Tuesday, 10 June 2025
Politics

จุสเซปเป้ คอนเต้ นายกรัฐมนตรีอิตาลี ลาออกจากตำแหน่งแล้วหลังจากในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลอิตาลี ถูกวิพากษ์วิจารณ์การดำเนินนโยบายควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ล่าสุดมีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 85,000 ราย

ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า คอนเต้ ยื่นหนังสือลาออกให้กับประธานาธิบดีแซร์โจ้ มัตตาเรลลา โดยคอนเต้ หวังว่าจะได้รับโอกาสในการตั้งรัฐบาลผสมขึ้นใหม่อีกครั้ง

รายงานระบุว่า นายคอนเต้ สูญเสียเสียงข้างมากแบบเด็ดขาดในวุฒิสภาไปเมื่อสัปดาห์ก่อน เนื่องจากพรรค อิตาเลีย วิวา ของอดีตนายกรัฐมนตรีมัตเตโอ เรนซี ถอนตัวออกจากพรรคร่วมรัฐบาล จากกรณีการดำเนินนโยบายควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 และ การจัดการกับวิกฤตเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ประธานาธิบดีจะเริ่ม้นหารือกับผู้นำพรรคการเมืองต่างๆเพื่อพิจารณาว่า คอนเต้ จะสามารถรวบรวมเสียงในการตั้งรัฐบาลใหม่ได้หรือไม่ อย่างไรก็ตามก็เป็นไปได้ว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอาจเปลี่ยนหน้าไป หรือไม่ก็อาจมีการประกาศการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นใหม่


ที่มา:

นายกฯอิตาลี ลาออก หลังถูกวิจารณ์นโยบายคุมโควิด-19 (matichon.co.th)

อดีตผู้สมัครส.ส. พรรคอนาคตใหม่ ชี้ถึงเวลาแล้วที่กองทัพ ต้องสร้างวัฒนธรรมความรับผิดชอบ กรณีซ้อมพลทหารเกินกว่าเหตุ

เรืออากาศโทธนเดช เพ็งสุข อดีตผู้สมัครส.ส. พรรคอนาคตใหม่ เขตลาดพร้าว- วังทองหลาง กล่าวถึงกรณีที่สองทหารเกณฑ์สังกัดค่ายทหารใน จ.ชลบุรี เข้าร้องเรียนว่าถูกทหารครูฝึกและผู้ช่วยซ้อมจนได้รับบาดเจ็บ เหตุร่วมกันแอบเสพกัญชาว่า ถ้ากองทัพยังไม่สร้าง ‘วัฒนธรรมความรับผิดชอบ’ เจ็บหรือตายปริศนาใน ‘ค่ายทหาร’ ก็คงเกิดขึ้นอีก

พร้อมระบุว่า ตนเห็น 2 ข่าวเกี่ยวกับกองทัพช่วงนี้ เรื่องเดียวกันแต่รู้สึกเป็นสองอารมณ์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

ข่าวแรก เป็นเรื่องน่ายินดีครับ แม้ว่ากองทัพจะไม่ได้ทำตามข้อเสนอของอดีตพรรคอนาคตใหม่ เรื่องการยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหารเพื่อเปลี่ยนไปเป็นการรับโดยสมัครใจทั้งหมด รวมถึงยังไม่ได้ปรับรูปแบบการฝึกและสวัสดิการต่างๆเพื่อวางโครงสร้างของกองทัพใหม่ให้เป็นทหารอาชีพ แต่อย่างน้อยก็พอเห็นทิศทางที่ดี

ที่ในที่สุดเสียงของพวกเราและเสียงของประชาชนก็ดังพอที่จะทำให้กองทัพต้องเลือกที่จะปรับตัวบ้าง ด้วยการเปิดรับสมัครพลทหารและเปิดโอกาสให้ ร้อยละ 80 สามารถเข้าเป็นนักเรียนนายสิบทหารบกได้ และถ้าใครเรียนดีอีก 20 คน ก็จะมีโอกาสเลื่อนขึ้นเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตร ซึ่งการเริ่มต้นแบบนี้ ผมมองว่าทำให้กองทัพมีโอกาสปรับตัวเป็นกองทัพทันสมัย มีทหารอาชีพมาประจำการได้ในอนาคต

แต่โอกาสของประเทศไทยก็ดูเหมือนจะสะดุดลงอีก เมื่อข่าวที่ 2 เกิดขึ้นตามมาติดๆ และถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปใครๆก็คงไม่อยากมาสมัครเป็นทหารแน่ ๆ ก็เป็นเรื่องราวที่ได้ยินกันซ้ำๆเดิมครับ นั่นก็คือ เรื่องการซ้อมทรมานและละเมิดสิทธิมนุษยชนในค่ายทหาร เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ วันที่ 22 ม.ค.ที่ผ่านมา พลทหาร 2 นาย ถูกครูฝึกจับได้ว่าลักลอบสูบกัญชา ครูฝึกและผู้ช่วยจึงสั่งลงโทษด้วยการใช้ไม้ตีตามแขน ขา หลัง และก้นจนไม้หัก

ให้แถกปลาหมอจนเนื้อตัวถลอกปอกเปิกไปหมด ซึ่งบาดแผลเหล่านี้ก็ยังเห็นได้ชัดสามารถหาดูภาพข่าวได้ไม่ยาก เขาเล่าว่าครูฝึกยังลากสายยางฉีดน้ำกรอกปากและยังพยายามจะทรมานอื่น ๆ อีก โชคดีที่กรณีนี้ยังไม่ถึงขั้นเสียชีวิต เพราะทั้งสองคนหลบหนีออกมาแจ้งตำรวจเสียก่อน

