Sunday, 18 May 2025
NewsFeed

“เลขาฯสมช.” แจง ออกคำสั่ง ตีหนึ่ง เพราะต้องหารือให้รอบคอบ ยัน แจ้งผู้ประกอบการก่อสร้าง-ร้านอาหารรับทราบก่อนแล้ว ชี้ การสื่อสารอาจไม่ทั่วถึง แย้ม คลายไซต์ก่อสร้างเฉพาะที่จำเป็น รับ สธ. เตรียมระบบรักษาตัวที่บ้าน ย้ำทุกอย่างต้องรอบคอบ

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) กล่าวถึงมาตรการชดเชยเยียวยาหลังออกข้อกำหนดฉบับที่ 25 ไปแล้ว ว่า ต้องหารือว่ามาตรการที่ออกไปแล้วบางอย่างต้องมีการผ่อนคลาย เช่น การหยุดก่อสร้าง อาจจะมีอันตรายในเชิงวิศวะ หรือกระทบกับส่วนอื่น เช่น การเร่งก่อสร้างสถานพยาบาล ถ้าหยุดแคมป์ไปก็จะทำให้การหยุดก่อสร้างหยุดไปด้วย เป็นต้น ทั้งนี้หากมีความจำเป็นที่ต้องดำเนินการก่อสร้างก็อาจจะอนุญาต ให้ดำเนินการได้ในบางแคมป์ 

พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า สำหรับข้อกำหนดก่อนที่ประกาศออกไป เราประชุมกันในวันที่ 25 มิ.ย. จนถึงช่วงเย็น จากนั้นในวันที่ 26 มิ.ย.ยังมาประชุมกันต่อ จากนั้นร่างคำสั่งเสร็จได้เสนอให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ลงนามในเวลา 21.00 น. ก่อนประกาศลงราชกิจจานุเบกษาในเวลา 01.00 น. ของวันที่ 27 มิ.ย.ที่ผ่านมา นี่คือสาเหตุที่ว่า ทำไมคำสั่งถึงประกาศกลางคืน แสดงให้เห็นว่าเราทำงานตลอดเวลา เพื่อให้คำสั่งออกเร็วที่สุด ในแง่ของความเร็ว ความช้า ศบค.ก็ถูกตำหนิ เช่น ร้านอาหาร ก็ต้องขอภัยที่ออกคำสั่งช้า ทำให้เตรียมตัวไม่ทัน ส่วนเรื่องแรงงานก็ถูกต่อว่าว่าบอกเร็วไป ทำให้เขาหนีไปก่อน เรื่องนี้ต้องมองให้หลายมุม ยืนยันว่าศบค. พยายามหาจังหวะที่เหมาะสม และการออกคำสั่งต้องทำอย่างรอบคอบ ขอให้สื่อดูว่าข้อกำหนดฉบับดังกล่าว มีรายละเอียดรัดกุม นั่นคือผ่านการหารือจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมกับ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กทม. และสำนักการโยธาธิการและผังเมือง ดังนั้นเราจะรีบไม่ได้ หรือช้าเกินไปก็ไม่ทันการ ขอให้เข้าใจตรงนี้และช่วยทำความเข้าใจต่อไปด้วย 

เมื่อถามว่า จะมีมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการร้านอาหารเพิ่มเติมหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า เรื่องนี้พูดคุยเรียบร้อยไปแล้ว โดยมาตรการเยียวยาจะอยู่ในความรับผิดชอบของ ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ หรือศบศ. ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ที่ได้ประชุมและมีมาตรการไปแล้ว 

เมื่อถามย้ำว่าผู้ประกอบการ ต่อว่าศบค. ทางโซเชียลที่ออกมาตรการช้า จะขอโทษผู้ประกอบการ และประชาชนอย่างไรบ้าง พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า เราได้คุยกับสมาคมผู้ประกอบการก่อสร้าง และชี้แจงทำความเข้าใจไปแล้ว และเขาก็รับทราบก่อนที่จะออกคำสั่ง เช่นเดียวกับร้านอาหารทางนายกสมาคมภัตตาคารไทย ระบุว่าได้รับแจ้งแล้วเช่นกัน แต่การสื่อสารอาจจะไม่ทั่วถึง ก็ต้องขออภัยที่ทำให้เกิดความเดือดร้อน และประชนได้รับผลกระทบไปบ้าง ขณะเดียวกันก็ต้องขอความร่วมมือ จากผู้ประกอบการเหล่านี้ เพราะเราไม่อยากใช้มาตรการที่เข้มข้น ไม่อยากให้ประชาชนเดือดร้อน แต่ในเมื่อคณาจารย์แพทย์อาวุโส และเป็นระดับคณบดีแพทย์ศิริราช และมหาวิทยาลัยต่างๆ มาเสนอแนะด้วยตนเอง ศบค. ก็ต้องรับฟัง และปรับตามมาตรการที่เสนอ โดยจะพยายามดูให้ดีที่สุด ยืนยันว่าเราทำให้ดีที่สุด

เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ เพราะขณะนี้มีผู้ติดเชื้อกระจายไปตามต่างจังหวัดบ้างแล้ว พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ยอมรับว่ากังวล แต่กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่าจะให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด กำกับ เน้นย้ำ และควบคุมให้คนที่เดินทางไปจาก

