงประเทศไทยเวลา 10.05 น. ณ เขตปลอดอากรและคลังสินค้า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และคลังรับรองวัคซีนโควิด-19 (คลังศรีเพชร DKSH) ถนนบางนา-ตราด กม.ที่ 19

โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตจีน ประจำประเทศไทย เข้าร่วมพิธีด้วย ทั้งนี้ วัคซีนล็อตแรกจำนวน 200,000 โดส น้ำหนัก 2.6 ตัน เป็นวัคซีนจาก บริษัท ชิโนแวค ไบโอเทค จำกัด โดยมีสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศจำนวนมากให้ความสนใจ ร่วมติดตามเผยแพร่พิธีการรับวัคซีนอย่างคึกคัก

โดยทันทีที่วัคซีนมาถึง พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมคณะเดินทางเข้ารับวัคซีนจากเครื่องบิน จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ลำเลียงตู้ควบคุมอุณหภูมิบรรจุวัคซีนออกจากเครื่อง และลำเลียงตู้ควบคุมอุณหภูมิบรรจุวัคซีนขึ้นรถขนส่งไปจัดเก็บยังคลังสำรองวัคซีนโควิด -19 องค์การเภสัชกรรม (คลังศรีเพชร DKSH) บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด

ขณะเดียวกัน วันเดียวกันนี้วัคซีนจากแอสตร้าเซเนก้า จำนวน 117,000 โด๊ส จะส่งมาถึงไทยเช่นกัน

สำหรับวัคซีนโควิด-19 หลักๆมีการใช้สามเทคโนโลยี คือ

1. เทคโนโลยี mRNA ที่นำสารพันธุกรรม RNA สร้างโปรตีนเอสของไวรัสมาทำวัคซีน แต่ต้องเก็บรักษาวัคซีนไว้ในอุณหภูมิต่ำมาก คือ ลบ 80 องศา ซึ่งประเทศไทยเป็นเมืองร้อนถึงไม่เหมาะจะส่งผลต่อประสิทธิภาพและความปลอดภัย ซึ่งบริษัท ไฟเชอร์ และโมเดอร์นา ใช้เทคโนโลยีนี้ในการผลิต

2. เทคโนโลยีไวลัสเวคเตอร์ เป็นการประดิษฐ์สารพันธุ์กรรม DNA เพื่อสร้างโปรตีนเอส ของไวรัสโควิด แล้วหุ้มด้วยเปลือกจากไวรัสอีกตัว นำเข้าสู่ร่างกาย จัดเก็บในอุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส ถึงบอกกับประเทศไทยที่มีอากาศร้อน เทคโนโลยีนี้ มีบริษัทแอสตร้าเซเนก้า และสุปตนิคของรัสเซียที่ผลิต

3. เทคโนโลยีเชื้อตาย ที่มีการนำเชื้อไวรัสมาเพาะเลี้ยง ให้มีจำนวนมากขึ้น แล้วใส่สารบางอย่างให้เชื้อตาย ไม่มีคุณสมบัติก่อโรคได้อีก แล้วนำมาทำวัคซีน โดยเติมสารกระตุ้นภูมิต้านทาน ซึ่งเทคโนโลยีนี้ ใช้มานานทั้งวัคซีนพิษสุนัขบ้า โปลิโอ และตับอักเสบ ซึ่งวัคซีนนี้มีบริษัทชิโนแวคและชิโนฟาร์มจากประเทศจีน

‘บิ๊กตู่’ รับวัคซีนโควิดล็อตแรกเรียบร้อย ขอบคุณรัฐบาลจีน ช่วยไทยได้วัคซีนตามกำหนดเวลา วอนสังคมอย่านำวัคซีนมาเป็นปัญหาความขัดแย้ง ด้านรมว.ท่องเที่ยว เล็งใช้ 1 แสนโดส กระจาย 5 จังหวัดท่องเที่ยว ฟื้นความเชื่อมั่น

เมื่อวันที่ 24 ก.พ.พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวขอบคุณรัฐบาลจีน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ทำให้ไทยได้รับวัคซีนเป็นล็อตแรก ถือเป็นวันประวัติศาสตร์ของพวกเรา หลังจากนี้จะดำเนินการตามแผนกระจายฉีดวัคซีน

