สถานการณ์โควิด - 19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564
สถานการณ์โควิด - 19 ประเทศไทยและอาเซียน
ประจำวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564

สถานการณ์โควิด - 19 ประเทศไทยและอาเซียน
ประจำวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564
ควันหลง หลังจากนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. โฆษกพรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยเปิดคลิปวิดีโอ อ้างว่า กองทัพปฏิบัติการไอโอ เพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามที่เห็นต่างทางการเมือง
ซึ่ง พรรคก้าวไกล ได้นำการอภิปรายของนายณัฐชา โพสต์เป็นคลิปพร้อมข้อความลงบนทวิตเตอร์ ระบุว่า "แหกแรกของวัน! @Nattacha_mfp เปิดคลิป #คอนคอล ของทีม IO กองทัพ เรียกคนในประเทศว่า "ฝ่ายตรงข้าม" และชัดเจนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีและประชาสัมพันธ์ให้ร้ายฝ่ายดังกล่าวในวันยุบพรรคอนาคตใหม่"
ขณะที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าคณะก้าวหน้าได้แชร์ข้อความและคลิปดังกล่าว พร้อมโพสต์ข้อความว่า "55555555555555"
นายธนาธร ยังโพสต์อีกด้วยว่า...
เกร็ดเล็กๆ น้อยๆ เผื่อทุกท่านลืมนะครับ ทหารในคลิปนี้พยายามกลบเกลื่อน "เหตุร้าย" ที่ผ่านมา และเตรียมตัวรับมือการยุบพรรคอนาคตใหม่
"เหตุร้าย" นั่นคือเหตุ #กราดยิงโคราช
สุดยอดจริงๆ พยายามลบลืมความผิดตัวเองแล้วรอไปป้ายสีให้คนอื่น เพียงไม่กี่วันหลังเหตุกราดยิงโคราช สุดยอดจริงๆ
ที่มา: https://www.thaipost.net/main/detail/93532
.
'มาดามเดียร์ - วทันยา วงษ์โอภาสี' สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'เดียร์ วทันยา วงษ์โอภาสี' ว่า...
การที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร 'กลุ่มดาวฤกษ์' ใช้สิทธิ 'งดออกเสียง' ในการลงคะแนน ญัตติไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีเป็นรายบุคคลกับรัฐมนตรีท่านหนึ่ง ด้วยเหตุผลว่า ตลอดการอภิปรายและการชี้แจง 4 วัน (16 - 19 กพ.) ที่ผ่านมา ไม่พบคำชี้แจงที่ชัดเจนเพียงพอ ในการตอบคำอภิปรายของพรรคฝ่ายค้าน
ทำให้สังคมตั้งข้อกังขา และข้อสงสัยใน 2 ประเด็นหลัก ที่ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน กล่าวคือ เรื่องการเปลี่ยน เงื่อนไข (TOR) และการล้มการประมูล โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม และข้ออภิปรายเรื่องการไม่ปกป้องหรือเรียกคืนที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ในพื้นที่ เขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์
ทั้ง 2 ประเด็นที่ยังไม่ได้รับคำตอบอย่างชัดเจน เป็นสองประเด็นที่ สองรัฐวิสาหกิจอยู่ในการกำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมโดยตรง คือ รฟท. และ รฟม.
ส.ส. ในกลุ่มดาวฤกษ์ ได้พยายามอย่างที่สุดในการปฏิบัติตามมติพรรค ด้วยการไม่ลงคะแนนไม่ไว้วางใจ
อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องปฏิบัติตามจิตวิญญาณ ความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ด้วยการ 'งดออกเสียง' ส่วนผลที่จะเกิดขึ้นตามมาหลังจากการลงมติครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านใด ส.ส. ในกลุ่มทั้งหมด พร้อมน้อมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น โดยถือว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้แทนปวงชน อย่างดีที่สุดแล้ว
สำหรับ ส.ส.กลุ่มดาวฤกษ์ นั้น มีอยู่ 6 คน ได้แก่
1.) น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ
2.) นายศิริพงษ์ รัสมี ส.ส.เขตหนองจอก
3.) นางกรณิศ งามสุคนธ์รัตนา ส.ส.เขตคลองเตย-วัฒนา
4.) น.ส.ภาดาท์ วรกานนท์ ส.ส.เขตราชเทวี-พญาไท-จตุจักร
5.) น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ ส.ส.เขตบางกะปิ-วังทองหลาง
6.) น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ ส.ส.เขตดุสิต-บางซื่อ
น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง แกนนำม็อบคณะราษฏร โพสต์ข้อความผ่านเฟชบุ๊กระบุว่า...