แน่นอนว่า ในรายละเอียดเรื่องนี้คงต้องฟังความจากทั้งสองฝ่ายว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่ประเด็นสำคัญที่จะต้องตั้งคำถามกันต่อไปก็คือการลงโทษทหารเกณฑ์ในค่ายทหารมีขอบเขตแค่ไหน มิใช่ผู้บังคับบัญชาจะสามารถลงโทษพวกเขาได้ปางตายได้บ่อยครั้ง

ทำไมเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอมีเรื่องทีก็ตั้งคณะกรรมการสอบสวนกันที แล้วก็ผ่านไปรอเหตุใหม่เกิดขึ้นอีก วนเวียนไปเรื่อย ๆ ผมมองว่าเรื่องนี้ได้กลายเป็นปัญหาของวัฒนธรรมองค์กร

ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือกองทัพจำเป็นต้องเร่งปฏิรูปเพื่อให้มีระบบดูแลตรวจสอบที่ชัดเจน มีช่องทางให้ผู้น้อยมีช่องทางที่สามารถร้องเรียนปัญหาหรือเอาผิดผู้บังคับบัญชาได้จริง ไม่ใช่แบบที่อดีต ผบ.ทบ.ท่านหนึ่งบอกให้ต่อสายตรงถึงได้

แต่พอทำจริงก็เกิดกรณีแบบ ‘หมู่อาร์ม’ เกิดขึ้น หรือต้องไม่ใช่การลงโทษแบบแค่ย้ายไปแขวนไว้รอกระแสลด แล้วย้ายกลับมาเมื่อเรื่องเงียบ เอาตัวอย่างง่าย ๆ เห็นกันชัด ๆ ก็เช่น กรณีเจ้ากรมสวัสดิการทหารบก ขนาดเป็นต้นเหตุของการระบาดโควิดคลัสเตอร์สนามมวยลุมพินี ย้ายไปไม่ทันข้ามปีก็ได้กลับมานั่งตำแหน่งเดิมแล้ว สำหรับผม สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะเปลี่ยนแปลงปัญหานี้นี้ได้จริงคือ ถึงเวลาแล้วที่กองทัพจะต้องสร้าง ‘วัฒนธรรมความรับผิดชอบ’ ให้เกิดขึ้นให้ได้

ท่าทีของผู้นำยังมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการแก้ปัญหา แต่หลังกรณีนี้เกิดขึ้น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกลาโหม ก็ยังคงพูดเหมือนทุกๆครั้ง เช่น ต้องมีการสอบสวน ใครผิดก็ต้องรับโทษ ได้เตือนไปหลายครั้งแล้วในเรื่องการลงโทษต้องพิจารณาให้เหมาะสมและเป็นไปตามระเบียบวินัยทหาร ฟังดูเหมือนมีเหตุผลนะครับ

ซึ่งถ้าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นครั้งแรกผมคงไม่ติดใจอะไรมากนัก แต่นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ จนผมเชื่อว่า สำหรับทหารทั้งกองทัพแล้ว การพูดแบบนี้ไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย เพราะในความเป็นจริงองค์กรอย่างกองทัพตอนนี้พร้อมที่จะมีระบบหรือกลไกช่วยเหลือบุคคลระดับผู้บังคับบัญชาเต็มไปหมด ในขณะที่ผู้ใต้บังคับบัญชาแทบไม่มีอะไรคุ้มครองได้เลย อย่างกรณี 2 พลทหารนี้ เมื่อกระแสหมดลง กลับเข้ากรมกองเมื่อไหร่ ใครๆก็คงสามารถจินตนาการได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่หากไม่กลับไปก็จะกลายเป็นการหนีทหารไม่สามารถปลดประจำการได้ การที่ใครๆก็คิดแบบนี้ได้อย่างเป็นปกตินี่ก็คือความไม่ปกติอย่างหนึ่งเหมือนกัน

ลองไปดูตัวอย่างจากต่างประเทศนะครับว่า เวลามีเรื่องแบบนี้ เขาสร้างวัฒนธรรม ‘ความรับผิดชอบ’ เพื่อแสดงเจตจำนงค์อย่างยิ่งยวดว่าไม่ต้องการให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกได้อย่างไร ซึ่งเขาไม่ทำแบบลุงแก่ๆ ขี้บ่นว่า เตือนไปแล้ว บอกไปแล้วแต่แก้อะไรไม่ได้ แน่นอน ร.ท.ธนเดชกล่าว

กองปราบปราม เข้าชี้แจง คณะกรรมาธิการกฎหมายฯ ระบุเตรียมแจ้งข้อหา ‘น้องชาย - แม่ ธนาธร’ ปมสินบนฮุบที่สำนักทรัพย์สินฯ โดยไม่ผ่านการประมูล พร้อมพิจารณาตั้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมด้วย

คณะกรรมาธิการ (กมธ.) กฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน เชิญผู้แทนจากกองบังคับการปราบปราม เข้าชี้แจงความคืบหน้าการดำเนินคดีกับนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด น้องชาย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กรณีเป็นผู้สั่งจ่ายเช็ก ให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพื่อต้องการเช่าที่ดินโดยไม่ผ่านการการประมูลตามกระบวนการ จนนำมาสู่การดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานทรัพย์สินฯในฐานะผู้รับเงิน

หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมากมธ.ได้เชิญอัยการเข้าชี้แจง และอัยการให้เหตุผลการไม่ฟ้องนายสกุลธร เนื่องจากพนักงานสอบสวนแยกสำนวนออกมาดำเนินคดีเป็นอีกกรณี ซึ่งการชี้แจงในวันนี้ (27 ม.ค.) กองบังคับการปราบปราม โดย พ.ต.อ.ณัฐวัฒน์ เกศะรักษ์ รองผู้บังคับการปราบปราม พ.ต.อ.สัณห์เพชร หนูทอง ผู้กำกับการสอบสวน และพ.ต.ท.หญิง บุญทิวา ลิ้มศิริลักษณ์ สารวัตรสอบสวน เข้าชี้แจง

