Saturday, 24 May 2025
NewsFeed

'รมว.เอกนัฏ' ส่งเสริมสถานประกอบการยุคใหม่ ก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 22,709 ตันคาร์บอนต่อปี

(27 ก.ย.67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลได้วางนโยบายเร่งขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ประเทศเกิดฟื้นตัวและสร้างความมั่นคงอย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งเสริมสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกับการดูแลคุณภาพชีวิต ซึ่งหนึ่งในนโยบายที่สำคัญ คือ การสานต่อนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) เพื่อให้ประเทศไทยเป็นผู้นำของอาเซียนในด้านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ ตามกำหนดในปี ค.ศ. 2050 พร้อมกับการสร้างการปรับตัวของภาคเศรษฐกิจจากกฎกติกาสากลและคู่ค้าสำคัญของไทยที่มีแนวโน้มเข้มข้นมากขึ้น และครอบคลุมในหลายสาขาอุตสาหกรรม จึงเป็นความท้าทายของภาคอุตสาหกรรมเพื่อการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมสู่เศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งจะนำมาสู่ความต้องการนำเข้าสินค้าคาร์บอนต่ำ และเป็นกติกาทางการค้าที่อุตสาหกรรมไทยจำเป็นต้องปรับตัว ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อความสามารถด้านการผลิตและขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในเวทีโลก

ด้วยความสำคัญในการเร่งขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การผลิตอย่างยั่งยืนและสังคมคาร์บอนต่ำดังกล่าว จึงได้มอบนโยบาย 'การขับเคลื่อนปฏิรูปอุตสาหกรรมไทยสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ทันสมัย สะอาด สะดวก โปร่งใส' และเน้นย้ำให้กระทรวงอุตสาหกรรม เร่งส่งเสริมและกำกับดูแลภาคอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุม เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไปพร้อม ๆ กับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยขับเคลื่อนครอบคลุมการยกระดับอุตสาหกรรมเดิมที่มีอยู่ เพื่อเป็นการดึงดูดการลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่มีศักยภาพ ตลอดจนต้องการยกระดับเศรษฐกิจไทยไปสู่การเป็นเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ในการพัฒนาเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและรักษาสิ่งแวดล้อม

นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม (นายณัฐพล รังสิตพล) ได้มอบหมายให้สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ดำเนินโครงการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อมให้เติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้ค่าใช้จ่ายการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมภูมิภาคให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยกรอบแนวคิด BCG ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ขึ้น เพื่อให้สถานประกอบการหรือวิสาหกิจนำองค์ความรู้และเทคโนโลยี มาประยุกต์ใช้ในการยกระดับผลิตภาพการผลิตและสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และมีการใช้ทรัพยากรในภาคอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน 

โดยเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่าง สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด นำร่อง 12 จังหวัด อาทิ จังหวัดแพร่, เชียงราย, พะเยา, ชัยภูมิ, สุรินทร์, เพชรบุรี, หนองบัวลำภู, ลำปาง, นนทบุรี, ยะลา, ภูเก็ต และร้อยเอ็ด เพื่อยกระดับสถานประกอบการและพัฒนาผลิตภัณฑ์ จำนวน 32 ราย และคัดเลือกสถานประกอบการที่มีความมุ่งมั่นในการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต มีความเป็นไปได้ในการต่อยอดเชิงพาณิชย์จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามกรอบแนวคิด BCG ซึ่งนำไปสู่การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จำนวน 12 ราย ซึ่งการดำเนินโครงการสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณ 764 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 22,709 ตันคาร์บอนต่อปี

ชม ARMY-2024 งานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ EP#6 ศักยภาพหนักๆ จาก ‘อาวุธเบา’ ที่เกรด NATO ยังชิดซ้าย

วันที่สองของงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ ARMY-2024 (13 สิงหาคม) วันนี้ช่วงเช้าเป็นการเยี่ยมชมการแสดง การสาธิต และการทดสอบการยิงอาวุธเบาด้วยกระสุนจริงและกระสุนซ้อมยิง (ในกรณีของเครื่องยิงลูกระเบิด) ของบริษัท High-Precision Weapons holding ณ สนามยิงปืนซึ่งตั้งอยู่ภายในอนุสรณ์สถาน Patriot park เป็นสนามยิงปืนขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่กว่า 160 เฮกตาร์ (1.6 ตารางกิโลเมตร) ด้านหน้าเป็นอาคารนิทรรศการแสดงอาวุธขนาดเบาที่ผลิตโดยบริษัทต่าง ๆ ภายใต้บริษัท High-Precision Weapons holding (ตามที่ได้เล่าไว้ใน EP.5) มีทั้งอาวุธ ปืนพก ปืนเล็กยาวจู่โจม ปืนซุ่มยิง ปืนกลเบา และเครื่องยิงลูกระเบิด ฯลฯ

อาวุธปืน Sniper ชนิดต่าง ๆ  มีทั้งใช้กระสุนรัสเซียขนาด 7.62x54R ม.ม. และกระสุน NATO ขนาด 7.62x51 ม.ม. (.308) 

ปืนกลมือ PP-2000 ขนาด 9x19 ม.ม. 

