Tuesday, 10 June 2025
Politics

‘พุทธิพงษ์’ ขอบคุณประชาชน แจ้งโพสต์ผิดกฎหมายมาทางเพจ "อาสา จับตา ออนไลน์" เพียบ พร้อมเดินหน้าลุยส่งเรื่องให้ศาลและแจ้งความต่อปอท.แล้ว เร่งนำตัวคนทำผิดมาลงโทษถึงที่สุด

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) กล่าวขอบคุณประชาชนที่ให้ความร่วมมือ แจ้งเหตุกรณีพบการกระทำความผิดทางสื่อสังคมออนไลน์ ผ่านช่องทางเพจ "อาสาจับตาออนไลน์" จำนวนมากและส่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

โดยกองป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปท.) กระทรวงดิจิทัลฯ รายงานสถิติการรับแจ้งเหตุจากประชาชน ผ่านช่องทางเพจ "อาสา จับตา ออนไลน์" ระหว่างวันที่ 1-22 มกราคม 2564 รวมจำนวน 15,306 รายการ ตรวจสอบแล้วเข้าข้อกฎหมาย 2,111 รายการ (ยูอาร์แอล)ทั้งทางแพลตฟอร์มเฟซบุ๊ก,ยูทูบ,ทวิตเตอร์ และเว็บไซต์อื่น

ซึ่งล่าสุด เจ้าหน้าที่ได้ส่งเรื่องที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย ขออำนาจศาลในการปิดกั้นหรือลบข้อความไปแล้ว 2,111 รายการ (ยูอาร์แอล) และเจ้าหน้าที่กองกฎหมาย กระทรวงดิจิทัลฯ ได้แจ้งความดำเนินคดีฐานความผิดพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 ยื่นแจ้งความต่อตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) แล้ว 254 รายการ(ยูอาร์แอล)

โดยหลังจากนี้ขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจปอท.ที่จะเร่งดำเนินการสืบสวนสอบสวน นำตัวผู้ที่กระทำความผิดทางสื่อสังคมออนไลน์มาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างถึงที่สุดต่อไป

"ฝากเตือนไปยังผู้ใช้โซเชียลมีเดียและประชาชน ก่อนที่จะโพสต์หรือแสดงความคิดเห็นอย่างหนึ่งอย่างใด ขอให้ใช้วิจารณญาณและไตร่ตรองให้ดีก่อนโพสต์ เพราะหากกระทำผิด เจ้าหน้าที่ก็จำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ซึ่งประชาชนสามารถแจ้งเข้ามาทางเพจ "อาสา จับตา ออนไลน์" ได้อย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่จะเร่งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย"

รู้หรือไม่ ทำไมทั่วโลกต้องใช้วัคซีน AstraZeneca แพงกว่ายุโรป รวมถึงไทย เหตุผลเพราะไม่ได้ออกเงินช่วย AstraZeneca วิจัยเลยสักบาท และรัฐบาลไทยใช้แค่งบ 500 ล้านบาท

ส่งต่อให้ บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ นำไปปรับปรุงโรงงานให้เป็นไปตามข้อกำหนดการผลิตวัคซีนของ AstraZeneca จนที่สุดก็ได้วัคซีนที่มีราคาต่อโดสอยู่ราว 5 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแม้จะแพงกว่ายุโรป 2.18 ดอลล่าร์สหรัฐต่อโดส แต่ก็ถูกกว่าอีกหลาย ๆ ประเทศ

มีประเด็นที่เป็นที่พูดถึงว่า ทำไมในยุโรปถึงสามารถซื้อวัคซีนต่อโดสของ AstraZeneca ได้ถูกกว่าไทยและประเทศอื่นๆ ทั่วโลกที่ 2.18 ดอลล่าร์สหรัฐต่อโดส จนเกิดการเปรียบเทียบราคาขึ้นมาเป็นประเด็นต่อยอดในสังคม โดยเฉพาะกับประเทศไทยที่ถูกชี้ว่าซื้อแพง มีนอกมีในอะไรหรือไม่?

เรื่องนี้มีคำตอบ!!

ทว่าก่อนหน้าที่จะไปถึงคำตอบนั้น ต้องขอพาไปดูข้อมูลจากยูนิเซฟ, รัฐบาลสหรัฐ และองค์การอนามัยโลก ก่อนว่า ราคาต่อโดสของ AstraZenecaนั้นจริงๆ แล้วมีราคาอยู่ในช่วงระดับเท่าไร เมื่อเทียบกับวัคซีนต่อโดสของบริษัทต่างๆ โดยเรียงจากถูกไปแพงดังนี้

– AstraZenecaราคา : 4 – 8.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส (ถูกที่สุด)

– Johnson & Johnsonราคา : 10 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส

– Sputnik Vราคา : 10 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส

– Sanofi/GSKราคา : 10.65 – 21 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส

– Curevac ราคา : 11.84 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส

– Sinovac ราคา : 13:6 – 29.75 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส

– Novavax ราคา : 16 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส

– Pfizer/BioNTech ราคา : 18.39 – 19 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส

– Moderna ราคา : 25 – 37 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส

ข้อมูลจากสำนักข่าว BBCอังกฤษที่มีการนำเสนอเรื่อง ‘Covid vaccines: Will drug companies make bumper profits?’ กล่าวถึงข้อมูลของการผลิตวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด – 19 โดยเป็นการร่วมพัฒนาจากหน่วยงานเอกชน บริษัท มูลนิธิเพื่อการกุศล หรือแม้แต่มหาเศรษฐีชื่อดังระดับโลก รวมทั้งมีรัฐบาลของประเทศต่างๆ ที่สนับสนุนการผลิตวัคซีนโดยเทงบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์ร่วมด้วย

จุดประสงค์หลักก็คือ การผลิตวัคซีนที่มีราคาไม่สูงมาก และเข้าถึงกลุ่มของประชาชนทุกชนชั้นไม่ว่าจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วหรือประเทศยกจนก็ต้องได้รับวัคซีนในปริมาณต่อคนที่ 2 โดสตามเกณฑ์ เพื่อประสิทธิภาพในการสูงสุดในการป้องกัน

