Tuesday, 17 June 2025
Politics

‘บิ๊กป้อม’ ชี้ ปัญหาภัยแล้ง แก้ปัญหา - เตรียมรับมือแล้ว ถึงแม่น้ำโขงน้ำน้อยไม่หวั่น เร่งกระทรวงทรัพยากรฯ ศึกษาระบบนิเวศน์น้ำโขง ยันอีสานตอนล่างน้ำยังเพิ่ม แต่เชื่อรับมือภัยแล้งได้เหมือนที่ผ่านมา

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการแก้ปัญหาภัยแล้วว่า ได้มีการสั่งการให้แก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าวแล้ว รวมถึงมีการเตรียมการรับมือไว้พร้อมแล้ว แม้ว่าแม่น้ำโขงมีน้ำน้อย แต่มีการเตรียมการไว้แล้ว

และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำลังศึกษาระบบนิเวศของแม่น้ำโขงที่เปลี่ยนไป ยืนยันว่าไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามในส่วนของพื้นที่ภาคอีสานตอนล่างมีน้ำเพิ่มมากขึ้น ยืนยันปีนี้รับมือภัยแล้งได้เหมือนปีที่ผ่านมา

กรมจัดหางานจับจริง!! หลังเปิดให้นายจ้างยื่นบัญชีรายชื่อแรงงานต่างด้าวออนไลน์ 3 สัญชาติ ‘กัมพูชา - ลาว - เมียนมา’ ให้ทำงานและอยู่ในไทยเป็นกรณีพิเศษ หากพบฝ่าฝืนจ้างโดยไม่มีใบอนุญาติ มีโทษทั้งจำทั้งปรับ

นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น มุ่งแก้ปัญหาแรงงานต่างด้าว ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่ เพื่อบริหารจัดการให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ได้อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หลีกเลี่ยงปัญหาขาดแคลนแรงงาน และสามารถตรวจสอบควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานต่างด้าวได้อย่างเป็นระบบ

ตามนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และความปลอดภัยด้านสุขภาพของประชาชน โดยเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา ได้สิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการยื่นบัญชีรายชื่อและแจ้งข้อมูลบุคคลผ่านระบบออนไลน์ กับกระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกแล้ว ปรากฏว่า…

...มีคนต่างด้าว 3 สัญชาติมาขึ้นทะเบียนทั้งสิ้น 654,864 คน แบ่งเป็น กรณีคนต่างด้าวที่มีนายจ้าง ซึ่งมีนายจ้างยื่นบัญชีรายชื่อฯ จำนวน 133,910 ราย เป็นคนต่างด้าว 596,502 คน แยกเป็น สัญชาติกัมพูชา 180,476 คน ลาว 63,482 คน และเมียนมา 352,544 คน

ขณะที่กรณีคนต่างด้าวที่ยังไม่มีนายจ้าง มีคนต่างด้าวแจ้งข้อมูลบุคคล 58,362 คน แยกเป็น สัญชาติกัมพูชา 23,203 คน ลาว 3,626 คน และเมียนมา 31,533 คน

อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้สั่งการสำนักงานจัดหางานพื้นที่กรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด ให้มีการประชาสัมพันธ์ขั้นตอนการดำเนินการตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ในทุกช่องทางมาโดยตลอด เพื่อให้นายจ้าง สถานประกอบการ และแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติที่ยังไม่มีนายจ้างทราบแนวทางการดำเนินการ ตลอดจนบทลงโทษ หากไม่ดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หลังจากนี้เจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางาน และเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงจะดำเนินการตรวจสอบและกำกับดูแลการทำงานของคนต่างด้าวอย่างเข้มงวด

ทั้งนี้หากตรวจพบการฝ่าฝืนกฎหมาย นายจ้างที่จ้างคนต่างด้าวโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 - 100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 - 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี และคนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ จะมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท และถูกผลักดันส่งกลับ

“สำหรับนายจ้าง สถานประกอบการ และคนต่างด้าวที่ยื่นบัญชีรายชื่อตามขั้นตอนที่ 1 แล้ว ต้องดำเนินการ ดังนี้

1.) กรณีคนต่างด้าวที่มีนายจ้าง คนต่างด้าวต้องเข้ารับการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 และจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล ภายในวันที่ 16 เม.ย.64 ตรวจโรคต้องห้าม 6 โรค ภายในวันที่ 18 ต.ค.64 จากนั้น สธ.ส่งผลการตรวจโรค และ ตม.ส่งข้อมูลการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล ให้กกจ.ออกใบอนุญาตทำงานต่อไป นายจ้างชำระเงินค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส หรือ ธนาคารกรุงไทย และยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าวผ่านระบบออนไลน์ e-workpermit.doe.go.th โดยแนบใบรับรองแพทย์และหลักฐานการชำระเงิน ภายในวันที่ 16 มิ.ย.64 และนายจ้างพาคนต่างด้าวไปขอจัดทำทะเบียนประวัติ (ทร.38/1) และรับบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ณ สถานที่ ที่กรมการปกครอง กรุงเทพฯ กำหนด ภายใน 30 ธ.ค. 64