เครื่องยิงลูกระเบิด GM-94 ขนาด 43×30 ม.ม.

เครื่องยิงลูกระเบิดอัตโนมัติ AGS-30 ขนาด 30×29 ม.ม. อาวุธเบาชนิดต่าง ๆ ที่ผลิตโดยบริษัทต่าง ๆ ภายใต้บริษัท High-Precision Weapons holding

แต่ก่อนผู้เขียนเข้าใจว่าอาวุธขนาดเบาที่ผลิตในสหพันธรัฐรัสเซียออกแบบและผลิตโดยบริษัท Kalashnikov Group ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอาวุธปืนตระกูล AK แต่อันที่จริงแล้ว อาวุธเบาชนิดและแบรนด์อื่น ๆ นั้นถูกผลิตโดยบริษัทต่าง ๆ ภายใต้บริษัท High-Precision Weapons holding หลังจากการแนะนำอาวุธปืนแบบต่าง ๆ แล้ว คณะก็ถูกพามายังสนามยิงปืนซึ่งอยู่ติดกัน และถูกจัดแบ่งออกเป็นกลุ่มละ 5 คนเพื่อรับแจกแว่นตาและที่ครอบหูลดเสียงก่อนที่จะทดลองยิงอาวุธปืนชนิดต่าง ๆ 

ทดสอบปืนพก GSH-18 ขนาด 9x19 ม.ม. 5 นัด 
ระบบปฏิบัติการแบบเข็มพุ่งคล้ายปืน GLOCK แต่ไกหนักไปหน่อย
 

ทดสอบเครื่องยิงลูกระเบิด GM-94 ขนาด 43×30 ม.ม. 1 นัด
แต่เป็นกระสุนซ้อมยิงไม่มีระเบิด โดยยิงไปยังเป้าเหล็กสีน้ำเงิน (ยิงโดนครับ)

ทดสอบปืน Sniper OSV-96 ขนาด 12.7x108 ม.ม. 1 นัด

กระสุน 12.7 ม.ม. รัสเซีย (ขวา) และ NATO (ซ้าย) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากัน
แต่ใช้แทนกันไม่ได้ เพราะกระสุนรัสเซียยาว 108 ม.ม. แต่ NATO ยาวเพียง 99 ม.ม. 

โดยเป้าคือ รถหุ้มเกราะที่ระยะ 800 เมตร

ยิงโดนครับ ก็...เป้าใหญ่ซะขนาดนั้น

ทดสอบปืนเล็กยาวจู่โจม ADS ขนาด 5.45x39 ม.ม. 5 นัด
ผู้ผลิตบอกว่า ปืนรุ่นนี้สามารถลงน้ำแล้วเอาขึ้นมายิงได้เลย

ทดสอบเครื่องยิงลูกระเบิดอัตโนมัติ AGS-30 ขนาด 30×29 ม.ม. 3 นัด
แต่เป็นกระสุนซ้อมยิงไม่มีระเบิด

ความต่อเนื่องยาวนานของอุตสาหกรรมอาวุธปืนของสหพันธรัฐรัสเซียนับตั้งแต่จักรวรรดิรัสเซียยาวนานกว่า 200 ปี ผ่านการทำสงครามมากมายหลายครั้ง จึงทำให้พัฒนาการด้านการออกแบบและผลิตอาวุธปืนของรัสเซียมีความก้าวหน้ามาโดยตลอด แม้กระทั่งปืนเพื่อการกีฬาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าประเทศตะวันตกเลย

นอกจากนั้นแล้ว ปืนกีฬาที่ผลิตโดยรัสเซียสามารถชนะเลิศในการแข่งขันระดับโลกทั้งโอลิมปิกและ World Champion มากมายหลายครั้ง อาวุธปืนเล็กยาวจู่โจมของรัสเซีย (รวมทั้งเลียนแบบ) เป็นอาวุธปืนที่มียอดรวมการผลิตสูงที่สุดในโลก ด้วยประสิทธิภาพในเรื่องความแม่นยำ ความแข็งแรง ความทนทาน และระบบปฏิบัติการ 

แต่ก็น่าเสียดายที่อาวุธปืนที่ผู้เขียนได้ไปทดสอบ ยังไม่มีโอกาสเข้ามาใช้งานในบ้านเรา เพราะหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทยยังคงเชื่อมั่นในอาวุธปืนของประเทศตะวันตกมากกว่า รวมทั้งการยึดติดกับคำว่า ‘มาตรฐาน NATO’ ทั้ง ๆ ที่ปฏิบัติการพิเศษของกองทัพรัสเซียในยูเครนแสดงให้เห็นถึงเศษซากและความเสียหายของอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ชาติสมาชิก NATO ส่งไปสนับสนุนยูเครนมากมาย 