บริษัทบางแห่งไม่ต้องการถูกมองว่าทำกำไรจากวิกฤตครั้งนี้ โดยเฉพาะหลังจากได้รับเงินทุนจากภายนอกจำนวนมาก เช่น Johnson & Johnson ผู้ผลิตยารายใหญ่ของสหรัฐ และบริษัท AstraZeneca ของสหราชอาณาจักรซึ่งทำงานร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ที่ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะขายวัคซีนในราคาที่ไม่สูงและคุ้มค่า เข้าถึงได้ ปัจจุบัน AstraZeneca มีราคาถูกที่สุดที่ 4 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส

ส่วน Moderna บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพขนาดเล็กซึ่งทำงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังวัคซีน RNA ที่ล้ำสมัยมานานหลายปี กำลังกำหนดราคาที่สูงขึ้นมากถึง 37 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส จุดมุ่งหมายคือการทำกำไรให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัท (แม้ว่าส่วนหนึ่งของราคาที่สูงขึ้นจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการขนส่งวัคซีนในอุณหภูมิต่ำมาก)

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าราคาวัคซีนที่ว่ามาจะคงที่ โดยปกติบริษัทยาจะเรียกเก็บเงินที่มีสัดส่วนแตกต่างกันในแต่ละประเทศตามที่รัฐบาลสามารถจ่ายได้ ซึ่งในรายของ AstraZeneca ยืนยันว่าจะรักษาระดับราคาให้อยู่ในระดับต่ำในช่วงเวลาของการระบาดเท่านั้น และเมื่อวิกฤติซาลงอาจเริ่มจำหน่ายวัคซีนในราคาที่สูงขึ้นในต้นปีหน้า แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของการระบาดช่วงนั้นด้วย

จากจุดนี้ คงทราบได้ถึงราคาของวัคซีนในตลาด ซึ่งมี AstraZenecaเป็นตัวเลือกที่มีราคาต่ำที่สุด (แต่ประสิทธิภาพไม่ได้ต่ำเท่าราคา) และการเลือกวัคซีนตัวนี้มาใช้ ซึ่งใช้เวลาในการพัฒนาและการส่งต่อล่าช้ากว่าตัวอื่นๆ จึงเป็นอีกเหตุผลที่ไทยเลือกวัคซีนตัวนี้ ทั้งในแง่ของราคา และการทดลองที่รัฐบาลประเมินได้ถึงประสิทธิภาพ

ทีนี้มาดูประเด็นหลักเกี่ยวกับ ราคาวัคซีน AstraZeneca ว่าราคาในยุโรป สหรัฐ และประเทศไทย ถึงมีราคาไม่ต่างกัน โดยข้อมูลสืบค้นจากหลายแหล่งข้อมูลทั้ง คณะกรรมาธิการยุโรป, วอชิงตัน โพสต์ และBusiness insiderระบุว่า สาเหตุที่ทางประเทศในยุโรปได้วัคซีนราคาถูกกว่าไทยคือ

1.) สหภาพยุโรปได้ให้เงินทุนสนับสนุนเพื่อร่วมพัฒนาวัคซีนตั้งแต่อยู่ในงานวิจัยเฟส 2 ซึ่งเงินสนับสนุนนี้เป็นเหมือนกับการจองแบบ ‘พรีออเดอร์’ ก่อนใครจำนวน 200 ล้านโดส และจองอีก 100 ล้านโดส ในนามของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป รวมทั้งระดมเงินทุนอีก 16,000 ล้านยูโร เพื่อสนับสนุนการสำหรับการเข้าถึงการทดสอบ การรักษา และการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสทั้งในยุโรปและทั่วโลก ดังนั้นก็ย่อมได้ของที่ราคาถูกกว่าอยู่แล้ว แต่ก็ต้องแบกรับความเสี่ยงหากวัคซีนนั้นไม่ประสบความสำเร็จดังคาดหวัง

2.) รัฐบาลสหรัฐฯ สนับสนุนเงินทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนาวัคซีนให้กับAstraZenecaมากถึง 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ Modernaได้รับทุนที่ 4,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้สหรัฐได้วัคซีนสูตรOxfordในราคาที่ 4 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส ส่วนวัคซีนModernaที่ 15 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส พร้อมกับเงื่อนไขซื้อเหมาวัคซีนAstraZenecaที่ 300 ล้านโดส และซื้อเพิ่มอีก 100 ล้านโดส ซึ่งมากกว่าไทยที่จองวัคซีนจำนวน 29 ล้านโดสถึง 20 เท่า

3.) วัตถุดิบ และสารเคมี ที่ใช้เป็นองค์ประกอบการทำวัคซีนทั้งหลายถูกผลิตขึ้นในยุโรป และไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า ไม่เสียค่าขนส่ง แถมได้รับการผลักดันสนับสนุนร่วมกันทั้งภูมิภาคในการผลิตวัคซีน รวมทั้งรัฐบาลของประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป ก็ข้ามไปให้เงินลงทุนวิจัยวัคซีนบริษัทอเมริกันอีกด้วย ซึ่งหน่วยงานด้านการเงินของสหภาพยุโรปเสนอเงินกู้ 122 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับPfizer/BioNTechเพื่อช่วยในการพัฒนาวัคซีน ตามด้วยเงินอีก 458 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากรัฐบาลเยอรมนีอีกก้อน

ดังนั้นราคาวัคซีนในยุโรปจึงถูกกว่าภูมิภาคอื่นก็ไม่แปลกอะไร เพราะว่ารัฐบาลอียูมีการอุดหนุนทุ่มเงินให้กับการวิจัยกันมหาศาลของบริษัทวัคซีนต่างๆ อย่างมหาศาล แถมต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่า และการเป็นเจ้าของสิทธิบัตรนั่นเอง

กลับมาที่ประเทศไทย ผู้ซึ่งไม่ได้ออกเงินช่วยAstraZenecaวิจัยเลยสักสตางค์แดงเดียวก็จริง แต่รัฐบาลไทยใช้งบประมาณราว 500 ล้านบาท หรือเพียง 16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ปรับปรุงโรงงานให้เป็นไปตามข้อกำหนดการผลิตวัคซีนของAstraZenecaและได้วัคซีนที่ราคาต่อโดสคือ 5 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้อีก เพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตวัคซีนกระจ่ายสู่ภูมิภาคในอนาคต

ขณะที่ประเทศอื่นๆ เช่น แอฟริกาใต้โดนไป 5.25 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส / ปากีสถาน 6 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส / ประเทศอื่นๆ ในอาเซียนก็ 7.8 – 8.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส และอินเดียที่เป็นพื้นที่ทดสอบวัคซีนของAstraZenecaร่วมกับบริษัทในประเทศแท้ๆ ยังมีราคาวัคซีนต่อโดสสูงถึง 13.4 ดอลลาร์สหรัฐ

ดังนั้นการที่ไทยได้วัคซีนของAstraZenecaได้ราคาที่ 5 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส โดยที่ไม่ได้ทุ่มงบลงทุนการวิจัยให้กับบริษัทแห่งนี้เลย แต่กลับได้วัคซีนที่มีราคาอยู่ในระดับนี้ จะเรียกว่าแพงหรือไม่นั้น? น่าจะเป็นคำตอบเชิงวิทยาศาสตร์ที่ใครก็คงตอบได้ว่า ‘ เหมาะสม’ หรือไม่เหมาะสม ซึ่งอันนี้คงต้องไปคิดต่อกันเอาเอง...