กทม.เข้ารับการกักกัน หรือคุมไว้สังเกต ตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ ด้านกระทรวงสาธารณสุข ได้แจ้งผ่านสาธารณสุขจังหวัด ให้ช่วย ควบคุม และเตรียมการป้องกันการแพร่เชื้อในพื้นที่ โดยต่อ จากนี้สธ. จะต้องประเมินสถานการณ์ว่า เมื่อครบ 15 วันแล้วสถานการณ์เป็นอย่างไร และอาจจะมีการผ่อนคลายได้ในบางกิจการ 

เมื่อถามว่า มีเสียงสะท้อนจากบุคลากรทางการแพทย์จากต่างจังหวัดต้องการความช่วยเหลืออะไรเพิ่ม เพื่อรองรับแรงงานที่กระจายเข้าไปในพื้นที่บ้างหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ตอนนี้ยัง เพราะเขาเตรียมพร้อมกันอยู่แล้ว โดยเราแจ้งเตือนไปตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายนแล้ว 

ผู้สื่อข่าวถามถึงมาตรการดูแลรักษาตัวเองที่บ้าน โดยแพทย์ให้คำแนะนำผ่านแอพพลิเคชั่น พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า มี เริ่มพิจารณาแล้ว แต่แนวทางของเราคือตั้งโรงพยาบาลสนามเพิ่มเติม เวลานี้สถานที่และอุปกรณ์มีเพียงพอ แต่ปัญหาคือบุคลากรทางการแพทย์ ถ้าเราไปดึงจากต่างจังหวัด อาจจะทำให้พื้นที่นั้นขาดความพร้อม ส่วนแนวทางการรักษาตัวที่บ้านต้องมีมาตราการที่รอบคอบ เพราะถ้าไม่รอบคอบอาจมีอาการหนักขึ้น ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขเป็นห่วงตรงนี้ และเวลานี้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ประกาศหลักเกณฑ์แล้ว เหลือแค่พิจารณาระบบที่จะรองรับ เพราะทุกมาตรการที่จะออกไป ศบค. และศบศ. จะต้องทำอย่างรอบด้าน 

เมื่อถามว่าศบค. ได้หารือถึงการรับเรื่องร้องเรียน อาจมีการรวมตัวเกินกว่าที่กำหนดหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ได้หารือ เหมือนกัน แต่ทุกครั้งทุกคณะที่มายื่นเรื่อง เราก็รับตลอด ทั้งพนักงานนวดแผนโบราณ หรือศิลปะการบันเทิง เรารับฟังตลอด อะไรที่ผ่อนคลายได้ก็ดำเนินการ อะไรที่เยียวยาได้ ก็ฝาก ศบศ. ดำเนินการ เราพยายามดูแลทั้ง 2 มิติ และสามารถมายื่นได้ตลอด ส่วนผู้ประกอบการร้านอาหารก็ได้รับการเยียวยาอยู่แล้ว แต่อาจจะไม่ครบตามที่เสนอมาเท่านั้น และยืนยันว่าครั้งนี้ดูแลมากกว่าทุกครั้ง 

เมื่อถามว่า การประชุมรัฐสภา สามารถดำเนินการได้ปกติ หรือต้องขออนุญาตจากศบค. หรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ศบค. อนุญาตไว้แล้ว ส่วนจะประชุมหรือไม่ขึ้นอยู่กับสภา ไม่เกี่ยวกับศบค. เราก็อนุญาตไปแล้ว

กลุ่มไทยไม่ทน เปิดธรณีกันแสง อ้าง ประจานศพ พิษโควิด ล้อ ‘บิ๊กตู่’ นะจ๊ะๆ ท่ามกลางเสียงร้องไห้ประชาชน จตุพร นัด รวมตัวขอพรศาลหลักเมือง พรุ่งนี้ ก่อน เสาร์ ยังนัด ผ่านฟ้าเวลาเดิม

กลุ่มไทยไม่ทน นำโดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช. ยื่นหนังสือที่ศูนย์รับเรื่องร้องเรียน ทำเนียบรัฐบาล พร้อมกับอ่านประกาศ #ไทยไม่ทน ความทุกข์ร้อนของประชาชน เพื่อให้นายกรัฐมนตรีหยุดยินดีปรีดา หัวเราะร่า ท่ามกลางคราบน้ำตา และงานศพของประชาชน โดยได้มีการแสดงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ นอนราบกับพื้น คลุมด้วยผ้าขาวบาง เปรียบเสมือนคนตายสามศพจาก การติดเชื้อ โควิด-19 ไม่ได้รับวัคซีน และพิษเศรษฐกิจ พร้อมสาดน้ำแดง เปรียบเสมือนเลือดประชาชน ขณะเดียวกันมีบุคคลแต่งกายสวมหน้ากากเป็นใบหน้าของพล.อ.ประยุทธ์ ล้อเลียนเสียงของนายก ประโยคการอ่านข้อกำหนดฉบับที่ 25 และได้มีการเอ่ยคำว่านะจ๊ะออกมา พร้อมกันนี้ได้เปิดเพลงคำนี้กันแสงควบคู่ไปด้วย