ดังนั้นสิ่งซึ่งกองทัพควรพิจารณาคือ การบริหารความสมดุลของการจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์จากค่ายต่าง ๆ โดยคำนึงถึงประโยชน์และความคุ้มค่าสูงสุดของอาวุธยุทโธปกรณ์เหล่านั้นในการใช้งานเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป

เปิดเหตุผลกางเกงทรงขาบานของทหารเรือ สะดวกต่อภารกิจ-เซฟชีวิตในยามคับขัน

(27 ก.ย. 67) จากเพจ 'เจาะเวลาหาอดีต' โพสต์เนื้อหาในหัวข้อ 'ทำไมทหารเรือต้องนุ่งกางเกงขาบาน' โดยได้เผยเหตุผลที่ทหารเรือต้องนุ่งกางเกงขาบาน 3 ประการ ดังนี้...

ประการแรก กางเกงขาบานเหมาะที่จะสวมกับรองเท้าบูท โดยปกติแล้วทหารเรือจะนอนโดยมีรองเท้าวางอยู่ใกล้ ๆ ตัว กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้สวมรองเท้าได้อย่างรวดเร็ว ทหารเรือไม่ต้องยัดปลายกางเกงไว้ในรองเท้าเช่นทหารในกองทัพอื่น ทำให้ใส่รองเท้าได้รวดเร็ว ทั้งปลายกางเกงที่บานออกก็เลิกขึ้นให้ใส่รองเท้าบูทได้ถนัด ๆ และเมื่อทหารเรืออยู่บนดาดฟ้าเรือ กางเกงขาบานนี่แหละที่ช่วยป้องกันละอองน้ำและน้ำฝนกระเซ็นเข้ารองเท้า

ประการที่สอง กางเกงขาบานง่ายแก่การพับ เนื่องจากทหารเรือมักต้องขัดดาดฟ้าเรือด้วยน้ำยาเคมีอยู่บ่อย ๆ จึงต้องพับกางเกงขึ้นไม่ให้ถูกน้ำยาอันจะทำให้กางเกงเสียหายได้ และถ้าทหารเรือต้องลุยน้ำขึ้นฝั่ง ก็สามารถพับกางเกงได้สะดวก

ประการสุดท้าย ถ้าทหารเรือตกจากเรือ กางเกงขาบานสามารถถอดได้ง่ายกว่ากางเกงแบบอื่น และทำให้ถอดรองเท้าได้รวดเร็วด้วย

ทหารเรือรู้ซึ้งถึงกางเกงขาบานดี ทหารเรือไม่ค่อยประสบปัญหารองเท้าอับ เพราะกางเกงขาบานมีส่วนช่วยระบายอากาศนั่นเอง

ส่วนปกคอเสื้อด้านหลังเอาไว้ดึงลากเวลาช่วยชีวิตตอนอยู่ในน้ำ

'อ.เจษฎา' แนะ!! ควรนำ DNA หมอคางดำแอฟริกาเทียบที่ระบาดในไทย อีกทั้งยังตัดเรื่องผู้ลักลอบนำเข้าปลาแบบที่ไม่ขออนุญาตทิ้งไม่ได้

(27 ก.ย. 67) หลังจากที่ คณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (อนุ กมธ.อว.) ได้แถลงสรุปผลการศึกษาปลาหมอคางดำ ว่ามีเอกชนเพียงรายเดียว ที่ดำเนินการขออนุญาตเพื่อนำเข้าปลาหมอคางดำเข้ามาในราชอาณาจักร และผลศึกษาบ่งชี้ว่าปลาหมอคางดำที่ระบาดในไทยมีแหล่งที่มาร่วมกัน รวมถึงยังอ้างอิงข้อมูลของ อ.เจษฎา นั้น

ล่าสุด ศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นที่ปรึกษาของ 'อนุ กมธ.อว.' ชุดนี้ ได้แถลงสรุปผลการศึกษาปลาหมอคางดำที่ นายวาโย อัศวรุ่งเรือง สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ในฐานะประธานกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้แถลงผลการดำเนินงาน การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ พบว่ามีเอกชนเพียงรายเดียว ที่ดำเนินการขออนุญาตเพื่อนำเข้าปลาหมอคางดำเข้ามาในราชอาณาจักรไทย

อ.เจษฎา กล่าวว่า มีส่วนจริงที่บอกว่ามีบริษัทเอกชนเพียงรายเดียวที่ขออนุญาตนำเข้าปลาหมอคางดำเพื่อนำมาวิจัย แต่ปลาตายหมดแล้วไม่สามารถทำวิจัยต่อได้ จึงทำให้หลายคนมองว่าบริษัทเอกชนดังกล่าวคือจุดกำเนิดการแพร่ระบาดปลาหมอคางดำ แต่ตอนนี้ถ้าจะให้สรุปผลแบบรวบรัด ก็ยังตัดเรื่องที่มีคนลักลอบนำเข้าปลาแบบที่ไม่ขออนุญาตทิ้งไม่ได้ เพราะในเชิงอุตสาหกรรม ในเชิงผู้เลี้ยงปลาสวยงามหรือปลาแปลก ๆ ทุกคนรู้ดีว่ามีการลักลอบนำเข้ามาสารพัดทางอยู่แล้วแม้จะมีการตรวจสอบแต่ในสมัยนั้นปลาพวกนี้ยังไม่มีกฎหมายห้ามนำเข้า 

