Tuesday, 10 June 2025
Politics

‘สมคิด จิรานันตรัตน์’ ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หนึ่งในทีมดูแลระบบการลงทะเบียนให้กับโครงการของรัฐบาลหลายโครงการ เช่น เราไม่ทิ้งกัน, วอลเล็ต สบม.

รวมทั้งโครงการคนละครึ่ง และล่าสุดกับ ‘เราชนะ’ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Chao Jiranuntarat’ เตือนสติคนไทยถึงเหตุผลที่แท้จริงของการปล่อยแต่ละโครงการเยียวยาจากรัฐว่า...

ในยามวิกฤติ ประเทศจะรอดได้ คนพอมีต้องยอมเสียสละ และเอาResources ที่น้อยอยู่แล้วไปช่วยคนที่ขาดแคลนที่สุด

แต่วันนี้ทุกคนอยากได้หมด แล้วเรียกร้องไปเอา Resources ในอนาคตมาใช้ โดยไม่ยอมรับรู้ว่าเราจะสร้างความสามารถในการใช้คืน Resources ในอนาคตได้อย่างไร ภาระหนักจะตกกับรุ่นหลัง แล้วลูกหลานเราจะอยู่ได้อย่างไร

เราควรต้องแก้ปัญหาที่หมักหมมด้วย เพราะมันเป็นสนิมกัดกร่อนประเทศมานาน เช่น การคอร์รัปชัน และความเหลื่อมล้ำ ที่เป็นปัญหาใหญ่ที่กี่รัฐบาลพยายามกันมาก็แก้ไม่ได้ เพราะมันซับซ้อนมากกว่าที่จะพูดอย่างเดียว มันกินลึกเข้าไปถึงรากเหง้าของสังคมเสียแล้ว การให้เงินใต้โต๊ะ การอยากได้สิทธิพิเศษ การอยากได้ตำแหน่ง การฮั้วกัน แม้กระทั่งการหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี ก็ถือเป็นการคอร์รัปชันด้วยเช่นกัน แล้วเรามัวแต่พูด ทั้ง ๆ ที่โดยไม่รู้ตัว เราก็เป็นส่วนหนึ่งของการคอร์รัปชันไปแล้ว

ทางเดียวที่ผมพอจะเห็นทางออก คือ ความโปร่งใส ค่านิยม และ การบังคับใช้กฎหมายอย่างยุติธรรม ซึ่งเราควรเริ่มที่ความโปร่งใสก่อน โดยการเข้าสู่สังคมไร้เงินสด และไร้กระดาษมากขึ้น แล้วควรส่งเสริมค่านิยมที่ไม่ยอมรับการฉ้อฉล ไม่เลือกนักการเมืองที่คดโกง เต่าล้านปี และใช้เทคโนโลยีมาช่วยประจานให้สังคมรับรู้เรื่องที่ไม่ชอบมาพากล

คนไทยทุกคนอยากเห็นประเทศพัฒนา แต่พอเห็นประโยชน์ตรงหน้า หลายคนก็ชอบไปทางลัด วิกฤติที่เราเจอโควิดวันนี้แหละ จะสะท้อนให้เห็นว่าสังคมและคนไทยจะเดินหน้าอย่างไร


ที่มา: เฟซบุ๊ก Chao Jiranuntarat

‘ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์’ เผย ผู้ใช้บริการสายสีส้มเตรียมเฮ หลังรฟม. ส่งสัญญาณหั่นราคาตั๋ว ‘สายสีส้ม’ จาก 17-62 บาท เหลือ 15-45 บาท แต่ยังหวั่นเป็นปมต้องแก้ในอนาคต เหตุราคาไม่ตรงกับเอกสารเลือกเอกชนร่วมลงทุน

ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ - Dr.Samart Ratchapolsitte’ ถึงกรณีรฟม.ประกาศปรับลดราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีส้ม ระบุว่า

เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่ รฟม.ออกมาประกาศก้องว่าจะลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีส้มจาก 17 - 62 บาท เหลือ 15 - 45 บาท จะทำได้จริงหรือไม่ ต้องติดตาม

หลังจากผมได้เขียนบทความเรื่อง "ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง! ค่าตั๋วรถไฟฟ้าสายสีส้มพอๆ กับสายสีเขียวที่ กระทรวงคมนาคมแย้งว่าแพง" ไปเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2564 ทำให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ต้องออกมาชี้แจงเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2564