นายไทกร พลสุวรรณ แกนนำไทยไม่ทน อ่านแถลงการณ์ระบุว่า มาตรการของรัฐบาลและศบค. ไม่เคยเห็นหัวประชาชน ไม่สามารถแก้ไขปัญหาการระบาดร้ายแรงของ โควิด-19 ได้ นับวันยิ่งมีผู้ติดเชื้อมากขึ้น จนน่าสงสัยว่าพาหะที่สำคัญของโคโรนา น่าจะเป็นหัวใจที่มืดบอดของพล.อ.ประยุทธ์ ที่แม้แต่ยาบำรุง คืออำนาจพิเศษตาม ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ก็ไม่สามารถนำประเทศฝ่าข้ามวิกฤตไปได้ นอกจากนี้ยังค้ากำไรส่วนเกินจากวัคซีนโควิด โดยใช้งบประมาณแผ่นดินไม่สนใจความเดือดร้อนของประชาชน กู้เงินในอนาคตมาจำนวนมหาศาลไม่ใหญ่ดีหนี้สินของลูกหลานที่จะต้องจ่ายในภายหน้า ซึ่งปัจจุบันมีคนตกงานและฆ่าตัวตายมากมายหลายวันท่ามกลางน้ำตาเสียงร้องไห้ที่กล้ำกลืนอุกอั่งคั่งแค้นในใจจนสุดจะทน แต่นายกและพวก กลับยืนยิ้มหัวเราะร่า อยู่ในทำเนียบท่ามกลางงานศพของประชาชนทั้งแผ่นดิน 

ด้านนายจตุพร กล่าวว่า การที่พล.อ.ประยุทธ์ระบุ ถูกต่อว่าด้วยถ้อยคำหยาบคายนั้นตนมองว่าพล.อ.ประยุทธ์ คือนายกฯที่พูดจาหยาบคายที่สุด ตั้งแต่ประเทศไทยเคยมีมา ถ้าอยากให้พูดเพราะตนจะขอพูดว่า พณฯ พลเอกประยุทธ์ โปรดลาออกได้แล้วนะจ๊ะ ส่วนที่บอกว่านายกทำงานหนัก และเจอปัญหาหนักกว่าประชาชนนั้น ตนมองว่าท่านหนักแผ่นดิน ไม่เข้าใจความรู้สึกประชาชนว่าทุกข์หนักขนาดไหน การประกาศข้อกำหนดลักหลับ โดยไม่รู้จักเวล่ำเวลา และได้แต่เสียงร้องไห้ของประชาชน ส่วนหลักคิดการปิดแคมป์กลาย เป็นการกระจายเชื้อไปทั่วประเทศ ไม่มีขณะนี้พล.อ.ประยุทธ์สายเกินแกงแล้วไม่มีทางเลือกอื่น ถ้าบริหารงานต่อไป ประชาชนจะเดินหน้าขับไล่ 

โดยในวันที่ 30 มิถุนายนนี้ เวลา 13.00 น. นัดรวมตัวกันที่ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์เพื่อเดินไปศาลหลักเมืองปกครองเพื่อขอพรให้คุ้มครองคนไทยให้รอดพ้นจากการปกครองระบอบประยุทธ์ เพราะถ้ายังบริหารต่อไปประเทศจะเกิดจราจล และยืนยันวันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคมนี้ เวลา 16.00 น. จะรวมตัวกันที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศแล้ว เวลา 18.30 จะเดินขบวนมาที่ทำเนียบรัฐบาลอีกครั้ง

นอกจากนี้ขอเรียกร้องให้คนไทยทำฉันทามติ เพื่อเสนอชื่อบุคคล มาทำหน้าที่แทนพล.อ.ประยุทธ์ ขอให้เป็นใครก็ได้เพื่อมาแก้ปัญหา 3 ด้าน ได้แก่ ปัญหา โควิด-19 ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหารัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นของประชาชน

“ที่ปรึกษาชวน” ดึงสติ “อนันต์” หลังตื่นตระหนกกลัวโควิด แจง ถามศบค.แล้วประชุมไม่ใช่จัดกิจกรรม ย้อน พปชร.ทำไมไม่เข้าประชุม ยันสภาไม่ล่มจมแน่นอน 

ที่รัฐสภา นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่นายอนันต์ ผลอำนวย ส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กิจการสภาผู้แทนราษฎร ขอให้นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร สั่งงดการประชุมสภาฯ ในสัปดาห์นี้และเตือนว่าหากยังเดินหน้าประชุมสภาอาจจะล่มได้นั้น ว่า นายชวนยืนยันว่ายังคงมีการประชุมสภาในวันที่ 30 มิ.ย.และ 1 ก.ค. เพราะมีส.ส.จำนวนหนึ่งประสานมาว่าจะมาประชุม ดังนั้นจึงไม่สามารถปิดโอกาสการทำหน้าที่ของส.ส.ได้ แม้จะบอกว่าพรรคพลังประชารัฐปฏิเสธเข้าร่วมประชุม ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลกเพราะดูตามระเบียบวาระการประชุมในวันที่ 30 มิ.ย. ล้วนแต่เป็นร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ที่เสนอโดยรัฐบาลท้ังสิ้น จำนวน 6 ฉบับและยังเสนอเป็นเรื่องด่วนอีกด้วย แต่ทำไมพรรคพลังประชารัฐจะไม่เข้าร่วมประชุม ซึ่งถึงเวลาในวันพรุ่งนี้ก็คงจะทราบกันว่าองค์ประชุมจะครบหรือไม่ แต่ตนเชื่อว่าสภาไม่ล่มและไม่ล่มจมแน่นอน ดังนั้นขอให้ใช้สติพิจารณาอย่าตื่นตระหนก เพราะที่ผ่านมาสภาสามารถควบคุมดูแลการแพร่ระบาดโควิด-19 มาโดยตลอด 