ทางด้านผลการวิจัย DNA ปลาหมอคางดำ ความจริงแล้วอยากจะได้ DNA ของปลาสมัยที่บริษัทเอกชนนำเข้ามาเมื่อ 10 ปีก่อนมาสกัด DNA เพื่อเทียบว่า DNA ของปลาหมอคางดำในตอนนั้นตรงกับ DNA ของปลาหมอคางดำที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้หรือไม่ เพราะเท่าที่ทราบมาคือ บริษัทเอกชนได้นำเข้าปลาหมอคางดำจากประเทศกานา ก็เลยเสนออธิบดีกรมประมงว่ามีอีกทางหนึ่งก็คือ ขอ DNA ปลาหมอคางดำจากประเทศต่าง ๆ ในแอฟริกา เช่น กานา โกตดิวัวร์ มาเทียบกับตัวอย่างของปลาหมอคางดำในไทยเพื่อทำสโคปให้แคบลง

‘ชิเงรุ อิชิบะ’ ชนะเลือกตั้งหัวหน้าพรรคฯ เตรียมรับตำแหน่งนายกฯ คนใหม่ของญี่ปุ่น

(27 ก.ย.67) เอเอฟพีรายงานว่า พรรคเสรีประชาธิปไตย (แอลดีพี) ได้เปิดลงคะแนนเสียงเลือกหัวหน้าพรรคฯคนใหม่แทนการวางมือของนายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ และผลปรากฏว่าตัวเต็งอย่าง ‘ชิเงรุ อิชิบะ’ อดีตรัฐมนตรีกลาโหม สามารถเบียดเอาชนะคู่แข่งสำคัญไปได้ในการโหวตสองรอบ

หลังจากการประกาศชัยชนะที่สำนักงานใหญ่ของพรรคฯ ในกรุงโตเกียว อิชิบะร่ำไห้และโค้งคำนับซ้ำแล้วซ้ำเล่าท่ามกลางความยินดีของบรรดาสมาชิก

“ผมจะทำอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้ประชาชนกลับมาเชื่อมั่น ด้วยการพูดความจริงอย่างกล้าหาญและจริงใจ เพื่อทำให้ประเทศนี้เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยและมั่นคงสำหรับทุกคนที่จะใช้ชีวิตด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าได้อีกครั้ง” อิชิบะ กล่าวในสุนทรพจน์สั้นๆ

อิชิบะ เคยเกือบได้ตำแหน่งสูงสุดมาแล้วหลายครั้ง รวมถึงในปี 2555 เมื่อเขาแพ้ให้กับ ชินโซ อาเบะ ผู้นำญี่ปุ่นที่อยู่ในตำแหน่งนานที่สุดและเสียชีวิตจากการลอบสังหารเมื่อ 2 ปีก่อน

อดีตหัวเรือใหญ่ทางทหารผู้นี้กล่าวว่า ประสบการณ์ในการจัดการกับปัญหาสังคมที่ยากลำบาก เช่น การปฏิรูปการเกษตร ทำให้เขาเหมาะสมกับตำแหน่งนี้

ทั้งนี้ อิชิบะ วัย 67 ปี สามารถเอาชนะ ซานาเอะ ทาคาอิจิ รัฐมนตรีความมั่นคงเศรษฐกิจสายอนุรักษนิยม วัย 63 ปีไปได้ ทำให้เป็นการดับฝันของนักการเมืองชาตินิยมสุดโต่งในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำหญิงคนแรกของประเทศ

โดยในการลงคะแนนเสียงรอบแรก อิชิบะ และ ทาคาอิจิ มีคะแนนนำเป็นสองอันดับแรก แต่ยังไม่มีผู้ใดได้คะแนนเกินกึ่งหนึ่ง เพราะคะแนนเสียงกระจายไปตามผู้สมัครคนอื่นๆ อีก 7 คน ทำให้ต้องมีการลงคะแนนเสียงรอบสองระหว่าง อิชิบะ และ ทาคาอิจิ ซึ่ง อิชิบะ เอาชนะไปได้ในที่สุด

สำหรับพรรคอนุรักษนิยมได้ปกครองประเทศมาอย่างยาวนานและแทบจะไม่มีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลเป็นเวลาหลายทศวรรษ ด้วยการครองเสียงข้างมากในปัจจุบันทำให้ อิชิบะ จะได้รับโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรีโดยรัฐสภาในวันที่ 1 ตุลาคม ต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในฐานะนายกรัฐมนตรี เขาจะต้องเผชิญกับภัยคุกคามต่อความมั่นคงในภูมิภาค ทั้งจีนที่แข็งกร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ และมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับรัสเซีย ไปจนถึงการทดสอบขีปนาวุธต้องห้ามของเกาหลีเหนือ