เนื้อหาในบทความของผมสรุปได้ว่าจากเอกสารสำหรับคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุน (Request for Proposal หรือ RFP) โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มของ รฟม.ระบุค่าโดยสาร ณ วันที่ 1 มกราคม 2566 ราคา 17 - 62 บาท ซึ่งเป็นอัตราใกล้เคียงกับค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว แต่ถูกกระทรวงคมนาคมแย้งว่าค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวแพง ดังนั้น ค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีส้มก็ต้องถือว่าแพงเช่นกัน ผมจึงเรียกร้องให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาลดค่าโดยสารลงมา

ในที่สุด รฟม.ในสังกัดกระทรวงคมนาคมได้ออกโรงมาชี้แจงว่าค่าโดยสารที่ระบุไว้ใน RFP ราคา 17-62 บาทนั้น ใช้เฉพาะให้เอกชนยื่นข้อเสนอร่วมลงทุนโดยใช้สมมติฐานค่าโดยสารเดียวกันในการคำนวณรายได้จากค่าโดยสาร แต่เมื่อเปิดใช้งานจริง รฟม.จะลดค่าโดยสาร (ช่วงตะวันออก) ลงเหลือ 15 - 45 บาท การชี้แจงดังกล่าวเป็นไปตามที่ผมเรียกร้องให้หั่นค่าโดยสารลงมา เนื่องจากรถไฟฟ้าสายสีส้มได้รับเงินสนับสนุนด้านงานโยธาจากรัฐบาล ดังนั้น รฟม.จึงสามารถทำให้ค่าโดยสารถูกลงได้

ผมดีใจที่ รฟม.รับปากว่าจะลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีส้ม และเข้าใจดีว่าทำไม รฟม.ต้องออกมาชี้แจงเช่นนั้น

การลดค่าโดยสารให้ต่ำลงจากที่ระบุไว้ใน RFP ถือเป็นครั้งแรกในการประมูลคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนกับรัฐ การประมูลโครงการอื่นที่ผ่านมาไม่เคยเป็นเช่นนี้ ยกตัวอย่างเช่น การประมูลคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง รฟม.ระบุค่าโดยสารใน RFP ราคา 14 - 42 บาท เมื่อเปิดใช้งานจริง รฟม.ก็จะเก็บในอัตรานี้

รฟม.อ้างว่าเหตุที่ระบุค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีส้มไว้ใน RFP ราคา 17 - 62 บาท แต่ของจริงจะเก็บ 15-45 บาท เป็นเพราะต้องการให้เอกชนยื่นข้อเสนอโดยใช้สมมติฐานเดียวกัน นั่นคือค่าโดยสาร 17 - 62 บาท ถามว่าทำไม รฟม.จึงไม่ระบุให้เอกชนใช้ค่าโดยสารจริงคือ 15 - 45 บาท เป็นบรรทัดฐานเดียวกันในการคำนวณรายได้จากค่าโดยสาร ซึ่งสามารถทำได้ และ รฟม.ได้ทำมาแล้วในการประมูลโครงการรถไฟฟ้าอื่นทุกโครงการ

ผมเห็นด้วยที่ค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีส้มจะถูกลง แต่การลดค่าโดยสารแบบที่ รฟม.กำลังจะทำ จะก่อให้เกิดปัญหาต่อ รฟม. ดังนี้

1.) เอกชนผู้ชนะการประมูลจะขอลดผลตอบแทนที่เขาจะแบ่งให้ รฟม. เนื่องจากเขาคำนวณผลตอบแทนโดยใช้อัตราค่าโดยสาร 17 - 62 บาท เป็นฐานในการคำนวณ หาก รฟม.ลดค่าโดยสารลง ผลตอบแทนย่อมลดตามลงด้วย ด้วยเหตุนี้ รฟม.พร้อมจะรับผลตอบแทนน้อยลงหรือไม่?