แหล่งที่มา/อ้างอิง

Reporter Journey

ข้อเท็จจริงเรื่องราคาวัคซีน AstraZeneca ที่สื่อใหญ่พูดไม่หมด ทำไมแพงกว่ายุโรป เทียบราคาต่อยี่ห้อ เงื่อนไขที่มีผลต่อราคา – REPORTER JOURNEY (reporter-journey.com)

BBC

The Washington Post

European Commission

Business Insider

กระทรวงแรงงาน เตรียมนำทีมร.พ.กล้วยน้ำไท มอบทุน - สร้างอาชีพทั่วประเทศ ในโครงการ “ให้ทุน สร้างอาชีพ” หลักสูตรวิชาชีพการดูแลผู้สูงอายุ ช่วยเหลือเยาวชน สตรีที่ว่างงาน ตกงาน ผู้ด้อยโอกาส

ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เปิดเผยว่า เนื่องจากทั่วโลกต่างเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร เด็กเกิดใหม่ลดลง ผู้สูงอายุเริ่มมากขึ้น ประเทศไทยก็เช่นกัน รัฐบาลไทยจึงกำหนดให้สังคมสูงอายุเป็นวาระแห่งชาติ เนื่องจากอัตราส่วนของวัยแรงงาน ต้องรับภาระเลี้ยงดูผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นวัยที่เข้าสู่ภาวะพึ่งพิงสูงขึ้นไปอีก

ผู้สูงอายุบางรายสุขภาพยังแข็งแรง สามารถทำงาน ช่วยเหลือและดูแลตัวเองได้ แต่ยังมีผู้สูงอายุอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องการคนดูแล ในส่วนนี้เองที่รัฐบาลต้องจัดบริการดูแลและควรจัดให้มีขึ้น ความต้องการมีบุคลากรเพื่อทำหน้าที่ในด้านดังกล่าว เช่น การอาบน้ำ แต่งตัว การรับประทานอาหาร รวมไปถึงดูแลเรื่องสุขภาพ ความเป็นอยู่ในทุกรูปแบบจึงจำเป็นอย่างยิ่ง

ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวเพิ่มเติมว่า โรงพยาบาลกล้วยน้ำไทยได้จัดทำโครงการ “ให้ทุน สร้างอาชีพ” หลักสูตรวิชาชีพการดูแลผู้สูงอายุ เพื่อช่วยเหลือเยาวชน สตรีที่ว่างงาน ตกงาน ผู้ด้อยโอกาส และขาดแคลนทุนทรัพย์ที่ต้องการศึกษาในหลักสูตรระยะสั้นและต้องการมีงานทำที่มั่นคง ได้เข้าศึกษาต่อในหลักสูตรวิชาชีพการดูแลผู้สูงอายุเป็นระยะเวลา 6 เดือน ณ โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท

โดยจะได้รับการสนับสนุนทุนเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดตลอดหลักสูตร เมื่อจบการศึกษาจะได้เข้าทำงานในกลุ่มเครือบริษัทกล้วยน้ำไทเป็นระยะเวลา 2 ปี หลังจากนั้นสามารถเลือกทำงานต่อหรือไปทำงานที่องค์กรอื่นได้ โดยในวันที่ 30 มกราคม 2564 ที่จะถึงนี้ จะได้นำทีมผู้บริหารจากโรงพยาบาลกล้วยน้ำไทและคณะ ลงพื้นที่จังหวัดนราธิวาส เพื่อประชาสัมพันธ์เชิญชวนผู้สนใจสมัครเข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรดังกล่าว

และหลังจากนั้นจะได้ขยายกลุ่มเป้าหมายไปภาคเหนือและอิสาน เพื่อเปิดโอกาสให้เข้าถึงครอบคลุมทั้งประเทศ โดยหวังว่ากลุ่มเป้าหมายที่เข้ารับการศึกษาจะได้มีโอกาสเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น รวมทั้งมีโอกาสก้าวหน้าด้านการประกอบอาชีพและมีงานทำต่อไป

“การทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุเป็นงานที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างมีความสุข มีอิสระที่จะดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพตามที่ตนต้องการ ถึงแม้สภาพร่างกายจะเสื่อมถอยไป และมีโรคเรื้อรัง ต่าง ๆ อยู่ก็ตาม ดังนั้น จะต้องปรับการดูแลให้เหมาะสม โดยหลักสำคัญ คือ ต้องให้ผู้สูงอายุเหล่านั้นสามารถดำเนินชีวิตได้ด้วยตนเอง โดยพึ่งพาผู้อื่นน้อยที่สุด และมีความสุขกายสบายใจในบั้นปลายของชีวิต” รมช. แรงงาน กล่าวท้ายสุด

‘เสี่ยหนู’ อนุทิน ชาญวีรกูล ตอบคำถาม ‘ธนาธร’ ไขปมเลือกซื้อวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า แบบเคลียร์ ๆ ย้ำเลือกวัคซีนที่เหมาะที่สุดแก่ประเทศไทย ทุกขั้นตอนทำตามกรอบกฎหมายชัดเจน

หลังจากเมื่อวันก่อน ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานก้าวหน้า ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับกรณีปมวัคซีนโควิด-19 ในไทย

ล่าสุด นายอนุทิน ได้โพสต์กลับในเฟซบุ๊ก 'อนุทิน ชาญวีรกูล' ว่า...