โดยจะเริ่มสามารถฉีดได้ในเดือนมีนาคม พร้อมกันนี้ ยังขอบคุณหน่วยงานส่วนราชการที่ช่วยแก้ปัญหาให้ไปเป็นจามขั้นตอนของไทย โดยไม่มีอะไรที่แก้ไขไม่ได้ แน่นนอนการทำงานเพื่อคนส่วนใหญ่ทั้งประเทศหลายล้านคน ย่อมมีปัญหา ต้องช่วยกันแก้ไขเพื่อความเข้าใจ พร้อมขอบคุณประเทศจีน ที่มาส่งวัคซีนล็อตแรกให้กับไทยในเดือนนี้ และจะได้ล็อตต่อไปตามแผนงาน

สำหรับการฉีดจะเป็นไปตามแผนงาน โดยจะเน้นพื้นที่และกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูง ยืนยัน วัคซีนได้มีการทดสอบคุณภาพมาแล้ว แต่จะต้องมีการดูแลเรื่องการขนย้ายด้วย

นายกรัฐมนตรี เปิดเผยด้วยว่า เป็นข่าวดี ที่วันนี้ไทยได้รับวัคซีน แอตตร้าเซเนก้า จึงไม่อยาก ให้นำปัญหาวัคซีน มาเป็นปัญหาความขัดแย้งกัน แต่อยากให้ มีความเป็นหนึ่งเดียวในการแก้ปัญหา

นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำขอบคุณรัฐบาลจีนที่ให้ความสำคัญ ในการเอาใจใส่ กับสิ่งที่รัฐบาลไทยได้ประสานไว้

ส่วนเรื่องที่ภาคเอกชนจะนำวัคซีนเข้ามาเอง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งอยากให้ทุกฝ่ายร่วมสร้างรอยยิ้ม รวมกันแก้ปัญหา ร่วมไทยสร้างชาติ และร่วมมือกันทำให้อาเซียนปลอดภัยจากโควิด และถึงแม้จะได้รับวัคซีน อย่าลืมที่จะป้องกันตนเอง ด้วยการสวมใส่หน้ากาก ตามมาตรการป้องกันของกระทรวงสาธารณสุข

ด้านอุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตจีน ประจำประเทศไทย กล่าวว่า นับเป็นความภาคภูมิใจ ในความร่วมมือระหว่างจีนและไทย ที่ทำให้สามารถขนส่งวัคซีนล็อตแรกจากจีนมาถึงไทยได้สำเร็จ ซึ่งเป็นประเทศแรกในอาเซียน ขณะที่ล็อตต่อๆ ไปจะทยอยส่งมาตามกำหนด

ทั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ไทย - จีน ที่มีมาช้านาน และสร้างอนาคตร่วมกัน โดยเชื่อมั่นว่าวัคซีนจะช่วยให้ประชาชนปลอดภัยจากโควิด-19 พร้อมขอบคุณหน่วยงานภาครัฐ - เอกชน ทั้งของไทยและจีน ที่ทำให้การขนส่งครั้งนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี ซึ่งจากความร่วมมือนี้จะทำให้สามารถเอาชนะโควิด-19 และฟื้นฟูเศรษฐกิจ รวมถึงสร้างรอยยิ้มให้คืนสู่ชาวไทยได้

ด้านนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ให้สัมภาษณ์ถึงการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มท่องเที่ยว ว่า วัคซีนล็อตแรกที่มาถึงประเทศไทยวันนี้ ส่วนหนึ่งจะจัดสรรให้กับโรงแรมที่เสนอตัวเป็นพื้นที่กักตัว เพื่อฉีดวัคซีนให้กับพนักงานต้อนรับทั้งหมดทุกคนในโรงแรม โดยจะกระจายไปให้กับ 5 จังหวัดท่องเที่ยว คือ เชียงใหม่ ชลบุรี ภูเก็ต กระบี่ และเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ในล็อตแรกและล็อตที่ 2 จังหวัดละหมื่นคน เท่ากับ 2 หมื่นโดส รวมทั้งหมด 1 แสนโดส เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยว

สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวจะต้องกักตัวในโรงแรมที่ใช้เป็นสถานที่กักตัว ตามที่เราเสนอ ศบค.และกระทรวงสาธารณสุขไปนั้น เมื่อนักท่องเที่ยวมาแล้วจะให้กักตัวในห้องพักเป็นเวลา 3 วัน หลังจากนั้นจะอนุญาตให้ออกมาอยู่ภายในบริเวณโรงแรมได้ แต่นักท่องเที่ยวต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของ ศบค.และ กระทรวงสาธารณสุขกำหนด

