Friday, 23 May 2025
NewsFeed

เชียงใหม่- สมาคมชาวเชียงใหม่เชื้อสายยูนนาน ร่วมกับเทศบาลนครเชียงใหม่ จัดแถลงข่าวการแข่งขันบาสเกตบอล 'ยูนนานคัพเชียงใหม่ 2024'

 

เมื่อวานนี้ (27 ก.ย.67) เวลา 13.00 น. สมาคมชาวเชียงใหม่เชื้อสายยูนนาน ร่วมกับ เทศบาลนครเชียงใหม่ จัดแถลงข่าว การแข่งขันบาสเกตบอลชิงถ้วยเกียรติยศ พร้อม เงินรางวัล ในรายการ 'ยูนนานคัพเชียงใหม่ 2024'โดยมี คุณจาง หย่า จิ้ง ผู้แทนกงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำจังหวัดเชียงใหม่  พร้อมด้วยคุณศิโรรัตน์ ชัยศิริ นายกสมาคมชาวเชียงใหม่เชื้อสายยูนนาน คุณวิภาส ยาวุฒิ คณะกรรมการจัดการแข่งขัน และผู้มีเกียรติร่วมแถลงข่าว จับสลากแบ่งสายการแข่งขัน ชี้แจงกติกาการแข่งขัน ณ ห้องรวงข้าว โรงแรมสมายล์ล้านนา เชียงใหม่

สมาคมชาวเชียงใหม่เชื้อสายยูนนาน ร่วมกับ เทศบาลนครเชียงใหม่ จัดแข่งขันบาสเกตบอลรายการ 'ยูนนานคัพ เชียงใหม่ 2024' ชิงถ้วยเกียรติยศ พร้อม เงินรางวัล กว่า 500,000 บาท ในระหว่างวันที่ 7 - 13 ตุลาคม 2567 ณ โรงยิมเนเซี่ยม 3 สนามกีฬาเทศบาลนครเชียงใหม่ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างและกระชับความสัมพันธ์อันดี ระหว่างหมู่บ้านที่เป็น สมาชิกในสมาคม ฯ ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน และ จังหวัดตาก รวมทั้งพี่น้องประชาชนทั่วไป ในจังหวัดเชียงใหม่ จะได้รู้จักสมาคมชาวเชียงใหม่ เชื้อสายยูนนาน มากขึ้น พร้อมทั้งเพื่อเป็นการส่งเสริมเยาวชนให้เล่นกีฬา และใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์

การแข่งขันบาสเกตบอล ในรายการ 'ยูนนานคัพเชียงใหม่ 2024' แบ่งเป็น 5 ประเภท ได้แก่ ประเภททีม ประชาชนชายทั่วไป (เฉพาะทีมหมู่บ้าน) , เยาวชนชายอายุไม่เกิน 15 ปี , เยาวชนชายอายุไม่เกิน 18 ปี , ทีมประชาชนชายทั่วไป และ ทีมอาวุโสชาย 45 ปีขึ้นไป  ทีมเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด  แบ่งเป็น ประเภท ประชาชนชาย (หมู่บ้าน) จำนวน 8 ทีม , ทีมเยาวชนชายอายุไม่เกิน 15 ปี จำนวน 8 ทีม , ทีมเยาวชนชายอายุไม่เกิน 18 ปี จำนวน 16 ทีม , ทีมประชาชนชายทั่วไป จำนวน 10 ทีม และ ทีมอาวุโสชาย 45 ปีขึ้นไป จำนวน 4 ทีม กติกาและการตัดสิน จะใช้กติกาการแข่งขัน ซึ่งสมาคมกีฬาบาสเกตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กำหนดใช้ในปัจจุบัน หรือ ตามที่ฝ่ายจัดการแข่งขัน เป็นผู้พิจารณา

การแข่งขัน บาสเกตบอลรายการ “ยูนนานคัพ เชียงใหม่ 2024” กำหนดพิธีเปิดการแข่งขัน ในวันที่ 7 ตุลาคม 2567 เวลา 10.00 น. และกำหนดปิดการแข่งขันวันวันที่ 13 ตุลาคม 2567 เวลา 16.00 น. ณ โรงยิมเนเซี่ยม 3 สนามกีฬาเทศบาลนครเชียงใหม่ 