พ.ต.อ.สัณห์เพชร ชี้แจงเหตุผลที่ต้องแยกสำนวนคดีนายสกุลธร ออกจากคดีของเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯที่กระทำความผิด

ในฐานะผู้รับเรื่องจากกรณีของนายสกุลธร เป็นกรณีในฐานะผู้ให้ที่เป็นคนละข้อกล่าวหา หากรวมสำนวนเดียวกันจะกลายเป็นการซัดทอดผู้ต้องหาทำให้คดีไม่มีน้ำหนักจากคำซัดทอด จำเป็นต้องแยกระหว่างคดีผู้ให้กับผู้รับตามเทคนิคของการทำสำนวน

พร้อมยอมรับว่าเหตุผลที่คดีล่าช้า เนื่องจากไม่มีความชัดเจนว่าคดีนี้เป็นอำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือของกองบังคับการปราบปราม แต่เมื่อ ป.ป.ช.วินิจฉัยแล้วว่าเป็นอำนาจของกองบังคับการปราบปราม ทางกองปราบฯก็ได้เรียกผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องในคดีนี้มาให้ปากคำ

ยืนยันว่าคดีนี้ทางกองปราบฯ ได้เตรียมออกหมายเรียกนายสกุลธร ให้มารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว อยู่ระหว่างพิจารณาตั้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม ตามมาตรา 144 ของประมวลกฎหมายอาญาฐาน ผู้ใดให้ ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์ อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน เนื่องจากเป็นคนเดียวที่เซ็นชื่อในเช็คจ่ายเงิน แต่ในการแจ้งข้อหาต้องแจ้งในฐานะนิติบุคคลด้วย ทำให้จะต้องแจ้งข้อหาเพิ่มกับนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจ

ขณะที่ กมธ.ได้ซักถามถึงประเด็นที่นายสกุลธร อ้างว่าถูกหลอก และเป็นผู้เสียหายในคดีนี้ ทางพ.ต.อ.สัณห์เพชร ชี้แจงว่ากรณีนี้มีข้อเท็จจริงจากเงินก้อนสุดท้าย จำนวน 10 ล้านบาท ที่จะจ่ายกันหากมีการประชุมโครงการ

แต่เมื่อการประชุมโครงการไม่เกิดขึ้นจริง นายสกุลธรจึงต้องการยกเลิกสัญญากับเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯให้คืนเงิน และเมื่อมีการคืนเงินแล้วนายสกุลธรก็ไม่ได้ดำเนินคดี ฐานฉ้อโกงกับเจ้าหน้าที่รายดังกล่าวแต่อย่างใด

ด้าน พ.ต.อ.ณัฐวัฒน์ ชี้แจงว่า การแจ้งข้อกล่าวครั้งนี้ แม้นายสกุลธรจะอ้างว่าถูกหลอก แต่ในฐานะนักธุรกิจควรทราบขั้นตอนการขอเช่าที่ดิน

'บิ๊กตู่' ยันคนไทยได้ฉีดวัคซีนโควิดฟรี ล็อตแรก 50,000 โดส พร้อมฉีดให้บุคลากรสาธารณสุข - เจ้าหน้าที่ด่านหน้าพื้นที่เสี่ยง 14 ก.พ.นี้ จากนั้นจะทยอยฉีดให้คนไทยระยะแรกตามกลุ่มเป้าหมาย 19 ล้านคน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ออกรายการผ่านแอพพลิเคชั่นพอดแคสต์ไทยคู่ฟ้า ถึงความคืบหน้าการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ว่า เรื่องวัคซีนตนคิดว่าหลายคนเป็นห่วงและมีความกังวล และมีคำถามมาว่าจะฉีดเมื่อไหร่ ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลยืนยันว่าคนไทยทุกคนที่ต้องการฉีดจะได้รับการฉีดฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ยกเว้นเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปีและสตรีมีครรภ์ ทั้งนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องคุณภาพของวัคซีน เพราะเรายังคงคำนึงเรื่องความปลอดภัยสูงสุดของประชาชน ซึ่งวัคซีนที่เข้ามาจะต้องผ่านการรับรองขององค์การอาหารและยา (อย.)

โดยระยะแรกรัฐบาลได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายไว้ประมาณ 19 ล้านคน ที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า 1.7 ล้านคน, ผู้ที่มีโรคประจำตัวเช่นโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจ โรคไตเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน 6.1 ล้านคน, ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป 11 ล้านคน และเจ้าหน้าที่ควบคุมโควิดและมีโอกาสสัมผัสกับผู้ป่วย

วัคซีนล็อตแรก 5 หมื่นโดสก็จะเข้ามาในเร็วๆ นี้โดยจะฉีดให้กับบุคลากรสาธารณสุข ตำรวจทหาร เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงก่อนเป็นลำดับแรกเพื่อให้เกิดความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน ตั้งแต่ 14 ก.พ. 2564 นี้ เป็นต้นไป ส่วนระยะที่ 2 จะเริ่มประมาณเดือน พ.ค. 2564 ขึ้นอยู่กับวัคซีนจะทยอยเข้ามาได้มากน้อยเพียงใด