2.) เอกชนผู้แพ้การประมูลจะร้องขอความเป็นธรรมจาก รฟม. เขาอาจอ้างว่าเขาสามารถเพิ่มผลตอบแทนแก่ รฟม. ให้สูงกว่าผลตอบแทนของผู้ชนะการประมูลที่ลดลงมาแล้วก็ได้ เพื่อทำให้เขาเป็นผู้ชนะการประมูล

หาก รฟม.ระบุอัตราค่าโดยสารใน RFP ให้ตรงกับความเป็นจริงที่จะใช้เมื่อเปิดเดินรถไฟฟ้า ปัญหาดังกล่าวก็จะไม่เกิดขึ้น

การออกมาชี้แจงเรื่องค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีส้มถือว่าเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของ รฟม.หรือไม่? แต่ปัญหาที่จะเกิดตามมาและรออยู่ข้างหน้า รฟม.จะทำอย่างไร? รวมถึงกรณีที่มีการแก้หลักเกณฑ์การประเมินคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มหลังจากปิดการขาย RFP แล้ว ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด ปัญหาเหล่านี้จะสร้างความยุ่งยากให้แก่ รฟม.ในภายหลังอย่างแน่นอน

ผมดีใจล่วงหน้าแทนผู้โดยสารรถไฟฟ้าที่จะจ่ายค่าโดยสารถูกลง แต่ก็เห็นใจ รฟม.จริงๆ ที่ต้องออกมาชี้แจงเช่นนี้

ข้อสงสัยและข้อสังเกตดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นข้อกังขาที่ผมและประชาชนทุกคนชอบที่จะต้องขอคำชี้แจงให้สิ้นสงสัยจากหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ทั้งนี้ก็เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ด้วยเจตนาที่จะให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากโครงการนี้อย่างเต็มที่ โดยปราศจากข้อสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้นเท่านั้นเอง


ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=2270173689794188&id=232025966942314

ร้านเค้ก ‘Castella Taiwan’ โพสต์แจงกรณีตั้งป้าย ‘ขออนุญาตไม่รับธนบัตรที่ระลึก’ หลังถูกชาวเน็ตโจมตีผ่านโซเชียลอย่างหนัก ระบุ หวั่นเกิดเหตุซ้ำรอย พนักงานทอนเงินผิด รับแบงก์ 100 บาท คิดว่าเป็นแบงก์ 1,000 บาท

จากกรณีกระแสดราม่า ร้านเค้ก ‘Castella Taiwan’ ตั้งป้าย ‘ขออนุญาตไม่รับธนบัตรที่ระลึก’ จนถูกชาวเน็ตโจมตีผ่านโซเชียลอย่างหนัก ล่าสุดทางร้าน ได้ออกมาชี้แจงผ่าน เฟซบุ๊ก Castella Taiwan - คาสเทลล่า ไต้หวัน โดยระบุว่า

จากเหตุการณ์ดังกล่าว มีลูกค้าที่ไม่พอใจจำนวนมาก ทางบริษัทต้องขออภัยอย่างสุดซึ้ง และน้อมรับคำติชม และคำตักเตือนจากลูกค้าทุกท่าน

เนื่องจากช่วงแรก ๆ ที่ธนบัตรที่ระลึกออกมา มีพนักงานของเรา รับธนบัตร 100 บาทมา แต่คิดว่าเป็นแบงค์พันและทอนผิดให้ลูกค้าไป และพนักงานคนดังกล่าวจะต้องรับผิดชอบเงินทอนทั้งหมด ซึ่งเป็นความผิดพลาดของพนักงานของเราเองครับ

บริษัทจึงออกคำสั่ง ว่าขออนุญาตงดรับธนบัตรที่ระลึก "แต่" หากลูกค้าไม่สะดวก หรือต้องการที่จะใช้ธนบัตรทางร้านก็จะรับธนบัตรปกติเลยนะครับ ตอนนี้ทางบริษัท ได้มีคำสั่งให้นำป้ายที่งดรับธนบัตรที่ระลึกออกตั้งแต่ได้รับความคิดเห็นจากลูกค้าท่านแรกแล้วครับ

ตอนนี้หากลูกค้าต้องการที่จะใช้ธนบัตรที่ระลึกซื้อสินค้าของทางร้าน ลูกค้าสามารถใช้ได้ตามปกติเลยครับ ทางบริษัทหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะได้รับการสนับสนุนจากลูกค้าทุกท่านต่อไปนะครับ