รางวัลการแข่งขัน 'บาสเกตบอล ยูนนานคัพ 2024'
1. ประชาชนชายเฉพาะทีมหมู่บ้าน
รางวัลชนะเลิศ 50,000.-(ห้าหมื่นบาทถ้วน) พร้อมถ้วยเกียรติยศ
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 30,000.-(สามหมื่นบาทถ้วน)
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 20,000.-(สองหมื่นบาทถ้วน)
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 3 10,000.-(หนึ่งหมื่นบาทถ้วน)
รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP)  1,000.-(หนึ่งพันบาทถ้วน) พร้อมถ้วยเกียรติยศ

2. รุ่นเยาวชนชาย อายุไม่เกิน 15 ปี
รางวัลชนะเลิศ 10,000.-(หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) พร้อมถ้วยเกียรติยศ
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 5,000.-(ห้าพันบาทถ้วน)
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 3,000.-(สามพันบาทถ้วน)
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 3 1,000.-(หนึ่งพันบาทถ้วน)
รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) 1,000.-(หนึ่งพันบาทถ้วน) พร้อมถ้วยเกียรติยศ

3. รุ่นเยาวชนชาย อายุไม่เกิน 18 ปี
รางวัลชนะเลิศ 50,000.-(ห้าหมื่นบาทถ้วน) พร้อมถ้วยเกียรติยศ
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 20,000.-(สองหมื่นบาทถ้วน)
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 10,000.-(หนึ่งหมื่นบาทถ้วน)
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 3 3,000.-(สามพันบาทถ้วน)
รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) 2,000.-(สองพันบาทถ้วน) พร้อมถ้วยเกียรติยศ

4. ประชาชนชายทั่วไป
รางวัลชนะเลิศ 200,000.-(สองแสนบาทถ้วน) พร้อมถ้วยเกียรติยศ
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 30,000.-(สามหมื่นบาทถ้วน)
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 20,000.-(สองหมื่นบาทถ้วน)
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 3 10,000.-(หนึ่งหมื่นบาทถ้วน)
รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP)  2,000.-(สองพันบาทถ้วน) พร้อมถ้วยเกียรติยศ

5. รุ่นอาวุโสชาย 45 ปีขึ้นไป
รางวัลชนะเลิศ 10,000.-(หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) พร้อมถ้วยเกียรติยศ
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 7,000.-(เจ็ดพันบาทถ้วน)
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 5,000.-(ห้าพันบาทถ้วน)
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 3 3,000.-(สามพันบาทถ้วน)
รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP)  1,000.-(หนึ่งพันบาทถ้วน) พร้อมถ้วยเกียรติยศ

'วัน' งงข่าว 'สันติ-วราเทพ' ทิ้งลุงป้อม ถาม? สื่อไปเอาข่าวมาจากไหน?

(28 ก.ย.67) นายวัน อยู่บำรุง หัวหน้าทีมกรุงเทพฯ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กเมื่อวานนี้ (27) ว่า...

"วันนี้ 18.00 น. ผมทานข้าวอยู่กับลุงป้อมพร้อมท่านสันติและท่านวราเทพ สื่อไปเอาข่าวมาจากไหนครับ"

ทั้งนี้จากกรณีมีกระแสข่าวว่า นายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และนายวราเทพ รัตนากร ผอ.พรรคพลังประชารัฐ จะย้ายกลับไปพรรคเพื่อไทย (พท.)

