Tuesday, 10 June 2025
Politics

‘ยายบวน โล่ห์สุวรรณ’ วัย 89 ปี เลือกวิธีคืนเบี้ยคนชรา แบบไม่มีดอกเบี้ย แต่ขอเวลา 20 เดือน จะหาเงินมาคืนให้หมด ยืนยันไม่เปิดบัญชีรับบริจาคกลัวบานปลายเป็นดราม่า แต่ไม่ปิดกั้นหากคนจะช่วยเหลือ ให้มาคุยกับทางครอบครัวได้

ความคืบหน้ากรณีที่นางบวน โล่ห์สุวรรณ อายุ 89 ปี พร้อมด้วยนางลัดดาวรรณ โล่ห์สุวรรณ อายุ 66 ปี ลูกสาว ชาวตำบลเจริญสุข อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ ได้ออกมาร้องขอความช่วยเหลือ หลังจากเจ้าหน้าที่ อบต.ได้มาแจ้งว่ามีหนังสือจากกรมบัญชีกลางมาทวงเงินเบี้ยผู้สูงอายุ ที่จ่ายให้กับนางบวน ผู้เป็นแม่ย้อนหลังเป็นเวลา 10 ปีคืน รวมเป็นเงิน 84,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยด้วย เพราะเป็นการจ่ายซ้ำซ้อน เนื่องจากยายบวน ได้รับเงินบำนาญพิเศษกรณีที่ จ.ส.อ.จักราวุทธ โล่ห์สุวรรณ ลูกชายซึ่งเป็นทหารสังกัด มทบ.21 นครราชสีมา เสียชีวิตจากกรณีคลังแสง อ.ปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ระเบิด เป็นจำนวนเงินเดือนละ 5,000 บาท

ทั้งนี้ หลังจากลูกชายเสียชีวิตจากเหตุการณ์คลังแสงระเบิด เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2544 และได้รับเงินบำนาญเพิ่มเป็น 10,000 บาท เมื่อกลางปี 2562 ซึ่งก็สร้างความตกใจให้ยายบวน เพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าหากได้รับเงินบำนาญของลูกชายที่เสียชีวิตแล้ว จะไม่มีสิทธิ์รับเบี้ยผู้สูงอายุ และหากเป็นการจ่ายซ้ำซ้อนทำไมถึงปล่อยให้ล่วงเลยมาจนถึง 10 ปี แล้วเพิ่งจะมาทวงถาม ซึ่งไม่รู้จะหาเงินที่ไหนมาจ่ายคืน จึงอยากวิงวอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือ

กระทั่งเมื่อวานนี้ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 26 พร้อมด้วยผู้กำกับการ สภ.เฉลิมพระเกียรติ นายก อบต.เจริญสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่ไปเยี่ยมให้กำลังใจคุณยายยวน พร้อมทั้งหารือแนวทางในการช่วยเหลือยาย โดยจากการพูดคุยก็ได้เสนอให้คุณยาย และครอบครัวสามารถผ่อนชำระได้ ตามระเบียบที่กำหนดไว้คือ หากผ่อนชำระภายใน 1 ปี จะไม่มีดอกเบี้ย แต่ถ้าเกิน 1 ปี ตามระเบียบก็กำหนดไว้จะต้องคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี

ล่าสุด คุณยายบวน และลูกหลานได้หารือกันแล้ว ตกลงว่า จะหาเงินมาชำระเบี้ยคนชราย้อนหลังคืนตามระเบียบทั้ง 84,400 บาท โดยเลือกแบบไม่มีดอกเบี้ย แต่ทางครอบครัวก็ได้แจ้งทาง อบต.ว่าขอยืดระยะเวลาจาก 1 ปี หรือ 12 เดือน เป็น 20 เดือน เพื่อขอเวลาหาเงินและส่วนหนึ่งก็ต้องแบ่งจากเงินบำนาญพิเศษกรณีลูกเสียชีวิตที่ยายได้รับล่าสุดเป็นเดือนละ 10,000 บาท มารวมกันเพื่อชำระในแต่ละเดือน ซึ่งตอนนี้ก็รอคำตอบจากทาง อบต.ว่าจะสามารถยืดระเวลาจาก 12 เดือน เป็น 20 เดือนได้หรือไม่ แต่หากตามระเบียบไม่สามารถทำได้ทางลูกหลานก็จะพยายามหาเงินมาจ่ายคืนให้ครบทุกบาทตามระเบียบ เพราะทางครอบครัวเข้าใจว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินหลวง

ด้านนางลัดดาวรรณ ลูกสาวยายบวน กล่าวว่า หลังจากนี้จะพยายามหาเงินไปชำระเบี้ยผู้สูงอายุคืนให้ครบทั้งหมด ขณะนี้ก็รอคำตอบจากทาง อบต.ว่าจะสามารถยืดระยะเวลาการชำระแบบไม่มีดอกเบี้ยจาก 12 เดือน เป็น 20 เดือนได้หรือไม่ ยอมรับว่าทั้งแม่และครอบครัวรู้สึกเครียดกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ยืนยันว่าทางครอบครัวจะไม่เปิดบัญชีรับบริจาคเพราะไม่อยากให้เกิดกระแสดรามา

แต่หากใครอยากจะช่วยเหลือก็ให้มาพูดคุยกับคุณแม่หรือลูกหลานที่บ้านด้วยตัวเอง และเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ไม่อยากจะโทษใครอาจจะด้วยความไม่รู้หรือการสื่อสารไม่เข้าใจ ก็ไม่อยากให้เรื่องบานปลาย เพราะห่วงสภาพจิตใจของแม่เพราะอายุมากแล้ว แค่นี้ก็เครียดมากพอแล้ว ก็ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เข้ามาเยี่ยมให้กำลังใจและช่วยเหลือแม่

ขณะที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ก็ได้ลงพื้นที่สอบถามรายละเอียดคุณยายที่บ้าน พร้อมทั้งจะได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อ เพื่อหาแนวทางในการช่วยเหลือคุณยายในอีกทางหนึ่งด้วย

‘บิ๊กป้อม’ ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม แก้ปัญหา PM 2.5 เห็นชอบ EIA โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองกทม., ถนนเลี่ยงเมืองสตูล, ขนส่งระบบราง จ.สงขลา และทางหลวง จ.เลย เน้นย้ำทุกหน่วยงานปฏิบัติตามรายงาน EIA อย่างเคร่งครัด

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 ผ่านระบบวิดีทัศน์ทางไกล ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล

ที่ประชุม ได้ร่วมกันพิจารณาเห็นชอบ รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการที่สำคัญ เพื่อรองรับแผนการพัฒนาท้องถิ่น ภายใต้มาตรการสิ่งแวดล้อมที่เป็นสากล ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองส่วนต่อขยาย ช่วงแยกรัชดา-ลาดพร้าว ถึงแยกรัชโยธิน ของรฟม.,โครงการถนนเลี่ยงเมืองสตูล ของ อบจ.สตูล ,โครงการศึกษาออกแบบระบบขนส่งมวลชนโดยระบบราง ของ อบจ.สงขลา ,

