Saturday, 5 July 2025
Politics

“ชวน” ไม่สบายใจหลังพูดทำส.ว.เข้าใจผิด ปมองค์ประชุมรัฐสภาล่มครั้งแรก ยันไม่ได้มีเจตนาพูดกระทบ ส.ว.ให้เสียหาย แจงนับองค์ประชุมแล้วพบส.ส.ขาดมากกว่า เหตุมาประชุมแต่ไม่แสดงตน 

ที่รัฐสภา มีการประชุมรัฐสภา สมัยสามัญประจำปีครึ่งที่หนึ่งเป็นวันสุดท้าย ก่อนที่จะปิดสมัยการประชุม ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย.64 โดยมีนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม ทั้งนี้ นายชวน กล่าวตอนหนึ่งก่อนเข้าสู่วาระการประชุมว่า ในการประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา เราได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. .... ที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาเสร็จแล้วถึงมาตรา 8

โดยมีการอภิปรายเสร็จสิ้นแล้ว แต่พบว่าองค์ประชุมไม่ครบจึงเลื่อนมาประชุมในวันนี้ ตนขออนุญาตชี้แจงในที่ประชุมเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย จากที่ตนได้พูดไว้ว่า ต้องขอบคุณ และน้อมรับคำแนะนำของทุกท่านด้วยความขอบคุณ จริงๆแล้วเราจะทำอะไรก็ตาม อยู่ที่ความรับผิดชอบของเรา คือมีผู้เสนอว่าวิธีทำให้องค์ประชุมครบ ไม่ว่าเราจะใช้วิธีไหนก็ตาม หากขาดความรับผิดชอบไปก็จะเจอปัญหา แต่ไม่บ่อยที่การประชุมรัฐสภาองค์ประชุมมีปัญหาครั้งแรก ในส่วนของการประชุมสภาฯเกิดขึ้นบ่อย แต่สำหรับการประชุมรัฐสภาจะไม่ค่อยมีปัญหา เพราะสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จะมาประชุมพร้อมมากกว่า

แต่ครั้งนี้ ส.ว.ขาดมากกว่าเรา ดังนั้น ก็อาจมีเหตุผลให้จำนวนสมาชิกรัฐสภาไม่ครบองค์ประชุม ซึ่งข้อความนี้อาจทำให้เพื่อนสมาชิกที่นับถือกันไม่สบายใจ เพราะสื่อนำไปวิจารณ์ ซึ่งการที่ตนพูดไปวันนั้นเมื่อดูด้วยสายตาตนเองคิดว่าส.ส.น่าจะมีมากกว่าส.ว. แต่เมื่อนับองค์ประชุมปรากฎว่าส.ส.ขาดมากกว่า จากการไปตรวจสอบพบว่าผู้ที่มาประชุมไม่แสดงตน ทำให้องค์ประชุมขาดไป 10 คน ตนอยากบอกส.ว.ว่าไม่ได้มีเจตนาพูดกระทบให้เกิดความเสียหายต่อท่าน เพราะได้ชื่นชมว่าปกติการประชุมรัฐสภาไม่มีปัญหา เพราะ ส.ว.มาประชุมพร้อมมากกว่า ขอให้ได้โปรดเข้าใจด้วย จากนั้น นายชวนได้ดำเนินการเข้าสู่วาระการประชุมต่อไป

“สงคราม” จี้ “บิ๊กตู่” เร่งออกมาตรการป้องโควิดสายพันธ์ุใหม่ อัดเปิดประเทศบนความไม่พร้อมหวั่นส่งผลกระทบกับประชาชนในประเทศ

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรณีที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเตรียมเปิดประเทศ โดยจะเปิดพื้นที่กรุงเทพฯ รับนักท่องเที่ยวต่างชาติในวันที่ 15 ตุลาคมนี้ว่า อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาข้อมูลให้รอบด้านประเทศไทยมีความพร้อมแล้วหรือไม่ และมีความเสี่ยงมากแค่ไหน มีการป้องกันประชาชนในประเทศหรือไม่ 