ด่วน! มีคนปล่อยข่าวเท็จว่าแนวร่วมมธ. และ We Volunteers จะนำระเบิดปิงปองมา 40 ลูก เพื่อสร้างภาพความรุนแรงในม็อบ
เราขอยืนยันตรงนี้ว่า ไม่จริง และไม่มีทางเป็นไปได้ พวกเราไม่สนับสนุนความรุนแรงทุกรูปแบบ และเรายึดถือแนวทางสันติวิธีมาโดยตลอด
และขอความร่วมมือจากทุกคนมา ณ ที่นี้ว่ารบกวนไม่พก/นำอาวุธทุกชนิดมาที่ม็อบอย่างเด็ดขาดนะคะ เราต้องการสร้างสังคมที่เป็นมิตรต่อกัน หาใช่การรบกันไม่
และขอให้ทุกคนช่วยกันเป็นหูเป็นตา และคอยห้ามปรามกันด้วยหากมีใครที่พยายามจะสร้างความรุนแรงในม็อบ
สำหรับหัวข้อที่จะเน้นในวันนี้ คาดว่าจะเกี่ยวกับการปราศรัย ที่สุดท้ายแล้วผลการอภิปรายในสภาก็ไม่สามารถตอบโจทย์ และแก้ปัญหาอะไรให้ประชาชนได้ ซึ่งการที่ประชาชนออกมาเคลื่อนไหว ก็เป็นเพราะเหตุนี้
ทั้งนี้ รุ้ง ยังเผยอีกว่า คาดว่าผู้ชุมนุมจะเดินทางมาเรื่อยๆ แต่อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวอยากให้จบการชุมนุมในเวลา 21.30 น. เพราะค่าบริการสาธารณะในบริเวณนี้ไม่เอื้ออำนวยต่อการเดินทางของประชาชน
ส่วนการปิดถนน จะมีการประเมินสถานการณ์อีกครั้งจากจำนวนผู้เข้าร่วมชุมนุม ขณะที่เวทีอื่นๆ ซึ่งมีการประกาศนัดรวมมวลชนต่างๆ ตน ก็เพิ่งทราบ แต่ตนเองจะเป็นหลักอยู่ที่หน้ารัฐสภา
แหล่งข่าวจากกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า จากผลคะแนนการลงมติของ ส.ส.ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรี ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ ทางพล.อ.ประวิตรวงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้เรียกประชุมกรรมการบริหารพรรค ในวันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์นี้ เพื่อประเมินผลการอภิปรายไม่ไว้วางใจและนำมาพิจารณาในภาพรวม
ทั้งนี้ประเด็นสำคัญในเรื่องของการโหวตลงมติต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ พบว่ามี ส.ส. จำนวน 7 คน ที่ไม่ปฏิบัติตามแนวทางของพรรคที่วางไว้ โดย "งดออกเสียง" ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจในส่วนของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคมดังนั้นในที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค จะพิจารณามาตรการลงโทษด้วย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความขัดแย้งภายในพรรค
นอกจากนี้ที่มีรายงานข่าวว่าสมาชิกพรรคหลายคนไม่สบายใจกรณีที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้คะแนนโหวตไว้วางใจมากกว่านายกรัฐมนตรีนั้น ไม่เป็นความจริง ซึ่งผู้ใหญ่ในพรรครู้สึกไม่สบายใจและข้องใจที่มีข่าวแบบนี้ออกมา และไม่พอใจอย่างยิ่งต่อผู้ที่ให้ข่าวเช่นนี้ ถือเป็นการเสี้ยมให้เกิดความขัดแย้งภายใน ทั้งที่มันไม่เป็นความจริง ยิ่งไปกว่านั้น
แม้จะจบศึกอภิปรายซักฟอกรัฐบาลประยุทธ์ 2 โดยมีผลลัพธ์ลงเอยด้วยการสอบผ่านทั้ง 10 รัฐมนตรีไปแล้วแต่ดูเหมือนว่าจะยังมีอีกหลายประเด็น ที่ฝ่านค้านน่าจะยังเดินหน้าตอแยต่อ
หนึ่งในปมประเด็นที่ถูกทิ้งไว้สังคมสงสัยต่อ คือ ‘ตั๋วช้าง’
‘ตั๋วช้าง’ คืออะไร?