2.) กรณีคนต่างด้าวที่ยังไม่มีนายจ้าง คนต่างด้าวต้องเข้ารับการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 และจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล ภายในวันที่ 16 เม.ย.64 ตรวจโรคต้องห้าม 6 โรค ภายในวันที่ 18 ต.ค.64 คนต่างด้าวที่ผ่านการตรวจโรค ไปขอจัดทำทะเบียนประวัติ (ทร.38/1) ณ สถานที่ ที่กรมการปกครอง กรุงเทพฯ กำหนดภายในวันที่ 16 มิ.ย.64 นายจ้างที่ประสงค์จ้างคนต่างด้าวที่จัดทำทะเบียนประวัติ (ทร.38/1) เข้าทำงาน ยื่นบัญชีรายชื่อคนต่างด้าว

ผ่านระบบออนไลน์ e-workpermit.doe.go.th ชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส หรือ ธนาคารกรุงไทย และยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าวผ่านระบบออนไลน์ e-workpermit.doe.go.th โดยแนบใบรับรองแพทย์ และหลักฐานการชำระเงิน ภายใน 13 ก.ย.64 และนายจ้างพาคนต่างด้าวไปปรับปรุงทะเบียนประวัติ และรับบัตรประจำตัวคนที่ไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ณ สถานที่ ที่กรมการปกครอง/กรุงเทพฯ กำหนดภายใน 28 ก.พ. 65 กรณีคนต่างด้าวทำงานในกิจการประมงทะเลต้องไปยื่นขอทำหนังสือคนประจำเรือ ณ ที่กรมประมงกำหนด เป็นขั้นตอนสุดท้าย ” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว

ทั้งนี้ นายจ้าง สถานประกอบการ และคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ

แรมโบ้ ป้องบิ๊กตู่ ปมฉีดวัคซีน จวก โอ๊ค คงว่างมาก หรือ กินยาผิดขนาด จนมึนเมายา

เมื่อวันที่ 23 ก.พ. นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงนายพานทองแท้ ชินวัตร โพสต์แสดงความเห็นเรื่องวัคซีนโควิด-19 ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่ควรรีบร้อนฉีดเป็นคนแรก ผู้นำประเทศควรเสียสละ ฉีดเป็นคนสุดท้ายไม่ใช่เอาตัวรอด ว่า ในคำให้สัมภาษณ์ของนายกฯ ที่บอกว่าพร้อมฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 คนแรกถ้าฉีดได้ ซึ่งก็หมายความว่าจะต้องเป็นไปตามขั้นตอน หลักเกณฑ์ต่างๆ

นายสุภรณ์ กล่าวว่า นายกฯ ให้สัมภาษณ์เช่นนั้น ก็เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ว่าวัคซีนที่นำเข้ามานั้นมีความปลอดภัย เนื่องจากที่ผ่านมายังมีประชาชนบางส่วน ยังมีความกังวลในเรื่องของความไม่ปลอดภัยหากจะฉีดวัคซีนโควิด-19 ขณะที่ในบางประเทศผู้นำได้มีการฉีดวัคซีนเข็มแรกเช่นกัน เพราะว่าต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในประเทศ

นายสุภรณ์ กล่าวว่า นายกฯ มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหา และให้ความสำคัญกับประชาชนก่อน เพื่อต้องการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ให้ประชาชนมีความปลอดภัยสูงสุดในการที่จะได้รับวัคซีน ยืนยันนายกฯ ไม่เคยคิดที่จะเอาตัวรอด หรือเอาเปรียบใคร โดยที่ผ่านมาก็ได้ทำงานอย่างหนักเพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิด-19 จนสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลง อีกทั้งยังเร่งจัดหาวัคซีนให้คนไทยโดยเร็วที่สุด แต่ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนที่มีอยู่

นายสุภรณ์ กล่าวว่า คนที่เป็นผู้นำประเทศเขาก็คิดเช่นนี้ คิดถึงประชาชนก่อน ซึ่งคนอย่างนายพานทองแท้ แม้จะเกิดมาเป็นลูกและหลานของอดีตผู้นำก็คงไม่เข้าใจเรื่องนี้ เพราะพ่อและอา ของนายพานทองแท้ตอนเป็นผู้นำประเทศไม่เคยคิดถึงใคร คิดถึงแต่ผลประโยชน์ตัวเองมากกว่า ซึ่งหากนายพานทองแท้ ยังไม่เข้าใจการทำงานของนายกฯ ก็ไม่ควรที่จะออกมาวิพากษ์วิจารณ์ให้ประชาชนเข้าใจในตัวนายกฯ ผิดไป และทำลายบรรยากาศบ้านเมืองในขณะนี้

"ช่วงนี้นายพานทองแท้ คงว่างมาก หรือไม่ก็คงกินยาผิดขนาดจนมึนเมายาหรือเปล่า จึงได้ออกมาแขวะนายกฯ บ่อยๆ สงสัยว่ากลัวคนไทยจะลืมพ่อและอาที่ทิ้งปัญหาอะไรไว้ให้กับประชาชน แม้แต่ชาวนาก็ไม่ละเว้น ถ้าขืนออกมาปั่นกระแสให้ตัวเองบ่อยๆเช่นนี้คงไม่เป็นผลดี เพราะคนที่เจ็บปวดและทุกข์ใจที่สุดคงไม่พ้นคุณพ่อและคุณอา ที่จะต้องถูกคนไทยขุดเรื่องราวการทุจริตในอดีตขึ้นมาพูดและสาปแช่งอีกต่างหาก ถ้าสงสารคุณพ่อและคุณอาก็ควรจะหยุดวาทะกรรมใส่ความคนอื่นได้แล้ว เพราะยิ่งพูดยิ่งทำให้คนไทยลืมวีรกรรมอัปยศที่ได้กระทำไว้กับประเทศไทย และคนไทยของอดีตผู้นำประเทศทั้งสองคนไม่ได้เลย" นายสุภรณ์ กล่าว