ที่มา : Castella Taiwan - คาสเทลล่า ไต้หวัน

https://www.facebook.com/castellataiwanofficial

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (26 มกราคม พ.ศ. 2564)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 959 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 14,646 ราย รวมยอดผู้เสียชีวิต 75 ราย รักษาหายเพิ่ม 230 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 10,892 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 3,676 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 959 ราย เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ และเข้าพักสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จากอินโดนีเซีย 1 ราย ,อินเดีย 2 ราย ,เมียนมา 3 ราย ,ซูดาน 2 ราย ,ปากีสถาน 1 ราย ,สหราชอาณาจักร 6 ราย ,เนปาล 1 ราย ,จีน 1 ราย ,สหรัฐอเมริกา 3 ราย ,เดนมาร์ก 1 ราย ,รัสเซีย 1 ราย

ผู้ป่วยรายใหม่ จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ จำนวน 89 ราย

ค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน 848 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 175 ราย รักษาหายแล้ว 169 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 460 ราย รักษาหายแล้ว 412 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 9.99 แสน ราย รักษาหายแล้ว 8.09 แสน เสียชีวิต 28,132 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 44 ราย รักษาหายแล้ว 41 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.87 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.45 แสน ราย เสียชีวิต 689 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.38 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.22 แสน ราย เสียชีวิต 3,069 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 5.15 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.75 แสน ราย เสียชีวิต 10,292 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 59,352 ราย รักษาหายแล้ว 59,066 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมติดเชื้อ 1,549 ราย รักษาหายแล้ว 1,425 ราย เสียชีวิต 35 ราย

รองหัวหน้าพรรคกล้า ‘พงศ์พรหม ยามะรัต’ สุดทน พฤติกรรม ‘เพนกวิน’ หลังพาพรรคพวกบุกสำนักงาน ‘สยามไบโอไซแอนซ์’ ระบุ เป็นพวก ขี้แพ้ - ขี้ขลาด ถ่วงความเจริญของชาติ ไร้ความคิด ชี้แค่หาเรื่องโจมตีสถาบันไปวัน ๆ

นายพงศ์พรหม ยามะรัต รองหัวหน้าพรรคกล้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว ‘Pongprom Yamarat’ ถึงกรณีที่นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ พร้อมพรรคพวกกลุ่มราษฎร บุกอาคารศรีจุลทรัพย์ เกี่ยวกับ ‘สยามไบโอไซแอนซ์’ ที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนผลิตวัคซีนโควิด-19 ว่า

ขออภัยหาโพสต์นี้รบกวนเวลาทำงานตอนเช้าที่แสนมีค่าของทุกคนนะครับ

ผมเห็นภาพคุณเพนกวินไปยืนด่า บ.สยามไบโอไซเอนซ์ แล้วรู้สึกว่านับวันคุณภาพตัวคุณเพนกวินตกต่ำมากกว่าที่ผมเข้าใจ

อยากจะฝากคุณเพนกวินว่าถ้าคุณรักประชาธิปไตยจริง อย่าเอาเวลาหายใจของคุณไปเสียกับการกุเรื่องด่าเจ้า

ในประเทศไทยมีแล็บ 3 แห่งที่ถูกส่งให้อังกฤษพิจารณา

แถมไทยก็ไม่ใช่ประเทศเดียว ประเทศอื่นในอาเซียนก็ส่ง แต่อังกฤษเลือกสยามไบโอไซเอนซ์เอง

ผมว่าเรื่องมันจบตั้งแต่ตรงนั้น แต่ไม่ใช่พยายามปั้นเรื่องเท็จ นี่ไปขนาดสาวกชังชาติเริ่มไปด่าอังกฤษเป็นสลิ่ม สมคบคิดกับเจ้าอะไรไปกันใหญ่ นี่จะลามไปเป็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแล้ว

พวกคุณใช้หัวอะไรคิดกันอยู่ ที่ผมมอง มันไม่ใช่หัวศีรษะแน่ ๆ

แทนที่คุณจะเอาเวลาไปเสียกับอะไรแบบนี้นะคุณเพนกวิน คุณควรจะเอาเวลาไปเห็นหัวประชาชนคนไทยให้มากกว่านี้หน่อยก็ดี