โดยในส่วนนี้จะครอบคลุมประชาชนในกลุ่มที่มีความเสี่ยงลำดับถัดไป โดยกลุ่มเป้าหมายอาจมีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์การแพร่ระบาดและประสิทธิภาพของวัคซีน รวมทั้งจำนวนวัคซีนที่หาได้ โดยขอย้ำว่ารัฐบาลจะดำเนินการทุกอย่างให้ดีที่สุดและต่อไปประเทศไทยก็จะเป็นฐานผลิตวัคซีนของอาเซียน โดยจะดำเนินการตามแผนจะรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศตามที่รัฐบาลได้กำหนดไว้ ซึ่งคาดว่าน่าจะเพียงพอกับความต้องการของคนไทยทั้งประเทศทั้งนี้ต้องการให้ฉีด มากเพียงพอที่จะสร้างภูมิคุ้มกันร่วมในประเทศไทย

“วันนี้เราต้องอดทนไปสักระยะหนึ่ง ตนก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสถานการณ์โควิด-19 จะดีขึ้นในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ในระหว่างนี้เราจะต้องระมัดระวัง อดทนอดกลั้น ปฏิบัติตามมาตรการของรัฐบาลที่ออกไป ถ้าเราไม่ร่วมมือในวันนี้ เราโทษกันไปกันมา ก็ไม่เกิดการแก้ปัญหาอย่างครบวงจร และขอโทษหากไม่ทันใจ แต่ตนก็พยายามเร่งรัดที่สุดแล้ว ในทุกๆมิติและทุกเรื่อง วันนี้ขอให้ทุกคนมีความสุขปลอดภัยในช่วงนี้” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์ความคืบหน้าผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทย ว่า ในภาพรวมสถานการณ์โควิดประเทศไทยลดลงอย่างมากในระยะ 1 เดือนที่ผ่านมา จังหวัดส่วนใหญ่ควบคุมการระบาดได้แล้ว ยกเว้น จ.สมุทรสาคร และกรุงเทพฯ

โดยข้อเสนอการปรับพื้นที่ประกาศใช้มาตรการควบคุมแบบบูรณาการ โดยศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินของกระทรวงสาธารณสุข (ศปก.สธ.) ได้สรุปเป็นข้อเสนอดังนี้

ใช้รูปแบบจังหวัดแนวกันชน กับจังหวัดที่มีความเสี่ยงที่จะมีการกระจายโรคไปพื้นที่อื่นๆ แบ่งเป็น 5 ระดับ คือ 1.ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 2.ควบคุมสูงสุด 3.ควบคุม 4.เฝ้าระวังสูงสุด และ 5.เฝ้าระวัง

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า โดยจังหวัดที่ไม่พบผู้ติดเชื้อ จำนวนน้อย และรายอำเภอมีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคภายในและนอกจังหวัดต่างกัน เราให้หลักเกณฑ์จังหวัดอาจพิจารณาให้สีที่สูงกว่าสีของจังหวัดหรือตำกว่าได้ 1 ระดับ เพราะในบางพื้นที่ถ้ามีหลักฐานชัดเจนว่าสถานการณ์แต่ละอำเภอไม่เท่ากัน ภายในจังหวัดอาจจะให้สีที่ต่างไปจากสีของจังหวัดในภาพรวม โดยมีหลักเกณฑ์ดูสถานการณ์การระบาดในจังหวัด จังหวัดที่มีพื้นที่เสี่ยงต่อการลักลอบเดินทางเข้าประเทศก็นำมาพิจารณาด้วยว่าจะให้สีอะไรในจังหวัดนั้น รวมถึงมาตรการเชิงรุกในชุมชนมีสัดส่วนการติดเชื้อมากหรือน้อย ระดับเท่าไหร่น้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ หรือระดับ 1-5 เปอร์เซ็นต์

นพ.เฉวตสรร กล่าวอีกว่า สำหรับมาตรการปิด-เปิด สถานที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ใน จ.สมุทรสาคร สถานที่ให้ปิดและเข้มงวดการควบคุมกำกับ ได้แก่ สถานบริการ สถานประกอบการคล้ายสถานบริการ ผับ บาร์คาราโอเกะ, สนามมวย สถานที่ออกกำลังกายในร่ม ยิม ฟิตเนส ,สนามชนไก่ ชนวัว กัดปลา บ่อน สนามพระเครื่อง, กิจการอาบน้ำ อาบอบนวด สปา นวดแผนไทย ,โรงเรียน โรงเรียนกวดวิชา สถาบันการศึกษา ,สนามเด็กเล่น สวนสนุก เครื่องเล่นเด็ก ตู้เกมส์ ร้านเกมส์ ร้านอินเตอร์เน็ต ,การประชุม งานเลี้ยง กิจกรรมประเพณีที่มีการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก การจัดงานแสดงสินค้า และสถานีขนส่งสาธารณะ

ส่วนการเปิดสถานที่ เข้มงวดมาตรการป้องกันโรค ได้แก่ ตลาด ตลาดนัด จำกัดจำนวนผู้ใช้บริการ และกำกับการเว้นระยะห่าง , ร้านอาหารให้ซื้อกลับไปบริโภคที่อื่นเท่านั้น และเปิดไม่เกิน 21.00 น. , ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า จำกัดเวลาเปิดไม่เกิน 21.00 น. , ศูนย์เด็กเล็กและสถานที่พักผู้สูงวัย เฉพาะเข้าพักเป็นการประจำ , สถานประกอบการ โรงงาน พร้อมกำกับมาตรการป้องกันโรคในองค์กร จัดให้มีระบบติดตามตัวของผู้เดินทางเข้าออกทุกคน