เรียน คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

ผมขอบคุณคุณธนาธร ติดตามการทำงานของกระทรวงสาธารณสุข และไม่ละเลยที่จะกล่าวคำขอบคุณ ให้กำลังใจกระทรวงสาธารณสุขและบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่ทุ่มเททำงานหนักเพื่อควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มาตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2562 จนถึงขณะนี้ โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือ เพื่อความปลอดภัย และลดการสูญเสียของคนไทยให้ได้มากที่สุด

ผมดีใจที่คุณธนาธร ไม่กล่าวถึง “วัคซีนพระราชทาน” และ ไม่พาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ อีก ซึ่งผมเข้าใจว่าคุณธนาธร ได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นความจริงแล้ว

การจัดหาวัคซีน ที่คุณธนาธร ตั้งข้อสังเกต และข้อสงสัยหลายประเด็น ผมขอตอบในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข และสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ว่า เราไม่ได้ทำงานล่าช้าตามที่คุณธนาธร กล่าวหา เราประชุมเตรียมการจัดหาวัคซีน มาตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 แต่ในช่วงเวลานั้น การให้ความสนใจติดตามข่าวสารเรื่องวัคซีน อาจจะน้อยกว่าการติดตามสถานการณ์การระบาดและการเยียวยา ประกอบกับการเปิดเผยข้อมูลการเจรจา ในขณะที่ยังไม่บรรลุผล ไม่เป็นประโยชน์ต่อการทำงาน และจะทำให้ประชาชนสับสน ซึ่งคุณธนาธร เป็นนักธุรกิจ มีประสบการณ์การเจรจาทางธุรกิจกับบริษัทต่างชาติมาแล้ว น่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดี

กว่าที่เราจะเจรจาบรรลุข้อตกลงที่ดีที่สุดสำหรับประเทศไทย และคนไทย ต้องใช้เวลามากพอสมควร เมื่อมีความชัดเจนเกิดขึ้น เราได้แถลงให้ประชาชนทราบอย่างเปิดเผยถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และ ภาคเอกชน ที่มีส่วนร่วมในการทำงานนี้เพื่อการจัดหาวัคซีน มาให้คนไทยทุกคน ด้วยความปลอดภัย และยังสร้างความมั่นคงด้านวัคซีนให้แก่ประเทศไทย ในฐานะผู้รับการถ่ายทอดเทคโนยีการผลิตวัคซีนไวรัสโคโรนา 2019 เพียงประเทศเดียวในภูมิภาคอาเซียน

เราเจรจากับผู้ผลิตวัคซีนทุกราย ที่ผลิตวัคซีนออกมาจำหน่ายในขณะนี้ การเจรจาจัดหาวัคซีน มีข้อจำกัดมากมายทั้งจากเงื่อนไขของผู้ผลิต และ จากระบบกฎหมายไทย และ งบประมาณของประเทศไทย เอง

1.) ผู้ผลิตทุกราย ต้องการให้เราจ่ายเงินจองซื้อวัคซีน ในขณะที่เขาเพิ่งเริ่มต้นการทดลอง ยังไม่มีการผลิตวัคซีนจริง หากเขาผลิตไม่สำเร็จ เงินที่เราจองซื้อ จะไม่ได้รับคืน ถือว่าเป็นการลงทุนร่วมกัน รับความเสี่ยงร่วมกัน

กฎหมายไทย ไม่อนุญาตให้หน่วยงานของรัฐจ่ายเงินจองซื้อสินค้าที่ยังไม่มีการผลิต และ การมีเงื่อนไขว่า หากไม่สำเร็จ จะไม่ได้รับเงินคืน ก็ไม่สามารถทำได้

แม้จะมีเงื่อนไขว่า ถ้าเราจ่ายเงินจองซื้อล่วงหน้า หากเขาผลิตวัคซีนได้สำเร็จ เราจะมีโอกาสซื้อได้ในราคาต่ำกว่าราคาที่เราซื้อเมื่อเขาผลิตได้แล้วก็ตาม หน่วยงานของรัฐ ไม่สามารถทำสัญญาเช่นนั้นได้

2.) เมื่อพิจารณาข้อมูลด้านเทคนิคการผลิตและการจัดการวัคซีนจากแหล่งผลิตไปจนถึงประชาชน แล้ว เราต้องเลือกวัคซีนที่มีความเหมาะสมกับประเทศไทย และคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชน สูงสุด รวมถึง การใช้เงินงบประมาณ ซึ่งเป็นภาษีของประชาชนอย่างคุ้มค่าที่สุด จึงเป็นที่มาของการเลือกซื้อวัคซีนจากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีราคาที่ต่ำกว่าวัคซีนของผู้ผลิตรายอื่น และเหมาะสมกับการจัดการฉีดในประเทศไทย มากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับวัคซีนอื่นๆ

3.) การได้รับข้อเสนอจากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าฯ ใช้โรงงานในประเทศไทย ซึ่งบริษัทเลือกเอง เป็นฐานการผลิตวัคซีน ของบริษัท เพื่อจำหน่ายให้แก่ภูมิภาคอาเซียน อีกด้านหนึ่งต้องนับเป็นความมั่นคงทางด้านวัคซีนของประเทศไทย เป็นสิทธิประโยชน์ที่ดีกว่าหลายๆ ประเทศในภูมิภาคอาเซียน ในฐานะผู้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีน ซึ่งรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุน เพื่อศักยภาพของประเทศไทย เช่นเดียวกับที่รัฐบาลให้การสนับสนุนผู้ผลิตวัคซีนในประเทศไทยหลายราย ทั้งสถาบันการศึกษา และ ผู้ประกอบการภาคเอกชน เพื่อพัฒนาวัคซีนของคนไทย ตั้งแต่ต้นน้ำ

4.) การจัดหาวัคซีน ในระยะแรก จำนวน 26 ล้านโดส จากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าฯ และ จำนวน 2 ล้านโดส จากบริษัทไซโนแวคฯ เพื่อฉีดให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่มีความเสี่ยง เป็นจำนวนที่คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ได้วิเคราะห์แล้วว่ามีความเหมาะสมกับสถานการณ์ในประเทศไทย ซึ่งไม่ได้มีการระบาดรุนแรง และไม่มีผู้ป่วย หรือ มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก เช่นในบางประเทศ ซึ่งมีความจำเป็นต้องเร่งฉีดวัคซีนโดยด่วน แม้ว่าจะเกิดผลข้างเคียงที่ยังไม่รู้แน่ชัด