ผู้สื่อข่าวถามกรณีที่นายกรัฐมนตรี ระบุว่า จะให้นักท่องเที่ยวที่ได้รับวัคซีนเข้าประเทศโดยไม่ต้องกักตัว นายพิพัฒน์ กล่าวว่า "ต้องดูความเหมาะสม และต้องดูว่าภายในสิ้นปีนี้คนไทยจะได้วัคซีนเท่าไหร่ และต้องดูว่ากรมอนามัยได้ออกวัคซีนพาสปอร์ต ออกมาหรือยัง ถ้าออกมาและมีการรับรองแล้วก็ต้องนำเรื่องเสนอเข้าศบค. เพื่อพิจารณาว่ามีข้อขัดข้องหรือไม่ ซึ่งคาดว่าเรื่องนี้จะดำเนินได้ในช่วงไตรมาส 3"

จีนจะเคืองไหม? กลาโหมสหรัฐฯ​ สายตรง​ 'บิ๊กตู่'​ ย้ำยังแน่นสัมพันธ์และความร่วมมือทางการทหาร

ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะ รมว.กลาโหม ได้พูดคุยผ่านทางโทรศัพท์กับ Gen. Lloyd Austin รมว.กลาโหม สหรัฐอเมริกาคนใหม่ ในรัฐบาลของนายโจ ไบเดิน ประธานาธิบดี ถือเป็นตามธรรมเนียมทางการทูตทางทหารในการแนะนำตัวสร้างความคุ้นเคย เพื่อย้ำความสัมพันธ์ที่แนบแน่น พร้อมพูดถึงนโยบายของนายโจ ไบเดิน และความร่วมมือทางการทหาร

โดยมี พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล. รมช. กลาโหม พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกลาโหม และตัวแทน ผบ.เหล่าทัพ ผอ.สำนักนโยบายและแผนกลาโหม ร่วมหารือทางโทรศัพท์ด้วย

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้โทรศัพท์พูดคุยกับ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) เพื่อแนะนำตัวตามธรรมเนียม และตอกย้ำถึงนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐ มาแล้ว


เครดิตเพจ : https://www.thaipost.net/main/detail/94028

มติ ผู้บัญชาการเหล่าทัพ เห็นพ้องลดจำนวน ‘นายพล’ ปิดอัตราผู้ชำนาญการ - นายทหารปฏิบัติการ - ผู้ทรงคุณวุฒิฯ เริ่มโผโยกย้ายกลางปี คาดทุกเหล่าทัพ ลดได้ 5 - 10% พร้อมเดินหน้าอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เน้นผลิตเอง ลดการพึ่งพาต่างประเทศ

เมื่อวันที่ 24 ก.พ.ที่กองบัญชาการกองทัพเรือ (บก.ทร.) พล.อ. เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) เป็นประธานการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ครั้งที่ 3 ประจำปีงบประมาณ2564

โดยมี พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) พล.อ.อ.แอร์บูล สุทธิวรรณ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) พล.ต.อ. สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และพล.อ.ธีรวัฒน์ บุณยะวัฒน์รอง ผบ.ทบ. แทน พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ที่ติดภารกิจในการติดตามรับเสด็จเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ ที่ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ลพบุรี เข้าร่วม

โดยภายหลังการประชุม พล.ท. เชาวลิตร สังฆฤทธิ์ โฆษกกองทัพไทย กล่าวว่า พล.อ.เฉลิมพล ผบ.ทสส. ได้เน้นย้ำให้ทุกเหล่าทัพ - สตช. เพิ่มสมรรถนะ และ ขีดความสามารถของหน่วย ในการพึ่งพาตนเอง เพื่อลดการพึ่งพาต่างประเทศ และ อุตสาหกรรม ป้องกันประเทศ ตามนโยบายยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี นโยบายกลาโหม และ เตรียมกำลังพลให้พร้อมตามแผนป้องกันประเทศและการตั้งกองอำนวยการยุทธร่วมในทุกมิติให้ประสานสอดคล้องกัน และการติดตามสถานการณ์ภัยพิบัติร่วมกับส่วนราชการในพื้นที่ในการช่วยเหลือประชาชนและ ปลูกฝังวัฒนธรรมทัศนคติค่านิยมการเป็นทหารและตำรวจที่ดีของประชาชนมีระเบียบวินัยและรับผิดชอบต่อหน้าที่และปฏิบัติตามข้อบังคับ