‘ตั๋วช้าง’ นั้นเป็นแฮชแท็กที่เกิดจาก รังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคก้าวไกล ซึ่งอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ปมอ้างว่ามีตั๋วในการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ รวมทั้งมีการซื้อขายตำแหน่งอีกด้วย พร้อมโชว์เอกสารลับ ตั๋วช้าง จนทำให้นายสุชาติ ตันเจริญ ประธานในที่ประชุม ต้องสั่งให้สรุปจบ โดยนายรังสิมันต์ยอมรับว่าเรื่องที่อภิปรายเป็นเรื่องอันตราย แต่ตนได้ทำหน้าที่ในฐานะ ส.ส.
รังสิมันต์ โรม กล่าวอ้างว่า การมีอยู่ของตั๋วช้าง ทำให้เกิดความสมยอมในการกระทำผิด ดังนั้นพลเอกประยุทธ์และพลเอกประวิตรจะรับผิดชอบอย่างไร เนื่องจากที่ตนเองได้ข้อมูลมานั้นตั๋วเหล่านี้มีมูลค่าหลักล้านหรือหลายล้าน ก็เท่ากับว่าสุดท้ายตำรวจต้องลงเอยด้วยการเรียกเก็บผลประโยชน์จากบ่อน จากธุรกิจผิดกฎหมาย หรือจากการค้ามนุษย์
อย่างไรก็ตาม ได้มีข้อมูลอีกด้านของ ‘ตั๋วช้าง’ ที่น่าสนใจ และดูเหมือนจะเป็นการหักล้างข้อมูลของ รังสิมันต์ โรม จาก ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ (ดร.นิว) นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ซึ่งได้โพสต์ลงเฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyanไว้ว่า...
ข้อเท็จจริง "นิทานเรื่องตั๋วช้าง"
ได้ด้วยหรือ? อยู่ๆ ก็ยัดเยียดเอกสารฉบับหนึ่งเป็นตั๋วช้างได้หรือ? คำว่าตั๋วช้างก็โยงมาจากข่าวเก่าๆ ด้วยความมั่ว
นิทานเรื่อง #ตั๋วช้าง เป็นการเชื่อมโยงแบบมั่วๆ ปั้นน้ำเป็นตัวแต่งนิทานหลอกเด็ก เพื่อปั่นกระแสแหกตาประชาชน หวังหลอกใช้เป็นเบี้ยในการทำผิดกฎหมายและสร้างความแตกแยก
1.คำว่า "ตั๋วช้าง" มาจากข่าวแฉตำรวจใน https://mgronline.com/specialscoop/detail/9600000061278 วันที่ 15 มิ.ย. 2560
2.ตั๋วลดราคาตำแหน่ง 8 ล้าน ลดเหลือ 4 ล้าน มาจากคำพูดของอดีตผู้การวิสุทธิ์ใน https://www.posttoday.com/politic/report/444162 วันที่ 21 ก.ค. 2559
3.เอกสารที่นายโรมและขบวนการล้มเจ้านำมาปั่นกระแสบิดเบือน ถูกนำมาโยงกับ ข้อ 1-2 แบบมั่วๆ ทั้งๆที่เป็นการปรับตำแหน่งตามปกติให้กับตำรวจที่มีผลงานโดดเด่น และอาจเคยถวายงานรับใช้เบื้องพระยุคลบาท
ขนาด ส.ส.พรรคล้มเจ้าที่ความดีไม่เคยมีปรากฏ ยังอยากได้เครื่องราชฯ
แล้วทำไมตำรวจดีๆที่มีผลงาน จะขอเกียรติยศให้กับการปรับตำแหน่งของตัวเองที่เป็นไปตามระบบไม่ได้?