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า สำหรับแนวทางการผ่อนคลายมาตรการควบคุมแบบบูรณาการ ในกลุ่มสถานบริการ ผับ บาร์ คาราโอเกะ ในพื้นที่สีแดงให้ซื้อกลับไปทานที่อื่น พื้นที่ควบคุมนั่งทานอาหารได้แบบเว้นระยะห่างไม่เกิน 23.00 น. จำกัดเวลาจำหน่าย ดื่มสุรา ไม่เกิน 23.00 น. แสดงดนตรีได้งดการเต้นรำ พื้นที่เฝ้าระวังสูงจำกัดเวลาจำหน่าย ดื่มสุราไม่เกิน 24.00 น. ส่วนพื้นที่เฝ้าระวังเปิดบริการได้ จำกัดเวลาตามที่กฎหมายกำหนด จำหน่าย ดื่มสุราในร้านตามที่กฎหมายกำหนด แสดงดนตรี เต้นรำ เน้นการเว้นระยะห่าง เป็นต้น

นพ.เฉวตสรร กล่าวอีกว่า ในส่วนร้านอาหาร จำหน่ายอาหาร เครื่องดื่ม ให้นั่งรับประทานอาหารได้ จำกัดจำนวนคนต่อโต๊ะ ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดจำกัดเวลาไม่เกิน 23.00 น. งดดื่มสุราในร้าน (ซื้อกลับบ้านได้) พื้นที่ควบคุมจำกัดเวลาจำหน่าย ดื่มสุราไม่เกิน 23.00 น. พื้นที่เฝ้าระวังสูงสุด จำกัดเวลาจำหน่าย ดื่มสุราไม่เกิน 24.00 น. และพื้นที่เฝ้าระวังเปิดบริการได้ จำกัดเวลาตามที่กฎหมายกำหนด จัดระเบียบการเข้าใช้บริการ

ขณะที่ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ทั้งพื้นที่ควบคุมสูงสุด พื้นที่ควบคุม พื้นที่เฝ้าระวังสูงสุด และพื้นที่เฝ้าระวัง ให้เปิดบริการได้ตามเวลาปกติ ภายใต้มาตรการที่กำหนด งดจัดกิจกรรมที่มีผู้ร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมากในสถานที่ จำกัดจำนวนผู้ร่วมกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก ขณะที่ศูนย์แสดงสินค้าศูนย์ประชุม จัดนิทรรศการ เปิดให้บริการได้ตามเวลาปกติภายใต้มาตรการป้องกันโรคที่กำหนด จำกัดจำนวนผู้ร่วมกิจกรรมตามขนาดพื้นที่ไม่น้อยกว่า 1 ตรม./คน ซึ่งทั้งหมดเป็นฉบับร่างที่จะนำเสนอในการพิจารณาผ่อนคลายมาตรการในวันศุกร์ที่ 29 ม.ค.นี้

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan ถึงภาพรวมเหตุการณ์โควิด-19 ในรอบ 1 ปีไว้อย่างน่าสนใจ โดยมีเนื้อหาว่า...

เราวิ่งมาราธอนมาถึงครึ่งทางแล้ว เราน่าจะผ่านจุดสูงสุดและกำลังวิ่งในครึ่งทางหลัง ใน 1 ปีที่ผ่านมาสรุปได้ว่า

1.) โควิด-19 เป็นโรคระบาดที่รุนแรงและกว้างขวางทั่วโลกในรอบ 100 ปีนับจากไข้หวัดใหญ่สเปน

2.) โรคได้ระบาดอย่างกว้างขวางทั่วโลก เป็นการระบาดใหญ่ทั่วโลกพบในทุกประเทศเริ่มจากอู่ฮั่น

3.) ทางตะวันตกระบาดมากกว่าทางตะวันออก ทั้งนี้เพราะทางตะวันออกน่าจะกลัวตายมากกว่าทางตะวันตก มีการปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัด

4.) ไม่ว่าจะปิดประเทศหรือไม่เปิดประเทศ เศรษฐกิจตกต่ำกันถ้วนหน้า การเดินทางระหว่างกันและกันลดลง

5.) ความรุนแรงของโรคจะพบในผู้สูงอายุและมีปัจจัยเสี่ยงในเด็กความรุนแรงน้อยกว่าผุ้ใหญ่และผู้สูงอายุ

6.) อัตราตายโดยเฉลี่ยประมาณ 2% หรือน้อยกว่า หลังจากที่ทั่วโรคมีรายงาน 100 ล้านคน เชื่อว่ามีผู้ป่วยอาการน้อยหรือไม่มีอาการตกสำรวจจำนวนมาก มีผู้เสียชีวิต 2.1 ล้านคน

7.) ประมาณหนึ่งในสาม การติดเชื้อเป็นแบบไม่มีอาการจึงยากต่อการควบคุมโรค

8.) วิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ได้มีแนวทางปฏิบัติจนคุ้นเคย ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือ กำหนดระยะห่าง

9.) ผลของวิถีชีวิตใหม่ ทำให้โรคระบบทางเดินหายใจลดลงอย่างมาก

10.) เราเริ่มเห็นแสงในการควบคุมหลังจากการพัฒนาวัคซีนและนำไปใช้ได้จริง โดยเริ่มตั้งแต่กลางเดือนธันวาคมจนปัจจุบัน มีการฉีดวัคซีนแล้วกว่า 60 ล้านโดส

11.) ประเทศอิสราเอลเป็นประเทศที่ฉีดวัคซีนของไฟเซอร์ต่อจำนวนประชากรมากที่สุด (1 ใน 3 ของประเทศ) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ฉีดวัคซีนไปแล้ว 1 ใน 4 ของประชากรใช้วัคซีนเชื้อตายของจีน Shinopham

12.) ประสิทธิผลการป้องกันโรคในอิสราเอลเริ่มเห็นผล ในผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปีที่ได้รับวัคซีนมีป่วยที่ต้องเข้าโรงพยาบาลน้อยกว่าผู้ไม่ได้รับวัคซีนถึงร้อยละ 60