โครงการทางหลวงหมายเลข 203 หล่มสัก-หล่มเก่า-เลยของกรมทางหลวง และเห็นชอบให้ ทส.ปรับปรุงประกาศมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้ง จากท่าเทียบเรือประมงบางประเภท ที่ยังขาดการดูแลบำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำเสียอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง

ที่ประชุม ยังได้พิจารณาเห็นชอบร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2563 ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการคาดการณ์แนวโน้มของสถานการณ์สิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น เช่น พื้นที่เกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้น การใช้พลังงานทดแทน พลังงานหมุนเวียน เพิ่มขึ้น และอัตราส่วนพื้นที่สีเขียวในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น เป็นต้น

สำหรับสถานการณ์ที่ยังน่าเป็นห่วง เช่น พื้นที่ป่าไม้คงที่ แต่พื้นที่ไฟไหม้ รวมทั้งจุดความร้อนสะสมในพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น คุณภาพอากาศเกินค่ามาตรฐาน (PM2.5) ในพื้นที่เมืองใหญ่ ควันจากไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือรุนแรงเพิ่มขึ้น เป็นต้น

พล.อ.ประวิตร ได้กำชับ คณะกรรมการฯ ให้กำกับ ติดตามโครงการที่ผ่านความเห็นชอบแล้ววันนี้ ให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ พร้อมเน้นย้ำให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการต่างๆ ปฏิบัติตามรายงาน EIA อย่างเคร่งครัด และให้ได้ผลตามวัตถุประสงค์อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อส่งเสริมการพัฒนาท้องถิ่นตามนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการยกระดับคุณภาพชีวิต ของพี่น้องประชาชน และช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจและสังคมของประเทศชาติ ต่อไป

‘กรณ์’ รณรงค์หนุน พ.ร.บ.อากาศสะอาด เสนอรัฐบาลหยิบมาพิจารณา ไม่ต้องรอประชาชนเข้าชื่อ พร้อมเสนอคืนภาษีให้ SME เยียวยาคนตัวเล็ก งดเก็บภาษีคนมีเงินเดือนไม่เกิน 40,000 บาท ชี้รัฐบาลมีงบประมาณเพียงพอ

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า พร้อมด้วยนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรค , นายพงศ์พรหม ยามะรัต รองหัวหน้าพรรค และสมาชิกพรรค ลงพื้นที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แจกหน้ากากอนามัยพร้อมแผ่นพับสนับสนุนการผลักดันร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ที่เครือข่ายอากาศสะอาดเสนอ โดยนายกรณ์กล่าวว่า พรรคกล้าช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คนไทยเดือดร้อนกันทั่วประเทศไม่เว้นคนกรุงเทพมหานคร และมองว่าถึงเวลาที่ประเทศไทยจะต้องมีกฎหมาย

เพื่อยืนยันสิทธิ์ประชาชนคนไทยทุกคนที่จะได้รับอากาศบริสุทธิ์ เช่นเดียวกับหลายประเทศที่มีกฎหมายลักษณะนี้ แต่ประเทศไทยไม่มีกฎหมายรองรับสิ่งที่เกิดขึ้น การทำงานของหน่วยงานราชการต่างๆ ไม่สอดคล้องกัน ไม่มี Data ไม่มีข้อมูลที่สอดคล้องกันระหว่างหน่วยงาน จึงทำให้ปัญหาไม่ได้ถูกแก้ไข ที่ผ่านมาหลายปีมีการประกาศเป็นวาระแห่งชาติหลายปีซ้ำซ้อนกัน แต่ก็ไม่มีผล

“พวกเราพรรคกล้า เราได้ลงนามสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ของภาคประชาชน แต่พบว่ายังไม่มีผู้สนับสนุนในจำนวนที่เพียงพอ เพราะฉะนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา รัฐบาลควรหยิบยกร่างกฎหมายของภาคประชาชนที่ร่างไว้เกือบสมบูรณ์แล้ว นำไปเป็นร่างกฎหมายของรัฐบาลและเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ หากทำเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุดจะดำเนินการได้โดยเร็ว เพื่อจะยืนยันว่าประเทศไทยถึงเวลาแล้วที่จะมีกฎหมายยืนยันสิทธิ์ของประชาชนที่จะมีอากาศบริสุทธิ์” นายกรณ์ กล่าว

หัวหน้าพรรคกล้า ยังกล่าวถึงสถานการณ์โรคติดเชื้อโควิด – 19 และแนวทางการเยียวยาของรัฐบาล ว่า ประชาชนต้องการทราบความชัดเจนเกี่ยวกับการรับสิทธิ์ฉีดวัคซีน ซึ่งเบื้องต้นรัฐบาลก็มีการเตรียมการไว้ดีพอสมควร และวางเป้าหมายฉีดวัคซีนครอบคลุมคนไทยอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของประเทศ แต่สิ่งที่ทุกคนรอคอยและเดือนร้อนมากคือเรื่องปาก ซึ่งมาตรการเยียวยาของรัฐบาลที่ออกมาจ่าย 3,500 บาท 2 เดือน ใช้เงินประมาณ 200,000 ล้านบาท เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแต่ไม่เพียงพอ เพราะวงเงินที่รัฐบาลซึ่งพรรคกล้าพูดตั้งแต่ต้นปี ว่ารัฐบาลมีเงินไว้แก้ปัญหานี้โดยเฉพาะอย่างน้อยถึง 600,000 ล้านบาท

นายกรณ์ กล่าวว่า พรรคกล้าจึงนำเสนอ 2 วิธีการ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มที่ถูกมองข้ามไปคือ 1.คืนภาษีให้ผู้ประกอบการขนาดเล็ก SME โดยวัดจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่จ่ายปีนี้ เทียบกับปีก่อนเผชิญโควิด และกำหนดเกณฑ์ให้รัฐชดเชยรายได้ที่ขาดหายไปโดยตรง 2.ยกเว้นภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ช่วยกลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อยแต่ยังเสียภาษีอยู่ คือมีรายได้ไม่เกินเดือนละ 40,000 บาท มีอัตราภาษีเงินได้ส่วนบุคคลอยู่ที่ร้อยละ 10 หรือน้อยกว่า เพื่อให้มีเงินไปดูแลชีวิตครอบครัวได้ ซึ่งคนกลุ่มนี้ประมาณ 3 ล้านคน เป็นวงเงินประมาณ 50,000 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลมีเงินเหลือเฟือเพียงพอที่จะช่วยเยียวยาคนกลุ่มนี้