นพ.สุกิจ กล่าวต่อว่า นอกจากมาตรการต่างๆ ที่เข้มข้นแล้ว สภายังได้รับการรับรองจากกรมควบคุมโรค และยังได้รับการจัดสรรวัคซีนให้กับส.ส.ที่ได้รับการฉีดมาเรียบร้อยแล้วก่อนหน้านี้ ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน เมื่อส.ส.ฉีดไปแล้วจึงเชื่อว่าเมื่อมาประชุมก็จะมีความเสี่ยงน้อยต่อการติดเชื้อ แต่หากเกรงว่าอยู่ในห้องประชุมจะไม่ปลอดภัย นายชวนเคยแนะนำนายอนันต์ว่าเมื่อลงชื่อแล้วให้ไปรับฟังการประชุมในห้องส่วนตัวที่ทางสภาจัดไว้ให้ก็ได้ เมื่อถึงเวลาค่อยมาลงมติ ส่วนกรณีที่ส.ส.มาประชุมที่กทม.แล้วกลับไปต่างจังหวัดจะต้องถูกกักตัว 14 วันในพื้นที่ตนเองนั้น ข้อกำหนดทุกจังหวัดมีข้อยกเว้นให้กับผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วจะไม่โดนกักตัว ดังนั้นไม่ต้องกลัว ถ้ามีใบรับรองฉีดวัคซีนยืนยันเชื่อว่าแต่ละจังหวัดคงมีเหตุผล 

นพ.สุกิจ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่บอกว่าหากมีการจัดประชุมสภาจะถือเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายและข้อกำหนดของศบค.ที่บังคับใช้เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.นั้น ทางสภาไม่ได้นิ่งนอนใจ ทั้งนี้เป็นการจัดประชุมไม่ใช่การจัดกิจกรรม ถือเป็นหน้าที่ที่กำหนดไว้ตามรัฐธรรมนูญ ที่ผ่านมาสภาเคยทำหนังสือสอบถามศบค.แล้ว และศบค.ก็เห็นชอบมาตรการโควิดของสภา พร้อมกับให้จัดประชุมได้ตลอดสมัยการประชุมนี้ ล่าสุดรองเลขาธิการสภาก็ได้ทำหนังสือสอบถามศบค.อีกครั้งว่าสภาต้องทำหนังสือขออนุญาตอีกหรือไม่ ซึ่งได้รับคำตอบว่าไม่ต้องขออนุญาตแล้ว แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการอย่างเข้มข้น ดังนั้นการประชุมสภาไม่ใช่การฝ่าฝืนกฎหมาย 

“ประธานสภาตระหนักในอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากประชาชนให้ทำหน้าที่นิติบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งช่วงวิกฤตโควิด-19 นี้ ฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการยังปฏิบัติหน้าที่ได้ ดังนั้นฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีเหตุผลที่จะหยุดทำงาน” นพ.สุกิจ กล่าว

ผู้ประกอบอาชีพธุรกิจกลางคืน-ธุรกิจบันเทิง ร้อง นายกฯ เยียวยาผู้ประกอบการ คนกลางคืน 

ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของทำเนียบรัฐบาล สมาพันธ์ผู้ประกอบอาชีพธุรกิจกลางคืนและธุรกิจบันเทิงแห่งประเทศไทย นำโดย นายนนทเดช บูรณะสิทธิพร ยื่นหนังสือถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อเสนอแนวทางให้รัฐบาลมีมาตรการเยียวยากับผู้มีอาชีพธุรกิจกลางคืน

นายนนทเดช กล่าวว่า การระบาดโควิดระลอก 3 และมีข้อกำหนดให้ปิดสถานบริการ ทำให้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ ซึ่งไม่ได้มีแค่เจ้าของธุรกิจ แต่ยังมีพนักงานสาขาอาชีพอื่น จึงขอให้นายกฯพิจารณามาตรการเยียวยาเพื่อให้ความเป็นธรรม

โดยนายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษก ประจำศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบศ. เป็นตัวแทนรับหนังสือ กล่าวว่า จะนำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อที่ประชุม ศบค.เพื่อให้การช่วยเหลือต่อไป

บริษัทประกันกุมขมับ! ยอดเคลม ‘ประกันโควิด’ พุ่งไม่หยุด เสี่ยงขาดทุนหนัก

นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ที่รุนแรงต่อเนื่อง ทำให้คนไทยตื่นตัวหันมาทำประกันภัยโควิดเพิ่มแบบก้าวกระโดด ล่าสุดยอดการทำประกันโควิด ทั้งประกันใหม่และประกันต่ออายุในช่วงครึ่งปีแรก มีจำนวนมากถึงกว่า 10 ล้านกรมธรรม์ สูงกว่ายอดประกันตลอดทั้งปีที่แล้ว โดยมียอดเบี้ยประกันเกินกว่า 4,000 ล้านบาท

สำหรับรูปแบบประกันที่นิยมจะคุ้มครองแบบเจอจ่ายจบ หรือจ่ายค่าเคลมทันทีเมื่อพบติดเชื้อ รองลงมาเป็นการคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล ค่าชดเชยเมื่อรักษาตัว และคุ้มครองเมื่ออาการโคม่า

ส่วนยอดเคลมหรือจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันโควิด ปีนี้มียอดพุ่งสูงกว่าปีก่อนเช่นกัน ซึ่งเป็นไปตามสถานการณ์การระบาดและยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่กระจายทั่วประเทศ และส่งผลให้บริษัทประกันเริ่มขาดทุนจากรับทำประกันโควิด เพราะหากนับเฉพาะเบี้ยที่รับรู้รายได้ช่วง 2-3 เดือนของกรมธรรม์ (เม.ย.-มิ.ย.) มีเบี้ยรับเพียง 800-900 ล้านบาท แต่ยอดขอเคลมจากโควิดกับพุ่งเกินกว่า 1,000 ล้านบาท ทำให้มีอัตราชดเชยค่าสินไหมสูงกว่าเบี้ยรับไปแล้ว

“ถ้าสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้หรือรุนแรงขึ้นกว่าเดิมอีก บริษัทประกันก็มีโอกาสขาดทุนมากกว่านี้แน่นอน”

นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า บริษัทประกันภัยหลายแห่ง ได้มีการแจ้งหยุดขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยโควิดแล้ว เนื่องจากพิจารณาแล้ว เห็นว่ามีความเสี่ยงที่จะขาดทุนจากการรับประกันภัยประเภทดังกล่าว


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“อนันต์”เสียงอ่อน เป็นผู้แทนฯไม่สามารถเลี่ยงการประชุมสภาฯได้ กำชับทุกฝ่ายปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด พร้อมแจงเลื่อนประชุม กมธ.กิจการสภาฯเพื่อทบทวนมาตรการให้รอบคอบ ชี้ไม่ใช่ห่วงแค่ ส.ส.ต้องคิดถึง “รก.-จนท.-ผู้ชี้แจง ด้วย

นายอนันต์ ผลอำนวย ส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กิจการสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 30 มิ.ย.-1 ก.ค. ว่า เท่าที่สอบถาม ส.ส.หลายคนมีความกังวลต่อสถานการณ์โควิดในพื้นที่ กทม.ที่รุนแรงมากขึ้น พบการติดเชื้อที่รวดเร็วในวงกว้าง มีข้อมูลทางการแพทย์ว่าอาจเป็นเชื้อสายพันธุ์ใหม่ที่ติดต่อกันได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งยังเชื่อว่ามีผู้ที่ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการและไม่ได้รับการตรวจอีกเป็นจำนวนมาก ในฐานะประธาน กมธ.ฯ ชพยายามประสานงาน และกำชับให้ ส.ส.และผู้ที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุขอย่างเข้มงวด และเคร่งครัด เพื่อให้การทำงานของสภาฯ ทั้งในส่วนของการประชุมสภาฯ และการประชุมของ กมธ.ดำเนินไปได้โดยไม่ก่อปัญหาหรือสร้างคลัสเตอร์ใหม่ขึ้นมา ส่วนที่ระบุว่า ส.ส.บางพรรคจะไม่เข้าร่วมประชุมสภาฯนั้น ก็เป็นเพียงการให้ข้อมูลตามที่ได้พูดคุยสอบถามถึงข้อกังวลเป็นการภายในเท่านั้น
        
“คนเป็นผู้แทนฯ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการประชุมสภาฯ ได้ เพราะเป็นหน้าที่ที่สำคัญในการติดตามและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ทั้งนี้การประชุมหรือการดำเนินภารกิจใด ๆ ในสภาฯขณะนี้ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก ต้องไม่ปล่อยให้เกิดปัญหาซ้ำเติม เป็นวิกฤตซ้อนวิกฤตเพิ่มขึ้นไปอีก ดังนั้นนอกเหนือจากการดูแลตัวเองตามมาตรการทางสาธารณสุขแล้ว ยังต้องกำชับและขอความร่วมมือผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดปฏิบัติตามมาตรการของทางรัฐสภาอย่างเคร่งครัดด้วย” นายอนันต์ กล่าว
        
ส่วนกรณีออกคำสั่งเลื่อนประชุม กมธ.กิจการสภาฯออกไปอย่างน้อย 30 วันหรือจนกว่าสถานการณ์โควิดจะคลี่คลายลงนั้น นายอนันต์ กล่าวว่า เป็นเพียงการเลื่อนเพื่อพิจารณาตามสถานการณ์ และทบทวนมาตรการทางสาธารณสุขในการคัดกรองผู้เข้าร่วมประชุม โดยต้องตรวจสอบความพร้อมของ กมธ.และผู้เกี่ยวข้อง ทั้งในเรื่องการตรวจเชื้อ และการรับวัคซีน เป็นต้น เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการของรัฐบาลต่าง ๆ ซึ่งการทำงานในสภาฯ ไม่เพียงแต่ถามความเห็นของ ส.ส.เท่านั้น เราต้องคำนึงถึงข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และผู้ชี้แจงด้วย หากทุกฝ่ายมีความมั่นใจ และเห็นตรงกันว่ามีความพร้อม ยืนยันว่า กมธ.กิจการสภาฯก็จะนัดประชุมทันที

“จุรินทร์” เชื่อไม่มีอุปสรรค์ สามารถเดินหน้าแก้รธน.ได้ ขอทุกฝ่ายอย่าตั้งแง่ว่าเป็นร่างของใคร ชี้ถ้าไม่ร่วมใจกันโอกาสสำเร็จยาก ส่วนส.ว.เตรียมยื่นศาลรธน.ตีความเป็นเรื่องแต่ละบุคคล