คุณเอาเวลาไปต่อว่า สส.พรรคก้าวไกลก็ได้ ไหน ๆ พวกคุณก็สนิทกัน ให้ สส.พรรคก้าวไกลเมื่อมาเป็น สส.เขตแล้ว ก็ไม่ใช่ให้ประชาชนในเขตคุณต้องหนีมาพึ่งสมาชิกพรรคกล้าแบบนี้

ทางเข้าชุมชนใหญ่แค่ให้หมาลอด

ฝนมา น้ำก็ท่วม

PM2.5 มา ก็ไม่มีหน้าไหนมาเยี่ยม มาช่วยให้ความรู้ มาดูแลคนแก่ และเด็กที่ป่วย

สส.พรรคก้าวไกลไปอยู่ไหนหมด เห็นหัวประชาชนบ้างมั้ย ไหนว่ามาทำเพื่อประชาชน?

พวกคุณเชื่อผม

อย่าเอาแต่เรื่องการเมืองมาเป็นประเด็นห้ำหั่นกัน

อย่ามัวแต่เสียเวลาไปกุเรื่องล้มเจ้า

ถ้าจะไปโจมตีการปฏิรูปการศึกษาที่ล้มเหลว โจมตีการปฏิรูปการเกษตรที่ล้มเหลว โจมตีโครงข่ายส่วยพนัน โครงข่ายค้าแรงงานเถื่อน คุณไปเลยครับ

ไอ้เ…หี้ยนี่แหละคือมะเร็งชาติ คุณเพนกวิน ผมสนับสนุนด้วย

แต่ไอ้เ…หี้ย นี่พวกคุณกำลังเผาอนาคตชาติอยู่

ประชาชนกำลังลำบาก คุณก็จะกลั่นแกล้งให้กระบวนการวัคซีนมีอุปสรรค

แทนที่จะมาร่วมติเพื่อก่อในประเด็นอีกมากมายที่ผมพูดไป

ผมถึงบอกว่าคุณตกต่ำกว่าที่ผมคิด ผมไม่เห็นคุณทำอะไรเพื่อประชาชน คุณก็แค่หาเรื่องด่าเจ้า ด่าคนที่คิดไม่ตรงกับคุณ และพวกคุณไปวันๆ

แปลว่ารักชาติก็ไม่ใช่ รักประชาชนก็ไม่ใช่ รักประชาธิปไตยก็ไม่ใช่ กล้าขุดคุ้ยเครือข่ายพนัน ก็ไม่กล้าอีก

ตอนนี้คุณตกต่ำเหมือนพวกขี้ขลาด ขี้แพ้เลยครับ


ที่มา : เพจ Pongprom Yamarat ( https://www.facebook.com/pongprom.yamarat )

ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ แจง กลุ่มเฟมินิสม์ และเครือข่ายรณรงค์เพื่อสิทธิ์ทำแท้งปลอดภัย หลังออกมาเรียกร้องกให้ยกเลิก ม.301 กฎหมายทำแท้งฉบับใหม่ ระบุบางเรื่องต้องใช้เวลา พร้อมผลักดันเป็นขั้นตอน

น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ ส.ส.กทม.เขตบางซื่อ-ดุสิต และประธานกรรมการนโยบายสตรี พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มเฟมินิสม์ปลดแอก ก และเครือข่ายรณรงค์เพื่อสิทธิ์ทำแท้งปลอดภัย เรียกร้องให้ยกเลิก ม.301 ของกฎหมายทำแท้งฉบับใหม่ เพราะยังกำหนดความผิดของผู้หญิงที่ทำแท้งหากอายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ ว่า ตามบทบัญญัติของกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนฯและวุฒิสภา สามารถทำแท้งได้เลยหากอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ และหลังจาก 12 สัปดาห์

สามารถทำได้ใน 4 กรณี โดยไม่มีความผิดทางกฎหมาย คือ 1. เป็นภัยต่อสุขภาพกายและจิตใจของหญิงผู้ตั้งครรภ์ 2. มีความเสี่ยงทารกพิการ 3. ตั้งครรภ์จากมีการกระทำผิดทางเพศ และ 4. อายุครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์แต่ไม่เกิน 20 สัปดาห์ โดยสามารถเข้ารับคำปรึกษาทางเลือกและยืนยันจะยุติการตั้งครรภ์