หลายประเทศที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าประเทศ รัฐบาลในประเทศนั้นๆเขามีการฉีดวัคซีนป้องกันให้ประชากรในกระเทศได้ไม่น้อยกว่าร้อยล่ะ 90 แต่สำหรับประเทศไทย จนถึงวันนี้รัฐบาลฉีดวัคซีนให้ประชาชนครบทั้งสองเข็มเพียง 13.3 ล้านคน จากทั้งหมด ที่ได้รับวัคซีน 41.6 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยล่ะ 19 ของประชากรทั้งประเทศ หากรัฐบาลเปิดเพื่อหารายได้ เพราะรัฐบาลหารายได้ทางอื่นไม่เป็น เกรงว่าจะส่งผลร้ายมากกว่าผลดี

นายสงคราม กล่าวด้วยว่า กรณีที่องค์การอนามัยโลก ยกระดับโควิด-19 สายพันธุ์ “มิว” ให้เป็นสายพันธุ์โควิด-19 ล่าสุด สายพันธุ์ที่มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นอันตรายได้ในอนาคตอันใกล้ ทั้งนี้มีการตรวจพบในหลายประเทศในทวีปอเมริกาใต้ ยุโรป และล่าสุดพบในประเทศญี่ปุ่น รวมๆ กันแล้วมากกว่า 50  ประเทศทั่วโลก หนักสุดคือที่สหรัฐอเมริกา  ที่แพร่กระจายไปมากกว่า 49 มลรัฐ

“ดังนั้นพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานศบค.ควรที่จะเร่งศึกษาและหาวิธีการรับมือไวรัสสายพันธ์ใหม่ ที่มีความร้ายแรงและอันตรายมากขึ้น หากไม่ทำอะไรเลยอาจส่งผลกระทบกับกับชีวิตประชาชนอย่างร้ายแรง  ก่อนที่จะมีมาตราการเปิดประเทศ  ทั้งนี้เพราะวัคซีนที่มีการใช้อยู่ในปัจจุบัน อาจใช้ไม่ได้ผลกับไวรัสสายพันธุ์นี้ รัฐบาลไม่ควรแก้ปัญหาแบบวิ่งตามปัญหา คือเกิดการแพร่ระบาดก่อนแล้วหาทางแก้ไข ส่งผลให้เกิดการระบาดจนยากเกินเยียวยา เพราะแค่สายพันธ์เดลต้าที่ระบาดในปัจจุบันก็ส่งผลให้ประชาชนติดเชื้อเกิน 1 ล้านคน เสียชีวิตป็นจำนวนมาก ถือว่าเลวร้ายมากแล้ว”นายสงคราม กล่าว

'ไอติม' ชี้!! 'เหลื่อมล้ำ - ไร้คุณภาพ - เรียนไปทำไม' 3 มิติ ปัญหาใหญ่การศึกษาไทย 'ที่ควรเร่งแก้'

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ หรือ ไอติม ผู้ก่อตั้งกลุ่มรัฐธรรมนูญก้าวหน้า ในฐานะแกนนำกลุ่ม Re-Solution ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก ระบุว่า... 

การศึกษาไทย มีปัญหาใน 3 มิติ

>> มิติที่ 1 = ความเหลื่อมล้ำ
แต่เดิมการเรียนฟรีก็ไม่ฟรีจริงอยู่แล้ว แต่ผลกระทบจากโควิดทำให้ปัญหารุนแรงขึ้น คุณภาพการศึกษายังคงกระจุกตัว โรงเรียนดัง ๆ มีคนแย่งกันเข้า ขณะที่โรงเรียนส่วนใหญ่ของประเทศคือโรงเรียนขนาดเล็กที่ขาดแคลนครูและอุปกรณ์การเรียน สิ่งเหล่านี้นำไปสู่ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงโอกาส ซึ่งนำไปสู่ปัญหาอื่น ข้อมูลบอกกับเราชัดเจนว่านักเรียนจากครอบครัวรายได้น้อย เข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้น้อยกว่าหลายเท่าตัว