อย่างไรก็ตาม สถาบันวัคซีนแห่งชาติ โดยคำแนะนำของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ได้จองซื้อวัคซีนของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าฯ เพิ่มขึ้นอีก จำนวน 35 ล้านโดส รวมเป็น 63 ล้านโดส สำหรับประชากร 31.5 ล้านคน คิดเป็น 63 % ของประชากรที่ควรรับวัคซีนได้ ซึ่งมีประมาณ 50 ล้านคน (ตัดกลุ่มอายุต่ำกว่า 18 ปี และหญิงตั้งครรภ์ ออก) ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนมากพอที่จะสร้างภูมิคุ้มกันให้กับคนไทย

ประกอบกับจำนวนวัคซีนที่จะทยอยส่งมอบต้องดำเนินการให้เกิดคุณภาพการจัดการ และการเก็บข้อมูลด้านความปลอดภัย การวางแผนจัดหาและฉีดวัคซีน จึงต้องคำนึงปริมาณที่เหมาะสม ไม่เช่นนั้นจะเกิดความสูญเสียและสิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น อีกทั้ง UNICEF คาดการณ์ปริมาณวัคซีนที่จะเพิ่มมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี2564 จนเพียงพอต่อความต้องการ และมีแนวโน้มที่วัคซีนจะราคาถูกลงกว่าในขณะนี้ เราจะประหยัดงบประมาณไปได้อีกมาก

โดยสรุป การจัดหาวัคซีน เป็นไปตามหลักการคำนวณของคณะแพย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยคำนึงถึงสถานการณ์การระบาดในประเทศ และความปลอดภัยของประชาชน เป็นสำคัญ และไม่ได้วางแผนดำเนินการล่าช้าตามที่กล่าวหากัน ตามที่ นพ.ยง ภู่วรวรรณ หนึ่งในคณะอนุกรรมการอำนวยการบริการจัดการให้วัคซีนไวรัสโคโรนา 2019 ได้ตอบคำถามของประชาชน ที่ตั้งข้อสังเกตเช่นเดียวกับคุณธนาธร แล้ว

5.) ทุกท่านที่วิจารณ์และตำหนิการทำงานของกระทรวงสาธารณสุข ต่อการบริหารสถานการณ์โรคระบาดโควิด19 ต้องให้ความเป็นธรรมต่อคนทำงาน ด้วย เนื่องจาก โควิด19 เป็นโรคอุบัติใหม่ ที่ไม่มีใครรู้จัก และไม่มีประสบการณ์ ทุกประเทศในโลก รวมทั้งประเทศไทย ต่างใช้ประสบการณ์ในอดีตที่ใกล้เคียงที่สุด มาเป็นข้อมูลพื้นฐานในการทำงาน คนทำงานอาจจะมีถูกบ้างผิดบ้าง และต้องติดตาม ปรับปรุงแผนการทำงานกันทุกวัน ตลอด 1 ปีเศษที่ผ่านมา การนำข้อมูล และตัวเลขต่างๆ มากล่าวอ้าง จึงขอให้พิจารณาตรวจสอบข้อมูล และแหล่งที่มา ณ วันที่นำมาอ้างอิง ด้วย

กระทรวงสาธารณสุข พยายามทำงานเพื่อควบคุมสถานการณ์การระบาดในประเทศไทย ให้ดีที่สุด ทั้งในช่วงเวลาที่ไม่มีวัคซีน และ มีวัคซีนแล้ว ทั้งนี้ เป็นไปตามหลักการทางการแพทย์ทุกประการ และการฉีดวัคซีนให้กับคนไทยทุกคนด้วยความสมัครใจ จะแล้วเสร็จภายในต้นปี 2565 เป็นอย่างช้า

อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่า การฉีดวัคซีน ไม่ใช่การปลดล็อกทุกอย่าง และจะทำให้เรากลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม ก่อนเกิดโรคระบาดโควิด19 ได้โดยเร็ว ในระยะแรกของการฉีด วัคซีนเป็นเพียงเครื่องมือควบคุมโรค และ ป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อมีอาการป่วยหนัก และเสียชีวิต หลังจากฉีดวัคซีนแล้ว ทุกคนยังต้องใส่หน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ และไม่ไปที่แออัด เพื่อลดการติดและการแพร่เชื้อ อีกสักระยะ เราต้องติดตามผลการศึกษาวัคซีน ว่าจะสร้างภูมิคุ้มกันได้นานแค่ไหน กันต่อไป

6.) กรณีที่ประเทศไทยไม่รวมโครงการวัคซีนของ COVAX นั้น เราได้เจรจากับ COVAX มาตลอด แต่เราไม่อยู่เกณฑ์ที่เขาจะให้ฟรี COVAX ให้สิทธิแก่ประเทศยากจนที่ WHO และ GAVI ให้การสนับสนุนจำนวน 92 ประเทศ แต่ไทย ถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีฐานะปานกลาง หากเราจะร่วมกับ COVAX เราต้องซื้อราคาแพงกว่า และไม่สามารถเลือกวัคซีนจากผู้ผลิตรายใดได้ มีความไม่แน่นอนทั้ง ชนิด จำนวน และราคา รวมทั้งต้องจ่ายเงินล่วงหน้า ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้วัคซีน เมื่อไร การที่เราจัดหาเอง และได้วัคซีนที่เหมาะสมกับการใช้ มีเงื่อนไขด้านราคาและเวลาที่ชัดเจนกว่า จะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยมากกว่า

7.) รัฐบาลไม่มีนโยบายที่จะผูกขาดการจัดหาวัคซีนจากผู้ผลิตรายหนึ่งรายใด แต่เราต้องเลือกวัคซีนที่มีความเหมาะสมกับการใช้ในประเทศไทยมากที่สุด ขอยืนยันว่าการจัดหาวัคซีนจากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าฯ จำนวน 61 ล้านโดส และจากบริษัทไซโนแวคฯ จำนวน 2 ล้านโดส เป็นการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่คนไทย และประเทศไทย ซึ่งมีการตอบรับข้อเสนอของประเทศไทย และ เสนอเงื่อนไขการขายวัคซีนให้แก่ประเทศไทย ดีกว่าผู้ผลิตรายอื่น

หากในอนาคตมีผู้ผลิตวัคซีนรายอื่นๆ มาขึ้นทะเบียนในประเทศไทย และจำหน่ายในราคาที่ต่ำกว่าที่จัดซื้ออยู่ในขณะนี้ ก็เป็นไปได้ที่รัฐบาลจะพิจารณาจัดซื้อ และ สนับสนุนให้เอกชนจัดซื้อไปให้บริการประชาชน