ด้านกิจการภายใน อิชิบะจะได้รับมอบหมายให้ฟื้นคืนชีพเศรษฐกิจและแก้ปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น ในขณะที่ธนาคารกลางกำลังจะกลับมาเข้มงวดทางการเงินอีกครั้งในรอบหลายทศวรรษเพื่อแก้ปัญหาค่าเงินเยนที่อ่อนลงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งประเด็นความเชื่อมั่นของพรรคฯ ที่สูญเสียไปจากเรื่องอื้อฉาวมากมายในสมัยของ ฟูมิโอะ คิชิดะ

✨ชวนรู้จัก Qualcomm และ Intel 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีข่าวควบรวมกิจการ

นับเป็นข่าวที่หลายคนจับตามองมากที่สุดในช่วงนี้ และจะส่งผลกระทบมหาศาลต่อโลกของ ‘เซมิคอนดักเตอร์’ นั่นคือ ข่าวที่บริษัท ‘Qualcomm’ ต้องการจะเข้าซื้อกิจการของบริษัทอย่าง ‘Intel’ ซึ่งถ้าดีลนี้เกิดขึ้นจริงจะทำให้บริษัทผลิตชิปยักษ์ใหญ่อย่าง ‘Nvidia’ เจอคู่ต่อสู้ที่สามารถแข่งขันได้อย่างน่ากลัว แถมดีลนี้จะยิ่งทำให้ตลาดผลิตชิปของสหรัฐฯ แข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม และจะสร้างการเปลี่ยนแปลงของทิศทางของเทคโนโลยีทั่วโลกได้

วันนี้ THE SATES TIMES อาสาพาทุกคนมาทำความรู้จัก Qualcomm และ Intel จะเป็นอย่างไร ไปดูกัน!!

'สุริยะ' หารือ 'Huawei' ดึงเทคโนโลยี AI แก้ปัญหาการจราจรติดขัด พร้อมช่วยผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการคมนาคมขนส่ง

(27 ก.ย. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ร่วมหารือกับคณะผู้บริหารบริษัท Huawei ณ Huawei Da Vinci Exhibition Hall สาธารณรัฐประชาชนจีน

นายสุริยะ เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคมร่วมหารือกับคณะผู้บริหารบริษัท Huawei ในการแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดในประเทศไทย ที่มีความยากลำบากในการแก้ไข ทั้งนี้หากเทคโนโลยีของ Huawei สามารถช่วยเหลือด้านการบริหารจัดการจราจรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้ง มีเทคโนโลยีในการทำนายภัยพิบัติและเตรียมการล่วงหน้าได้ ก็เป็นทางเลือกที่ดีในการส่งเสริมไทยพัฒนาไปสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการคมนาคมขนส่งของภูมิภาคตามนโยบายของรัฐบาล และหาก Huawei สนใจจะเข้ามาพัฒนาระบบดังกล่าว กระทรวงคมนาคมมีความยินดีที่จะให้ทั้งสองฝ่ายจัดตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาความเหมาะสมในการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในประเทศไทยต่อไป

Mr. Richard Liu ผู้บริหารบริษัท Huawei กล่าวว่า ภายหลังประเทศไทยประกาศวิสัยทัศน์ Ignite Thailand เมื่อต้นปี 2567 ที่ผ่านมา คณะผู้บริหารบริษัท Huawei ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของวิสัยทัศน์ดังกล่าว จึงได้มีการเดินทางเข้ามาศึกษาและเสริมสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศไทยหลายหน่วยงาน และนำเสนอเทคโนโลยีระบบ IoT (Internet of thing) ระบบ Cloud และ AI ของ Huawei ซึ่งได้นำไปใช้ในการบริหารจัดการจราจรทางบก น้ำ ราง และอากาศ ตลอดจนตรวจจับหรือคาดการณ์ภัยพิบัติต่าง ๆ เพื่อให้สามารถเตรียมการรับมือได้อย่างทันท่วงที ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการใช้งานระบบดังกล่าวในมณฑลต่าง ๆ ของประเทศจีน โดยระบบดังกล่าวลดการใช้แรงงานคนไปได้ถึง 66% ลดต้นทุนได้ถึง 30% และลดการใช้พลังงานได้ถึง 17% 

ทั้งนี้ บริษัท Huawei ประสงค์จะมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางด้านการคมนาคมขนส่ง และการท่องเที่ยวของภูมิภาค ผ่านระบบ Smart Plan ซึ่งจะลดระยะเวลาเตรียมการในการขนส่งจากหลักชั่วโมงเหลือเพียงไม่กี่นาที Intelligent Security Protection เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการขนถ่ายสินค้า Ultra remote control ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระบบต่าง ๆ ได้มากถึง 80% และระบบ Intelligent horizontal transportation