สาธารณสุข จัดงานใหญ่ ‘กัญชากัญชง 360 องศา เพื่อประชาชน’ ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล จ.บุรีรัมย์ 5 - 7 มีนาคมนี้

นายเเพทย์กิตติ โล่สุวรรณรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันกัญชาทางการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 5-7 มีนาคม 2564 เวลา 10.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะเป็นประธานเปิดงาน มหกรรมกัญชงกัญชา 360 องศา เพื่อประชาชน ณ สนามช้างอินเตอร์เนชั่นเเนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ภายในงานประกอบไปด้วย นิทรรศการทีชีวิตกับกัญชาเเละกัญชง 360 องศาเพื่อประชาชน เปิดตำรับยา อาหาร เวชสำอาง ก้าวเเรกกัญชาจากการคลายล็อก

ผอ.สถาบันกัญชาทางการแพทย์ กล่าวว่า การเสวนากัญชากัญชง กับวิทยากรที่ดีสุดของประเทศ อาทิ กฎหมายยาเสพติดกับอนาคตประเทศไทย ซึ่งมี ดร.ภก.อนันต์ชัย อัศวเมฆิน ผู้ค่ำหวอดในเรื่องกัญชา คณะที่ปรึกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารสุข ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายกัญชาเสรีทางการเเพทย์,จากใต้ดินสู่บนดินโดยหมอเดชา ศิริภัทร มูลนิธิข้าวขวัญ ,ประโยชน์เเละการใช้สารสกัดกัญชาทางการเเพทย์ โดยศาสตราจารย์นายเเพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ,กัญชากับการรักษาโรคมะเร็ง โดย นายเเพทย์อิสระ เจียวิริยบุญญา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานี,เทคนิคการใช้กัญชารักษาโรคให้ได้ผล : ประสบการณ์การรักษาคนไข้ห่างหายโรคด้วยกัญชา โดยเเพทย์หญิงจินตนา มโนรมย์ภัทรสาร สวัสดีคลีนิคเวชกรรม

นายเเพทย์กิตติ กล่าวอีกว่า นอกจากเรื่องการขออนุญาตปลูก ครอบครอง งานนี้เราได้ท่าน เภสัชกรหญิงสุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารเเละยา จะร่วมสัมมนาเรื่อง การกำกับดูแล การนำกัญชงเเละกัญชงไปใช้ประโยชน์ภายใต้กฎหมายใหม่ และสถาบันกัญชาทางการเเพทย์ จะบอกขอบเขตการทำงานที่ชัดเจนเดี่ยวกับกัญชงเเละกัญชา

ภายในงานยังประกอบไปด้วย จุดรับบริการตรวจรักษาฟรีที่คลีนิคกัญชาทางการเเพทย์เเบบบูรณากา รวมไปถึงการนำนวัตกรรมกัญชงสร้างมูลค่าด้วยภูมิปัญญาคนไทย ที่สำคัญที่การจัดเเสดงสินค้าผลิตภัณฑ์กัญชากัญชงจากวิสาหกิจชุมชนทั่วประเทศ ที่สำคัญได้เรียนรู้เพื่อต่อยอดกับเวิร์กชอป กัญชากัญชง ฟรีทุกวัน ผู้เข้าร่วมงานสามารถลงทะเบียน ได้ที่ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSfes9QVflgacM1iTVPp5bAIA-c2-aLNdwqIwIffv1rWiNbAfQ/viewform?fbclid=IwAR3tgN_AbWFL1tw-voHxNIfH0wzEzc7PLbnuxfZAmti6tCtbyFIRwgZe2gM

“วันที่ 5-7 มีนาคม 2564 รับรองว่าเป็นการเปิดโลกใหม่ในเรื่องกัญชงเเละกัญชาในประเทศไทยเเน่นอน และงานนี้ไม่ควรพลาด” นายเเพทย์กิตติ กล่าวทิ้งท้าย

'บิ๊กตู่' เดือดหลังถูกถามเรื่อง ‘ทักษิณ’ เล่นคลับเฮ้าส์ ซัดกลับชอบฟังกันนักคนผิดกฎหมายให้เครดิตกันอยู่ได้ พร้อมย้ำไม่สนใจ ใช้เป็นช่องทางสื่อสารใหม่ เหตุไม่มีเวลา