ส่วนกรณีสัญญาต่างๆ นั้น ในส่วนของสัญญาภาคเอกชน หรือ สัญญาระหว่างรัฐกับเอกชน ก็ตาม คุณธนาธร เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ทางธุรกิจภาคเอกชน น่าจะทราบดีว่า การจะเปิดเผยข้อความในสัญญา ทำได้หรือไม่ อย่างไร จะต้องได้รับการยอมรับจากคู่สัญญาด้วยหรือไม่ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ ผมได้ให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข รับไปพิจารณาดำเนินการตามกรอบกฎหมายแล้ว

ผมตอบคำถามคุณธนาธร ตามนี้ และขอเรียนว่ารัฐบาลพร้อมที่จะปรับแผนการบริหารสถานการณ์โควิด19 รวมถึงการจัดหาวัคซีน หากมีผลการศึกษา และการผลิตวัคซีนที่ดีกว่า เหมาะสมกว่า เพื่อความปลอดภัยของประชาชน ลดการสูญเสีย และใช้เงินงบประมาณคุ้มค่ามากที่สุด ขอให้คุณธนาธร เชื่อมั่นว่ารัฐบาล มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนทุกคน และปรารถนาที่จะนำประเทศไทยกลับคืนสู่สถานการณ์ปกติ ทางเศรษฐกิจ และ ทางสังคม โดยเร็วที่สุด

ขอให้เชื่อมั่นว่า กระทรวงสาธารณสุข และบุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งผม ที่ทำงานกันเป็นทีมอยู่ในขณะนี้ ไม่มีเป้าหมายทางการเมือง และไม่ประสงค์จะนำความปลอดภัยในชีวิตและสุขภาพของประชาชน มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง หรือ แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ เป้าหมายเดียวที่เรามี คือ ประชาชนคนไทยต้องปลอดภัย

ขอแสดงความนับถือ

อนุทิน ชาญวีรกูล

รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4074068475961336&id=2091153520919518

26 มกราคม 2564

กระทรวงมหาดไทย ออกประกาศขยายเวลาการขอมีบัตร-เปลี่ยนบัตรประชาชนใหม่ จากภายในกำหนดหกสิบวัน เป็นภายในวันที่ 30 เม.ย.

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ ซึ่งสถานการณ์มีการแพร่ระบาดของโรคออกเป็นวงกว้างกระจายไปในหลายพื้นที่ มีการตรวจพบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่ภายในประเทศมีจำนวนสูงขึ้นในแต่ละวัน

ซึ่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้ขอความร่วมมือให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง หรือสถานที่ชุมนุมชนต่างๆ เพื่อเป็นการร่วมแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฯ และระงับยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

ตามนโยบาย ศบค.และเพื่อความปลอดภัยของประชาชนผู้ขอรับบริการ จึงใช้อำนาจตามกฎหมายว่าด้วยบัตรประจำตัวประชาชน ออกประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ลงวันที่ 12 ม.ค.

โดยให้ขยายกำหนดเวลาการขอมีบัตร การขอมีบัตรใหม่ หรือเปลี่ยนบัตรในทุกท้องที่จังหวัดและกรุงเทพฯ จากภายในกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่ต้องมีบัตร มีบัตรใหม่ หรือเปลี่ยนบัตร เป็นภายในวันที่ 30 เม.ย. ทั้งนี้ มีผลตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 26 ม.ค.

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวอีกว่า ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ได้แก่ การสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ การเว้นระยะห่างทางสังคม ไม่อยู่ในกิจกรรมแออัดซึ่งเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด เพื่อเป็นการป้องกันตนเองและหยุดยั้งการแพร่ระบาดได้โดยเร็วที่สุด

แกนนำคณะราษฎร 2563 ‘อานนท์ นำภา’ ถูกสภาทนายความฯ ตั้งกรรมการสอบมรรยาท จากการปราศรัย “แฮรี่พอตเตอร์” เมื่อปีก่อน เจ้าตัวโวยไร้สาระ ระบุการเคลื่อนไหวทางการเมือง ไม่ใช่การทำหน้าที่ทนายความ ลั่นถ้าถูกถอดใบอนุญาตจะไปขายลาบก้อย

นายอานนท์ นำภา ทนายศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และแกนนำคณะราษฎร 2563 ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เป็นภาพเอกสารจากสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ เรื่องการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนคดีมรรยาททนายความ

โดย นายอานนท์ ระบุว่า กลับจากฟังคำพิพากษาเหนื่อยๆ มาเจอหนังสือจากสภาทนายความสอบมรรยาททนายความเพื่อขอให้เพิกถอนใบอนุญาต จากการปราศรัย “แฮรี่พอตเตอร์” เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม ที่ราชดำเนิน

จริงๆ เรื่องนี้ไร้สาระมาก สภาทนายฯ ไม่ควรไปรับเรื่องแต่แรก เพราะการเคลื่อนไหวการเมือง ไม่ใช่การว่าความหรือการทำหน้าที่ทนายความ ที่สำคัญ การเสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ในภาวะที่กษัตริย์ขยายอำนาจจนกระทบระบอบประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่คนเรียนกฎหมายควรทำด้วยซ้ำ

ก็ว่ากันไป ถ้าอยากถอดใบอนุญาตว่าความผมก็ทำไป ไม่ได้เป็นทนายก็ไปขายลาบขายก้อยก็น่าจะรวยก็มาทำคดีช่วยคนแบบทุกวันนี้

ที่มา : เพจ อานนท์ นำภา (https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4980379198670103&id=100000942179021)

ครม. เห็นชอบขยายระยะเวลาการตรวจสุขภาพ และการอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ เพิ่มแนวทางการนำผู้ต้องกัก ออกมาทำงานกับนายจ้างที่มีความประสงค์จ้างงาน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ระบาดต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี 2563 จนถึงการระบาดระลอกใหม่ที่เป็นวงกว้างกระจายไปหลายพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อขั้นตอนการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว จนทำให้การดำเนินการตามแนวทางตามมติคณะรัฐมนตรีในหลายครั้งที่ผ่านมาเกิดความล่าช้า ในขั้นตอนการตรวจสุขภาพและการต่อวีซ่าไม่ทันภายในระยะเวลาที่กำหนด