ขณะเดียวกันจะช่วยลดการใช้พลังงานได้ถึง 10% ควบคู่ไปกับระบบอัตโนมัติ ที่สามารถทำให้การขนย้ายสินค้ามีประสิทธิภาพได้ตลอด 24 ชม. โดยดำเนินการผ่านระบบจัดเก็บข้อมูลส่วนกลางที่รวบรวมข้อมูล และถ่ายทอดสถานการณ์สดจากถนน ท่าเรือสนามบิน และสถานีรถไฟ ผ่านศูนย์ Transportation Operation Coordination Center (TOCC) เพื่อเชื่อมโยงทุกช่องทางการขนส่งเข้าไว้ด้วยกัน และวิเคราะห์โดย AI เพื่อบริหารจัดการการจราจรและการขนส่งให้มีความคล่องตัว ซึ่งจะสอดคล้องนโยบายของกระทรวงคมนาคมในการเสริมสร้างด้าน Connectivity ในการขนส่ง อีกทั้ง สอดรับกับความต้องการของรัฐบาลไทยในการยกระดับขีดความสามารถในการรับมือกับภัยพิบัติในปัจจุบัน

‘DE-BDI’ โชว์ความพร้อมแพลตฟอร์ม Health Link เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ ‘โรงพยาบาล - คลินิก - ร้านยา’ มากกว่า 1,500 แห่ง รองรับการเดินหน้าโครงการ ‘30 บาทรักษาทุกที่’ เตรียมเพิ่มระบบ ‘ส่งต่อผู้ป่วย–การเบิกจ่าย’ ยกระดับบริการประชาชน

(27 ก.ย.67) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน 30 บาทรักษาทุกที่ เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า กรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยนายภูมิธรรม เวชชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม น.ส. ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นพ. พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี 

ซึ่งร่วมให้เกียรติเยี่ยมชมบูทของสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ภายในงานเปิดตัว 30 บาทรักษาทุกที่ เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า กรุงเทพมหานคร โดยมี รศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ และนายแพทย์ธนกฤต จินตวร First Executive Vice President ให้การต้อนรับ และนำเสนอโครงการจัดทำระบบดิจิทัลและเทคโนโลยีเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศ (Health Link) เพื่อแสดงผลการดำเนินงานในส่วนการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพประชาชนของหน่วยบริการภายใต้ความร่วมมือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และกรุงเทพมหานคร (กทม.) ล่าสุดได้ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลในพื้นที่ กทม. มากกว่า 1,500 แห่ง ครอบคลุมทั้งโรงพยาบาล ศูนย์บริการธารณสุข คลินิกชุมชนอบอุ่น ร้านยาคุณภาพ และหน่วยนวัตกรรม ณ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า  กระทรวงดีอี ได้มอบนโยบายเชิงรุกเพื่อแก้ไขปัญหาสาธารณสุขที่กำลังส่งผลกระทบต่อประชาชน โดยสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ที่มีภารกิจหลักในการดำเนินโครงการพัฒนาแพลตฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพระหว่างสถานพยาบาลทั่วประเทศ (Health Information Exchange: Health Link) เพื่อยกระดับการบริการสาธารณสุขและสนับสนุนนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า  

ซึ่งเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลและกระทรวงดีอีที่ต้องการให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้อย่างไร้รอยต่อ ปัจจุบัน Health Link ได้ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพให้กับหน่วยบริการสาธารณสุขได้แล้วกว่า 1,500 แห่ง ในกรุงเทพมหานคร ประกอบไปด้วยโรงพยาบาลในสังกัดกรุงเทพมหานคร ศูนย์บริการสาธารณสุข และคลินิกบริการสุขภาพ อาทิ คลินิกชุมชนอบอุ่น ร้านยาคุณภาพ คลินิกเวชกรรม คลินิกการพยาบาลและการผดุงครรภ์ คลินิกทันตกรรม คลินิกเทคนิคการแพทย์ คลินิกแพทย์แผนไทย คลินิกกายภาพบำบัด เป็นต้น ช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาล สามารถเข้ารับบริการจากหน่วยบริการใกล้บ้านได้อย่างสะดวก รวดเร็ว 

นายประเสริฐ กล่าวว่า กระทรวงดีอีมีความตั้งใจที่จะขยายการเชื่อมโยงไปยังหน่วยบริการในท้องถิ่น เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขอย่างทั่วถึง เพิ่มความรวดเร็วในการรักษา ลดความซ้ำซ้อนในการเบิกจ่ายยา และช่วยเหลือชีวิตของผู้ป่วยได้ทันท่วงที ยกระดับระบบสาธารณสุขไทยได้อย่างยั่งยืน จากความสำเร็จของโครงการ Health Link ในวันนี้ กระทรวงดีอีพร้อมสนับสนุนการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องของ BDI และภาคีเครือข่าย พร้อมผลักดันเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดียิ่งขึ้น

ขณะที่ รศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า สำหรับโครงการจัดทำระบบดิจิทัลและเทคโนโลยีเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศ หรือ ระบบ Health Link เป็นความร่วมมือระหว่าง สปสช. และ กทม. ในการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพประชาชนของทุกหน่วยบริการด้านสุขภาพเพื่อรองรับโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ ในพื้นที่กรุงเทพฯ ถือเป็นก้าวสำคัญของการขับเคลื่อนข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อเป็นประโยชน์ และเสริมสร้างประสิทธิภาพด้านสุขภาพสู่ภาคประชาชน โดยได้นำร่องเชื่อมโยงข้อมูลในพื้นที่ กทม.