“รัฐบาลต้องเร่งใช้งบประมาณส่วนที่เหลือนี้ ช่วยเหลือประชาชนในช่วงก่อนจะเข้าถึงการฉีดวัคซีน เขาต้องอยู่รอด ไม่เช่นนั้น เมื่อคนไทยทุกคนได้รับวัคซีน กลับไปสู่วิถีชีวิตที่มีความเป็นปกติมากขึ้น แต่ว่าธุรกิจตายหมดแล้ว ประชาชนทั่วไปหนี้ท่วมหัว ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เศรษฐกิจมันก็ไม่ฟื้น เพราะฉะนั้นช่วงนี้ทำให้ประชาชนและผู้ประกอบการขนาดเล็ก ให้เขาอยู่ได้ จนกระทั่งคนไทยได้รับวัคซีนแล้วกลับไปใช้ชีวิต” นายกรณ์ กล่าว

‘บิ๊กตู่’ เตรียมฟันแก๊งขนแรงงานเถื่อน โยนคณะกรรมการศึกษาข้อดี-เสีย ในการเปิดบ่อนถูกกฎหมาย ย้ำสิ่งสำคัญคือประชาชนต้องยอมรับได้ คาดบ่อนถูกกฎหมายอาจมาในรูปแบบที่พัก พร้อมศูนย์ประชุม คล้ายบ่อนคาสิโนของต่างประเทศ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ได้รับการร้องเรียนเรื่องบ่อนการพนันมากว่า 200 เรื่องว่า เรื่องดังกล่าวเป็นประโยชน์และอยู่ในขั้นตอนกระบวนการดำเนินการ ซึ่งพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้รายงานขั้นตอนดำเนินงานต่อไปแล้ว ตนขอเรียนว่าช่วงที่ผ่านมาตำรวจ ก็มีผลงานในการจับกุมคดีต่าง ๆ มากมาย ไม่ใช่ว่าจะปล่อยประละเลย

ทั้งนี้ การจะสรุปว่าใครผิดหรือใครถูกต้องขึ้นอยู่กับหลักฐาน ซึ่งข้อมูลข่าวสารที่ได้มาเท่าที่ได้สอบถามมีคนให้ข้อมูลเรื่องบ่อนการพนันมาจำนวนมาก และข้อมูลที่ว่าบางทีก็เกิดขึ้นมา 3-4 เดือน ซึ่งก็จะต้องไปสอบสวนต่อว่าใช่หรือไม่ หลายคนยืนยันว่าใช่ แต่พอขอให้รับรองในคำร้องเรียนข้อเท็จจริงดังกล่าว ไม่มีใครยอมลงนามกันสักคน อย่างไรก็ตามตนก็ยืนยันว่าจะต้องสอบเรื่องทุกเรื่องที่ร้องเรียนเข้ามาทั้งหมด

“เราต้องช่วยกันแก้ทุกปัญหาที่เกิดในประเทศไทยมายาวนาน ทุกวันนี้ก็แก้อยู่หลายอย่าง ทั้งเรื่องแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย เรื่องจดทะเบียนขึ้นทะเบียนแรงงาน ซึ่งปัจจุบันได้ใช้ระบบไบโอแมทริกซ์ เข้ามาช่วย หลายอย่างก็จะดีขึ้น ปัญหาหลายอย่างเกิดขึ้นมานาน โทษใครก็ไม่ได้ รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ และกำลังดำเนินการทุกเรื่องให้ไปสู่การขับเคลื่อน แต่ขอให้เข้าใจว่าการปฏิบัติงานไม่ใช่เรื่องง่าย จะมาตอบถึงการแก้ไขภายใน 1-2 วันได้ โดยวันนี้ก็มีรายงานสรุปเรื่องแรงงานต่างด้าว ว่ามีใครเกี่ยวข้องในการกระทำผิดบ้าง ผมก็สั่งลงโทษคนที่ทำผิดทั้งหมด” พล.อ.ประยุทธ กล่าว

เมื่อถามว่า คณะกรรมการที่นายกฯ ตั้งขึ้นให้ศึกษาถึงข้อดีข้อเสียของการเปิดบ่อนการพนันถูกกฎหมายเป็นอย่างไร พล.อ.ประยุทธ กล่าวว่า เป็นเรื่องของคณะกรรมาการศึกษาดูว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร ข้อสำคัญที่สุดคือประชาชนยอมรับได้หรือไม่ ก็มีอยู่ 2 ลักษณะคือ 1.บ่อนที่ถูกกฎหมาย ก็คงไม่ใช่บ่อนเพียงอย่างเดียว จะต้องเป็นเรื่องของที่พัก ในห้องประชุมก็เหมือนบ่อนคาสิโนของต่างประเทศ คนที่เข้ามาเล่นในบ่อนจะต้องมีหลักทรัพย์ที่เพียงพอ และต้องมีการรับรองการเงินต่างๆ

ซึ่งส่วนนี้ถ้าเปิดได้จริง ๆ คนในส่วนนี้จะได้ไม่ต้องไปเล่นต่างประเทศ แต่ในส่วนอื่นตนก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป เพราะมันมีทั้งบ่อนขนาดเล็ก ในส่วนของคนที่ชอบเล่นแต่เข้าไม่ถึง อาจจะมีการแอบเล่นกันอีกหรือไม่ เพราะว่ามันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ด้วย

“ปัญหาต่าง ๆ มีมากมาย ข้อสำคัญคือคนไทยเราจะคิดอย่างไรกันต่อไป ในการแก้ปัญหาให้เกิดความยั่งยืนไม่ใช่ว่าทำอันนึงแล้วจะแก้ปัญหาได้ทั้งหมด มันมีหลายอย่างที่ทับซ้อนกันอยู่ข้างใน เพราะฉะนั้นรัฐบาลจำเป็นที่จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยในส่วนนี้ก็ต้องมองว่าคนไทยเราจะเดินหน้าประเทศกันไปอย่างไร ให้ทัดเทียมกับประเทศอื่นเขา มีหลายหลายอย่างก็ต้องปรับตัวเอง ผมยังตัดสินอะไรไม่ได้ เมื่อมีบ่อนถูกกฎหมายแล้วจะดีหรือไม่ดีก็ต้องให้คณะกรรมาธิการศึกษากันมาก็แล้วกัน” พล.อ.ประยุทธ กล่าว

สคบ. เตรียมประสาน กสทช. หาช่องคุมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทุกชนิด กันอวดอ้างสรรพคุณและราคาสูงสูงเกินจริง คาดอาจทำให้เหมือนโฆษณาสุรา คือห้ามโฆษณาหรือโฆษณาได้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม

นายพิฆเนศ ต๊ะปวง รองเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผยว่า สคบ.เตรียมประสานกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อร่วมกันหารือถึงแนวทางการควบคุมโฆษณาสินค้าทางโทรทัศน์ รวมไปถึงสื่อต่าง ๆ

โดยเฉพาะการโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทุกชนิด เพราะที่ผ่านมาพบว่า มีการโฆษณากันอย่างแพร่หลาย บางประเภทมีการอวดอ้างสรรพคุณที่อาจเกินความจริง ซึ่งถือว่ามีความผิดตามกฎหมายของสคบ. ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องปรามไม่ให้เกิดกรณีอย่างนี้ขึ้น จึงจำเป็นต้องมาร่วมกันหาทางป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคถูกหลอกลวงในช่วงนี้

“กฎหมายว่าด้วยโฆษณาของสคบ. มีการกำหนดไว้ชัดเจน เรื่องลดแลกแจกแถม ซื้อ 1 แถม 1 ต้องทำตามข้อปฏิบัติ ไม่เกินจริง หากผิดก็มีบทลงโทษ ซึ่งปัจจุบันนี้มีหลายสินค้าที่โฆษณาอวดอ้างสรรพคุณเกินจริงมาก บางครั้งอาจเข้าข่ายมอมเมาได้ด้วย

สคบ.จึงเตรียมคุยกับ กสทช. ว่าจะมีวิธีควบคุมอย่างไร ถ้าหนักที่สุดก็อาจทำให้เหมือนโฆษณาสุราเลยก็ได้ คือห้ามโฆษณา หรือโฆษณาได้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคถูกหลอก ซึ่งที่ผ่านมาสคบ.เคยได้รับการร้องเรียนในลักษณะนี้มาบ้างแล้ว และเมื่อได้ข้อสรุปร่วมกันจะเสนอเรื่องนี้ให้กับที่ประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือคคบ. ที่มีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเห็นชอบออกเป็นประกาศออกมา”

นอกจากการโฆษณาแล้ว ยังเป็นห่วงกรณีเรื่องการตั้งราคาสินค้าสูงเกินจริง ล่าสุด สคบ.กำลังยกร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการโฆษณาลดราคาโดยการเปรียบเทียบกับราคาก่อนหน้า เพื่อเข้าไปควบคุมการโฆษณาที่กระทำโดยวิธีการกำหนดราคาดั้งเดิมปลอม หรือเฟค ออร์ริจินอล ไพรซ์ เพราะปัจจุบันการโฆษณาดังกล่าวแพร่หลายในสื่อต่างๆ อย่างมาก ทั้งรายการทีวี ทีวีดาวเทียม สื่อออนไลน์ และโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งสคบ. จะนำกรณีศึกษาของต่างประเทศมาพิจารณา คาดว่าเร็ว ๆ นี้จะได้ข้อสรุป

‘บิ๊กตู่’ หวั่น ไทม์ไลน์ฉีดวัคซีนโควิด เลื่อน ขออย่าโยงการเมืองและสถาบัน มั่นใจสยามไบโอไซน์ มีมาตรฐานดีที่สุด ติงม็อบไม่ใช่เวลามาชุมนุม แนะ ‘ธนาธร’ ฟังชี้แจงจัดซื้อวัคซีนในสภา ยืนยันไม่เคยต้องการใช้ ม.112 ปิดปากใคร

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงข่าวภายหลังการประชุมสภากลาโหมต่อกรณีการชุมนุมเกี่ยวเนื่องกับวัคซีนโควิด-19 ว่า บอกว่ายังไม่ใช่เวลานี้ ต้องเข้าใจว่าการที่จะใช้วัคซีนต้องมีการตรวจสอบให้ชัดเจน เพราะเราต้องระมัดระวังผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งขณะนี้เราก็ทำตามไทม์ไลน์ที่เรากำหนดอยู่แล้ว ไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง ซึ่งรัฐบาลก็พยายามทำอย่างเต็มที่ ด้วยหลักทางด้านสาธารณสุขและกรรมการโรคระบาด และอ.ย.ต้องมีความชัดเจนเกิดขึ้น

"ไม่อยากให้เกี่ยวพันกับเรื่องการเมืองหรือเรื่องอื่นเพราะอันตราย เนื่องจากเราไม่ใช่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์วัคซีน เราเพียงแต่อยู่ในวงโซ่การผลิตของเขา และของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ภายนอกและการนำเข้ามา จำเป็นต้องมีโรงงานในการผลิต ซึ่งเป็นการรับจ้างการผลิตบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ขออย่านำไปเกี่ยวข้องกับสถาบันอะไรทั้งสิ้น ให้เป็นเรื่องของการดำเนินการทางธุรกิจ เนื่องจากบริษัทนี้เป็นบริษัทที่อยู่ในพระปรมาภิไธย รัฐบาลจำเป็นต้องขอพระราชทานเพื่อเข้ามาอยู่ในการพิจารณาการผลิตวัคซีน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

กรณีเรื่องของงบประมาณ รัฐบาลก็ดำเนินการทั้งสิ้นในการเพิ่มขีดความสามารถของโรงงาน ทั้งนี้มีอยู่หลายโรงงานที่เสนอมาผลิตวัคซีน และได้ตรวจสอบทุกโรงงานแล้ว พบว่ามาตรฐานที่ดีที่สุดก็คือของสยามไบโอไซน์ คือสิ่งที่อยากชี้แจงให้ทราบ ไม่ได้เกี่ยวกับอะไรทั้งสิ้น อยากให้เข้าใจตรงนี้ เรื่องการชุมนุมก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่อย่าให้เกิดผลกระทบกับคนอื่นแล้วอย่าทำผิดกฎหมายซึ่งรัฐบาลก็รับได้

เมื่อถามว่า ต่อไปนี้จะมีการบังคับใช้กฎหมาย 112 ทุกรายใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า คนละเรื่องกันต้องเข้าใจว่ากฎหมายมีทุกมาตรา ที่ผ่านมาในช่วงแรกได้ให้โอกาสแล้ว

"ไม่ต้องการใช้ ม.112 ปิดปากคนหรือทำร้ายใครทั้งสิ้น ต้องไปดูที่ว่าสิ่งที่เขาทำ ทำซ้ำมากี่ครั้งแล้ว ไม่ว่าจะเด็กหรือใครก็ตาม ก็ผ่านการให้โอกาสมาหลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้หลายคนอาจจะมีอยู่หลายคดี ที่ต่างกรรมต่างวาระ ซึ่งเช่นเดียวกับทุกคดีที่มีการดำเนินการตามกฎหมาย หากคิดว่าตัวเองถูกกฎหมายก็ต่อสู้ด้วยกระบวนการยุติธรรม และรัฐบาลไม่ต้องการที่จะเอาเรื่องนี้มาพันกับเรื่องการเมืองใด ๆ ทั้งสิ้น ตราบใดก็ตามที่มีการทำความผิดทุกคนก็ต้องได้รับการลงโทษตามกฎหมายไทยที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่อยากให้เอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นสำคัญและส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

เมื่อถามว่า การชุมนุมจะส่งผลกระทบ ไทม์ไลน์เรื่องวัคซีนที่วางเอาไว้จะเลื่อนหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า 'ก็นั่นน่ะสิ อย่านำมาเกี่ยวกับการเมือง วันนี้การเจรจาการตกลงก็เป็นไปได้ด้วยดี พอเราประโคมข่าวเรื่อย ๆ ก็จะเกิดปัญหาความหวาดระแวง ก็ไม่อยากให้ไปอยู่ในเรื่องของการเมือง นักการเมืองก็ต้องระมัดระวังด้วย การพูดจาอะไรต่าง ๆ ออกไปบางครั้งทำให้เกิดผลกระทบ ซึ่งตอนนี้ยังคาดว่าเราชี้แจงทำความเข้าใจกับเขาได้ เพราะฉะนั้นคนของเราเองอย่าทำในเรื่องเหล่านี้ เรามีผลกระทบกับคนทั้งประเทศในการที่จะได้รับวัคซีนเพื่อฉีดตามระยะเวลาที่ได้กำหนดไว้ ตาม Timeline ของเรา หากทำให้เกิดความเสียหายทุกคนก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบตรงนี้ด้วย ไม่เช่นนั้นรัฐบาลก็ทำอะไรไม่ได้