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 23 ก.พ. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว. กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จะพิจารณาหรือทดลองเล่นแอปพลิเคชันคลับเฮาส์ (Clubhouse) หรือไม่ เพราะจะได้เป็นอีกหนึ่งช่องทางเพิ่มการสื่อสาร หลังจากที่เมื่อวานนี้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ได้เข้ามาเล่นเป็นครั้งแรก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่มีเวลาขนาดนั้น แต่ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตาม ซึ่งเป็นการติดตามในกรอบของกฎหมาย ในเมื่อทุกคนเข้าไปฟังได้ก็ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปฟังได้ เพื่อที่จะได้ชี้แจงให้ถูกต้อง กรณีที่มีการบิดเบือน เรื่องนี้สุดแล้วแต่ประชาชนว่าจะอย่างไร ใครจะเข้ามาพูดก็แล้วแต่ ตนถือว่าวันนี้เป็นเรื่องของโลกใบใหม่ โลกยุคใหม่

"เราต้องดูว่าเรื่องอะไรที่ทำให้บ้านเมืองเราสงบสุข มีเสถียรภาพ ไม่งั้นก็วุ่นวายไปหมด สับสนอลหม่านไปหมดประชาชนก็เสียขวัญ ต้องนึกถึงประชาชนเขาบ้าง เขาจะเสียผลประโยชน์อย่างไรกับการกระทำที่ไม่ถูกต้องของท่าน นั่นคือสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ ที่เป็นของปวงชนชาวไทย ไม่ใช่ของประชาชนปวงชนคือคนทั้งหมดของประเทศ เป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้"พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ทั้งนี้ ในช่วงท้ายนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คำถามที่เป็นกระพี้ขอให้ลดลงหน่อยก็แล้วกัน กระพี้ที่เป็นเปลือกนอกของต้นไม้ แก่นมันอยู่ตรงไหนถามตรงแก่นตรงนั้น และอะไรที่สร้างความขัดแย้งโดยที่ไม่ใช้ข้อเท็จจริงขยายความไปก็เท่านั้น ซึ่งอยู่ที่กระบวนการตรวจสอบได้ทั้งหมดอยู่แล้ว ซึ่งบางเรื่องไม่ใช่จะต้องทันทีเพราะบางทีปัญหาซับซ้อน แต่อย่าทำบ้านเมืองไม่สงบก็แล้วกัน ตราบใดที่ยังไม่ใช่ข้อเท็จจริงต้องมีการตรวจสอบทุกเรื่อง

อย่างไรก็ตามภายหลังการแถลงระหว่างเดินกลับขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า เมื่อสื่อมวลชนถามว่าที่นายทักษิณ พูดในแอปพลิเคชันคลับเฮ้าท์เมื่อคืนที่ผ่านมา (22 ก.พ.) มีการบิดเบือนหรือไม่ และนายทักษิณ ยังถามด้วยว่า ทำไมเวลาเอ่ยชื่อตนถึงต้องโมโห ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ผมไม่ได้ฟัง ต้องไปถามเขาดู คนผิดกฎหมายอยู่ต่างประเทศ ฉันจะฟังทำไมเล่า ชอบฟังนักนะ ไอ้คนผิดกฎหมายเนี่ย ทำลายกฎหมาย ให้เครดิตกันอยู่ได้"

ทั้งนี้ ระหว่างที่ พล.อ.ประยุทธ์เดินกลับขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า ได้ชี้ไปยังต้นอโศกน้ำ เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามถามถึงเรื่องนายทักษิณ โดยกล่าวว่า "นี่แหละกระพี้ กระพี้ นี่เปลือกกระพี้นี่ไง"

อย่างไรก็ตาม ในการให้สัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรีในวันเดียวกันนี้ได้พูดคำว่า "กระพี้" อยู่หลายครั้ง ซึ่งกระพี้นั้นหมายถึง ส่วนของเนื้อไม้ที่หุ้มแก่น, เนื้อไม้ที่อยู่ระหว่างเปลือกกับแก่นมีลักษณะอ่อนและยุ่ยง่าย ในอีกทางหนึ่งหมายความว่า ไม่เป็นแก่นสาร

อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมฉีดวัคซีนให้กับคนไทย เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 64

‘ดราม่าวัคซีน’ ทำให้ไทยได้วัคซีนช้า!!! ‘อนุทิน’ เผย วัคซีนถึงไทย พรุ่งนี้ 2 ยี่ห้อ ให้ ‘บิ๊กตู่’ ฉีดยี่ห้อ แอสตร้าเซนเนก้า เป็นวัคซีนป้องกันโควิดเข็มแรกของไทย

เมื่อเวลา 14.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์ ถึงการเตรียมการฉีดวัคซีนให้กับคนไทย ว่า เรื่องนี้ต้องให้นายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะ ประธานคณะอนุกรรมการ อำนวยการบริหารจัดการให้วัคซีนป้องกัน โควิด-19 เป็นคนชี้แจงจะดีที่สุด โดยสื่อมวลชนจะต้องติดตามการแถลง ของนายแพทย์โสภณเป็นหลัก

ผู้สื่อข่าวถามว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะสามารถฉีดวัคซีนเป็นเข็มแรกของประเทศไทยเลยได้ใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า "ได้ นายกฯ ต้องเป็นเข็มแรกเพราะเป็นผู้นำประเทศ ซึ่งต้องมีกระบวนการประเมินความเสี่ยงโดยกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นขั้นตอนตามวิธีการสากลไม่ใช่วิธีปฏิบัติต่อบุคคลใดเป็นพิเศษ ทั้งนี้ นายกจะได้รับวัคซีนที่ไม่มีข้อจำกัดเรื่องอายุ คือ ไม่ใช่ซิโนแวค เพราะซิโนแวคมีข้อจำกัดเรื่องอายุ แต่เป็นอีกยี่ห้อหนึ่ง คือ แอสตร้าเซนเนก้า โดยผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนเป็นผู้จัดหามาให้ก่อน ส่วนจะฉีดเมื่อไหร่นั้น ต้องรอให้นายแพทย์โสภณเป็นผู้ชี้แจงรายละเอียด และเมื่อนายกรัฐมนตรีฉีดวัคซีนแล้วก็สามารถปฏิบัติงานในหน้าที่ได้ตามปกติ