ทั้งนี้การดำเนินงานไม่ใช่การรวมศูนย์ข้อมูล แต่เป็นการแลกเปลี่ยนเชื่อมโยงภายใต้มาตรฐานกลาง โดยหน่วยบริการสาธารณสุขสามารถเปิดดูประวัติการรักษาที่ได้รับการยินยอมจากผู้เข้ารับการรักษาได้ผ่านระบบสารสนเทศโรงพยาบาล (HIS) และระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพ HIE Web portal ผ่านระบบ Health Link

สำหรับงานเปิดตัว 30 บาทรักษาทุกที่ เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า กรุงเทพมหานคร นอกจาก BDI จะร่วมแสดงผลการดำเนินงานและแสดงแดชบอร์ด (Dashboard) การจัดทำฐานข้อมูลการตรวจสุขภาพอย่างเต็มระบบแล้ว ยังได้สาธิตความพร้อมของระบบเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยบริการเพื่อรองรับโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ ในพื้นที่กรุงเทพฯ พร้อมรายงานภาพรวมการเชื่อมโยงข้อมูล และนำเสนอแผนการดำเนินงานโครงการ Health Link ต่อ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วยขยายการเชื่อมต่อหน่วยบริการใน กทม. ให้ครอบคลุมทั้งสำหรับหน่วยบริการในปัจจุบันและหน่วยบริการที่สมัครเข้าร่วมโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ในอนาคต , การคืนประวัติการรักษาให้กับประชาชน ผ่านการเชื่อมต่อ API ข้อมูลสุขภาพจาก Health Link ไปยังแอปพลิเคชัน PHR (Personal Health Record – ระเบียนสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ส่วนบุคคล) ของหน่วยงานต่าง ๆ

ทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของตัวเองได้อย่างง่ายดาย , ระบบการรับส่งต่อผู้ป่วย (Refer) เพื่อขยายการเชื่อมข้อมูลสุขภาพให้รองรับการส่งต่อผู้ป่วย เพื่ออำนวยความสะดวกในการส่งต่อการรักษาและประวัติการรักษา นำร่องในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานครทั้งคลินิกชุมชนอบอุ่น ศูนย์บริการสาธารณสุข และโรงพยาบาลในสำนักการแพทย์ และเพิ่มประสิทธิภาพระบบเบิกจ่าย ด้วยการพัฒนา AI ช่วยตรวจสอบความผิดปกติของการเบิกจ่าย รวมถึงการเชื่อมข้อมูลจากระบบ Health Link เข้ากับระบบตรวจสอบของ สปสช. เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการตรวจสอบ ส่งผลให้กับหน่วยบริการสามารถเบิกจ่าย (Claim) ได้เร็วขึ้น

“เรามีความพร้อมในการเป็นส่วนหนึ่งของการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบ Health Link เพื่อรองรับการให้บริการในโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่กรุงเทพฯ และเราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือนี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการยกระดับการบริการด้านสุขภาพของคนไทยอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อคนไทยมีสุขภาพดีถ้วนหน้า และแสดงให้เห็นถึงความสำคัญและพลังของ Big Data ที่สามารถนำมาขยายการดำเนินงานให้กับทุกภาคส่วนได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นำไปสู่การพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป” สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) กล่าวย้ำ 

กตป. สำนักงาน กสทช. ร่วมกับ ม.สงขลานครินทร์ (ม.อ.) จัดการประชุมระดมคลังสมอง  (Think tank) 

(27 ก.ย.67) ณ โรงแรม ทีเค. พาเลช & คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ โดยมี นางสาวอารีวรรณ จตุทอง กรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน (กตป.) ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นประธานเปิดการประชุม ร่วมกับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิเวศน์ อรุณเบิกฟ้า ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และพันธกิจสังคม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ดำเนินการจัดประชุมคณะที่ปรึกษาโครงการ โครงการจ้างที่ปรึกษาติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลตามนโยบาย กสทช. ที่สำคัญในด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ประจำปี 2567 