เมื่อถามว่า นายธนาธร เรียกร้องให้เปิดรายละเอียดเอกสารการจัดซื้อวัคซีน พล.อ ประยุทธ์ กล่าวว่า รายละเอียดต่างๆ ให้ไปว่ากันในสภา ซึ่งจะมีคนชี้แจงอยู่แล้ว

เมื่อถามย้ำว่า นายธนาธร พร้อมขอโทษหากเข้าใจผิด พล.อ.ประยุทธ กล่าวว่า "ไม่ต้อง ผมคิดว่าผมไม่ได้ผิดอะไร"

เมื่อถามว่ามีเหตุผลอะไรที่ใช้ม.112 แจ้งความดำเนินคดีกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ได้เลือก หากการดำเนินการเข้ากับกฎหมายใดก็แจ้งกฎหมายนั้นซึ่งก็มีทั้งหมด 112 ม.116 มีอยู่หลายมาตรา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หากผิดตรงไหนก็ต้องโดน ถ้าไม่อยากถูกดำเนินคดีก็อย่าทำ กฎหมายมีให้ทุกคนต้องปฏิบัติตาม

" ไม่อยากให้ไปให้เครดิตในเรื่องเหล่านี้ ให้เครดิตกับคนที่ทำความผิดโดยเจตนา ถูกต้องหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ยังไม่รู้ว่าผิดหรือถูกเพราะเป็นการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ ผมได้ย้ำไปว่าให้เจ้าหน้าที่ทำตามกฎหมาย และทุกคนก็เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หากคิดว่าตัวเองไม่ผิดก็ไปสู้คดีกันไป ก็เช่นเดียวกับคดีอื่น”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ได้โพสต์ลงเฟซบุ๊ก ‘ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์’ เกี่ยวกับสมุนไพรที่น่าสนใจ และสมควรที่จะต้องมีการวิจัยว่าจะสามารถนำมาใช้เพื่อ “รักษา” โควิด-19 ได้หรือไม่นั้น มี 3 ชนิด

1.) ฟ้าทะลายโจร จากการรวบรวมข้อมูลของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขพบว่า ฟ้าทะลายโจรบดเป็นผงแบบรวมๆบรรจุแคปซูล โดยไม่ต้องใช้วิทยาการขั้นสูง มีสรรพคุณเภสัชที่ใช้ในการรักษา “ดีกว่า” การสกัดแยกเอาเพียงแค่สารสำคัญ “แอนโดรกราโฟไลด์” (Andrographolide) ออกมา ซึ่งการสกัดเช่นนี้ต้องอาศัยโรงงานบริษัทยาเท่านั้น

ประเด็นสำคัญคือสำหรับประเทศไทย พืชฟ้าทะลายโจรนั้น ปลูกง่าย ขึ้นง่าย และคนไทยส่วนใหญ่มีประสบการณ์ในการใช้ยานี้มายาวนานอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีสถานะเป็นยาสมุนไพร ยาแผนโบราณ ยาสามัญประจำบ้าน และอยู่ในบัญชียาหลักของชาติอีกด้วย

แปลว่าบริษัทยาแผนปัจจุบันคงไม่ค่อยอยากส่งเสริมฟ้าทะลายโจรเท่าไหร่ เพราะชาวบ้านและหมอแผนไทยสามารถกลายเป็นคู่แข่งบริษัทยาที่มีราคาแพงได้ อีกทั้งยังเป็นสมุนไพรที่อาจทำให้ยาแผนปัจจุบันที่มีราคาแพงๆหรือมีสิทธิบัตรเสียผลประโยชน์ไปด้วย

2.) ตำรับยาขาว ตามตำรับยาศิลาจารึกของวัดโพธิ์ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 แม้จะมีประสิทธิภาพในการลดสรรพไข้ได้หลายชนิด แต่ก็ต้องจ่ายยาโดยอาศัยแพทย์แผนไทย ในคลินิกการแพทย์แผนไทย หรือสหคลินิกที่มีการแพทย์แผนไทย ซึ่งสามารถใช่คู่กันกับใบฟ้าทะลายโจรแบบบดผงบรรจุแคปซูลได้ เพราะการแพทย์แผนไทยมักจะปรุงเป็นตำรับยาหรือมีสมุนไพรอื่นๆเพื่อลดผลเสียของสมุนไพรเดี่ยวได้

ตำรับยาขาวนี้ได้มีการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาว่าเป็น “ตำรับยาของชาติ” ตามกฎหมาย แพทย์แผนไทยสามารถจ่ายยาชนิดนี้ได้ทันที โดยไม่ต้องวิจัยใหม่ อย่างไรก็ตามความยุ่งยากของยาขาวที่ใช้รากจากพืชหลายชนิดมาปรุงเป็นยานั้น ทำให้มีสมุนไพรเพื่อมาทำยาอย่างจำกัด ซึ่งแตกต่างจากฟ้าทะลายโจร

3.) สารสกัดกระชายขาว ซึ่งแม้ว่าจะเป็นสมุนไพรที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็ต้องสกัดสารสำคัญออกมาเท่านั้น ไม่สามารถมีสรรพคุณทางยารักษาโควิด-19 ด้วยการรับประทานกระชายขาวแบบบดหยาบได้

ลักษณะเช่นนี้จึงต้องใช้เป็น “สารสกัดกระชายขาว”ในรูปแบบของยาแผนปัจจุบันที่มีการ “จดสิทธิบัตร” เท่านั้น ซึ่งอาจทำให้สารสกัดยากระชายขาวมีราคาแพงกว่าพืชสมุนไพรอย่างฟ้าทะลายโจรที่เพียงแค่นำใบมาบดหยาบก็สามารถใช้ได้แล้ว

ด้วยลักษณะเช่นนี้ฟ้าทะลายโจรแบบสกัดหยาบที่ชาวบ้านและแพทย์แผนไทยพึ่งพาตัวเองได้ จึงกลายเป็น “คู่แข่ง” ของผลิตภัณฑ์ของกลุ่มทุนบริษัทยาหลายกลุ่ม ตั้งแต่ ผู้ผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ซึ่งนำมาใช้กับการต้านโควิด-19, ผู้ผลิตยาลดไข้, ผู้ผลิตหรือผู้คิดจะจดสารสกัดกระชายขาว, ผู้ผลิตยาวัคซีน ฯลฯ