ขอยกตัวอย่างบุคคลชื่อแรกที่ปรากฏในเอกสารดังกล่าว พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ
พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ ได้รับการขนานนามว่าเป็น “มือปราบอาชญากรออนไลน์” มีผลงานรับใช้ประชาชนที่โดดเด่นมากมายดังที่ได้พบเห็นในข่าวสารอยู่เป็นประจำ ช่วยเหลือประชาชนในการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี บรรเทาทุกข์ให้กับพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนจากเหล่ามิจฉาชีพต่างๆ ในโลกออนไลน์ จับกุมฉ้อโกง แฮคเกอร์ และเฟคนิวส์ได้เป็นจำนวนมาก เป็นวิทยากรให้ความรู้เพื่อป้องกันตนเองจากอาชญากรรมไซเบอร์มาหลายเวที
นอกจากนี้ยังเคยเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายจนถูกยิงจากการปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนอีกด้วย จึงไม่น่าแปลกที่คนดีๆมีผลงานโดดเด่นแบบนี้ จะได้รับการพระราชทานเกียรติยศประกอบการเลื่อนตำแหน่งตามที่สมควรได้โดยชอบธรรมอยู่แล้ว ซึ่ง พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง 1 ระดับจาก “ผกก.3 บก.ปอท.” เป็น “รอง ผบก.ปอท”
การเชื่อมโยงแบบมั่วๆ ปั่นกระแสบิดเบือนของนิทานตั๋วช้างในครั้งนี้ ทำให้ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศได้เห็นแล้วว่า พรรคก้าวไกล คณะก้าวหน้า และม็อบ รวมถึงขบวนการล้มเจ้า เป็นกลุ่มเครือข่ายเดียวกัน ที่เคลื่อนไหวปั่นกระแสร่วมกันอย่างเป็นระบบ อยู่เบื้องหลังการยุยงปลุกปั่นสร้างความแตกแยก หมกมุ่นอยู่กับการบิดเบือนให้ร้ายหวังบ่อนทำลายความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์
ที่มา:
https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=3912616712134271&id=100001579425464
อ้างอิง...
https://mgronline.com/specialscoop/detail/9600000061278
นางสาวพรพรรณ บัวทอง นักวิจัย สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศเฉพาะผู้ที่สนใจติดตามการอภิปราย กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,712 คน ระหว่างวันที่ 17 - 20 กุมภาพันธ์ 2564 พบว่า ส่วนใหญ่ติดตามผ่านทางสื่อโซเชียลมีเดียมากที่สุด ร้อยละ 43.81 มองจุดเด่นของการอภิปราย คือ ภาพรวมการซักฟอกของฝ่ายค้าน ร้อยละ 52.64 จุดด้อย คือ การประท้วงบ่อย ทำให้เสียเวลา ร้อยละ 71.26
หลังการอภิปรายเสร็จสิ้นคาดว่าการเมืองไทยจะเหมือนเดิม ร้อยละ 55.40 และไม่เชื่อมั่นต่อรัฐบาล ร้อยละ 43.25 ภาพรวมให้คะแนนฝ่ายค้าน 6.90 คะแนน ให้คะแนนฝ่ายรัฐบาล 5.01 คะแนน
การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่ 2 ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ประชาชนให้คะแนนฝ่ายค้านมากกว่าฝ่ายรัฐบาล เพราะเห็นว่าภาพรวมทำงานได้ดี มีเนื้อหาน่าสนใจ เตรียมข้อมูลเชิงลึกมาอภิปรายให้เห็นภาพ โดยมองว่าหลังจบอภิปรายครั้งนี้สถานการณ์การเมืองไทยก็น่าจะยังเหมือนเดิม และที่สำคัญประชาชนนั้นรู้สึก “ไม่เชื่อมั่น” ต่อรัฐบาล ถึงแม้ในสภา 10 รัฐมนตรีจะได้รับการไว้วางใจก็ตาม
ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ดังนภสร ณ ป้อมเพชร หลักสูตรรัฐศาสตร์ โรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ระบุว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจ คือ มาตรการหรือเครื่องมืออย่างหนึ่งในการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ การตัดสินใจ รวมไปถึงความโปร่งใสของรัฐบาล ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญที่จะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของฝ่ายนิติบัญญัติในการคานอำนาจ ของรัฐบาล และยังเป็นการขับเคลื่อนกลไกทางการเมืองให้เป็นไปตามแนวทางในระบอบประชาธิปไตย