ที่กระทรวงพาณิชย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายฯและรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับพรรปคระชาธิปัตย์ อาจมีปัญหา ว่า ได้คุยกับหลายพรรคการเมือง และนักกฎหมาย ฝ่ายกฎหมายของหลายฝ่าย รวมทั้งประสภการณ์ในฐานะสมาชิกรัฐสภา ตนจึงไม่คิดว่าจะมีปัญหา แต่สามารถที่จะเดินหน้าต่อไปได้ เพราะการเขียนหลักการณ์เป็นการเขียนกว้าง ๆ ว่าต้องแก้เรื่องอะไรด้วยเหตุผลอะไร เมื่อไปสู่วาระที่สอง ก็เป็นหน้าที่ของคณะกรรมาธิการ และสมาชิกรัฐสภาที่ต้องไปปรับปรุงแก้ไขมาตราอื่น ๆ ที่ยังขัดแย้งกับหลักการให้สอดคล้องได้ แม้แต่แก้ตัวเลขมาตราอื่น ๆ ก็แก้ได้ เพราะถ้าผลของการรับหลักการณ์ทำให้ต้องเพิ่มมาตรา มาตราที่เหลือก็ต้องขยับชื่อตัวเลขก็สามารถทำได้ เพราะฉะนั้นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาธิปัตย์ที่รับหลักการ แม้ระบุไว้แค่ 2-3 มาตรา แต่มาตราไหนที่แก้แล้วขัดแย้งกับมาตราหลักก็สามารถแก้ไขได้ ซึ่งเป็นไปตามข้อบังคับ ตนจึงไม่คิดว่าจะมีอุปสรรค์อะไรในการที่จะเดินหน้าต่อไปได้ และขณะนี้ก็มีผู้เริ่มยื่นเรื่องขอแปรญัตติเข้าไปที่กมธ.แล้ว 

ส่วนกรณีมี ส.ว. เตรียมจะไปยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยร่างรัฐธรรมนูญ ร่างที่ 13 ของพรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ กล่าวว่า สุดแล้วแต่ อันนั้นก็เป็นเรื่องที่แต่ละบุคคล แต่ละกรณีจะดำเนินการไป แต่สำหรับตน และพรรคประชาธิปัตย์เห็นว่าร่างที่รับหลักการไปสามารถเดินหน้าไปได้ตามขั้นตอนกระบวนการปกติ ตามข้อบังคับของรัฐสภาได้ และความจริงก็อยากให้ช่วยกันที่จะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ประสบความสำเร็จได้ 

“อะไรที่ไม่จำเป็น ก็ไม่ควรไปตั้งแง่ ว่าเป็นร่างของพรรคไหน เป็นร่างของใคร อย่างไร เพราะสุดท้ายมันก็คือความร่วมมือร่วมใจของ ทั้ง ส.ส. รัฐบาล ส.ส.ฝ่ายค้าน และส.ว.ถ้าสามฝ่ายไม่ร่วมใจกัน โอกาสจะประสบความสำเร็จ มันก็ยาก และผมก็เชื่อว่าทุกฝ่ายก็อยากเห็นประเทศเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น เพราะมันเป็นทางเดียวที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้าไปได้ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ได้อย่างยั่งยืน นั่นก็คือการที่จะเดินหน้าไปสู่วิถีประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งเป็นสิ่งที่เรากำลังเดินอยู่ ขั้นตอนกระบวนการของการแก้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่จะเดินหน้าไปสู่ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว 

ป.ป.ช. ชี้มูลฯ กิตติรัตน์ ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ปล่อยให้มีการเอื้อประโยชน์ “สยามอินดิก้า” บริษัทค้าข้าวชื่อดัง เป็นผู้ส่งมอบข้าวให้ “BULOG” พร้อม ฟัน อดีตบิ๊ก อคส.-เอกชน ผิดหลายกระทง

นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงผลการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่า สืบเนื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนเพื่อไต่สวนข้อเท็จจริงเรื่องกล่าวหา นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กับพวก กรณีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต โดยละเว้นไม่ควบคุมดูแลหรือสั่งการให้มีการตรวจสอบ กรณีองค์การคลังสินค้าคัดเลือกบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ให้เป็นผู้ส่งมอบข้าวให้ BULOG ประเทศอินโดนีเซีย โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ทั้งนี้ จากการไต่สวนข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2554 องค์การคลังสินค้ากับองค์การสำรองอาหาร หรือ BULOG ของรัฐบาลอินโดนีเซีย ทำสัญญาซื้อขายข้าว ปริมาณ 300,000 ตัน ในราคาตันละ 559 เหรียญสหรัฐ และเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามสัญญาดังกล่าว องค์การคลังสินค้าจึงได้ออกประกาศเชิญชวนผู้ประกอบการค้าข้าวให้เสนอขายข้าวขาว 15% เพื่อส่งมอบให้แก่ BULOG ของรัฐบาลอินโดนีเซีย 