แม้วันนี้จะเริ่มมีวัคซีนแล้วแต่ก็ยังมีตัวแปรและความไม่แน่นอนอยู่มาก จึงส่งผลทำให้ประชาชนในประเทศที่มีภูมิปัญญาและวัฒนธรรมในการรักษาของตัวเองมาอย่างยาวนานในเอเชียไม่ต้องการจะฉีดวัคซีน และเลือกที่จะรักษาด้วยสมุนไพรมากกว่า (หากมีทางเลือกนี้เปิดช่องให้ชัดเจนได้) ซึ่งแน่นอนว่าการมีสมุนไพรที่รักษาโควิด-19 ได้นั้น ย่อมเป็นอันตรายต่อกลุ่มทุนบริษัทยาและวัคซีนที่มองเรื่องการแสวงหาผลกำไรสูงสุดบนความกลัวและความทุกข์ยากของประชาชน

ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ “ฟ้าทะลายโจร” ตลอดปีที่ผ่านมา กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข จะฝ่าด่านมาใช้ทดลองกับผู้ป่วยโควิด-19 ได้เพียง 5 คนเท่านั้น ทั้งๆ ที่ปัจจุบันมีผู้ป่วยโควิด-19 กว่า 13,000 คนแล้ว (รายงานเมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2564) ซึ่งตรงกันข้ามกับยาที่มารักษาโควิด-19 ที่ใช้ในปัจจุบันก็ล้วนแล้วแต่ลัดขั้นตอนการวิจัยและเร่งใช้กับผู้ป่วยโควิด-19 โดยทันทีทั้งสิ้น

ในชั้นนี้ จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าหากสื่อมวลชนต้องการจะสัมภาษณ์ผู้ป่วยโควิด-19 ที่ใช้ฟ้าทะลายโจรนั้น เป็นสิ่งที่กระทำไม่ได้ เนื่องด้วยผู้วิจัยต้องมีหน้าที่คุ้มครองสิทธิ์ของผู้ที่เข้าร่วมการวิจัยตามมาตรฐาน “จริยธรรมในการวิจัยในมนุษย์” จึงย่อมปกปิดชื่อ เบอร์โทรศัพท์ของผู้ป่วยและผู้เข้าร่วมวิจัยทั้งหมด

แต่ก็น่าเสียดายว่าในยามวิกฤติเช่นนี้ “คุณค่า” ของการทดลองเป็น “กรณีศึกษา” ของการใช้ฟ้าทะลายโจรสกัดหยาบในผู้ป่วยโควิด-19 ไม่ได้รับการเปิดเผยจากผู้ป่วยกับสื่อมวลชน เพื่อประโยชน์ของชาติ ว่าฟ้าทะลายโจร “เพียงอย่างเดียว” จะทำให้หายป่วยได้เร็วกว่าการป่วยโรคโควิด-19 หรือไม่ โดยเฉพาะการทดสอบเบื้องต้นเพียง 5 วันเท่านั้น

สรุปผลการทดสอบ 5 ราย ที่ไม่ได้รับยาอย่างอื่นเลยนอกจากฟ้าทะลายโจร มีดังนี้

ผู้ป่วยโควิด-19 รายที่ 1 ก่อนให้ยาฟ้าทะลายโจรตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ 90 Copies พอรับประทานถึงวันที่ 3 ตรวจเชื้อได้ 760 Copies (เพิ่มขึ้น 744.44%) แต่พอรับประทานครบ 5 วัน ตรวจเชื้อเหลือ “0” Copies คือไม่พบเลย

เราจะสามารถเรียกได้ว่าฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยโควิด-19 รายที่ 1 หายได้ภายใน 5 วันได้หรือไม่

ผู้ป่วยโควิด-19 รายที่ 2 ก่อนให้ยาฟ้าทะลายโจร ตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ 725 Copies พอรับประทานถึงวันที่ 3 ตรวจเชื้อได้ 2,072 Copies (เพิ่มขึ้น 185.79%) แต่พอรับประทานครบ 5 วัน ตรวจเชื้อเหลือ “0” Copies คือไม่พบเลย เราจะสามารถเรียกได้ว่าฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยโควิด-19 รายที่ 2 เพียงอย่างเดียวว่าหายได้ภายใน 5 วันได้หรือไม่

ความน่าสนใจต่อไปนี้คือผู้ป่วยรายที่ 3 ซึ่งถือว่า “ป่วยหนัก” กล่าวคือ ผู้ป่วยโควิด-19 รายที่ 3 ก่อนให้ยาฟ้าทะลายโจร ตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ 9,857,464,593 Copies (ประมาณ 9,857 ล้าน Copies) พอรับประทานถึงวันที่ 3 ตรวจเชื้อได้ 344,507,736 Copies (ลดลงเหลือ 344 ล้าน Copies คิดเป็นจำนวนเชื้อลดลงถึง 96.50% เทียบกับก่อนได้รับฟ้าทะลายโจร) และเมื่อรับประทานครบ 5 วัน ตรวจเชื้อเหลือ 31,754,737 Copies (ประมาณ 31 ล้าน Copies คิดเป็นจำนวนเชื้อลดลงถึง 99.68% เทียบกับก่อนได้รับฟ้าทะลายโจร)

ผู้ป่วยโควิด-19 รายที่ 4 ก่อนให้ยาฟ้าทะลายโจร ตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ 296,466 Copies พอรับประทานฟ้าทะลายโจร จนถึงวันที่ 3 ตรวจเชื้อได้ 308 Copies (เชื้อลดลง 99.8% เทียบกับก่อนได้รับฟ้าทะลายโจร) และเมื่อรับประทานครบ 5 วันตรวจเชื้อได้ 13,935 Copies (เชื้อลดลง 95.29% เมื่อเทียบกับก่อนได้รับฟ้าทะลายโจร)

ผู้ป่วยโควิด-19 รายที่ 5 ก่อนให้ยาฟ้าทะลายโจร ตรวจเชื้อโควิด-19 ได้ 15,731 Copies เมื่อรับประทานฟ้าทะลายโจร จนถึงวันที่ 3 ตรวจเชื้อได้ 1,924 Copies (เชื้อลดลงไป 87.77% เทียบกับก่อนได้รับฟ้าทะลายโจร) และเมื่อรับประทานครบ 5 วัน ตรวจเชื้อได้ 31 Copies (เชื้อลดลง 99.80% เมื่อเทียบกับก่อนได้รับฟ้าทะลายโจร)

ในการทดสอบเบื้องต้นทั้ง 5 รายนี้ ปรากฏว่าอาสาสมัคร 1 รายมีค่าการทำงานของตับ Alanine Aminotransferase (ALT) เพิ่มสูงเป็น 1.7 เท่าของค่าปกติ ในวันที่ 5 ของการรับประทานยา ขณะที่อาสาสมัครอีก 1 ราย ที่มีแนวโน้มของค่าการทำงานของตับ คือ Aspartate aminotransferase และ Alanine Aminotransferase (ALT) สูงขึ้น แต่ไม่เกินค่าปกติ ส่วนที่เหลือไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ในอาสาสมัคร