>> มิติที่ 2 = คุณภาพ
จากตัวชี้วัดระดับนานาชาติพบว่าคุณภาพการศึกษาของเด็กไทยยังรั้งท้าย เราไม่ได้ตามหลังแค่ประเทศพัฒนาแล้ว แต่ตามหลังแม้กระทั่งประเทศกำลังพัฒนา หลักสูตรการศึกษาแบบที่เป็นไม่สามารถแปรความขยันไปเป็นศักยภาพของเด็กที่สามารถแข่งขันกับต่างชาติได้ เช่น สำหรับทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ เด็กไทยมีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษอยู่อันดับ 89 จาก 100 ประเทศ ทั้งที่เด็กไทยเริ่มเรียนภาษาอังกฤษก่อนเด็กในอีกหลายประเทศ แต่หลักสูตรและวิธีการสอนอาจมีปัญหาในการช่วยให้นักเรียนกล้าฝึก "ใช้" ภาษา

>> มิติที่ 3 = นักเรียนไม่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของระบบการศึกษา (School belonging) 
พื้นที่ในห้องเรียนไม่ได้ตอบโจทย์ในการค้นหาตัวตนของผู้เรียน นักเรียนหลายคนเรียนหนักแต่ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่เรียนนั้น เรียนไปทำไม ตอบโจทย์ในชีวิตพวกเขาอย่างไร ค่านิยมที่ระบบการศึกษาสอนเป็นสิ่งตรงข้ามกับค่านิยมที่คนรุ่นใหม่สนใจ เช่น ความเท่าเทียมทางเพศ อัตลักษณ์ของนักเรียน
 

'ณัฐวุฒิ' ยกรามเกียรติ์เปรียบ 'ประยุทธ์-ประวิตร' เหมือนทศกัณฐ์ฝากหัวใจไว้กับฤาษี

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ระบุว่า...มาจะกล่าวบทไป ถึงทศกัณฐ์ยักษ์ใหญ่ตัวดี

ทศกัณฐ์ฆ่าไม่ตายเพราะถอดหัวใจฝากไว้กับฤาษีโคบุตรผู้เป็นอาจารย์

"ก้าวไกล" ซุ่มจัดทำร่างกม.ลูกสูตรคำนวณ ส.ส. ยังอุบรายละเอียด เตรียมยื่นประกบกับพรรคอื่น

นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคก้าวไกลจะยื่นร่างแก้ไขร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประกบไปกับพรรคการเมืองอื่นหรือไม่ ว่า พรรคก้าวไกลกำลังจัดทำร่างกฎหมายลูกอยู่ แต่ยังไม่เรียบร้อย เพราะอยู่ในช่วงการพูดคุย โดยเราจะใช้เวลาช่วงที่ปิดสมัยประชุมสภาฯ ทำให้แล้วเสร็จ เพื่อให้ทันยื่นประกบกับร่างของพรรคการเมืองอื่น จึงต้องติดตามว่าจะออกแบบมาให้เป็นแบบใด

“หมอของขวัญ”บุกสภาฯร้อง กมธ.สธ. สอบ สำนักข่าว จ่ายยาคล้ายฟาวิฯ ไร้ฉลาก แนะอย่ากินสุ่มสี่สุ่มห้า เป็นอันตรายต่อการักษา

ที่รัฐสถา พญ.ของขวัญ ฟูจิตนิรัตน์ เจ้าของสถานเสริมความงามชื่อดัง เข้ายื่นหนังสือต่อ นายปกรณ์ มุ่งเจริญพร ส.ส.สุริทร์ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอใ้ห้ตรวจสอบ การจ่ายยาที่ไม่มีชื่อสลากว่าเป็นยาฟาวิพิราเวียร์ ฟ้าทะลายโจร กระชายขาว ของสื่อสำหนักหนึ่งโดยพญ.ของขวัญ กล่าวว่า จากการสอบถามข้อมูลไปยังสื่อดังกล่าวถึงชื่อและฉลากว่เป็นชนิดใด และแพทย์ผู้ใดเป็นผู้จ่ายยา ไดัรับคำตอบว่า เป็นยาต้านไวรัสชนิดหนึ่ง คล้ายยาฟาวิพิราเวียร์แต่ไม่แน่ใจว่าใช่ หรือไม่ ซึ่งตนติดว่าการจ่ายยาลักษณะนี้ ขัดต่อหลักการแพทย์  หลักปฏิบัติตามสากล ซึ่งเป็นเรื่องที่อรายตรายมาก  เพราะหากรับเหล่านี้ไปแล้ว คนไข้มีเชื้อลงปอด จะเป็นอุปสรรค์ตอการรักษาทางการแพทย์  ดังนั้นขอใหกมธ.ฯ ตรวจสอบข้อเท็จจริงถึงยาดังกล่าว และแพทย์ ว่าเป็นแพทย์จริงหรืองไม่  หากไม่จริงจะต้องมีการร้องไปที่องค์การอาหารและยา(อย.) และแพทยสภาฯ เพื่อตรวจสอบด้วย