ทั้งนี้ ความสำคัญของการอภิปรายไม่ไว้วางใจมีมากกว่าการมองเพียง “ผลโหวต” เนื่องจากผลนั้นอาจเกิดจากวิถีทางการเมือง เช่น การที่รัฐบาลมีฐานเสียงมากกว่า ฝ่ายค้านมีหลักฐานไม่เพียงพอ หรือด้วยเหตุอื่นใดก็ตาม
หากแต่ “การอภิปรายไม่ไว้วางใจ” มีความสำคัญในการที่จะสามารถเป็นต้นแบบของวัฒนธรรมการเมืองที่ดี นั่นคือ การทำหน้าที่ในการใช้อำนาจของประชาชนในการอภิปรายและชี้แจงด้วยวุฒิภาวะของผู้นำทางการเมือง การนำประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง มาอภิปราย การใช้หลักฐานข้อมูลที่ถูกต้องเชื่อถือได้ การเชื่อมต่อการตรวจสอบกับภาคประชาชน เหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะก่อให้เกิดกลไกในการสร้างความเป็นประชาธิปไตยให้แก่สังคมไทยอย่างแท้จริง
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่รัฐบาลมีนโยบายเร่งด่วนผลักดันให้กัญชาและกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญสามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร จนนำไปสู่การปรับปรุงกฎหมายและออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท5 พ.ศ. 2563 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2563 ที่ผ่านมา กำหนดให้ส่วนของพืชกัญชาและกัญชง เฉพาะที่ได้รับอนุญาตให้ปลูก ผลิต หรือสกัดในประเทศไทย ไม่จัดเป็นยาเสพติดให้โทษนั้น ปรากฏว่ามีประชาชนทั้งเกษตรกร และผู้ประกอบการแขนงต่างๆ ให้ความสนใจขอรับคำแนะนำมายังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบการอนุญาตเป็นจำนวนมาก
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลย้ำว่าประชาชนทุกครัวเรือนมีสิทธิปลูกกัญชาได้เพียงแต่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นั่นคือ ทั้งการปลูก สกัด และผลิต จะต้องขออนุญาตจาก อย. ตามพ.ร.บ.ยาเสพติด ฉบับที่ 7 ซึ่งกำหนดให้ผู้ที่จะขออนุญาตต้องเป็นหน่วยงานรัฐ สถาบันอุดมศึกษา วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ ผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์ เภสัชกร แพทย์แผนไทย ซึ่งกลุ่มวิสาหกิจชุมชน สหกรณ์จะต้องร่วมกับหน่วยงานรัฐเพื่อขออนุญาต ซึ่งการยื่นคำขออนุญาตปลูกนั้น สามารถยื่น ณ สถานที่ปลูกตั้งอยู่ โดยหากอยู่ที่กรุงเทพฯ ให้ยื่นที่ อย. หากอยู่ต่างจังหวัดให้ยื่นที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.)
“ประชาชนมีสิทธิ์ปลูกกัญชาได้ผ่านการรวมตัวเป็นวิสาหกิจชุมชนและร่วมมือกับหน่วยงานรัฐ เช่นร่วมกับ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.) เพื่อขออนุญาตปลูกกัญชาโดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้ในทางการแพทย์ ซึ่งเวลานี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ผลักดันให้เริ่มความร่วมมือรูปแบบนี้แล้ว ใน 46 จังหวัด ครอบคลุมประชาชนประมาณ 2,500 ครัวเรือน รพ.