ด้านพล.ต.ธีรพงศ์ ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา รองโฆษกกองทัพไทย กล่าวว่า ในการประชุมคณะผู้บัญชาการทหาร ว่า ได้หารือ เรื่องการปรับโครงสร้าง ระบบงานของ กองบัญชาการกองทัพไทย ตามแนวทางของกลาโหมหากได้รับภารกิจใหม่ จะให้หน่วยที่มีภารกิจใกล้เคียงกัน รับทำหน้าที่ไป และให้ยุบหน่วยที่ไม่จำเป็น

และให้ชะลอการตั้งหน่วยใหม่ ที่ผบ.หน่วยระดับ พลตรี พลเรือตรี พลอากาศตรี ขึ้นไปลดการแต่งตั้ง นายทหารปฏิบัติการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ชำนาญการ ผู้ทรงคุณวุฒิผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษอย่างเคร่งครัด เมื่อเกษียณราชการแล้วก็ไม่บรรจุเพิ่มที่คาดว่าจะสามารถลดจำนวน นายทหารชั้นนายพลได้ 5 - 10 %

ศาลอาญาสั่งจำคุกอ่วม!! แกนนำ กปปส. ชุมนุมขับไล่ รัฐบาล ‘ยิ่งลักษณ์’ สุเทพโดนคุก 5 ปี พุทธะอิสระโดนจำคุก 4 ปี 8 เดือน

ที่ห้องพิจารณา 704 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีกบฏ กปปส. ชุดใหญ่สำนวนหลัก หมายเลขดำ อ.247/2561 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส. กับพวกแกนนำและแนวร่วม กปปส. รวม 39 คน เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันเป็นกบฏ, ก่อการร้าย, ยุยงให้หยุดงานฯ, กระทำให้ปรากฏด้วยวาจาหรือวิธีการอื่นใดฯ ทำให้เกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องในราชอาณาจักรฯ, อั้งยี่, ซ่องโจร, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ทำให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองฯ, บุกรุกในเวลากลางคืนฯ และร่วมกันขัดขวางการเลือกตั้งฯ โดยนายสุเทพกับพวกจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี และได้รับการประกันตัวทุกคน

คดีนี้ อัยการโจทก์ระบุฟ้องพฤติการณ์ความผิดพวกจำเลยสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 23 พ.ย. 2556 - 1 พ.ค. 2557 ต่อเนื่องกัน นายสุเทพ จำเลยที่ 1 ได้จัดตั้งคณะบุคคล ชื่อ ‘คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข’ หรือกลุ่ม กปปส. มีนายสุเทพเป็นเลขาธิการ โดยร่วมกันมั่วสุมเป็นอั้งยี่ ซ่องโจร กองกำลังแบ่งหน้าที่กันกระทำก่อความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ฐานเป็นกบฏเพื่อล้มล้างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองทั้งอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ โดยร่วมกันยุยง ปลุกระดมให้ประชาชนทั่วประเทศกระด้างกระเดื่องร่วมชุมนุมขับไล่ ก่อความไม่สงบเพื่อขับไล่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) ให้ออกจากตำแหน่ง รวมทั้งขัดขวางการเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วไป เพื่อมิให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่เข้าบริหารประเทศ ให้ข้าราชการระดับสูงรายงานตัวกับกลุ่ม กปปส.

จากนั้น กปปส.จะแต่งตั้งคณะบุคคลเข้าบริหารประเทศเป็นรัฐบาลประชาชน เป็นรัฏฐาธิปัตย์ ซึ่งจะออกคำสั่งแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและ ครม. โดยจะนำรายชื่อขึ้นกราบบังคมทูลเอง รวมทั้งจัดตั้งกองกำลังส่วนหนึ่งพร้อมอาวุธเข้าไปบุกยึดสถานที่ราชการและหน่วยงานสำคัญต่างๆ หลายแห่ง เช่น ทำเนียบรัฐบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานเขตหลักสี่ ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (สนามกีฬาไทย - ญี่ปุ่น ดินแดง) เพื่อไม่ให้รัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินได้ รวมทั้งการปิดกั้น ขัดขวางเส้นทางคมนาคมขนส่ง เป็นเหตุให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน นอกจากนี้ ช่วงระหว่างวันที่ 13 ม.ค. - 2 มี.ค. 2557 พวกจำเลยได้บังอาจปิดกรุงเทพมหานครด้วยการตั้งเวทีปราศรัยทั่วกรุงเทพฯ รวม 7 จุด ปิดกั้นเส้นทางการจราจร จัดตั้งกองกำลังรักษาพื้นที่ วางเครื่องกีดขวาง ไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง การกระทำของพวกจำเลยล้วนไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 เพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงอำนาจบริหารตามรัฐธรรมนูญ เหตุเกิดในกรุงเทพมหานคร และอีกหลายท้องที่ทั่วราชอาณาจักรเกี่ยวพันกัน

โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษพวกจำเลยด้วย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113, 116, 117, 135/1, 209, 210, 215, 216, 362, 364, 365 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ.2550 มาตรา 76, 152

สำหรับรายชื่อจำเลยคดีนี้ทั้งหมด 39 คน เรียงลำดับ ประกอบด้วย 1.นายสุเทพ เทือกสุบรรณ 2.นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย 3.นายชุมพล จุลใส 4.นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ 5.นายอิสสระ สมชัย 6.นายวิทยา แก้วภราดัย 7.นายถาวร เสนเนียม 8.นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ 9.นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ 10.น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก 11.พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ 12.นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ 13.นายยศศักดิ์ โกไศยกานนท์ 14.นายถนอม อ่อนเกตุพล 15.นายสมศักดิ์ โกศัยสุข 16.นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรืออดีตพระพุทธะอิสระ 17.นายสาธิต เซกัลป์ 18.น.ส.รังสิมา รอดรัศมี 19.พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี 20.พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ

21.นายแก้วสรร อติโพธิ 22.นายไพบูลย์ นิติตะวัน 23.นายถวิล เปลี่ยนศรี 24.เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ 25.นายมั่นแม่น กะการดี 26.นายคมสัน ทองศิริ 27.พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ 28.นายพิภพ ธงไชย 29.นายสาวิทย์ แก้วหวาน 30.นายสุริยะใส กตะศิลา 31.นายสุริยันต์ ทองหนูเอียด 32.พ.ต.ท.ภัทรพงศ์ สุปิยะพาณิชย์ 33.นายสำราญ รอดเพชร 34.นายอมร อมรรัตนานนท์ 35.นายพิเชษฐ พัฒนโชติ 36.นายสมบูรณ์ ทองบุราณ 37.นายกิตติชัย ใสสะอาด 38.นางทยา ทีปสุวรรณ 39.นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง

วันนี้ นายสุเทพ เลขาธิการ กปปส. กับพวกจำเลยรวม 37 คน เดินทางมาศาล ส่วน พล.อ.ปรีชา จำเลยที่ 11 เสียชีวิตแล้ว ขณะที่ พ.ต.ท.ภัทรพงศ์ จำเลยที่ 32 ซึ่งถูกคุมขังในเรือนจำด้วยคดีอื่น ให้รับฟังคำพิพากษาผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปยังเรือนจำ ขณะที่บรรยากาศในศาล มีผู้ชุมนุมอดีต กปปส. จำนวนหนึ่ง มามอบดอกไม้ให้กำลังใจจำเลยคดี กปปส. พร้อมร่วมรับฟังคำพิพากษาผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ที่ศาลจัดแยกไว้ให้ที่ห้องพิจารณา 701 ด้วย ในส่วนการรักษาความปลอดภัย มีเจ้าพนักงานตำรวจศาล และเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.พหลโยธิน ร่วมกันดูแลความสงบเรียบร้อย

ศาลเริ่มอ่านคำพิพากษาเวลา 10.51 น. เสร็จสิ้นในเวลา 17.20 น. พิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบแล้ว มีผลพิพากษาจำคุกจำเลยสำคัญคือนายสุเทพ จำเลยที่ 1 จำคุก 5 ปี, นายชุมพล จำเลยที่ 3 จำคุก 9 ปี 24 เดือน, นายพุทธิพงษ์ จำเลยที่ 4 จำคุก 7 ปี, นายอิสสระ จำเลยที่ 5 จำคุก 7 ปี 16 เดือน, นายวิทยา จำเลยที่ 6 จำคุก 1 ปี ปรับ 13,333 บาท, นายถาวร จำเลยที่ 7 จำคุก 5 ปี, นายณัฏฐพล จำเลยที่ 8 จำคุก 6 ปี 16 เดือน, นายเอกนัฏ จำเลยที่ 9 จำคุก 1 ปี ปรับ 13,333 บาท และนายสุวิทย์ จำเลยที่ 16 จำคุก 4 ปี 8 เดือน เป็นต้น