อดีตทูตฯ ยอมรับ!! เกาหลีใต้ สุดเทพด้าน Soft Power ยกกรณี 'ลิซ่า' ดัน Soft 2 ชาติ แบ่งกัน 'ภูมิใจ'

นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Fuangrabil Narisroj ว่า... 

มีพวกร่านที่ออกมาดีดดิ้นรับไม่ได้ที่ ลิซ่า ได้รับความนิยมติดอันดับโลก จาก Single เพลง Lalisa ที่มีการสอดแทรกความเป็นไทยที่เป็น “ต้นกำเนิด” ของลิซ่า ไว้ในฉากหนึ่ง และในเนื้อเพลงก็มีการระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “From Thailand to Korea” 

พวกร่านพวกชังชาติจะดิ้นมากและออกมาบอกว่า อย่ามาอ้างความเป็นไทย เพราะมันไม่มี 

ฟังแล้วก็ได้แต่สมเพช คือ ถ้ามันไม่มีสิ่งที่สะท้อนความเป็นไทยที่เป็น “ต้นกำเนิด” ของลิซ่า เขาก็คงไม่ใส่คำว่า Thailand ลงในเนื้อเพลง และคงไม่ใส่ ฉากปราสาทหินพนมรุ้ง ฉากลิซ่าใส่รัดเกล้า ใส่ชุดไทยประยุกต์ที่ออกแบบโดยดีไซเนอร์คนไทย ไว้ในคลิป หรือแม้แต่ ป้ายร้านอาหารที่เป็นภาษาไทยที่ปรากฏแว่บนึงในคลิปด้วย

ตอนที่ผมไปออกรายการของคุณต้น วรเทพ ช่อง Top News ผมก็ได้เล่าเบื้องหลังการทำการบ้านของ Korea ที่เก่งมากสามารถผลักดันเรื่อง Soft Power จนทำให้เกาหลีเป็นผู้นำทางด้านสื่อบันเทิงสมัยใหม่ได้ในระดับแถวหน้า 

ผมขอนำมาอธิบายตรงนี้อีกครั้ง เพราะตอนออกรายการเวลามันน้อย อาจจะอธิบายไม่หมด 

1.) เกาหลีเป็นประเทศที่ทำการบ้านทางด้านใช้ Soft Power เป็นตัวนำได้ดีที่สุดในโลก ในสายตาผม เก่งกว่าญี่ปุ่นด้วย เดี๋ยวจะอธิบายต่อไปว่าทำไม

2.) Soft Power ของเกาหลี สามารถทำให้สินค้าเกาหลีจากเมื่อ 20 กว่าปีก่อนเป็นสินค้าที่เมื่อเอ่ยชื่อคนยังไม่รู้จักดีพอ เช่น มือถือซัมซุง รถยนต์ฮุนได กลายเป็นแบรนด์ชั้นนำแนวหน้าได้ เพราะภาครัฐและภาคเอกชนเกาหลีเขามีส่วนช่วยกันผลักดันสร้าง Soft Power (ผ่านทางการดูแลขององค์กรที่ชื่อว่า Korea Foundation) อย่างเป็นระบบร่วมกันอย่างขันแข็ง

3.) ศิลปินเพลงแร็พร่วมสมัย หนังซีรีส์เกาหลี ล้วนแล้วแต่เป็นผลิตผลที่ภาครัฐและเอกชนเกาหลีเขาบรรจงสร้างสรรค์ปั้นแต่งขึ้นมาอย่างพิถีพิถันเพื่อให้ครองใจคนทั้งโลก เริ่มจากในอดีตนักร้องดังอย่าง Rain ก็เป็นเหมือน “หุ่นยนต์” ที่ Korea Foundation เป็นผู้อยู่เบื้องหลังปั้นขึ้นมาจากเด็กหนุ่มโนเนมคนนึงจนกลายเป็นซูเปอร์สตาร์