ซึ่งจะทำให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติดังกล่าว อยู่ในสถานะเป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย รวมถึงกลุ่มผู้ต้องกักที่ดำเนินคดีเสร็จสิ้นและรอการส่งกลับ แต่ไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากการปฏิเสธรับแรงงานกลับของประเทศต้นทาง ประกอบกับมาตรการงดการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว เนื่องจากให้ความสำคัญกับมาตรการความปลอดภัยต่อสุขอนามัยของประชาชนในประเทศไทยเป็นอันดับแรก

ตามแนวทางการบริหารของรัฐบาล ภายใต้การนำของพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และการกำกับดูแลของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่มุ่งมั่นขจัดปัญหาแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายในทุกมิติ รวมทั้งเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพไปพร้อมกัน

“ คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงาน เสนอ เรื่องทบทวนแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ และการบริหารจัดการผู้ต้องกัก ดังนี้

1.) เห็นชอบขยายระยะเวลาการตรวจสุขภาพ และการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ ให้แก่คนต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2563 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2563 ออกไปอีก 6 เดือน โดยให้การขยายระยะเวลาดังกล่าวครอบคลุมไปถึงคนต่างด้าวซึ่งเข้ามาทำงานตามบันทึกความตกลงหรือบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศ (MOU) ซึ่งวาระการจ้างงานครบ 2 ปี ด้วย

2.) เห็นชอบการปรับปรุงแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ดังนี้

2.1) เห็นชอบขยายระยะเวลาการตรวจโรคต้องห้าม 6 โรค ได้แก่ โรคเรื้อน วัณโรคในระยะอันตราย โรคเท้าช้างในระยะที่ปรากฏอาการเป็นที่รังเกียจแก่สังคม โรคยาเสพติดให้โทษ โรคพิษสุราเรื้อรัง และโรคซิฟิลิสในระยะที่ 3 ออกไปถึงวันที่ 18 ตุลาคม 2564 รวมแล้วเป็นระยะเวลา 6 เดือน และสำหรับการตรวจโรคโควิด - 19 ยังให้อยู่ในกรอบระยะเวลาเดิม คือ ต้องตรวจโรคโควิด - 19 ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 16 เมษายน 2564

2.2) เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการจัดทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่มีใบอนุญาตทำงานอยู่ด้านหลังบัตรของคนต่างด้าวที่มีนายจ้างออกไปจนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2564 และคนต่างด้าวซึ่งไม่มีนายจ้างที่ในเวลาต่อมามีนายจ้างออกไปจนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565

2.3) เห็นชอบให้มีการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคล (Biometric) โดยให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 16 เมษายน 2564 ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับการตรวจโรคโควิด – 19 เพื่อการพิสูจน์ตัวตนของคนต่างด้าวและความมั่นคงของประเทศ และส่งข้อมูลให้กรมการจัดหางานออกใบอนุญาตทำงาน

2.4) เห็นชอบแนวทางการตรวจโรคโควิด-19 ของกระทรวงสาธารณสุขที่จะให้สถานพยาบาลที่ได้รับการรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สามารถตรวจโรคโควิด - 19 ให้กับคนต่างด้าวได้ สำหรับอัตราค่าใช้จ่ายที่สถานพยาบาลเรียกเก็บให้เป็นไปตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด

2.5) เห็นชอบให้คนต่างด้าวที่ดำเนินการตามแนวทางที่กำหนดแล้วตรวจพบว่าเป็นผู้ติดเชื้อโรคโควิด - 19 หากได้รับการรักษาจนหายให้สามารถกลับเข้ามาขอรับอนุญาตทำงานได้แต่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นผู้หายป่วยจากโรคโควิด – 19

3.) เห็นชอบแนวทางการนำผู้ต้องกักของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ที่สมัครใจจะทำงานออกมาทำงานกับนายจ้าง/สถานประกอบการ ที่มีความประสงค์จะจ้างงาน ” รมว.แรงงาน กล่าว

ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า การทบทวนแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวฯ ตามที่เสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี มีกลุ่มเป้าหมายที่จะต้องบริหารจัดการ รวมทั้งสิ้น 2,335,671 คน ได้แก่

1.) กลุ่มที่ถือบัตรสีชมพู จำนวน 1,400,387 คน ประกอบด้วย

1.1) กลุ่มแรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรี 20 สิงหาคม 2562 มีจำนวน 1,162,443 คน ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสุขภาพและขอต่อ Visa ครั้งที่ 2 ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2564 ให้ขยายระยะเวลาการตรวจสุขภาพ และขอต่อ Visa ออกไปอีก 6 เดือน ถึงวันที่ 30 กันยายน 2564

1.2) กลุ่มแรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรี 4 สิงหาคม 2563 มีจำนวน 237,944 คน ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสุขภาพและขอต่อ Visa ครั้งที่ 1 ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2564 ให้ขยายระยะเวลาการตรวจสุขภาพ และขอต่อ Visa ออกไปอีก 6 เดือน ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2564

2.) กลุ่มแรงงานต่างด้าวตาม MOU จำนวน 434,784 คน ประกอบด้วย

2.1) แรงงานต่างด้าวกลุ่ม MOU ตามมติคณะรัฐมนตรี 10 พฤศจิกายน 2563 มีจำนวน 119,094 คน

2.2) แรงงานต่างด้าวกลุ่ม MOU ที่วาระการจ้างงานครบ 2 ปีแรก 315,690 คน

ทั้งสองกลุ่มอยู่ระหว่างตรวจสุขภาพและขอต่อ Visa จึงขอขยายระยะเวลาการตรวจสุขภาพ และขอต่อ Visa ออกไปอีก 6 เดือน ซึ่งกลุ่มนี้ทยอยครบกำหนด โดยสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565

3.) กลุ่มแรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรี 29 ธันวาคม 2563 ซึ่งอยู่ระหว่างยื่นลงทะเบียน คาดว่ามีจำนวนประมาณ 500,000 คน จัดเก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) เพื่อการพิสูจน์ตัวตนของคนต่างด้าว และความมั่นคงของประเทศ ในช่วงเวลาเดียวกับที่ตรวจโควิด – 19 ภายในวันที่ 16 เมษายน 2564 และให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองส่งข้อมูลคนต่างด้าวที่ได้จัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) แล้ว เพื่อให้กรมการจัดหางานออกใบอนุญาตทำงานต่อไป

4.) กลุ่มผู้ต้องกักที่เป็นคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ตามที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแจ้งไว้มีจำนวนประมาณ 500 คน