ผู้สื่อข่าวถามว่าส่วนนายอนุทินเองจะเป็นคนฉีดเข็มที่สองของประเทศไทยใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ถ้าเขาให้ฉีด เพราะคนที่ฉีดซิโนแวค หมายความว่าเป็นคนหนุ่ม คืออายุไม่เกิน 60 ปี

นายอนุทิน กล่าวว่า วัคซีนทั้งสองยี่ห้อคือ แอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 117,000 โดส และ ซิโนแวค จะเดินทางมาถึงประเทศไทย ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้ และความจริงถ้าไม่มีดราม่าเกิดขึ้นกันมากวัคซีนก็จะมาถึงประเทศไทยก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนการเว้นระยะฉีดระหว่างเข็มแรกกับเข็มที่สองนั้นของซิโนแวค จะต้องเว้นห่างกัน 14-28 วัน ส่วน แอสตร้าเซนเนก้า เว้นห่างกัน ประมาณ 6 สัปดาห์ ทั้งนี้ รายละเอียดทางวิชาการตนอาจจะระบุรายละเอียดไม่ได้มากนัก เพราะเป็นแผนกสนับสนุน ให้เกิดความสำเร็จ

ผู้สื่อข่าวถามว่ายืนยันจะเริ่มต้นฉีดให้กับพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงก่อน ใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า การฉีดวัคซีนจะเริ่มต้นที่สถานพยาบาลก่อน เนื่องจากเป็นวัคซีนใหม่ ทางกรมควบคุมโรค จะต้องมีความมั่นใจว่าจะทำให้เกิดความปลอดภัย สูงสุดกับประชาชน โดยจะต้องสังเกตอาการภายหลังฉีดวัคซีน 30 นาที จากนั้นกระทรวงสาธารณสุขและสถานพยาบาลต่างๆจะให้ยาแก้แพ้ ให้ตามอาการจากเบาไปหาหนัก ซึ่งเชื่อว่าไม่มีอะไรมากมาย

‘พ่อมดดำ’ เตือนพรรคการเมืองคิดให้ดีก่อนเช็คบิล ส.ส.แหกมติ ชี้ รัฐธรรมนูญให้เอกสิทธิ์ - อิสระ หากด่วนลงดาบอาจขัดรัฐธรรมนูญถึงขั้นถูกยุบพรรคได้ หวังป้องกันระบบ ‘ใบสั่ง’ แต่ถ้าส.ส.สวนมติพรรคแลกผลประโยชน์ สมควรถูกประณาม - ลงโทษ

นายสุชาติ ตันเจริญ ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 กล่าวถึงกรณี ส.ส.ลงมติในญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคลไม่เป็นไปตามมติพรรค และแต่ละพรรคมีการตั้งกรรมการสอบสวนว่า

ประเด็นนี้ไม่ควรมองในมิติเสถียรภาพของรัฐบาล ความเป็นเอกภาพของฝ่ายค้าน หรือมารยาททางการเมืองเพียงอย่างเดียว จำเป็นต้องมองในมุมของหลักการ และเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญต่อการทำหน้าที่ของ ส.ส.ด้วย

เพราะรัฐธรรมนูญ 2560 ได้บัญญัติเกี่ยวกับความเป็นอิสระ และเอกสิทธิ์ของ ส.ส.ไว้ในหลายส่วน อาทิ มาตรา 114 ที่ระบุว่า ส.ส.ย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงําใดๆ ขณะที่มาตรา 124 ก็ระบุว่า ในที่ประชุมสภาฯ ที่ประชุมวุฒิสภา หรือที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา สมาชิกผู้ใดจะออกเสียงลงคะแนน ย่อมเป็นเอกสิทธิ์โดยเด็ดขาด ตลอดจนข้อบังคับสภาฯ ข้อที่ 178 วรรคหนึ่ง ได้กำหนดไว้สอดคล้องกัน คือ ทั้งในการอภิปราย หรือการลงมติ สมาชิกของพรรคการเมืองย่อมมีอิสระ ไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงำใดๆ เพื่อเป็นหลักประกันในการทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนของปวงชนชาวไทย ที่ต้องมีอิสระ

“การลงมติใด ๆ ของ ส.ส.แต่ละคนย่อมเป็นเอกสิทธิ์ของ ส.ส.ผู้นั้นที่จะไม่อยู่ในอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงำใดๆ ตามที่รัฐธรรมนูญและข้อบังคับสภาฯ ได้บัญญัติรองรับไว้อย่างชัดเจนว่า ส.ส.ย่อมอยู่ภายใต้หลักของการทำหน้าที่ด้วยความเป็นอิสระเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ซึ่งเป็นหลักการทั่วไปของการปกครองระบอบประชาธิปไตย” นายสุชาติ กล่าว