'การบินไทย' เดินหน้า!! ขอออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ ปักหมุด!! นำหุ้นกลับเข้า ตลท.ภายในไตรมาส 2 ปี 68

(28 ก.ย.67) ชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในวันจันทร์ที่ 30 ก.ย.นี้ การบินไทยจะเริ่มกระบวนการแรกของการ 'ปรับโครงสร้างองค์กร' โดยจะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ และร่างหนังสือชี้ชวน (Filing) สำหรับการปรับโครงสร้างทุนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลาดหลักทรัพย์ฯ)

"การบินไทยจะยื่นเอกสารเพื่อประกอบการพิจารณาปรับโครงการทุนครั้งนี้ มีรายละเอียดมากถึง 2,000 หน้า ซึ่งประกอบการ ข้อมูลบริษัท แผนธุรกิจ แผนจัดหาเครื่องบิน โดยมั่นใจว่าจะทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นในการบินไทย หลังออกจากแผนฟื้นฟูกิจการแล้ว"

ขณะเดียวกันในช่วงที่ผ่านมา การบินไทยได้เดินสายเจรจาให้ข้อมูลกับเจ้าหนี้กลุ่มต่าง ๆ ที่ต้องแปลงหนี้เป็นทุน อาทิ เจ้าหนี้กลุ่มสหกรณ์ เจ้าหนี้กลุ่มสถาบันการเงิน ส่วนใหญ่ให้การสนับสนุนแผนฟื้นฟูของการบินไทย และเชื่อว่าการปรับโครงสร้างทุนครั้งนี้จะแล้วเสร็จตามเป้าหมาย ทำให้การบินไทยออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้

อย่างไรก็ดี การยื่นไฟลิ่งเพื่อปรับโครงสร้างทุนครั้งนี้ นับเป็นหนึ่งในกระบวนการตามเงื่อนไขเพื่อขอออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ โดยกำหนดผลสำเร็จของแผนฟื้นฟูกิจการที่ต้องแล้วเสร็จรวม 4 เงื่อนไข ได้แก่...

1.การเพิ่มทุนจดทะเบียน โดยต้องดำเนินการจดทะเบียนเพิ่มทุน และได้รับสินเชื่อใหม่ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในแผน และมีจำนวนที่เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ

2.ดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการ ไม่ผิดนัดชำระหนี้ได้ติดต่อกัน 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบด้วย

3.มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากการดำเนินงานหลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามสัญญาเช่าซื้อเครื่องบิน เฉลี่ยไม่น้อยกว่า 2 หมื่นล้านบาทต่อปี ใน 2 ปีก่อนจะรายงานผลสำเร็จของแผนฟื้นฟู

4.การแต่งตั้งคณะกรรมการใหม่ ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น

สำหรับรายละเอียดการปรับโครงสร้างทุน การบินไทยกำหนดแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้...

1.การแปลงหนี้ ประกอบด้วย...
- เจ้าหนี้กลุ่ม 4 แปลงหนี้ในสัดส่วนร้อยละ 100 ของมูลหนี้เป็นทุน ซึ่งรวมถึงเจ้าหนี้เงินกู้ยืมจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน ได้แก่ กระทรวงการคลัง
- เจ้าหนี้กลุ่ม 5 (สถาบันการเงินที่มีสิทธิตามสัญญาโอนสิทธิในการรับเงินจากการขายเครื่องบิน) แปลงหนี้ในสัดส่วนร้อยละ 24.50 ของมูลหนี้เป็นทุน
- เจ้าหนี้กลุ่ม 6 (สถาบันการเงินไม่มีประกัน) แปลงหนี้ในสัดส่วนร้อยละ 24.50 ของมูลหนี้เป็นทุน
- เจ้าหนี้กลุ่มที่ 18-31 (เจ้าหนี้ผู้ถือหุ้นกู้) แปลงหนี้ในสัดส่วนร้อยละ 24.50 ของมูลหนี้เป็นทุน
- เจ้าหนี้กลุ่ม 4 5 6 และ 18-31 แปลงหนี้เป็นทุนเพิ่มเติมจากร้อยละ 24.50 ที่ระบุไว้ในแผนฟื้นฟูกิจการ

2.การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน...
โดยส่วนนี้จะเสนอขายแก่ผู้ถือหุ้นก่อนการปรับโครงสร้างทุน พนักงานบริษัท และนักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจงตามลำดับ

อย่างไรก็ดี ภายหลังยื่นไฟลิ่งกับ ก.ล.ต.แล้ว กระบวนการหลังจากนั้นภายในเดือน พ.ย.2567 จะเริ่มกระบวนการใช้สิทธิ และแจ้งเจตนาแปลงหนี้เป็นทุนของเจ้าหนี้แต่ละกลุ่ม และภายในเดือน ธ.ค.2567 จะเข้าสู่กระบวนการเสนอขาย และจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน สำหรับผู้ถือหุ้นก่อนบริษัท เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ พนักงานบริษัท และนักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง (Private Placement : PP)