สต. 251 แห่ง ปลูกกัญชาไปแล้ว 15,000 ต้น โดยรัฐบาลคาดหวังว่าตั้งแต่นี้ไปทั้งกัญชาและกัญชงจะเป็นอีกหนึ่งพืชเศรษฐกิจหลัก ที่เป็นทางเลือกการสร้างรายได้และสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับเกษตรกร และเป็นพื้นฐานสำคัญของการผลิตสินค้าที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ในอนาคต” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนของกัญชาและกัญชงที่ไม่จัดเป็นยาเสพติดซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้นั้น ได้แก่ เปลือก ลำต้น เส้นใย กิ่งก้าน และราก ใบซึ่งไม่มียอดหรือช่อดอกติดมาด้วย สารสกัดที่มีสารแคนนาบิไดออล (CBD) เป็นส่วนประกอบ และมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (THC) ไม่เกิน 0.2% โดยน้ำหนัก เมล็ดกัญชง น้ำมันจากเมล็ดกัญชง หรือสารสกัดจากเมล็ดกัญชง ซึ่งแต่ละส่วนสามารถใช้ประโยชน์ทั้งทางการแพทย์ เช่นใช้ในตำรับยาแผนไทย ผลิตภัณฑ์สมุนไพร อุตสาหกรรมยา อาหาร เครื่องสำอางตลอดจน เป็นเส้นใยใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ
ในแง่ของผู้สามารถใช้ประโยชน์นั้น ไม่ได้มีเพียงผู้ประกอบการเท่านั้นที่สามารถนำส่วนของกัญชา และกัญชงไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ แต่ประชาชนทั่วไปก็สามารถใช้ประโยชน์ได้ เช่นการนำไปประกอบอาหารในครัวเรือน หรือประกอบอาหารและเครื่องดื่มเพื่อขายในร้านอาหาร เพียงแต่ต้องเป็นผลผลิตจากผู้ที่ได้รับอนุญาตปลูกที่ถูกต้องตามกฎหมาย สามารถระบุที่มาของส่วนกัญชาหรือกัญชงได้ ผู้สนใจสามารถตรวจสอบผู้ได้รับอนุญาตปลูกจากเว็บไซต์กองควบคุมวัตถุเสพติด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
น.ส. ไตรศุลี กล่าวว่า เพื่อสร้างความเข้าใจของสังคมต่อพืชกัญชาและกัญชง โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ต้องการลงทุนในธุรกิจนี้ ให้เข้าใจถึงข้อกฎหมายและการสนับสนุนของภาครัฐ ในวันที่ 22 ก.พ. 2564 สถาบันกัญชาทางการแพทย์ จะจัดงาน ก้าวต่อไป กัญชา กัญชง สู่พืชสมุนไพรเศรษฐกิจ ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี เวลา 8.00 - 14.00 น.
โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข จะเป็นประธานในงาน เพื่อให้นโยบายกับผู้บริหารและข้าราชการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้การขับเคลื่อนการส่งเสริมกัญชาและกัญชง แต่ละหน่วยงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันด้วย
นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณี ส.ส.ของพรรคโหวตไว้วางใจ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ว่า กรณีที่ 4 ส.ส. พรรคก้าวไกล ได้แก่ 1.) คารม พลพรกลาง 2.) พีรเดช คำสมุทร 3.) เอกภพ เพียรพิเศษ และ 4.) ขวัญเลิศ พานิชมาท ลงมติไว้วางใจให้รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยนั้น พรรคก้าวไกลต้องขอโทษสมาชิกพรรคและประชาชนที่สนับสนุนพรรคทุกคนครับ
และพรรคจะให้คณะกรรมการวินัยพิจารณาลงโทษต่อไป เช่น ไม่ส่งลงสมัคร ส.ส. ในครั้งหน้า, งดเข้าร่วมกิจกรรมพรรค, และตัดสิทธิในสภาที่พึงมีในนามพรรค
ส่วนเหตุผลที่ไม่ไล่ออกจากพรรคเพราะเราไม่ต้องเติมเสียงให้รัฐบาลอย่างเป็นทางการอย่างที่พวกเขาต้องการ
และตั้งแต่เดือนมีนาคม พรรคก้าวไกลจะประกาศรับเลือดใหม่เป็นผู้สมัคร ส.ส. ทั่วประเทศ”
น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่สภาฯลงมติไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป พร้อมด้วยรัฐมนตรีรวม10คน ว่า เนื่องจากพล.อ.ประยุทธ์ สามารถชี้แจงได้กระจ่างชัดทุกประเด็น ทำลายน้ำหนักของฝ่ายค้าน เหนืออื่นใดคือความมุ่งมั่นและจริงใจในการบริหารประเทศ โดยปราศจากผลประโยชน์ ใดๆ เช่นเดียวกับรัฐมนตรีทุกคนที่มีความตั้งใจในการทำหน้าที่ ประกอบกับข้อมูลของฝ่ายค้านที่ไม่น่าเชื่อถือ