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า การดำเนินการของพรรคการเมืองเพื่อสอบสวน ส.ส.ที่ไม่ลงมติตามมติพรรคนั้นสามารถกระทำได้ภายใต้ข้อบังคับของพรรคการเมืองนั้นๆ เพื่อแสวงหาเหตุผลที่ ส.ส.ไม่ปฏิบัติตามมติพรรค และนำไปชี้แจงต่อประชาชน รวมทั้งผู้ที่ได้รับผลกระทบ ในกรณีฝ่ายรัฐบาล อาจจะเป็นเพราะรัฐมนตรีผู้นั้นชี้แจงข้อกล่าวหาได้ไม่ชัดเจน ซึ่งก็ต้องเป็นรัฐมนตรี หรือพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล ต้องดำเนินการชี้แจงเพิ่มเติม ส่วนส.ส.ฝ่ายค้านก็อาจมองรัฐมนตรีชี้แจงได้ชัดเจนดีแล้วจึงลงมติไว้วางใจให้ เป็นต้น

ส่วนการจะสอบสวนเพื่อนำไปสู่การลงโทษ ซึ่งข้อบังคับของแต่ละพรรคกำหนดโทษสูงสุดถึงขั้นขับออกจากพรรคนั้น ควรต้องพึงระวังว่าอาจจะขัดต่อพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 เข้าข่ายการกระทำที่ไม่เป็นไปตามที่รัฐธรมนูญกำหนด หรือเป็นลักษณะที่ยินยอมให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมของพรรคการเมืองหรือไม่ ตัวอย่างเช่น หากใช้เหตุผลว่าพรรคร่วมรัฐบาลไม่พอใจ แล้วมาสอบสวนหรือลงโทษ ส.ส.ที่สังกัดพรรคตัวเอง อาจเข้าข่ายคนนอกครอบงำ เป็นเหตุให้นำไปสู่การร้องขอให้ยุบพรรคการเมืองนั้นได้

นายสุชาติ กล่าวอีกว่า ในฐานะที่ตนอยู่ในระบบพรรคการเมืองมาตลอด เข้าใจดีถึงความสำคัญของความเป็นเอกภาพของพรรคการเมือง ยืนยันว่าไม่ได้ต้องการให้ท้ายหรือสนับสนุนให้ ส.ส.แหกมติพรรค แต่ต้องไม่ลืมว่า มติพรรคไม่ได้มีสภาพบังคับตามกฎหมาย เป็นเพียงธรรมเนียมปฏิบัติเพื่อรักษาความเป็นเอกภาพของพรรค แต่เมื่อรัฐธรรมนูญกำหนดไว้เช่นนี้พรรคต้นสังกัดก็ย่อมต้องให้เกียรติวิจารณญาณของ ส.ส.ด้วยเช่นกัน แม้ ส.ส.จะต้องสังกัดพรรคการเมือง และอยู่ภายใต้ข้อบังคับของพรรคการเมือง แต่ก็ไม่มีกฎหมายใดจะอยู่เหนือรัฐธรรมนูญที่ให้อิสระไว้ได้ อีกทั้งการยึดติดให้ ส.ส.ต้องปฏิบัติตามมติพรรคอย่างเคร่งครัดก็อาจนำไปสู่ระบบใบสั่ง ทำให้ ส.ส.ที่เป็นตัวแทนของประชาชน ไม่มีเสรีภาพในการออกเสียงอย่างเป็นอิสระ ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ

“ผมเห็นว่าการลงมติไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจฯของ ส.ส.เป็นวิจารณญาณของผู้นั้นที่จะตัดสินใจได้โดยอิสระ แต่ในทางกลับกันหากการลงมติของ ส.ส.ผู้นั้นไม่เป็นไปตามมติพรรค เพียงเพื่อแลกรับผลประโยชน์ต่างตอบแทนใดๆ หรือมีวาระส่วนตัวซ่อนเร้น ก็เป็นเรื่องที่ควรต้องถูกประณามและลงโทษในแง่จริยธรรมเช่นกัน หากชี้แจงไม่ได้หรือมีหลักฐานชัดเจน” นายสุชาติ กล่าว

นักร้อง นักแสดง นักเคลื่อนไหว “ทราย เจริญปุระ” โวยเพจบางเพจชำแหละการแต่งตัวของ “ไผ่ ดาวดิน” ใช้ของแบรนด์เนม ทั้งตัวรวมกว่า 4 หมื่น ระบุเป็นคนจัดแจงรองเท้าวิ่งให้เอง เซฟร่างกายระหว่างจัดกิจกรรมเดินจากโคราชถึงกรุงเทพฯ

อีกทั้งเสื้อผ้าส่วนใหญ่เน้นทน ถามสนอะไรกับของใช้ ราคาชีวิตที่จ่ายไปมีใครคิดบ้างไหม

วันนี้ (23 ก.พ.) เฟซบุ๊ก Inthira Charoenpura ของ น.ส.อินทิรา เจริญปุระ หรือทราย นักร้อง นักแสดง พิธีกร และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง โพสต์ข้อความถึงกรณีที่เฟซบุ๊กเพจแห่งหนึ่ง ออกมาชำแหละการแต่งกายของนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน แกนนำกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า คณะราษฎร 2563 ที่กำลังจัดกิจกรรมเดินทะลุฟ้า จากจังหวัดนครราชสีมาถึงกรุงเทพมหานคร ระยะทาง 247.5 กิโลเมตร ว่า