ผลการทดสอบเบื้องต้นจึงสรุปได้ว่า

“การรับประทานสารสกัดฟ้าทะลายโจรซึ่งมี สารแอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) 180 มิลลิกรัมต่อวัน (เทียบเท่าประมาณฟ้าทะลายโจรสกัดหยาบ 48 เม็ดแคปซูล) อาจมีผลช่วยบรรเทาความรุนแรงของอาการแสดงของโรคโควิด-19 ได้แก่ ความรุนแรงของอาการไอ ความถี่ของการไอ ความรุนแรงของอาการเจ็บคอ ปริมาณเสมหะ และความรุนแรงของความปวดศีรษะ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<0.05) ส่วนปริมาณน้ำมูกลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในวันที่ 5 ทั้งนี้พบว่า ในการรักษามาตรฐาน อาสาสมัครทุกรายไม่ได้รับยาแผนปัจจุบันอื่นร่วมด้วย

ความหมายของอาการที่ลดลงจนเกือบหายหรือหายนั้น คือ กรณีศึกษาที่ ‘หายป่วย’ หรือ ‘เกือบหายป่วย’ ได้ในภายใน 5 วันเท่านั้น เป็นเรื่องที่น่ายินดีหรือไม่?

อย่างไรก็ตามการรับประทาน “สารสกัด”ฟ้าทะลายโจรขนาดสูงอาจมีผลต่อค่าการทำงานของตับ ควรเฝ้าระวังค่าการทำงานในการศึกษาวิจัยต่อเนื่อง

สำหรับข้อแนะนำเพิ่มเติมของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกคือ

1.) สำหรับผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่ไม่มีอาการ สามารถพิจารณาให้ยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจรขนาดที่มีปริมาณ สารแอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) 60 มิลลิกรัมต่อวัน (ฟ้าทะลายโจร 16 เม็ดต่อวัน) แบ่งให้สามเวลาก่อนอาหาร เป็นเวลา 5 วัน

2.) สำหรับการใช้เพื่อการป้องกัน ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอในการให้ฟ้าทะลายโจรเพื่อการป้องกัน แนะนำให้ใช้หลักธรรมานามัย ในการดูแลตนเองแบบองค์รวม

มิได้แปลว่าลำพังเพียงแค่วิจัยเบื้องต้น 5 คนนี้จะเพียงพอ เพราะยังต้องวิจัยทางคลินิกแบบเปรียบเทียบกับยาหลอกต่อไปด้วยจำนวนผู้ป่วยมากกว่านี้

อย่างไรก็ตามแม้ผู้วิจัย หรือกรมการแพทย์แผนไทยจะไม่สามารถเปิดเผยชื่อและการติดต่อของผู้ป่วยที่เข้าวิจัยเพื่อให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์ได้ แต่อย่างน้อย.…

“กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ก็ควรเป็นเจ้าภาพประสานถามความสมัครใจกับผู้ป่วยเหล่านี้เพื่อแสดงความจริงใจว่ากระทรวงสาธารณสุขไม่ได้ถูกกดดัน หรือครอบงำจากคู่แข่งของฟ้าทะลายโจรจากกลุ่มทุนบริษัทยาอื่นๆ”

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ใครรู้ว่าหลังจากนี้ “ฟ้าทะลายโจรสกัดหยาบ”เพียงอย่างเดียว โดยปราศจากยาแผนปัจจุบันอื่นๆ จะได้มีโอกาสทดลองทางคลินิกได้จริงเปรียบเทียบกับยาหลอก โดยปราศจากอุปสรรคจากกลุ่มทุนบริษัทยา หรือแพทย์ที่มีผลประโยชน์กับบริษัทยาอีกหรือไม่ เพราะเรื่องดังกล่าวนี้กำลังจะกระทบต่อกลุ่มทุนบริษัทยายักษ์ใหญ่อย่างหนัก

แต่สำหรับผู้เขียนจะไม่รอให้ถึงจุดนั้น เพราะจะขอเชิญชวนให้ผู้ป่วยที่ตรวจพบโควิด-19 ที่ได้เป็นอาสาสมัครมาใช้ฟ้าทะลายโจรสกัดหยาบทั้ง 5 ท่าน หากเห็นแก่ประโยชน์ของชาติในการที่หายป่วยโดยปราศจากการใช้ยาอื่นๆ แล้ว ขอให้ท่านที่สมัครใจในการเปิดตัวเพื่อสัมภาษณ์ส่งข้อความมาใน inbox ของแฟนเพจนี้ แจ้งชื่อ หลักฐาน และเบอร์ติดต่อกลับ จักเป็นพระคุณยิ่ง


ที่มา:

https://www.facebook.com/123613731031938/posts/3795068330553108/

https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000007293

'โฆษกเพื่อไทย' ย้ำรัฐจริงใจแก้ปัญหาค่าโดยสารรถไฟฟ้า อย่าหวังแค่เอื้อประโยชน์นายทุน ชี้ค่าเดินทางแพงหูฉี่ ซ้ำเติมคนไทย ทั้งที่ใช้ภาษีประชาชนสร้าง

ผศ.ดร.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การเตรียมปรับขึ้นค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่ 104 บาท ในวันที่ 16 ก.พ.นี้ ถือเป็นค่าโดยสารรถไฟฟ้าที่สูงสุดเมื่อเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำในกลุ่มประเทศเอเชียที่พัฒนาแล้ว โดยก่อนที่จะปรับค่าโดยสารรถไฟฟ้าเป็นอัตราใหม่ พบว่า ค่าโดยสารรถไฟฟ้าในกรุงเทพสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำต่อชั่วโมงหลายเท่า

โดยคนกรุงเทพฯ ได้ค่าแรงขั้นต่ำวันละกว่า 300 บาท หากคิดเป็นรายชั่วโมง จะอยู่ที่ 37.50 บาท ต้องจ่ายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 16 - 70 บาท ขณะที่สิงคโปร์ มีค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 250 บาทต่อชั่วโมง แต่ค่าโดยสารรถไฟฟ้าแทบไม่ต่างจากไทย อยู่ที่ 17 - 60 บาท ส่วนเกาหลีใต้ ค่าเเรงอยู่ที่ 221 บาทต่อชั่วโมง ค่าโดยสารรถไฟฟ้าอยู่ที่ 37 - 96 บาท

โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในสมัยพรรคไทยรักไทย จนถึงพรรคเพื่อไทย ได้เสนอโครงการเชื่อมโยงเครือข่ายคมนาคมของกรุงเทพฯด้วยรถไฟฟ้า ได้วางแผนและกำหนดอัตราค่าโดยสารที่ 15 บาท และ 20 บาทตลอดสาย บนพื้นฐานการคิดค่าเฉลี่ย โดยนำกำไรในเส้นทางที่มีผู้ใช้บริการหนาแน่นมาชดเชยส่วนต่างในเส้นทางที่ขาดทุน ส่วนการลงทุนรัฐบาลร่วมลงทุนและอุดหนุนส่วนต่างราคา