13.) แสดงว่าวัคซีนลดการป่วยที่รุนแรง อย่างน้อยไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลและลดการเสียชีวิต และเชื่อว่าวัคซีนโควิด-19 ทุกชนิดที่ใช้อยู่ในขณะนี้ก็เช่นเดียวกันสามารถลดความรุนแรงของโรคได้

14.) การลดการระบาดโควิด-19 ได้ ประชากรอย่างน้อยร้อยละ 60 ต้องมีภูมิต้านทานกลุ่ม (Herd Immunity) ภูมิคุ้มกันกลุ่มคิดจากสมการ 1-1/Ro ,Ro คืออำนาจการกระจายโรคที่มีการคำนวณไว้แล้ว อยู่ระหว่าง 2-3 ภูมิคุ้มกันกลุ่มจึงเท่ากับ 1-1/3

15.) เด็กที่อายุน้อยกว่า 18 ปี ขณะนี้ยังไม่ให้วัคซีนเพราะยังไม่มีการศึกษาในเด็กกลุ่มดังกล่าว และการติดโรคในเด็กมีอาการน้อย

16.) สตรีตั้งครรภ์ วัคซีนโควิด-19 เป็นวัคซีนใหม่ยังไม่แนะนำให้ เว้นเสียแต่ถ้ามีการระบาดมากหรือสตรีนั้นมีความเสี่ยงสูง ก็ให้ชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบผลได้และผลเสียและให้ข้อมูลให้ผู้รับวัคซีนตัดสินใจ

17.) การให้วัคซีนพร้อมวัคซีนอื่นโดยหลักการน่าจะให้ได้ แต่วัคซีนนี้เป็นวัคซีนใหม่ เมื่อเกิดการแทรกซ้อนจะไม่ทราบว่าเกิดจากวัคซีนอะไร จึงแนะนำให้วัคซีนนี้ห่างจากวัคซีนอื่นอย่างน้อย 14 วัน

18.) วัคซีนโควิด-19 จะให้ 2 ครั้ง ยกเว้นในอนาคตอาจมีวัคซีนให้เพียงครั้งเดียวหรือ 3 ครั้ง ชนิดของวัคซีนที่ให้ควรเป็นวัคซีนยี่ห้อเดียวกันทั้ง 2 เข็ม ไม่ควรสลับยี่ห้อของวัคซีนจนกว่าจะได้มีการศึกษาแล้ว

19.) ถ้าป่วยเป็นโรคโควิด-19 แล้วฉีดวัคซีนได้หรือไม่ ผู้ที่เป็นโควิด-19 แล้วยังมีข้อมูลยังไม่มากพอและพบว่าผู้ที่มีอาการน้อย ภูมิต้านทานต่ำ และตรวจไม่ได้หลัง 6 เดือน ถ้าจะให้วัคซีนจะต้องให้หายป่วยและพ้นการกักตัวแล้ว ส่วนมากหลังหายจากโรคโควิด-19 ใน 3 เดือนแรก โอกาสจะเป็นโรคเป็นแล้วเป็นอีกเกิดขึ้นได้น้อยมาก

การให้วัคซีนในผู้ที่เป็นโรคมาแล้ว ผู้ที่มีอาการน้อยหรือไม่มีอาการ การให้วัคซีนในกลุ่มนี้ไม่ได้มีปัญหาหรือข้อห้าม และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตรวจภูมิต้านทานก่อนฉีดแต่อย่างใด และการให้วัคซีนในผู้ที่เคยเป็นโรคมาแล้วไม่มีอันตรายเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

20.) เมื่อให้วัคซีนแล้วมีโอกาสติดเชื้อหรือเป็นโรคได้หรือไม่ ตอบได้เลยว่าไม่มีวัคซีนไหนที่ป้องกันได้ 100% เมื่อฉีดวัคซีนแล้วจึงมีโอกาสติดโรคและอาจป่วยได้ หลักฐานปัจจุบันเชื่อว่าวัคซีนทำให้อาการป่วยน้อยลง

21.) ฉีดวัคซีนแล้วคงจะต้องปฏิบัติตนแบบวิถีชีวิตใหม่จนกว่าประชากรส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดมีภูมิต้านทานและไม่มีการระบาดของโรค ดังนั้นจึงยังต้องสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ และกำหนดระยะห่างของบุคคลและสังคมต่อไป

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ


ที่มา:

https://www.facebook.com/108692177438990/posts/240196690955204/

ศาลเลื่อนนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีกบฏ กปปส. ชุด 4 ส. ออกไปอีก ระบุคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังไม่แล้วเสร็จ พร้อมนัดอ่านคำพิพากษาใหม่อีกครั้ง ในวันที่ 6 พ.ค. นี้ เวลา 9.00 น.

ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีกบฏ กปปส. สำนวนแรก ชุด 4 ส. หมายเลขดำ อ.1191/2557, อ.1298/2557, อ.1328/2557 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม, นายสกลธี ภัททิยกุล, นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ และนายเสรี วงศ์มณฑา เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันเป็นกบฏและข้อหาอื่น ๆ กรณีจำเลยร่วมกันชุมนุมกับกลุ่ม กปปส. ขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อปี 2556-2557

โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2562 ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสี่ สำหรับวันนี้มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส. เดินทางมาให้กำลังใจที่ศาลพร้อมกับจำเลยทั้งสี่

นายสุเทพ ให้สัมภาษณ์เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดีที่เกี่ยวข้องกับ กปปส. ขณะนี้ว่า มีคนที่ถูกดำเนินคดีแยกกันออกไป บางคดีจบในศาลชั้นต้น บางคดีถึงศาลอุทธรณ์ จำนวนหนึ่งไปถึงศาลฎีกา มีการทยอยอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาบ้างแล้ว บางรายถูกลงโทษจำคุก เพราะศาลพิจารณาพยานหลักฐานว่าเป็นการขัดขวางการเลือกตั้ง บุกรุกสถานที่ราชการ มี 4 รายถูกลงโทษจำคุกและได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานอภัยโทษออกจากคุกมาแล้ว บางคนยังรับโทษไม่รอลงอาญา เสียชีวิตไปก็มี