“เจอคอนเทนต์ราคาเสื้อไผ่กับอุปกรณ์งานเดินเข้าไปถึงกับเหม่อ นี่เคี่ยวเข็ญและขอร้องกันแทบตาย ว่าให้ใส่ ต้องใส่ รองเท้านี่คุณใส่รองเท้าเซฟร่างกายด้วยเถอะ ก็ยังจะดื้อบอกตอนเป็นพระผมก็เท้าเปล่าเดินได้ เดินไกลก็ใส่แตะเอา เลยต้องกางให้ดูว่าถ้าเจ็บ เข้าโรงพยาบาล มันไม่คุ้มไง หารระยะทางกับราคารองเท้าและค่าที่เราจะเซฟร่างกายได้ด้วยครับไผ่ แล้วเสื้อนี่ก็ใส่แล้วไผ่ก็ซักเอง ใครมันใส่เสื้อครั้งเดียวแล้วทิ้งวะ ข้าวของไผ่ส่วนใหญ่ก็เน้นทนนั่นแหละ เพราะพี่ก็ลุยจ๊างงงงง คนทำคอนเทนต์งี่เง่าแล้วก็เรื่องนึง คนเอาเรื่องนี้ไปเป็นสาระก็สิ้นสติกว่า จะบ้าตาย”

ทราย เจริญปุระ ยังย้ำอีกว่า “สนใจอะไรกับราคาของใช้ ราคาที่ไผ่ต้องจ่ายชีวิตไป ต้องประกันตัว เพราะออกมาเรียกร้อง ต้องติดคุกนี่มีใครคิดราคาบ้างมั้ย”

สำหรับเครื่องแต่งกายของนายจตุภัทร์ที่เฟซบุ๊กเพจแห่งหนึ่งออกมาชำแหละ ประกอบด้วย หมวก THE NORTH FACE ราคา 1,450 บาท, แว่น RAYBAN CLUBMASTER ราคา 6,350 บาท, เสื้อแจ็กเกต THE NORTH FACE ESSENTIAL H2O ราคา 4,375 บาท, เสื้อแขนกุด UNDER ARMOUR UA MENS BASELINE PERFORMANCE ราคา 1,812 บาท, นาฬิกา GARMIN INSTINCT ราคา 10,900 บาท, กางเกง NIKE FLEX STRIDE RUN DIVISION ราคา 1,900 บาท, กระเป๋า FREITAG F11 LASSIE ราคา 7,700 บาท และรองเท้า NIKE REACT INFINITY RUN FLYKNIT 2 ราคา 5,800 บาท รวมทั้งสิ้น 40,287 บาท ซึ่งออกมาโจมตีว่าการแต่งกายของนายจตุภัทร์ ล้วนแต่ใส่สินค้าแบรนด์เนม อาทิ แบรนด์กีฬาและการออกกำลังกายอย่าง NIKE และ UNDER ARMOUR หรือแบรนด์เสื้อผ้าสำหรับเดินป่าอย่าง THE NORTH FACE


ที่มา :

https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000017961

https://www.facebook.com/themettad/photos/a.899340993547876/1864291800386119/?type=3

https://www.facebook.com/anythingbutITR?fref=nf

https://www.facebook.com/themettad/photos/a.899340993547876/1864291800386119/?type=3

เคาะแล้ว ! บทลงโทษ 4 ส.ส.ก้าวไกล คณะกรรมการวินัยฯ เผย ผิดวินัยร้ายแรง ให้ตัดสิทธิพึงมีในฐานะสมาชิกพรรคการเมือง แจงชัดไม่ขับออกจากพรรค ดักทางการเมืองเก่ารอเก็บผลประโยชน์ ย้ำไม่อยากเตะหมูเข้าปากหมา

เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 64 ที่พรรคก้าวไกล มีการประชุมคณะกรรมการวินัยและจรรณยาบรรณสมาชิกพรรคก้าวไกล ครั้งที่ 2/64 โดย นายณัฐวุฒิ บัวประทุม รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ กล่าวว่า การประชุมในวันนี้เป็นวาระปกติ แต่ดังที่ทราบกันดีว่า ในการลงมติตามญัตติอภิปรายไม่ไว้วางในรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล มีสมาชิก 4 ท่าน ได้แก่ นายคารม พลพรกลาง , นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ , นายพีรเดช คำสมุทร และนายขวัญเลิศ พานิชมาท ได้ลงมติไว้วางใจ นายอนุทิน ชาญวีระกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีที่พรรคก้าวไกล เป็นผู้อภิปราย และเห็นสอดคล้องกันว่า นายอนุทิน เป็นผู้บริหารจัดการวัคซีนผิดพลาด เอาประชาชนไปกระจุกเสี่ยงจากวัคซีนแหล่งเดียว ไม่สนใจคำแนะนำของบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความรู้ความสามารถ ขาดความโปร่งใส ขัดขวางกลไกการตรวจสอบ ทั้งที่เงินทุกบาทที่ซื้อวัคซีนล้วนเป็นเงินภาษีที่มาจากหยาดเหงื่อแรงงานของประชาชน