ทั้งนี้ นายจ้าง/สถานประกอบการ และคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ

‘ศรีสุวรรณ’ จ่อร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน จี้รัฐแก้ไขปมเรียกคืนเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ชี้เป็นความบกพร่องในการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ การไล่เบี้ยเรียกคืนเงินจากผู้สูงอายุเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ได้มีหนังสือแจ้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายจังหวัด เรียกคืนเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เนื่องจากได้รับเงินบำนาญพิเศษตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว

อาทิ คุณยายอายุ 89 ปีชาว ต.เจริญสุข อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ คุณยาย อายุ 89 ปี ซึ่งอาศัยอยู่จังหวัดเชียงราย ผู้สูงอายุ 13 รายชาวตำบลจอหอ อ.เมือง จ.นครราชสีมา ผู้สูงอายุที่จังหวัดชัยนาท และอีกหลาย ๆ จังหวัดทำให้ผู้สูงอายุที่ถูกเรียกคืนเงินดังกล่าวเดือดร้อนกันทั่วประเทศนั้น

จากหลักเกณฑ์ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2552 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2561 ได้กำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิจะได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ว่าจะต้องไม่เป็นผู้ได้รับเงินบํานาญ เบี้ยหวัด บํานาญพิเศษ หรือเงินอื่นใดในลักษณะเดียวกันด้วยนั่นเอง

แต่ทว่า เมื่อฟังเสียงจากผู้สูงอายุต่างๆ เหล่านั้นแล้วจะพบว่า ต่างได้รับเงินเบี้ยผู้สูงอายุไว้โดยสุจริต (ฟังได้ว่าคุณยายต่างๆเหล่านั้นไม่ทราบข้อกฎหมาย/ข้อเท็จจริง) และหากคุณยายเหล่านั้นรับเงินไว้โดยสุจริตและได้นำไปใช้จ่ายหมดแล้วก่อนที่จะถูกเรียกคืน คุณยายหล่านั้นไม่ต้องคืนเงินดังกล่าวก็ได้ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม.412 (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10850/2559)

กรณีที่เกิดขึ้นนี้ต้องถือเป็นความบกพร่องในการตรวจสอบตรวจทาน เป็นการดำเนินการที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องของพนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมด จึงต้องไปไล่เบี้ยกับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องจึงจะชอบ การที่กรมบัญชีกลางทำหนังสือให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ไปไล่เบี้ยเรียกคืนเงินจากผู้สูงอายุ จึงเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

ดังนั้น สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงจะนำความไปร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ในวันพฤหัสที่ 28 ม.ค.63 เวลา 10.00 น. ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ห้อง 903 ศูนย์ราชการฯ อาคาร B หลักสี่ กทม. เพื่อขอให้ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ 2560 ม.230(1) และ(2) ประกอบ พรป.ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน 2560 ม.22 (1) และ(2) ในการสั่งให้ รมว.มหาดไทย แก้ไขระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2552

และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2561 ที่เกี่ยวกับคุณสมบัติข้อดังกล่าวเสีย และสั่งให้กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลางระงับการเรียกคืนเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุทั่วประเทศที่ดำเนินการไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

‘แรมโบ้’ รวมพล 15 องครักษ์ เปิดวอร์รูมพิทักษ์ ‘บิ๊กตู่’ รับมือ ฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจ ชงเสนอญัตติเนื้อหาใหม่ไม่เกี่ยวข้องสถาบัน เผยไม่ต้องการให้มีเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงหน้าสภาเกิดขึ้นอีก

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ ว่า มีประชาชนจำนวนมากรู้สึกอึดอัดและไม่พอใจที่พรรคร่วมฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ซึ่งจะมีการอภิปรายประมาณวันที่ 16 - 19 ก.พ.

ในเนื้อหาญัตติดังกล่าวมีการกล่าวหาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่มีมูลความจริงสักเรื่อง สิ่งที่ประชาชนฝากถึงฝ่ายค้านมาคือต้องการให้ฝ่ายค้านถอนญัตติออกเสีย และยื่นเข้ามาใหม่ให้มีเนื้อหาที่เป็นข้อเท็จจริง

และอย่าได้เอาสถาบันมาเกี่ยวข้องเด็ดขาด เพราะในการอภิปราย อาจจะมีสส.พรรคฝ่ายค้านบางคนที่รับงานมาจากคนที่คิดล้มล้างสถาบัน อภิปรายพาดพิงเอาเรื่องสถาบันมาโจมตี จาบจ้วง ก้าวล่วง ทำให้เกิดความเสียหาย

ดังนั้นประชาชนที่ปกป้องสถาบันอาจออกมาชุมนุมหน้าสภาฯประท้วงฝ่ายค้านขึ้นมาอีก ตนไม่อยากให้มีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น อยากเห็นบรรยากาศการอภิปรายเป็นไปด้วยความเรียบร้อยไม่ต้องการให้มีเหตุการณ์รุนแรงหน้าสภาเกิดขึ้นมาอีกรอบ

ตนคิดว่าฝ่ายค้านควรฟังเสียงสะท้อนของประชาชน ควรทบทวนญัตติดังกล่าว นี่คือเสียงเรียกร้องจากภาคประชาชนที่ปกป้องสถาบันฝากมาถึงพรรคร่วมฝ่ายค้านว่าควรเสนอญัตติในเนื้อหาใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องสถาบัน เพราะเรื่องนี้กระทบใจและอ่อนไหวมากพึงควรระวัง

การเตรียมความพร้อมในการรับมือกับศึกอภิปราย ในทีมงานของกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี จะจัดตั้งทีมงาน "วอร์รูมนอกสภา" ประมาณ 15 คน มีทั้งอดีตรัฐมนตรีและอดีตสส.ตลอดจนมือกฎหมายอาชีพ อาทิ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ นายนิทัศน์ เตียวเจริญโสภา นายทศพล เพ็งส้ม

นายอภิวัฒน์ ขันทอง นายทวี สุระบาล นายชื่นชอบ คงอุดม นายเนวิน ช่อชัยพฤกษ์ นายสรสินธ์ ไตรจักรภพ นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช เป็นต้น และ นายธนากร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มาร่วมทีมด้วย คาดว่าจะเชิญทั้ง 15 คน มาร่วมประชุมปรึกษาหารือร่วมกันเพื่อเตรียมความพร้อมภายในอาทิตย์หน้า


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top