น.ส.ธณิกานต์ ระบุว่า ทุกการเปลี่ยนแปลงข้อกฎหมายในสังคมเกิดจากมีผู้ได้รับผลกระทบจากข้อกฎหมายนั้นๆ และยังต้องคำนึงถึงผลกระทบส่วนอื่นๆ โดยรอบ ทางออกบางอย่างต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจและเห็นด้วย จึงขอให้เห็นใจคณะทำงานที่ต้องคิด กลั่นกรอง และต้องผ่านความเห็นชอบจากหลายฝ่าย จึงต้องค่อยๆผลักดันเป็นขั้นตอนๆไป ซึ่งส่วนตัวก็ขออวยพรให้ทุกความคิดเห็นได้รับการรับฟัง และตอบสนองอย่างเป็นรูปธรรม ทุกข้อ

กองทัพภาค 1 ยัน ลงโทษพลทหารจริง หลังพบเสพยาเสพติดในค่าย พร้อมกักบริเวณ ลงทัณฑ์ตามวินัยทหาร รอผลกรรมการสอบวินัย ‘ครูฝึก’ ลงทัณฑ์เกินกว่าเหตุ

จากกรณีที่ 2 พลทหารหนีออกจากค่าย หลังถูกครูฝึกซ้อมโหดเพราะถูกจับได้ว่าแอบสูบกัญชา โดยวันนี้ทางศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองทัพภาคที่ 1 ได้ส่งเอกสารขี้แจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่า เข้าใจความรู้สึกของพลทหารและครอบครัวในความกังวลกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในเบื้องต้นได้มีการตั้งกรรมการสอบสวน เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น แบ่งเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือ 1.) พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเรื่องยาเสพติดของพลทหาร ซึ่งถูกตรวจพบว่าเสพยาเสพติด จึงถูกลงทัณฑ์ตามวินัยทหาร โดยครบกำหนดวันที่ 22 มกราคม 2564 และทางหน่วยพบว่ายังกระทำผิดซ้ำอีก 5 นาย จึงลงทัณฑ์เพิ่มเติม ระหว่างนี้ 2 ใน 5 นาย ได้หลบหนีกลับบ้านและร้องเรียนผ่านศูนย์ดำรงธรรมตามที่เป็นข่าว

2.) การลงทัณฑ์เกินกว่าเหตุ ทางหน่วยได้ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว ซึ่งเบื้องต้นมีมูลจึงให้กักบริเวณครูฝึก และสั่งทัณฑกรรม (การบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ อาทิ โยธา ) ตามวินัยทหาร ระหว่างการรอผลสอบสวนอย่างเป็นทางการ

ล่าสุดในวันนี้ หน่วยต้นสังกัดได้ติดต่อประสานพูดคุยกับผู้ปกครองของทหารทั้ง 2 นายเพื่อสร้างความมั่นใจ และจะดูแลด้านการรักษาพยาบาล ทั้งนี้กำลังพลมีความประสงค์ที่จะกลับเข้าสู่กระบวนการพิจารณาและสอบสวน ซึ่งกองทัพภาคที่ 1 ยืนยันว่าจะให้การดูแลกำลังพลตามขั้นตอนและวินัยทางราชการ เพื่อให้เกิดความสบายใจกับทุกฝ่าย

‘บิ๊กตู่’ และครม. ร่วมส่งกำลังใจให้ผู้ว่าฯ สมุทรสาคร หลังแพทย์เจาะคอปรับวิธีรักษา เชื่อบุญกุศลทำให้ปลอดภัย ขอบคุณในการเสียสละ ย้ำเราจะดูแลให้ดีที่สุด

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงอาการป่วยของนายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ว่า

วันนี้ตนได้พูดให้ที่ประชุมครม.ทราบ และขอให้ทุกคนรวมพลัง รวมกำลังใจและห่วงใยส่งไปให้ไปยังผู้ว่าฯ ซึ่งวันนี้มีสถานการณ์ที่ต้องเฝ้าระวังเข้มข้นขึ้น โดยคณะแพทย์โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ดูแลเป็นพิเศษ ซึ่งได้มีการหารือมาตลอดและตนได้รับคำชี้แจงมาว่าต้องมีการปรับวิธีการรักษาให้เหมาะสม เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องของช่องคอและช่วงอก เพราะการใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลาค่อนข้างมีปัญหาในช่วงนี้ จึงต้องมีการเจาะคอ ซึ่งเป็นเรื่องของทางการแพทย์