ดังที่ซูเปอร์โพลเผยผลสำรวจความเห็นประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 98.7 ระบุ ว่าการอภิปรายพูดเรื่องเดิม ๆ รู้อยู่แล้ว เอาข้อมูลจากสื่อมาพูด ขาดหลักฐานใหม่ จึงไม่แปลกที่ร้อยละ 97.5 ระบุ รู้สึกผิดหวังต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน ซึ่งเท่ากับเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลกลายเป็นจุดอ่อนของฝ่ายค้าน กลายเป็นเวทีที่ประจานตนเอง ให้ประชาชนไม่ไว้วางใจฝ่ายค้านในการทำหน้าที่ต่อไป
“ในขณะที่รัฐบาลหลังผ่านศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้วจะมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ประชาชนเชื่อมั่นและอยู่ยาวจนครบเทอม ซึ่งนับจากนี้จะได้ตั้งหน้าตั้งตาแก้ปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไป” น.ส.ทิพานัน กล่าว
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า สิ่งน่าผิดหวังที่สุด คือความพยายามพูดพาดพิงสถาบันในการอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยไม่จำเป็น และไม่เกิดประโยชน์ต่อการบริหารประเทศ ซึ่งประชาชนรู้เท่าทัน แม้แต่ส.ส.ของพรรคก้าวไกลเอง ก็ยังแสดงออกด้วยการลงมติสวนทางกับพรรคถึง 4 คน สะท้อนถึงการต่อต้านกรณีดังกล่าว แต่นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า กลับตะแบงอ้างว่า "การอภิปรายพูดถึงบุคคลภายนอกในสภาผู้แทนราษฎรกระทำได้" โดยยกรัฐธรรมนูญมาตรา 124 วรรค 3 และข้อบังคับการประชุมสภาข้อ 39 ที่ให้บุคคลภายนอกผู้เสียหายมีสิทธิขอเข้ามาชี้แจงได้ภายใน 3 เดือน
และมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้ มาอ้าง โดยพยายามหา "รูลอด" ช่องกฎหมาย แบบนักกฎหมาย "ศรีธนญชัย" เพราะที่ยกมาอ้างนั้นเป็นเพียงมาตรการเยียวยาความเสียหายเบื้องต้นของบุคคลภายนอกที่ถูกละเมิดเท่านั้น ไม่ได้หมายความตามที่นายปิยบุตรตีความเข้าข้างตัวเอง
ใจความสำคัญของเอกสิทธิ์ ส.ส. ในเรื่องนี้นั้น รัฐธรรมนูญมาตรา 124 วรรค 2 บัญญัติชัดเจนว่า “เอกสิทธิ์ตามวรรคหนึ่งไม่คุ้มครองสมาชิกผู้กล่าวถ้อยคำในการประชุมที่มีการถ่ายทอดฯ ปรากฏนอกบริเวณรัฐสภา และการกล่าวถ้อยคำนั้นมีลักษณะเป็นความผิดทางอาญาหรือละเมิดสิทธิในทางแพ่งต่อบุคคลอื่นซึ่งมิใช่รัฐมนตรีหรือสมาชิกแห่งสภานั้น” และรัฐธรรมนูญมาตรา 124 วรรค 3 บัญญัติชัดเจนว่า “ทั้งนี้ โดยไม่กระทบต่อสิทธิของบุคคลในการฟ้องคดีต่อศาล”
และข้อบังคับการประชุมข้อที่ 69 ที่กำหนดว่า ’ห้ามผู้อภิปรายแสดงกิริยาหรือใช้วาจาอันไม่สุภาพ ใส่ร้าย หรือเสียดสีบุคคลใด และห้ามกล่าวถึงพระมหากษัตริย์หรือออกชื่อสมาชิกหรือบุคคลใดโดยไม่จำเป็น’ ฉะนั้น ผู้อภิปรายย่อมตระหนักดีว่า การอภิปรายมีการถ่ายทอดทางวิทยุและโทรทัศน์รัฐสภาอยู่แล้ว จึงไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครองให้พูดพาดพิงถึงบุคคลภายนอกและพาดพิงสถาบันฯ โดยไม่มีความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 112 และกฎหมายอื่นได้
ฉะนั้นไม่ว่าจะในกฎหมายแม่บท คือรัฐธรรมนูญ หรือข้อบังคับการประชุมก็ไม่มีข้อไหนเปิดช่องให้ทำได้ตามที่นายปิยบุตรพยายามบิดเบือนแต่อย่างใด ซึ่งนายปิยบุตรเองก็คงทราบดีว่านำข้ออ้างดังกล่าวไปอ้างในกระบวนการยุติธรรมไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่เห็นนายปิยบุตริเสนอตัวเป็นทนายแก้ต่างในคดีมาตรา112 ให้แกนนำม็อบราษฎรเลย เพราะรู้ดีว่าอย่างไรก็ไม่รอด ดังนั้นขอให้นายปิยบุตรหยุดทำตัวเป็น “ทะแนะ” พูดบิดเบือนกฎหมายหลอกประชาชน