ที่มา: https://mgronline.com/crime/detail/9640000018524

คณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เห็นชอบ ปรับอัตราเงินอุดหนุนรายบุคคลนักเรียนพิการภาคเอกชน 4,359 คน เพิ่มขึ้น 35% จากเดิม 16,552.50 - 35,932.50 บาท เพิ่มเป็น 32,540 - 51,935 บาท ขึ้นอยู่กับระดับการศึกษาและหลักสูตร

นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) ว่า ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบปรับอัตราเงินอุดหนุนรายบุคคลของนักเรียนพิการในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ที่เป็นโรงเรียนเอกชนประเภทอาชีวศึกษา

โดยแต่ละคนจะได้รับเงินอุดหนุนเพิ่มขึ้นจากเดิม 16,552.50 - 35,932.50 บาท เพิ่มเป็น 32,540 - 51,935 บาท ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับการศึกษา ประเภทการเรียนและหลักสูตรการเรียน ดังนั้น จึงคิดเป็นเงินอุดนหนุนที่เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 35 จากฐานเดิม ทั้งนี้ ในปัจจุบัน สช.มีนักเรียนพิการทั้งที่อยู่ในโรงเรียนการศึกษาพิเศษ และโรงเรียนสามัญทั่วไป จำนวน 4,359 คน โดยข้อมูลเงินอุดหนุนรายหัวนักเรียนพิการพบว่ามีการเบิกจ่ายงบประมาณเงินอุดหนุนรายบุคคลของนักเรียนพิการปีละประมาณ 100,613,194 บาท ซึ่งหากมีการปรับอัตราเงินอุดหนุนรายบุคคลของนักเรียนพิการตามที่เสนอขอก็จะต้องใช้จ่ายเงินเพิ่มขึ้นประมาณ 30 ล้านบาท

ขณะที่ในส่วนของโรงเรียนเอกชนประเภทอาชีวศึกษานั้น ข้อมูลเมื่อปี 2563 มีนักศึกษาพิการระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ได้รับเงินอุดหนุน รวม 342 คน เบิกจ่ายงบประมาณเงินอุดหนุนรายบุคคลของนักเรียนพิการปีละประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งหากมีการปรับอัตราเงินอุดหนุนรายบุคคลของนักเรียนพิการตามที่เสนอขอก็จะต้องใช้จ่ายเงินเพิ่มขึ้นประมาณ 7 ล้านบาท

“อย่างไรก็ตาม การปรับเพิ่มเงินงบประมาณดังกล่าวจะเป็นงบประมาณที่สามารถบริหารจัดการกับวงเงินงบทั้งหมดในภาพรวมของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ เรามองว่าหากไม่มีการปรับอัตราเงินอุดหนุนนี้อาจทำให้โรงเรียนเอกชนไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายการจัดการศึกษาพิเศษได้ ต้องหยุดกิจการงดรับนักเรียนพิการ อีกทั้งโรงเรียนการศึกษาพิเศษของรัฐก็จะต้องแบกรับภาระนักเรียนพิการมากขึ้น รวมถึงเกิดความเหลื่อมล้ำทางการเข้าถึงบริการสาธารณจากรัฐ และขาดการเสมอภาคในการรับการศึกษาที่มีคุณภาพสำหรับผู้พิการ” รมช.ศธ. กล่าว

‘วิษณุ เครืองาม’ ย้ำ 3 รมต. ที่ถูกตัดสินจำคุก หลุดเก้าอี้แล้ว เผย รมว.อิทธิพล รักษาการ ก.ดีอีเอส คุณหญิงกัลยา รักษาการ รมว.ศธ. ชี้ ต้องดูปมส.ส. ถูกจำคุกโดยหมายศาลหรือไม่ เหตุมีสิทธิกลับเข้าสภาได้ ชี้ นี่คือยาแรงของรัฐธรรมนูญ ปี 60

เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึง กรณีศาลอาญาพิพากษา จำคุกบุคคลที่เป็นรัฐมนตรี จึงต้องหลุดจากตำแหน่งทันทีใช่หรือไม่ ว่า เป็นธรรมดาที่ทราบกันอยู่แล้ว ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ชัด ในเรื่องของการพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีเฉพาะตัวตามตรา 170 ซึ่งตามรัฐธรรมนูญจะต้องโยงกับกฎหมายหลายมาตรา โดยม.170(4) ความเป็นระบุว่าความเป็นรัฐมนตรีย่อมสิ้นสุดลงตามเป็นการเฉพาะตัว เมื่อมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160(7) ที่ระบุถึง การต้องคำพิพากษาให้จำคุก ดังนั้นเมื่อศาลพิพากษาให้จำคุก ไม่ว่าจะถึงที่สุดหรือไม่แต่รัฐธรรมนูญให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง อย่างชัดเจน

ส่วนกรณีคนที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 101(13) โดยปกติหากศาลยังไม่ตัดสินถึงที่สุด ให้จำคุก ก็จะยังไม่พ้น แต่จะมีเหตุอื่นเข้ามา เช่นศาลสั่งเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง ก็จะโยงไปถึงการเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งมาตรา 96(2) ที่ระบุว่าหากเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ไม่ว่าคดีจะถึงที่สุดหรือไม่ ก็จะพ้นจากความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วย ส่วนบุคคลที่ศาลไม่ได้เพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง โดยหลักแล้วการจำคุกก็ยังไม่ถึงที่สุด สิทธิเลือกตั้ง ก็ไม่ถูกเพิกถอนจึงยังไม่พ้นจากความเป็นส.ส. แต่ก็มีเหตุอื่นแทรกเข้ามาอีกว่า หากถูกจำคุกตามคำพิพากษาของศาล และมีหมายของศาลให้จำคุกกรณี เช่นนั้นก็จะพ้นด้วย แต่ตนไม่ทราบว่าใครเข้าข่ายดังกล่าวบ้าง

ส่วนกรณีส.ส. บัญชีรายชื่อก็ต้องเลื่อนขึ้นมาตามลำดับ ซึ่งการเลื่อนช้าหรือเร็วนั้นจะมีผลต่อการประชุมสภาฯ เนื่องจากสภากำลังจะปิดสมัยประชุมและถ้าเลื่อนเร็ว ก็เข้ามาทำหน้าที่ได้เร็ว อย่างน้อยถ้าเปิดสมัยวิสามัญ ขึ้นมาพิจารณา รัฐธรรมนูญก็จะได้ทำหน้าที่ได้ แต่ถ้ายังไม่เลื่อนขึ้นมา ก็ยังไม่ถือเป็นส.ส. ส่วนส.ส. เขตก็ต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ หากกกต. สงสัยก็จะเหมือนกรณีของนายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช ที่ต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพราะเลือกตั้งเขตจะต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง ทั้งนี้กรณีของนายเทพไทก็ถือเป็นบรรทัดฐานไว้แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า สำหรับกรณีตำแหน่งรัฐมนตรีเมื่อว่างลง จำเป็นจะต้องรีบแต่งตั้งใหม่หรือ นายวิษณุ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ยากอะไร เนื่องจาก รมว.ศึกษาธิการ มีรัฐมนตรีช่วยอยู่ 2 คน ซึ่งครม. เคยมีมติไปแล้วว่าหากรัฐมนตรีว่าการไม่อยู่ ก็ให้รัฐมนตรีช่วย มารักษาการตามลำดับ ซึ่งกรณีนี้คือคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ขึ้นมารักษาการแทน

ส่วนกรณีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครม. เคยมีมติในเมื่อกระทรวงนี้ไม่มีรัฐมนตรีช่วย ก็ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรักษาการแทนเป็นอันดับแรก และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมรักษาการเป็นอันดับสอง ซึ่งในกรณีนี้รมว. วัฒนธรรมจะเป็นผู้รักษาการ จนกว่าเมื่อมีการประชุมคณะรัฐมนตรีแล้วนายกรัฐมนตรีอาจจะสั่งการเป็นอย่างอื่นได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พูดคุยและหารือถึงเรื่องดังกล่าวกับนายวิษณุหรือยัง นายวิษณุ กล่าวว่า ยังไม่ได้คุย