และหากมีการฉีดวัคซีนล่าช้าจะส่งผลให้ปัญหาปากท้องลากยาวไม่จบสิ้น ประชาชนทุกข์ยากแสนสาหัส คนตกงาน สูญเสียอาชีพ รายได้ฝืดเคือง และทำมาหากินด้วยความยากลำบาก จึงทำให้ไม่อาจไว้วางใจได้ ซึ่งการลงมติไว้วางใจดังกล่าวยังขัดกับความรู้สึกของประชาชน สมาชิก และผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลจำนวนมาก จึงทำให้ต้องนำเอาพฤติการณ์ของสมาชิกทั้ง 4 คน เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการวินัยฯ ในครั้งนี้ด้วย

สำหรับผลการประชุม คณะกรรมการวินัยฯ ทั้ง 5 คน มีความเห็นในทิศทางเดียวกันว่า ภายหลังการลงมติดังกล่าว สมาชิกทั้ง 4 มีการให้ข้อมูลต่อสาธารณะและสื่อมวลชนเพิ่มเติมในหลายครั้งหลายวาระ ซึ่งจากการตรวจสอบรายละเอียดพบว่า มีข้อความหลายประการที่ส่งผลเสียหาย โดยเฉพาะต่ออุดมการณ์และแนวทางทำงานของพรรค นอกจากนี้ ยังพบว่า สมาชิกทั้ง 4 ได้ขาดการร่วมกิจกรรมต่างๆของพรรค รวมถึงขาดการเข้าร่วมประชุมพรรคอย่างต่อเนื่องและยาวนานพอสมควร ซึ่งทางพรรคมีข้อมูลหลักฐานที่บันทึกไว้อย่างชัดเจน โดยพฤติกรรมเหล่านี้เข้าข่ายผิดวินัยร้ายแรงตามข้อบังคับพรรค ข้อ 119 กล่าวคือ

หากเป็นการทำผิดวินัยทั่วไป คณะกรรมการวินัยฯ มีสิทธิลงโทษได้ 4 อย่าง ได้แก่ การตักเตือน การภาคทัณฑ์ การตัดสิทธิที่พึงมีในฐานะสมาชิกพรรคการเมือง และการให้พ้นสมาชิกภาพจากพรรคการเมือง ส่วนกรณีกระทำผิดวินัยร้ายแรง คณะกรรมการวินัยฯมีสิทธิลงโทษได้ 2 อย่างคือ การตัดสิทธิที่พึงมีในฐานะสมาชิกพรรคการเมือง และการให้พ้นสมาชิกภาพจากพรรคการเมือง

“สำหรับสมาชิกทั้ง 4 คน คณะกรรมการวินัย เห็นตรงกันว่า ให้ตัดสิทธิที่พึงมีในฐานะสมาชิกพรรคการเมือง ส่วนสาเหตุที่ไม่ตัดสินให้พ้นจากสมาชิกภาพพรรคการเมืองนั้น เหตุผลเป็นไปตามที่หัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคให้เหตุผลก่อนหน้านี้ คือเพื่อไม่ให้มีผลต่อสัดส่วนการทำงานต่าง ๆ ในการขับเคลื่อนทางการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรและเพื่อไม่ให้เป็นการเตะหมูเข้าปากหมาสมประโยชน์นักการเมืองและพรรคการเมืองที่กำลังทำการเมืองแบบเก่าและรอคอยอยู่” นายณัฐวุฒิ กล่าว

ทั้งนี้ รายละเอียดบทลงโทษ ในส่วนของพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรค รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า พรรคจะไม่ส่งสมาชิกทั้ง 4 ลงรับสมัครเลือกตั้งครั้งถัดไปและจะดำเนินการตามระเบียบพรรคเพื่อให้ถอด นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ ออกจากการเป็นรองเลขาธิการพรรค ซึ่งเป็นอำนาจเลขาธิการพรรคดำเนินการ

นอกจากนี้ พรรคก้าวไกล ไม่อนุญาตให้สมาชิกทั้ง 4 เข้าร่วมกิจกรรมและไม่อนุญาตให้ใช้ชื่อพรรคในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ทางการเมือง รวมถึงส่วนที่เป็นโควต้าเวลาของพรรคการเมือง เช่น การปรึกษาหารือ การตั้งกระทู้ถามสด การนั่งเป็นกรรมาธิการคณะต่าง ๆ หรือการอภิปรายในสัดส่วนโควต้าของพรรค พรรคขอตัดสิทธิในสัดส่วนเหล่านี้สำหรับสมาชิกทั้ง 4 และในฐานะรองหัวหน้าพรรค ขอเรียนว่าเพื่อให้การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรคดำเนินต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง พรรคจึงขอสงวนสิทธิในการส่ง ส.ส. หรือสมาชิกพรรคลงทำงานในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด เชียงราย และชลบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ของสมาชิกทั้ง 4 คนทันที

“ขอยืนยันอีกครั้งว่า การกระทำผิดดังกล่าว เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณะ มีความชัดเจน มีข้อมูล มีพยานหลักฐาน คณะกรรมการวินัยจึงของตัดสินโทษต่อสมาชิกทั้ง 4 ดังที่แจ้งไว้ต่อสื่อมวลชน” นายณัฐวุฒิ ระบุ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top