เพื่อให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาใช้บริการสาธารณะอย่างรถไฟฟ้าที่รวดเร็วและลดมลพิษ ซึ่งถือเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน แต่นายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ มีหลักคิดที่ตรงข้าม กลับมุ่งเน้นการให้สัมปทานเอกชนโดยเปิดประมูล เอื้อสัญญาให้บางบริษัทจนประชาชนผู้เสียภาษีตั้งคำถามว่าเอื้อกลุ่มทุนในหลายกรณีหรือไม่ เพราะรัฐไม่ได้มองว่าเป็นหน้าที่ที่รัฐต้องพัฒนาให้กรุงเทพฯเป็นเมืองแห่งอนาคต แต่มองกรุงเทพฯเป็นเค้กพร้อมแบ่งสรรปันส่วนกันหรือไม่ ทั้งหมดเป็นการซ้ำเติมทุกข์ให้กับคนไทยที่กำลังหมดหนทางต่อสู้กับชีวิตภายใต้ผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ทั้งสองระลอก

“ปีนี้ถือเป็นปีแห่งการแสดงศักยภาพความเป็นผู้นำของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ทำให้ไทยกลายเป็นผู้ตาม ประเทศที่เคยเติบโตต่ำกว่าเรา ตอนนี้ทิ้งห่างไปไกลไม่เห็นฝุ่น ในขณะที่ผู้นำไทยยังได้แต่สงสัยว่าทำไมเวียดนามโตกว่าไทย ส่วนคนไทยสงสัยมากกว่าว่าทำไม พล.อ.ประยุทธ์ยังเป็นนายกฯอยู่” ผศ.ดร.อรุณี กล่าว


ที่มา: พรรคเพื่อไทย

‘ธนกร’ เดือด อัดเนื้อหาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจบิดเบือนใส่ร้าย ‘บิ๊กตู่’ ลั่นรัฐบาลไม่เคยอ้างสถาบันปิดบังความผิดตัวเอง มีแต่ปกป้องสถาบันตลอดมา เตือนใครหยิบข้อมูลเท็จไปอภิปราย ระวังหอกพุ่งกลับใส่ตัว

‘ธนกร’ เดือด อัดเนื้อหาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจบิดเบือนใส่ร้าย ‘บิ๊กตู่’ ลั่นรัฐบาลไม่เคยอ้างสถาบันปิดบังความผิดตัวเอง มีแต่ปกป้องสถาบันตลอดมา เตือนใครหยิบข้อมูลเท็จไปอภิปราย ระวังหอกพุ่งกลับใส่ตัว

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคร่วมฝ่ายค้านว่า รัฐบาลไม่ได้กังวลอะไร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ได้มีปัญหาการทุจริตคอรัปชันเหมือนรัฐบาลในอดีต

แต่สิ่งหนึ่งที่ตนไม่สบายใจคือ เนื้อหาในญัตติหลายเรื่องสวนทางกับความเป็นจริง โดยเฉพาะการไม่ยึดมั่นและศรัทธาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข นำสถาบันมาเป็นข้ออ้างแบ่งแยกประชาชน แอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเกราะปิดบังความผิดพลาดล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของตนเองนั้น สิ่งเหล่านี้ไม่เป็นความจริงเลย ฝ่ายค้านมีเจตนาพิเศษ เป็นการบิดเบือนข้อมูลเพื่อโจมตีรัฐบาลมากกว่า

ธนกร ยังกล่าวอีกว่า รัฐบาลยึดมั่นและศรัทธาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่มีพรรคฝ่ายค้านบางพรรคพยายามจะแก้รัฐธรรมนูญในมาตราที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน แก้มาตรา 112 ใครกันแน่ไม่ยึดมั่น ส่วนที่บอกว่านำสถาบันมาเป็นข้ออ้างในการแบ่งแยกประชาชนนั้นก็ไม่เป็นความจริง

เพราะรัฐบาลและประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศยึดมั่นและเทิดทูนไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่มีเครือข่ายของบางพรรคออกไปปลุกปั่นให้มีการแก้ไขมาตรา112 แกนนำคณะราษฎรมีการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งคนไทยทั้งประเทศไม่ยอม

และสุดท้ายที่กล่าวหารัฐบาลแอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อปิดบังความผิดพลาดล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินนั้น เป็นการใส่ร้ายรัฐบาลด้วยข้อมูลเท็จ เพราะรัฐบาลนี้ไม่เคยกระทำ ไม่เคยแอบอ้างสถาบัน มีแต่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ รัฐบาลบริหารงานด้วยความโปร่งใสตรวจสอบได้ ยึดประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก

ทั้งนี้ ตนผิดหวังมากที่เนื้อหาในญัตติเป็นแบบนี้ อยากจะเตือนไว้ว่า ใครอภิปรายประเด็นเหล่านี้ระวังเจอสวนกลับด้วยข้อเท็จจริงจนหน้าแหก หมอไม่รับเย็บ เพราะทุกอย่างไม่ใช่ข้อเท็จจริง

‘นพ.ยง ภู่วรวรรณ’ อัปเดต ‘วัคซีนโควิด’ ทั่วโลกฉีดแล้ว 66 ล้านโดส ขณะที่อิสราเอลฉีดให้ประชากรมากสุด เริ่มพบสัญญาณที่ดี หลังผู้สูงอายุเกิน 60 ปี มีอัตราป่วยลดลง

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan เกี่ยวกับ “วัคซีนโควิด-19” โดยมีเนื้อหาว่า

โควิด 19 วัคซีน

ขณะนี้ทั่วโลก มีการให้วัคซีนไปแล้ว มากกว่า 66 ล้านโด๊ส

ประเทศที่ให้วัคซีนเป็นอัตราส่วนของประชากรมากที่สุด คือ อิสราเอล

ประชากรได้รับวัคซีนไปแล้ว 1 โดส ถึง 1 ใน 3 วัคซีนที่ใช้ เป็นของ บริษัทไฟเซอร์

รองลงมาเป็นประเทศ อาหรับเอมิเรตส์ให้ไปแล้วถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ของประชากร โดยใช้วัคซีนของจีน Sinopharm

การติดตามผลของวัคซีนในอิสราเอล เริ่มเห็นผลแล้วว่าผู้สูงอายุที่เกินกว่า 60 ปีมีอัตราป่วยลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ข้อมูลประสิทธิผลของวัคซีนในการใช้จริง จะเริ่มเห็นผลและมีรายงานออกมาในไม่ช้านี้ โดยเฉพาะในประเทศอิสราเอล และ อาหรับเอมิเรตส์

สำหรับในประเทศอังกฤษ ก็มีการให้วัคซีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะนี้ให้ให้เป็นเข็มแรกประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของประชากร

ส่วนในสหรัฐอเมริกาให้ไปแล้วประมาณ 5% ของประชากร

ผลการศึกษาต่างๆในการให้สภาพจริง จะมีตามมาในไม่ช้านี้


ที่มา : เพจ Yong Poovorawan

https://www.facebook.com/yong.poovorawan?fref=nf


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top