"ผมขอให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรงโดยเร็ว และขอขอบคุณในการเสียสละของท่าน จนถึงวันนี้ผมคิดว่าบุญกุศลที่ท่านทำไว้ จะทำให้ท่านปลอดภัย ขอให้ปลอดภัยเป็นปกติสุขโดยเร็วกำลังใจจากผมเอง ซึ่งผมก็ให้ไปเยี่ยมเยือน 3 ครั้งแล้ว และทางกระทรวงสาธารณสุข รองนายกรัฐมนตรีก็เยี่ยมเยียนเป็นพิเศษอยู่แล้ว วันนี้ก็เอากำลังใจจากครม. ไปถึงท่านและครอบครัวท่านด้วย เราจะดูแลให้ดีที่สุด"นายกฯ กล่าว

ยกเลิกโปรดเกล้าฯ ตำแหน่ง ‘ศาสตราจารย์’ เปิดเอกสารด่วน!! ดันรัฐมนตรีแต่งตั้งแทน เชื่อคนไทยรับไม่ได้ ลดพระเกียรติสถาบัน - ทำลายเกียรติ ‘ศาสตราจารย์’

หลังจากมีเอกสารด่วนเกี่ยวกับการ ‘การรับฟังความคิดเห็น (ร่าง) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ตามรูปแนบ) เรียนถึงอธิการบดี (ผ่านรองอธิการบดี และรองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและวิชาการ) มหาวิทยาลัยมหิดล และทางอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ลงนามรับทราบ/ดำเนินการได้

เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 64 เป็นที่เรียบร้อน แต่เมื่อเอกสารฉบับดังกล่าวว่อนสู่โลกอินเตอร์เน็ต ก็ได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึง 1 ในร่างเสนอ ที่ต้องการให้ ‘ยกเลิกการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาให้ดำรงตำแหน่ง ศาสตราจารย์ และให้รัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งแทน’

เมื่อเอกสารดังกล่าวได้หลุดออกไปสู่โลกออนไลน์ ก็มีคำถามจากบุคคลในแวดวงสังคมที่เหมือนจะตั้งคำถามยิงตรงไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวโดยทันที

เริ่มตั้งแต่ ศาสตราจารย์ ดร.สายันต์ ไพรชาญจิตร์ อดีตคณบดีคณะโบราณคดี ม.ศิลปากร และอดีตอาจารย์ประจำภาควิชา การพัฒนาชุมชน คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก Sayan Praicharnjit...

เรียน ศาสตราจารจารย์พิเศษ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษาฯ

ขอให้ถอนร่าง พรบ. ฉบับนี้ออกจากการพิจารณาในทุกขั้นตอน และยกเลิกร่าง พรบ. ฉบับนี้ไปเลย ไม่ต้องแก้ไขหรือนำกลับเข้ามาพิจารณาอะไรอีก เพราะสาระสำคัญ เป็นการลดพระเกียรติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และทำลายเกียรติของ ‘ศาสตราจารย์’

ขณะที่ ศาสตราจารย์ ดร.ธวัชชัย ศุภดิษฐ์ รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและยุทธศาสตร์การพัฒนา และรองประธานบริหารศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และอดีตรองอธิการบดี ฝ่ายวางแผนและยุทธศาสตร์การพัฒนาสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ก็ได้โพสต์ลงเฟซบุ๊ก Tawadchai Suppadit ด้วยเช่นกันว่า...

มีคำสั่งด่วนเพื่อสอบถามความคิดเห็น เกี่ยวกับการยกเลิกการโปรดเกล้าตำแหน่งศาสตราจารย์ มาให้รัฐมนตรี แต่งตั้งแทน

ขอแสดงความเห็นส่วนตัวในนามผู้ที่ได้รับตำแหน่ง ศาสตราจารย์ จากการโปรดเกล้าฯ ซึ่งไม่ได้มีผลได้ผลเสียจาก พรบ ฉบับนี้ แต่ต้องการบอกกับประชาคมว่า