ผู้สื่อข่าวถามว่า เอกสิทธิ์ของผู้แทนราษฎรในสมัยประชุมสภา จะสามารถคุ้มครองผู้ที่เป็นส.ส. ได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า อย่าใช้ คำว่าเอกสิทธิ์ เนื่องจากมีเรื่องของเอกสิทธิ์ กับ ความคุ้มกัน คำว่าเอกสิทธิ์หมายถึงการพูดในสภาแล้วไม่ผิด คือเฉพาะ เรื่องการพูดเรื่องเดียวแต่ถ้าเป็นเหตุชกกัน ก็ไม่มีเอกสิทธิ์ ส่วน ความคุ้มกันหมายความว่า ในสมัยประชุมจะนำตัวไปดำเนินคดีอะไรไม่ได้ ถ้าปิดสมัยประชุมทำได้ ซึ่งความคุ้มกัน มีกระบวนการ ไม่ได้มาโดยอัตโนมัติ

เมื่อถามว่ากรณีที่ถูกจำคุก แล้วยังจะสามารถขอความคุ้มกันได้อยู่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ได้

เมื่อถามว่าการที่ผู้ถูกเข้าเรือนจำแล้ว จะถือว่าสิ้นสภาพความเป็นส.ส. เลยหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า เพียงเท่านั้นยังไม่ เพราะยังอยู่ระหว่างอุทธรณ์ และยังไม่ได้ถูกจำคุกโดยหมายของศาล

ผู้สื่อข่าวถามว่า คนที่เป็นส.ส. แล้วเข้าเรือนจำ ยังไม่ถือว่าสิ้นสภาพการเป็นส.ส. ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ตน ไม่แน่ใจว่าเป็นการถูกจำคุกโดยหมายของศาลหรือไม่ เพราะอาจเป็นการควบคุมตัวธรรมดา หากเขาอ้างความคุ้มกันขึ้นมาก็ต้องปล่อยตัว เพราะถือว่าอยู่ระหว่างการดำเนินการอุทธรณ์

เมื่อถามย้ำว่าหากเป็นการเข้าเรือนจำโดยหมายของศาล การคุ้มครองในฐานะของส.ส. ก็จะหมดไปเลยใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ใช่

ผู้สื่อข่าวถามว่า สำหรับกรณีของนางทยา ทีปสุวรรณ ที่ถูกตัดสินให้รอลงอาญา ในขณะที่มีคำสั่งเพิกถอนสิทธิทางการเมือง 5 ปี หากสุดท้ายศาลพิพากษาแก้ประเด็นการตัดสิทธิทางการเมือง นางทยา จะกลับมามีสิทธิทางการเมืองอีกได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ได้ แต่ในขณะนี้ กว่าถือว่าถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองจนกว่าศาลอุทธรณ์จะมีคำตัดสินเป็นอย่างอื่น

เมื่อถามว่าในกรณีที่คนเป็นส.ส. ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีเช่นกัน จะสามารถอุทธรณ์ในประเด็นถูกตัดสิทธิทางการเมืองได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า การเป็นส.ส.ขาดแล้วก็ขาดไป แต่เรื่องสิทธิทางการเมืองถ้าศาลพิพากษาว่าไม่เพิกถอนสิทธิทางการเมืองก็จะกลับมา นี่คือความรุนแรงของรัฐธรรมนูญในปัจจุบัน

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า แม้จะยื่นอุทรณ์แล้วสิทธิกลับมา แต่ไม่สามารถคืนสภาพส.ส.ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่าใช่ แม้กระทั่งรัฐมนตรีก็เช่นกัน ถูกจำคุกแต่ไม่ถึงที่สุดก็พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี ถ้าต่อมาศาลยกฟ้อง ไม่จำคุก ก็แปลว่าไม่จำคุกเท่านั้นแต่ความเป็นรัฐมนตรีจะ ไม่กลับมา นี่คือยาแรงของรัฐธรรมนูญ

ผู้สื่อข่าวถามว่าหากในอนาคต บุคคลเหล่านี้จะกลับมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ได้ เพราะต้องดูต่อไปว่า เมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ บุคคลเหล่านั้นจะมีสิทธิ์หรือไม่ เช่น กรณีเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หากศาลอุทธรณ์มีคำตัดสินว่าไม่ตัดสิทธิเลือกตั้ง ความเป็นส.ส. สิ้นสุดลงเวลานี้แต่สามารถสมัครในคราวหน้าได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top