4.) การที่ผมบอกว่าเกาหลีเก่งกว่าญี่ปุ่นในเรื่องการสร้าง Soft Power นั้น เพราะเกาหลีใช้เวลาน้อยกว่าญี่ปุ่น แต่สามารถผลักดันจนตอนนี้สื่อบันเทิงแซงหน้าญี่ปุ่นไปแล้ว 

5.) เกาหลีทำการบ้านล่วงหน้ามากกว่าญี่ปุ่นหลายสิบปี อย่างที่ผมเคยเกริ่น เคยเขียนลงใน FB และพูดในรายการคุณต้นไป ขอเล่าอีกทีคือ ทางเกาหลีเขาทำการบ้านอย่างระมัดระวัง และคิดล่วงหน้าไปไกลมาก เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว สมัยผมเป็น ผอ.กองการทูตวัฒนธรรม (ดูแลงานด้าน Soft Power ของไทยในต่างแดน) วันนึงก็ได้รับการติดต่อจากสถานทูตเกาหลีว่า อัครราชทูตที่ปรึกษาด้านสารนิเทศ (ดูแลงานด้าน Soft Power) ขอมาพบผมที่ กต.เพื่อหารือเรื่อง Soft Power

โฆษกรัฐบาล วอน อย่าบิดเบือนข้อมูล ยืนยัน รับต่างชาติศักยภาพสูงเข้าไทย หวังช่วยเศษฐกิจประเทศเติบโต

20 ก.ย. 64 - นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขอยืนยันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้าประเทศที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบนั้น การมีผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกเข้ามาทำงานหรือพักอาศัยทดแทนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่หายไปของไทย บรรเทาผลกระทบจากรายได้ภาคการท่องเที่ยวลดลงอาจไม่สามารถสร้างรายได้ ขณะเดียวกัน ยังจูงใจให้ผู้เชี่ยวชาญ/ผู้มีทักษะสูงด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เข้ามาเสริมศักยภาพในการพัฒนาประเทศ ด้วยเกิดการเชื่อมต่อเทคโนโลยี ถ่ายทอดองค์ความรู้ใหม่ ยกระดับทักษะและสมรรถภาพ และเพิ่มโอกาสการจ้างงานให้กับแรงงานภายในประเทศ   

ทั้งนี้  มีการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่มที่ชัดเจน ได้แก่ (1.) กลุ่มประชากรโลกผู้มีความมั่งคั่งสูง (2.) กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ (3.) กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย และ (4.) กลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ ซึ่งแต่ละกลุ่มยังมีเงื่อนไขที่ต้องเป็นประโยชน์ต่อการลงทุนและการพัฒนาประเทศไทย อาทิ ลงทุนขั้นต่ำในพันธบัตรรัฐบาลไทยตั้งแต่ 250,000 - 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ มีหลักฐานการลงทุนในประเทศไทย มีรายได้ขั้นต่ำ 80,000 ดอลลาร์ หรือเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น

โฆษกรัฐบาลย้ำมาตรการดึงดูดชาวต่างชาติศักยภาพสูง มุ่งดึงคนเก่งทั่วโลกเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาประเทศ  ทดแทนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและรายได้จากภาคการท่องเที่ยวที่หายไป เตือนผู้ไม่หวังดีอย่าบิดเบือน