ดำเนินการตาม พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 และที่แก้ไขเพิ่มเติมซึ่งกำหนดให้มีคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน (กตป.) มีอำนาจหน้าที่ในการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินการและบริหารงานของ กสทช. สำนักงาน กสทช. และเลขาธิการ กสทช. เป็นประจำทุกปี โดยในปี 2567 กรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคได้กำหนดนโยบายที่สำคัญด้านการคุ้มครองผู้บริโภคที่ต้องติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล 2 เรื่อง 1) การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล เงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะภายหลังการรวมธุรกิจระหว่างบริษัท แอดวานช์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (AWN) และบริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) (3BB) เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค และ 2) การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการสนับสนุน ส่งเสริม และคุ้มครองผู้บริโภคของกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม 

เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) โครงการจ้างที่ปรึกษาติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลตามนโยบาย กสทช. ที่สำคัญ ในด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ประจำปี 2567 มีระยะเวลาดำเนินงานทั้งสิ้น 210 วัน โดยมีแผนการดำเนินงาน เริ่มด้วยการเตรียมการ และการจัดเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยแบ่งเป็น 2 ประเด็น คือ 1) การรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง และบริบทต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่ศึกษาโดยวิธีการทางเอกสาร จำนวน 2 เรื่อง และ 2) การเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อประกอบการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลตามนโยบาย กสทช. ที่สำคัญในด้านการคุ้มครองผู้บริโภค จำนวน 2 เรื่อง ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอน ดังนี้ 1) วางแผนเพื่อสำรวจข้อมูลข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะของผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง ตามหลักวิชาการและระเบียบวิธีวิจัยอย่างเหมาะสม 2) การจัดประชุมระดมคลังสมอง (Think Tank) กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ผู้บริหารหรือผู้แทน หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเด็นที่ศึกษา 3) การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) 

กลุ่มตัวอย่าง ใน 2 เรื่องที่ศึกษา 4) การจัดการประชุมสนทนากลุ่ม (Focus Group) เพื่อการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล 5) การจัดประชุมสนทนากลุ่มย่อย (Interview Group) ทั้ง 2 เรื่องที่ศึกษา 6) จัดการประชุมเวทีรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ (Public hearing) ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จำนวน 4 ครั้ง ณ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี และอุบลราชธานี และ 7) การจัดทำแบบสอบถาม (Questionnaire) ตามระเบียบวิธีวิจัย โดยการออกแบบเครื่องมือ และสำรวจข้อคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องในทุกภูมิภาค และจบด้วยการวิเคราะห์และสรุปผลการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล หลังจากนั้นจะมีการจัดทำสรุปผลการศึกษาเพื่อเผยแพร่ (Pocket Book) รวมถึงจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นผลการศึกษา จำนวน 2 เรื่อง และจัดแถลงข่าวต่อไป

'ซุปเปอร์บอน' สับศอกน็อก 'โจ ณัฐวุฒิ' ยกแรก ประกาศ!! ขอนัดล้างตา 'ตะวันฉาย' ต่อไป

(28 ก.ย.67) จากการแข่งขันมวยไทย รายการ ONE ลุมพินี 81 ที่เวทีมวยลุมพินี เมื่อวันที่ 27 ก.ย.67 คู่เอกนำรายการ ซึ่งเป็นการพบกันของ 'ซุปเปอร์บอน' ซุปเปอร์บอนเทรนนิงแคมป์ แชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นเฟเธอร์เวต (145-155 ป.) กับ 'โจ ณัฐวุฒิ' นักสู้มาดอินดี้วัย 35 ปี จากโคราช โดยทั้งคู่ดวลกัน ภายใต้กติกามวยไทย รุ่นเฟเธอร์เวต

สำหรับ 'ซุปเปอร์บอน' ชกใน ONE มาแล้ว 7 ไฟต์ มีผลงานคว้าชัยได้มากถึง 5 ครั้ง โดยล่าสุดเพิ่งเอาชนะคะแนน มารัต กริกอเรียน จอมบู๊ วัย 35 ปี จากอาร์เมเนีย ในศึกใหญ่แรกของปี ONE ลุมพินี 58 เมื่อ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา ขึ้นนั่งบัลลังก์แชมป์โลกเฉพาะกาล ของกติกาคิกบ็อกซิ่ง รุ่นเฟเธอร์เวต ได้สำเร็จ ซึ่งผู้ชนะไฟต์นี้

ปรากฎว่า แค่เพียง 30 วินาที ซุปเปอร์บอน ฟันศอกซ้ายใส่ โจ จนได้เลือด ก่อนจะสับศอกขวา ส่งโจ หล่นไปกอง แม้ โจ จะพยายามลุกขึ้นมาตั้งสติ แต่ผู้ตัดสินเห็นท่าไม่ดี ให้ ซุปเปอร์บอน ชนะน็อกตั้งแต่ยกที่ 1 ด้วยเวลารวม 1.43 นาที พร้อมทั้งได้รับโบนัส 50,000 เหรียญสหรัฐ หรือ 1.6 แสนบาท 

ทั้งนี้ หลังจากผลการชกเสร็จสิ้น ซุปเปอร์บอน ได้ประกาศขอล้างตากับ ตะวันฉาย พีเค แสนชัยมวยไทยยิม ต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top