ทั้งนี้ หลังเริ่มกระบวนการปรับโครงสร้างทุน ซึ่งจะทำให้การบินไทยมีส่วนทุนเป็นบวกนั้น อาจต้องใช้เวลา 2 เดือน เพื่อตรวจสอบงบการเงิน และประกาศงบการเงินงวดปี 2567 ในช่วงเดือน ก.พ.2568 หลังจากนั้นจะเริ่มยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ และหุ้นของบริษัท กลับเข้าซื้อขายใน ตลท.ภายในไตรมาส 2 ปี 2568

นย.เปิดศูนย์ส่งเสริมคุณภาพชีวิตกำลังพล และครอบครัว 'Family space Center' แบบครบวงจร

พล.ร.ท.สมรภูมิ จันโท ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน (ผบ.นย.) พร้อมด้วย ดร.ศิวัสสา จันโท ประธานชมรมภริยานาวิกโยธิน เปิดโครงการ ศูนย์ส่งเสริมคุณภาพชีวิตกำลังพลและครอบครัว หน่วยบัญชาการ นาวิกโยธิน กองทัพเรือ (Family space Center) แบบครบวงจร

ตามที่ ชมรมภริยานาวิกโยธิน โดย ดร.ศิวัสสา จันโท ได้เล็งเห็นความสำคัญในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตและเพิ่มสวัสดิการให้กับกำลังพลในสังกัด นย. และครอบครัว รวมถึงกำลังพลของหน่วยราชการกองทัพเรือ ที่พักอาศัยอยู่ในพื้นที่ จึงได้จัดโครงการศูนย์ส่งเสริมคุณภาพชีวิตกำลังพลและครอบครัว หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กองทัพเรือ 'Family space Center' ขึ้น ด้วยการจัดทำแผนพัฒนา จัดสรรพื้นที่และสิ่งปลูกสร้างในความรับผิดชอบของ นย. 3 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่ Co-working space ประกอบด้วย ห้องสมุดสมาคมภริยาทหารเรือ ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ และพื้นที่จัดกิจกรรมกลางแจ้งและในร่ม ปรับปรุงอุปกรณ์ เครื่องเล่น สนามเด็กเล่นให้สวยงาม ปลอดภัยและมีพื้นที่ออกกำลัง

และในส่วนของพื้นที่สุดท้าย ได้แก่ พื้นที่ The MARINES family space and Cafe ซึ่งประกอบด้วย ร้านชมรมภริยานาวิกโยธิน (วางจำหน่ายสินค้าของกำลังพลและครอบครัว ทร.) พื้นที่จัดแสดงประวัติศาสตร์ทหารนาวิกโยธิน และร้านเครื่องดื่มเพื่อสวัสดิการกำลังพลของ นย. 

ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของ กองทัพเรือและสมาคมภริยาทหารเรือ ที่ให้ความสำคัญต่อสวัสดิการและความเป็นอยู่ของกำลังพล และครอบครัว ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งทุกโครงการ นย. ได้ตอบรับและตอบสนองทุก ๆ โครงการ เช่น

โครงการ Green Navy Green Marines , Well being Well Marines รวมถึงโครงการปรับปรุงบ้านพักข้าราชการชั้นประทวน เป็นต้น และโครงการศูนย์ส่งเสริมคุณภาพชีวิตกำลังพลฯ นี้ สมาชิกครอบครัวใน ทร. ของ นย. และหน่วยข้างเคียงทั้ง ภาครัฐ ภาคเอกชน ที่อยู่ในพื้นที่สามารถเข้าถึงและใช้บริการได้ นับว่าเป็นโครงการที่สนองต่อนโยบาย ด้านสวัสดิการของกองทัพเรือ อย่างแท้จริง