1.) ตำแหน่งศาสตราจารย์ เป็นตำแหน่งที่เทียบเท่าราชการระดับ ซี 10 - 11 ซึ่งเป็นตำแหน่งของข้าราชการระดับสูง ในหน่วยงานราชการอื่น การขึ้นสู่ตำแหน่งระดับสูง ล้วนได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติในระบบราชการโดยทั่วไป ที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข

2.) ถือเป็นความภาคภูมิใจของตนเองและวงศ์ตระกูล เพราะคำว่า ศาสตราจารย์......ที่ใช้ในประเทศไทยมีมากมายหลายรูปแบบ มอบให้โดยเป็นเกียรติก็มี แต่ตำแหน่ง “ศาสตราจารย์” เท่านั้น ที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ และเป็นตำแหน่งที่เกิดจากการสร้างองค์ความรู้ทางวิชาการและการวิจัยของตนเองขึ้นมา

3.) ขั้นตอนการโปรดเกล้าฯ อาจจะมีการตรวจรายละเอียดมากขึ้นบ้าง แต่ก็ถือเป็นการตรวจสอบซ้ำว่าท่านเป็นผู้ทรงภูมิจริง ไม่มีการคัดลอกหรือทำผิดจริยธรรมทางวิชาการ ซึ่งเห็นว่าเป็นข้อดี

4.) พระเกียรติของพระเจ้าแผ่นดินในประเทศไทยมีค่าสูงยิ่ง ไม่เข้าใจคนที่เสนอว่ามีความคิดอย่างไร แต่ควรมาถามผู้ที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ด้วยว่าเขารู้สึกอย่างไร

ก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะมีใครออกมาตอบคำถาม หรือจะมีใครออกมาบอกว่าเอกสารดังกล่าวเป็นของปลอมหรือไม่อย่างไร ก็คงต้องติดตามดูต่อกัน


ที่มา:

https://www.facebook.com/100001143013119/posts/3516528241728575/

https://www.facebook.com/100001143013119/posts/3516528241728575/

‘กาละแมร์’ โพสต์เฟซบุ๊กให้กำลังใจตัวเอง หลังตกเป็นประเด็นดราม่าเหตุโฆษณาอาหารเสริมของตัวเองเกินจริง ตัดพ้อ “ได้เรียนรู้ เติบโต ได้เข้าใจในกฏระเบียบ แม้จะพูดตามข้อเท็จจริง แต่ถ้าไม่ตรงกับกฎที่มีก็ไม่สามารถ”

จากกรณีที่ กาละแมร์- พัชรศรี เบญจมาศ พิธีกรชื่อดัง ตกเป็นประเด็นดราม่าเกี่ยวกับการโฆษณาสรรพคุณผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของตัวเองอย่างเกินจริง จนกลายเป็นเรื่องราวที่โลกออนไลน์วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง

ต่อมา อย. ออกมายืนยันว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากไม่มีผลิตภัณฑ์อาหารตัวใดที่สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง หรือการทำงานของร่างกายได้ตามที่กล่าวอ้าง

จนกระทั่ง (25 ม.ค. 64) มีการแจ้งความดำเนินคดีกับ กาละแมร์- พัชรศรี เบญจมาศ ในความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ม.14 (1) และ ฉ้อโกงประชาชน หลังโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเกินจริง

ล่าสุดเจ้าตัวได้ออกมาเคลื่อนไหว โพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพให้กำลังใจตัวเองผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า

ขอบพระคุณทุกคำแนะนำจากทุกคน ผู้ใหญ่จากทุกหน่วยงานภาครัฐ ทำให้แมร์ได้พัฒนาทุกอย่างให้ถูกต้อง แมร์ได้เรียนรู้ เติบโต ได้เข้าใจในกฏระเบียบ แม้จะพูดตามข้อเท็จจริง แต่ถ้าไม่ตรงกับกฎที่มีก็ไม่สามารถ

แมร์อาจไม่ทราบทุกกฎทุกเรื่องต้องกราบขออภัยจากใจ

และแมร์ขอขอบพระคุณลูกค้าทุกท่านที่ส่งทั้งกำลังใจ รีวิวการกินมาอย่างทะลักทะล้น แมร์ซาบซึ้งไม่มีวันลืม สัญญาจะทำผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้นไปอีกเรื่อยค่ะ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top