โดยวิธียื่นซองเสนอราคา ในวันที่ 13 ธันวาคม 2554 โดยไม่ปรากฏว่าหนังสือดังกล่าวได้มีการประกาศเป็นการทั่วไปซึ่งไม่ชอบด้วยระเบียบองค์การคลังสินค้าว่าด้วยการจัดซื้อสินค้าเพื่อการค้าปกติ พ.ศ. 2541 ต่อมาเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2554 มีผู้ยื่นซองเสนอราคา จำนวน 2 ราย ได้แก่ บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด และบริษัท นครสวรรค์ค้าข้าว จำกัด ซึ่งทั้งสองบริษัทได้มอบอำนาจให้พนักงานของบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด เป็นผู้มายื่นซองเสนอราคา ผลการพิจารณาคุณสมบัติปรากฏว่า บริษัท นครสวรรค์ค้าข้าว จำกัด ไม่ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติ จึงเหลือเพียงบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด เพียงบริษัทเดียว นายสุรศักดิ์ ศรีประภา ประธานกรรมการองค์การคลังสินค้าและได้รับมอบหมายให้รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้าในขณะนั้น จึงได้อนุมัติให้บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด เป็นผู้ส่งมอบข้าวให้แก่ BULOG ของรัฐบาลอินโดนีเซีย 

นายนิวัติไชย กล่าวว่า โดยองค์การคลังสินค้าได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายข้าวกับบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด จำนวน 100,000 ตัน ราคาตันละ 559 เหรียญสหรัฐ และต่อมาองค์การคลังสินค้าได้มีการทำบันทึกต่อท้ายสัญญากับบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด เพื่อตกลงซื้อขายข้าวเพิ่มเติมอีก จำนวน 200,000 ตัน โดยไม่มีการออกประกาศเชิญชวนเป็นการทั่วไปให้ผู้ประกอบการค้าข้าวเสนอราคาขายข้าวเพื่อแข่งขันราคากันแต่อย่างใด กรณีดังกล่าวจึงถือได้ว่านายสุรศักดิ์ นายพิทีรต์ ตั้งพสสวัสดิ์ หรือนายพิพรรธารย์ มาตธินินทร์ รองผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า และนายสมศักดิ์ วงศ์วัฒนศานต์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า ได้ร่วมกระทำไปโดยมุ่งหมายและมีวัตถุประสงค์ ที่จะเอื้ออำนวยให้บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ได้เข้าเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับองค์การคลังสินค้าและไม่ต้องแข่งขันราคากับผู้เสนอราคารายอื่น โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม อันเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบเพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น อันเป็นการเสียหายแก่องค์การคลังสินค้า

นายนิวัติไชย กล่าวว่า ข้อเท็จจริงยังรับฟังได้อีกว่า ภายหลังจากที่องค์การคลังสินค้าได้คัดเลือกบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ให้เป็นผู้ส่งมอบให้แก่ BULOG ของรัฐบาลอินโดนีเซีย ตัวแทนสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยได้เข้าพบนายกิตติ ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อทักท้วงว่าการคัดเลือกบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ให้เป็นผู้ส่งมอบข้าวให้ BULOG ประเทศอินโดนีเซีย มีการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งนายกิตติรัตน์ ทราบข้อเท็จจริงอยู่แล้วว่าองค์การคลังสินค้าได้คัดเลือกบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ให้เป็นผู้ส่งมอบข้าวให้ BULOG ประเทศอินโดนีเซีย แต่นายกิตติรัตน์ ไม่ใช้อำนาจในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สั่งการให้มีการตรวจสอบ หรือดำเนินการใด ๆ เพื่อยับยั้งหรือแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายขององค์การคลังสินค้าดังกล่าว กลับแจ้งแก่ผู้แทนสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย รวมถึงให้ข่าวแก่สื่อมวลชนว่าจะไม่มีการทบทวนเรื่องดังกล่าว โดยกล่าวอ้างว่าการดำเนินการขององค์การคลังสินค้าเป็นไปโดยชอบ และทางฝ่าย BULOG ของรัฐบาลอินโดนีเซีย เป็นผู้เลือกบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด แต่ปรากฏว่า BULOG ไม่เคยให้ข้อเสนอแนะหรือแนะนำรายชื่อผู้ส่งออกข้าวให้กับองค์การคลังสินค้าแต่อย่างใด แสดงให้เห็นเจตนาว่าต้องการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ได้เป็นผู้ส่งมอบข้าวให้แก่ BULOG ของรัฐบาลอินโดนีเซีย แต่เพียงผู้เดียว 
 
นายนิวัติไชย กล่าวว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติ ดังต่อไปนี้ การกระทำของนายกิตติรัตน์ มีมูลความผิดอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 ส่วนการกระทำของนายสุรศักดิ์ นายพิทีรต์ดิ์ หรือนายพิพรรธารย์ นายสมศักดิ์ และบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด กับพวก มีมูลความผิดอาญาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 4 มาตรา 10 และมาตรา 12 พระราชบัญญัติ  ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 8 และมาตรา 11 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86

เริ่มแล้ว! ‘มหกรรมพลิกล็อก’ ในศึกฟุตบอลยูโร 2020

#เก็บตกยูโร2020 ⚽

เริ่มแล้ว! มันกำลังเริ่มขึ้นแล้ว!! เรากำลังพูดถึง ‘มหกรรมพลิกล็อก’ ที่มักจะเกิดขึ้นเป็นประจำในศึกฟุตบอลยูโร งานนี้บรรดา ‘พี่ ๆ ทีมรอง’ ทั้งหลาย เริ่มจับมือกันเป็นภาคีเครือข่าย สร้างปฏิบัติการหักปากกาเซียน คนละป๊อก สองป๊อก!