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขอยืนยันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบนั้น  การมีผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก เข้ามาทำงานหรือพักอาศัยทดแทนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่หายไปของไทย บรรเทาผลกระทบจากรายได้ภาคการท่องเที่ยวลดลง อาจไม่สามารถสร้างรายได้  ขณะเดียวกัน ยังจูงใจให้ผู้เชี่ยวชาญ/ผู้มีทักษะสูงด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เข้ามาเสริมศักยภาพในการพัฒนาประเทศ ด้วยเกิดการเชื่อมต่อเทคโนโลยี ถ่ายทอดองค์ความรู้ใหม่ ยกระดับทักษะและสมรรถภาพ และเพิ่มโอกาสการจ้างงานให้กับแรงงานภายในประเทศ   ทั้งนี้  มีการกำหนด กลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่มที่ชัดเจน ได้แก่ (1) กลุ่มประชากรโลกผู้มีความมั่งคั่งสูง (2) กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ (3) กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย และ (4) กลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ  ซึ่งแต่ละกลุ่มยังมีเงื่อนไขที่ต้องเป็นประโยชน์ต่อการลงทุนและการพัฒนาประเทศไทย อาทิ ลงทุนขั้นต่ำในพันธบัตรรัฐบาลไทยตั้งแต่ 250,000 -500,000 ดอลลาร์สหรัฐ มีหลักฐานการลงทุนในประเทศไทย มีรายได้ขั้นต่ำ 80,000 ดอลล่าร์ หรือเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ในส่วน 2 แนวทางในการดำเนินมาตรการ ฯ ทั้งการกำหนดให้มีวีซ่าประเภทพิเศษ (Long-Term Visa) และการแก้ไขกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องนั้น มุ่งขจัดอุปสรรคที่เป็นปัญหาของนักลงทุนต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนในไทย ซึ่งมาตรการต่างๆ ยังถูกกำหนดให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ทุกๆ 5 ปี  โดยสามารถยกเลิกหรือปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์และเหมาะสมกับการส่งเสริมการลงทุนจากทั่วโลกได้ ในส่วนการเช่าหรือซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทย ยังคงยึดหลักการตามมาตรการทื่มีอยู่เดิม ไม่ได้เป็นไปตามที่บางกลุ่มพยายามบิดเบือนข้อมูลมาโจมตีรัฐบาล 

รัฐบาล หนุน อุตสาหกรรมแห่งอนาคต วอน เปิดใจกว้าง รับต่างชาติศักยภาพสูงเข้าไทย หวัง ศก.เติบโต หลังโควิด-19

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขอยืนยันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบนั้น การมีผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก เข้ามาทำงานหรือพักอาศัยทดแทนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่หายไปของไทย บรรเทาผลกระทบจากรายได้ภาคการท่องเที่ยวลดลง อาจไม่สามารถสร้างรายได้  ขณะเดียวกัน ยังจูงใจให้ผู้เชี่ยวชาญ ผู้มีทักษะสูงด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เข้ามาเสริมศักยภาพในการพัฒนาประเทศ ด้วยเกิดการเชื่อมต่อเทคโนโลยี ถ่ายทอดองค์ความรู้ใหม่ ยกระดับทักษะและสมรรถภาพ และเพิ่มโอกาสการจ้างงานให้กับแรงงานภายในประเทศ 

นายธนกร กล่าวว่า มีการกำหนด กลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่มที่ชัดเจน ได้แก่ (1) กลุ่มประชากรโลกผู้มีความมั่งคั่งสูง (2) กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ (3) กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย และ (4) กลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ  ซึ่งแต่ละกลุ่มยังมีเงื่อนไขที่ต้องเป็นประโยชน์ต่อการลงทุนและการพัฒนาประเทศไทย อาทิ ลงทุนขั้นต่ำในพันธบัตรรัฐบาลไทยตั้งแต่ 250,000 -500,000 ดอลลาร์สหรัฐ มีหลักฐานการลงทุนในประเทศไทย มีรายได้ขั้นต่ำ 80,000 ดอลล่าร์ หรือเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น 

นายธนกร กล่าวว่า ในส่วน 2 แนวทางในการดำเนินมาตรการ ฯ ทั้งการกำหนดให้มีวีซ่าประเภทพิเศษ (Long-Term Visa) และการแก้ไขกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องนั้น มุ่งขจัดอุปสรรคที่เป็นปัญหาของนักลงทุนต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนในไทย ซึ่งมาตรการต่างๆ ยังถูกกำหนดให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ทุกๆ 5 ปี โดยสามารถยกเลิกหรือปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์และเหมาะสมกับการส่งเสริมการลงทุนจากทั่วโลกได้ ในส่วนการเช่าหรือซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทย ยังคงยึดหลักการตามมาตรการทื่มีอยู่เดิม ไม่ได้เป็นไปตามที่บางกลุ่มพยายามบิดเบือนข้อมูลมาโจมตีรัฐบาล 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top