ที่ผ่านมาเราเคลื่อนไหวทำงานให้ประเทศชาติบ้านเมืองก็ถูกดำเนินคดี วันนี้เป็นคดีกบฏเล็ก 4 คน ศาลชั้นต้นยกฟ้องไปแล้ว แต่อัยการอุทธรณ์ ศาลจึงนัดฟังคำพิพากษา ส่วนคดีชุดใหญ่อีก 39 คน ศาลนัดอ่านคำพิพากษาวันที่ 24 ก.พ. นี้ เราต่อสู้คดีตามปกติ เคารพยึดมั่นในกระบวนการยุติธรรม ต่อสู้ตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา

นายสุเทพ ยังได้ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับม็อบในปัจจุบัน โดยระบุเพียงว่า ตนไม่สามารถแนะนำใครได้ในการต่อสู้ทางการเมือง แต่ละฝ่ายมีความคิด มีความเชื่อ มีเป้าหมายต่างกัน แต่กฎหมายก็คือกฎหมาย ทุกคนจะคิดอ่านอย่างไรก็ไม่เป็นไร เป็นสิทธิเสรีภาพ แต่การใช้สิทธิเสรีภาพต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย

พร้อมระบุว่า ตนไม่วิพากษ์วิจารณ์กล่าวร้ายคนอื่น แต่เรียนว่าเป็นคนไทยต้องเคารพกฎหมายไทย

อย่างไรก็ตาม ต่อมาศาลได้เลื่อนนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วันนี้ออกไปก่อน เนื่องจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังไม่แล้วเสร็จ โดยศาลอาญาได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ใหม่อีกครั้ง ในวันที่ 6 พ.ค. นี้ เวลา 9.00 น.

กระทรวงแรงงานจับมือเอกชน นำโดรนมาใช้ในการพัฒนาเกษตรกร สร้างนักขับภาคเกษตร ตั้งเป้าหมายให้นำโดรนไปใช้ในขั้นตอนการเพาะปลูก ใส่ปุ๋ย ฉีดพ่นสารกำจัดศัตรูพืช ช่วยลดต้นทุน เพิ่มมูลค่าของสินค้า

นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กำลังแรงงานภาคเกษตรเป็นอีกหนึ่งกลุ่มเป้าหมายที่กพร. ให้ความสำคัญในการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน เนื่องจากเป็นฐานรากสำคัญของระบบเศรษฐกิจของประเทศ และสร้างรายได้จากการส่งออกสินค้าเป็นจำนวนมาก

และเพื่อให้การพัฒนาทักษะฝีมือของกำลังแรงงานภาคการเกษตรสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน มีทักษะสูง สามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่และเข้าถึงโอกาสในการทำงานที่มีคุณค่า สร้างรายได้ที่มั่นคง

กพร.ได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงแรงงานโดยนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน มุ่งเน้นให้กพร.ใช้แนวทางประชารัฐร่วมมือกับภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา พัฒนาทักษะฝีมือให้เป็นแรงงานคุณภาพป้อนสู่ตลาดแรงงาน

ซึ่งความร่วมมือกับบริษัท แอโร กรุ๊ป (1992) จำกัด ในการพัฒนาแรงงานภาคเกษตร เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและนโยบายกระทรวงแรงงานดังกล่าว

นายธวัช กล่าวต่อไปว่า ความพิเศษของความร่วมมือในครั้งนี้ คือได้นำเทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับ (Drone) มาใช้ในการพัฒนาเกษตรกร โดยตั้งเป้าหมายให้เกษตรกรนำโดรนไปใช้ในขั้นตอนการเพาะปลูก ใส่ปุ๋ย ฉีดพ่นสารกำจัดศัตรูพืช ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน เพิ่มมูลค่าของสินค้า และลดความเสี่ยงอันตรายในระหว่างการปฏิบัติงาน ใช้หลักสูตรการฝึกอบรม สาขาผู้บังคับหรือปล่อยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (Drone) เพื่อการเกษตร ระยะเวลาการฝึกอบรม 18 ชั่วโมง

ผู้เข้าอบรมจะได้เรียนรู้ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติอากาศยานไร้คนขับ เช่น ส่วนประกอบของโดรน การเปลี่ยนชิ้นส่วน การใช้เครื่องบังคับ การผสมสารเพื่อใช้ในการพ่นยา ความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน การทำใบอนุญาตและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ในปี 2563 ดำเนินการฝึกอบรมในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม ระยอง พิษณุโลก พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี และนครราชสีมา มีผู้ผ่านการฝึกอบรม 252 คน

สำหรับในปี 2564 มีแผนฝึกอบรมเพิ่มเติมอีก 10 จังหวัด ได้แก่ นครนายก เพชรบุรี นครสวรรค์ ลำปาง แพร่ พะเยา เชียงใหม่ เชียงราย น่าน และอุบลราชธานี คาดว่าจะสร้างนักขับโดรนภาคเกษตรได้ทั้งประเทศในปี 2564 นี้

“สำหรับแผนการฝึกอบรมปี 2564 ใน 10 จังหวัด ต้องปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ เมื่อสถานการณ์ดีขึ้นจัดให้มีการฝึกอบรมตามแนวทางป้องกันการแพร่ระบาด หลักสูตรดังกล่าวมีผู้ให้ความสนใจเข้าฝึกอบรมจำนวนมากในแต่ละจังหวัด จึงเชิญชวนผู้สนใจติดตามข่าวสารของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานผ่านทางช่องทาง www.dsd.go.th. และ www.facebook.com/dsdgothai เมื่อเปิดรับสมัครจะได้แจ้งให้ทราบโดยเร็วที่สุด” อธิบดีกพร. กล่าว