ย้อนความกันสักหน่อย ถ้าคุณยังจำทีมอย่างเดนมาร์ก ในยูโร 1992 ทีมอย่างกรีซ ในยูโร 2004 หรือแม้แต่โปรตุเกสในยูโร 2016 ครั้งที่แล้ว ทั้งหมดนั้นถูกจัดว่าเป็นทีมแคทรียา อิงลิช หรือทีมนอกสายตา (ถ้าเกิดไม่ทันเพลงนี้ก็ข้ามไปนะ) ที่สุดท้ายคว้าแชมป์ไปเฉย!

กระทั่งมาถึงยูโร 2020 แม้ในรอบแรก บรรดาทีมใหญ่-ทีมเต็งจะยังรักษามาตรฐาน ตบเท้าเข้ารอบกันแบบไม่มีรถผ้าป่าคว่ำกลางทาง แต่พอมาถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายเท่านั้น ภาพเดิมที่เคยคุ้นตา ก็เริ่มวนกลับมาอีกครั้ง

เดนมาร์ก, สาธารณรัชฐเช็ก และสวิตเซอร์แลนด์ เริ่มปฏิบัติการ ‘ตบทีมเต็ง’ และเริ่มมีออร่าที่น่ากลัว คือน่ากลัวว่าจะไปยาวยันรอบชิงฯ นี่ยังไม่นับสวีเดนและยูเครนที่จะลงดวลกันเอง ทั้งหมดคือทีมที่ประมาทไม่ได้ โปรดลืมภาพในรอบแรกไปให้สิ้น!

ถามว่า อะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้จู่ ๆ บรรดาทีมทั่นรองเหล่านี้เกิดฟอร์มดุ มีความแข็งแกร่งขึ้นมาซะอย่างนั้น คำตอบง่าย ๆ คือ บอลน็อกเอาต์ นัดเดียวตกรอบ ขอแค่มีพลัง ความสด ความตั้งใจ และไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้

เดนมาร์กเผาเครื่องเวลล์, เช็กขย่มเนเธอร์แลนด์ และสวิสตบเต็งหนึ่งฝรั่งเศสตกรอบ ยัง! เชื่อว่าจะยังไม่หมดเท่านี้ และที่สำคัญ ห้ามกาชื่อพวกพี่ ๆ ทั่นรองเหล่านี้ออกจากทีมลุ้นแชมป์ เด็ดขาด!

ตามดูกันต่อไปว่า ทีมไหนจะไปได้ยาวที่สุด และถ้าฟุตบอลยูโรจะมีชื่อเล่น คงต้องตั้งชื่อให้ว่า ศึกฟุตบอลปราบเซียน!


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ฯ’ เรียกร้องรัฐบาลทำ 5 ข้อ จัดหาวัคซีนให้เพียงพอทั้งปริมาณและคุณภาพ กระจายวัคซีนอย่างเป็นระบบ ไม่ตกอยู่ใต้อิทธิพลการเมือง

นายแพทย์อนุตตร จิตตินันทน์ ประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ออกประกาศ เรื่อง “วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ฉบับที่ 2 โดยเรียกร้องไปยังรัฐบาลให้ดำเนินดังนี้...

1.) รัฐบาลควรใช้ความพยายามอย่างสูงสุดในการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ให้มีใช้อย่างเพียงพอทั้งปริมาณและคุณภาพ และประสิทธิผลต่อเชื้อกลายพันธุ์มาใช้ เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่โดยเร็ว โดยมุ่งเน้นกลุ่มที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเป็นอันดับแรก

2.) รัฐบาลควรใช้ความพยายามอย่างสูงสุดและเร็วที่สุด ในการนำเข้าวัคซีนทางเลือกทุกชนิดที่ได้รับการอนุมัติโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดยปรับกฎระเบียบและระบบราชการที่ทำให้เกิดความล่าช้า รวมถึงสนับสนุนการวิจัยวัคซีนและผลิตวัคซีนภายในประเทศ

3.) รัฐบาลควรบริหารจัดการกระจายวัคซีนโควิด-19 ให้ดีขึ้นอย่างเป็นระบบ มีความชัดเจนและโปร่งใส ให้ความสำคัญกับหลักการทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมืองหรือผลประโยชน์ใด ๆ รวมทั้งต้องสื่อสารทำความเข้าใจเรื่องวัคซีนโควิด-19 โดยเฉพาะเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นหลังการได้รับวัคซีนโควิด-19 อย่างเปิดเผยและรวดเร็ว

4.) ประชาชนควรเข้ารับวัคซีนโดยเร็วที่สุด ทั้งที่รัฐบาลจัดหามาให้และวัคซีนทางเลือก โดยยังต้องให้ความสำคัญของมาตรการการป้องกันโรค ได้แก่ งดเว้นกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่ม การเว้นระยะห่าง ล้างมือ ใส่หน้ากากอนามัย อย่างเคร่งครัด ถึงแม้ได้รับวัคซีนโควิด-19 ครบแล้ว

5.) สมาชิกราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ฯ ทุกคนควรเข้ารับวัคซีนเมื่อมีโอกาสได้รับการฉีดเร็วที่สุด เพื่อลดการเจ็บป่วย ลดการกักตัว ลดการนำเชื้อไปสู่ผู้ป่วยและผู้ร่วมงาน ลดการระบาดภายในสถานพยาบาล รวมทั้งเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับแพทย์สาขาอื่น ๆ บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนในการยอมรับวัคซีนโควิด-19

 

ที่มา: https://www.topnews.co.th/news/32482


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top