ดีอีเอส ร่วมตำรวจ ศปอส.ตร.รุกหนักจับพวกเปิดเว็บพนันออนไลน์ต่อเนื่อง พบ 4 เดือน ได้ผู้ต้องหา 170 ราย เงินหมุนเวียนในระบบกว่า 4 หมื่นล้านบาท

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยผลการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) ประสานร่วมกับ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สํานักงานตํารวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) ดำเนินการปราบปรามการกระทำความผิดลักลอบเปิดเว็บพนันออนไลน์ มอมเมาประชาชนซึ่งได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 21 ม.ค. 2564 ที่ผ่านมา พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ศปอส.ตร. นำกำลังชุดเฉพาะกิจ ศปอส.ตร และกำลังตำรวจภูธรภาค 6 เข้าตรวจค้นสถานที่ตั้งเว็บพนันทั่วประเทศ จำนวน 18 จุด ทั่วประเทศ สามารถจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางในเขตพื้นที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว จับกุมผู้กระทำผิดได้ 80 ราย พบเงินหมุนเวียนกว่า 1,000 ล้านบาทต่อเดือน

เมื่อสรุปผลการตรวจค้นและจับกุมเว็บไซต์พนันออนไลน์ ตั้งแต่ 1 ต.ค. 2563 ถึงปัจจุบัน ม.ค. 2564 ระยะเวลา 4 เดือน ดำเนินการจำนวน 11 ครั้ง จับกุมผู้ต้องหาได้ 170 คน ซึ่งส่วนใหญ่รับแจ้งผ่านเพจอาสาจับตาออนไลน์ และรับแจ้งโดยตรง รวม 330 URLs พบเงินหมุนเวียนในระบบ กว่า 40,000 ล้านบาท

นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กำชับกระทรวงดิจิทัลฯและพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ให้ปราบปรามการพนันทุกรูปแบบ โดยเฉพาะปัจจุบันมีการเล่นพนันออนไลน์มากขึ้น จึงต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง จริงจัง เพราะถือเป็นการมอมเมาประชาชน โดยเฉพาะเยาวชน สร้างความเสียหายแก่ครอบครัวและประเทศชาติ

ทั้งนี้ผู้ที่มีเบาะแสพนันออนไลน์สามารถแจ้งเข้ามาได้ที่เพจ อาสา จับตา ออนไลน์ m.me/DESmonitor และสายด่วน 1599 ตลอด 24 ชม. หรือ เบอร์ 081-8663000 ในเวลาราชการ

ไม่บ่อยนักที่ วิมล ไทรนิ่มนวล นักเขียนรางวัลซีไรต์ จะออกมาพูดถึงสถานการณ์ในบ้านเมือง หากไม่ได้มีประเด็นสะเทือนใจสังคมเท่าไรนัก ล่าสุดได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก วิมล ไทรนิ่มนวล เป็นนัยยะให้ขบคิดต่อว่า...

“ชาติสุดท้ายที่ได้เป็นคน”

เป็นมหาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของประเทศ แต่ไม่เคยสร้างคุณงามความดีให้แก่ประเทศชาติเลย

ตรงกันข้ามกลับกอบโกยคดโกงทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ตนและครอบครัวจะทำได้

‘รุกป่าสงวน หนีภาษี ติดสินบน’

ขูดรีดแรงงานกับคนงานที่สร้างความมั่งคั่งให้ครอบครัว ทั้งที่ตัวเองแหกปากทุกวันเรื่องความเป็นธรรมและความเท่าเทียมในสังคม...ตามอุดมการณ์ของลัทธิมาร์กซ์ที่ตนบูชา (และท่องจำมาชี้นิ้วตัดสิน สร้างเรื่องเท็จ โจมตี ใส่ร้ายคนอื่น เพื่อการขึ้นสู่อำนาจของตน)

นับแต่วันที่ปรากฏตัวต่อสาธารณชน ก็ละเลงขนมเบื้องด้วยปากมาตลอดจนถึงวันนี้ ให้สาวกสรรเสริญและฟินว่าจะทำนั่น สร้างนี่ แต่ไม่เคยทำอะไรเลย กลับหาเรื่องด่า หาเรื่องบ่อนทำลายคนที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ

ฝึกตน - สร้างตนด้วยการคิด พูด ทำ ไว้อย่างไรก็จะมีคุณสมบัติความเป็นคนอย่างนั้น

เมื่อนับวันคุณสมบัติความเป็นคนน้อยลง เพราะทำชั่วไม่หยุด สุดท้ายก็จะไม่เหลือความเป็นคนทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่

เมื่อตายไปก็จะตกอยู่ในอบายภูมิ โอกาสที่จะเกิดเป็นคนได้อีกนั้นเป็นเรื่องยาก

แม้เป็นมาร์กซิสม์ ไม่เอาศาสนา ก็ไม่รอดจากวิบาก เพราะธรรมชาติของจิตนั้นไม่ขึ้นกับลัทธิใดๆและไม่ขึ้นกับตัวศาสนาเองด้วย

ตอนนี้ก็กำลังตกนรกอยู่เห็นๆ!

ก็ไม่แน่ใจว่า วิมล ไทรนิ่มนวล จะกล่าวข้อความนี้ถึงใคร

แต่น่าจะหาคำตอบไม่ยากกระมัง


ที่มา: https://www.facebook.com/100002386922271/posts/3699615120128016/


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top