จึงขอเชิญชวน กำลังพล และครอบครัว ตลอดจนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนถิ่นทหารเรือสัตหีบ ได้เข้าเยี่ยมชม ร้านกาแฟดี ๆ ใน นย. พร้อมเบเกอรี่รสชาติแบบสุด ๆ ร้าน The MARINES family space and Cafe ณ บริเวณลานมารีน ค่ายกรมหลวงชุมพร หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี 

ผบช.ตชด.บินด่วน เยี่ยม ตชด.บาดเจ็บจากเหตุลอบวางระเบิดรถบัสของ ตชด. บนถนนสาย 42 นราธิวาส-ปัตตานี อ.สายบุรี จ.ปัตตานี 

(28 ก.ย.67) พล.ต.ท.ยงเกียรติ มนปราณีต ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (ผบช.ตชด.) เดินทางมายังโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อเยี่ยมและติดตามอาการของ ตชด. 4 นายที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุลอบวางระเบิดรถบัสของ ตชด. บนถนนสาย 42 นราธิวาส-ปัตตานี อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา ระหว่างเดินทางกลับที่ตั้ง จ.ชุมพร หลังจากเสร็จภารกิจในพื้นที่ จ.นราธิวาส ปัจจุบัน ตชด. ทั้ง 4 นาย มีอาการปลอดภัย แต่ยังต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

1.จ.ส.ต.ขจรพล เพชรกูลง รู้สึกตัวดี ได้รับบาดเจ็บ บริเวณหัวเข่าซ้าย มีแผลฉีกขาดจากสะเก็ดระเบิด แพทย์ให้การพยาบาล และรอผลX-rays
2.ส.ต.ท.ศุภวิชญ์ ป้องแก้ว รู้สึกตัวดี ศีรษะบริเวณด้านขวาแตก เบื้องต้นแพทย์ได้ทำการเย็บแผลแล้ว และสังเกตอาการต่อ
3.จ.ส.ต.ดำเนินยุทธ สง่าปู รู้สึกตัวดี เเขนขวาได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด มีแผลฉีกขาดบริเวณแขนขวา แพทย์ให้การรักษาพยาบาลและรอผล X-rays 
4. ส.ต.ท.นพคุณ นำศิลป์ (พลขับ) ซึ่งส่งต่อจากโรงพยาบาลปัตตานี มารักษาต่อที่ รพ.มอ.เมื่อช่วงเช้า มีอาการสาหัสและแผลฉกรรจ์ตามร่างกายหลายแห่ง ปัจจุบันรอเข้ารับรักษาในห้อง ICU และการผ่าตัด

ผบช.ตชด.กล่าวว่า การปฏิบัติงานในพื้นที่ที่มีสถานการณ์ต้องมีความพร้อมและมีสติอยู่เสมอ ตั้งอยู่บนความไม่ประมาทอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ก็ได้นำความห่วงใยจาก ผบ.ตร. มาถ่ายทอดให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เสียขวัญ ทั้งนี้ได้นำเงินสวัสดิการ และสิทธิประโยชน์ต่างๆของกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ตลอดจนเงินบำรุงขวัญของตนเองมามอบให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา และญาติ เป็นจำนวนกว่า 200,000 บาท

'วิทยุการบินฯ' โชว์วิสัยทัศน์องค์กรใหม่ มุ่งสู่การเป็น 'Aviation Hub' ของภูมิภาค

วิทยุการบินฯ ประชุมกำหนดทิศทางและแนวทางการดำเนินงาน ปี 2568 พร้อมโชว์วิสัยทัศน์ใหม่ มุ่งเน้น 'การเป็นองค์กรที่ให้บริการการเดินอากาศด้วยคุณภาพสูงสุดอย่างยั่งยืน เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค' ตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม โดยให้ความสำคัญด้านการพัฒนาบุคลากรและนวัตกรรมด้านการบิน เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินและการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีการบินในอนาคต

นายณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) กล่าวในการสัมมนาฝ่ายจัดการประจำปี 2567 ว่า “บวท. ได้ปรับวิสัยทัศน์การดำเนินงานขององค์กร “เป็นองค์กรที่ให้บริการการเดินอากาศด้วยคุณภาพสูงสุดอย่างยั่งยืน เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค” 

เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม ที่มุ่งเน้นการยกระดับศักยภาพด้านการบินของประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) ของภูมิภาค โดย บวท. ให้ความสำคัญด้านสร้างบุคลากรด้านการบินให้กับประเทศ โดยจะยกระดับความสามารถและคุณภาพของบุคลากรให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาบุคลากรด้านการบิน (NGAP - Digital transformation) ตามแนวทางของ ICAO เพื่อให้มีบุคลากรที่มีคุณภาพและปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของอุตสาหกรรมการบินของประเทศ 

นอกจากนี้ยังได้กำหนดทิศทางการดำเนินงานของปี 2568 เน้นการพัฒนาคน ควบคู่ไปกับการพัฒนานวัตกรรม โดยคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุด ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาองค์กรให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน และยังเป็นการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติต่อไป

ข่าวดี MOU สกสค.-ธอส.จัดใหญ่ ปรับลดดอกเบี้ยพัฒนาคุณภาพชีวิตครู จากร้อยละ 6-7 บาท/ปี เหลือ 1.71 บาท/ปี

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ร่วมกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จัดแชมเปญใหญ่ โครงการสวัสดิการเพื่อลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา ปรับลดดอกเบี้ย เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จากอัตราร้อยละ  6-7 บาทต่อปี เหลือเพียง 1.71 บาทต่อปี

ที่ห้องประชุมราชวัลลภ อาคารราชวัลลภ ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.กระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU)  ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ดร.พีระพันธ์ เหมะรัต เลขาธิการ สำนักงาน สกสค. และธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โดยนายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ในการร่วมกันให้บริการทางวิชาการด้านการบริหาร หรือวางแผนทางการเงินและการออม 

เพื่อการมีบ้านตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง รวมถึงการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ทางการเงิน อาทิ เงินฝาก สินเชื่อ เพื่อส่งเสริมสวัสดิการและลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยมีนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ คณะที่ปรึกษา รมว.กระทรวงศึกษาธิการ และโฆษกประจำกระทรวงศึกษาธิการ นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ผศ.ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภา และผู้บริหารจากทั้ง 2 หน่วยงาน ร่วมพิธี

ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ได้หารือกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ จนมีความเห็นและแนวทางร่วมกันในการจัดสวัสดิการการออม สวัสดิการผู้เกษียณอายุ และแก้ไขปัญหาหนี้สินด้วยการลดดอกเบี้ยสูงจากอัตราร้อยละ  6 - 7  บาทต่อปี เหลือ 1.71 บาทต่อปี เพื่อให้ครูมีเงินได้รายเดือนเหลือมากขึ้น จนมีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ครูและบุคลากรทางการศึกษา จะได้มีสวัสดิการ รวมทั้งมีบริการผลิตภัณฑ์ด้านการเงินต่างๆ ทั้งด้านการออมและสินเชื่อที่มีคุณภาพเป็นทางเลือกเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ครอบครัวครูและบุคลากรทางการศึกษา ส่งผลให้สามารถพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนของครูและนักเรียนให้ดียิ่งขึ้น

นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ กล่าวว่า สกสค. และ ธอส. ร่วมมือกันให้บริการทางวิชาการด้านการบริหารหรือวางแผนทางการเงิน และการออมเพื่อการมีบ้านตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้คำปรึกษาแก้ไขปัญหาทางการเงินและกฎหมายแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา 

ซึ่งมีภาระผูกพันกับสถาบันการเงินอื่น และมีความประสงค์ปรับโครงสร้างหนี้กับทางธนาคาร และความร่วมมือในการการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ทางการเงิน อาทิ เงินฝาก สินเชื่อเพื่อส่งเสริมสวัสดิการและลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา ประกอบด้วย

1)โครงการโรงเรียนการเงิน เงินฝากประจำสะสมทรัพย์ 24 เดือน เพื่อส่งเสริมการออมอย่างยั่งยืน สม่ำเสมอ ในวงเงินตั้งแต่ 1,000 บาท ถึง 25,000 บาทต่อเดือน ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1.7% ต่อปี เมื่อฝากครบ 24 เดือนติดต่อกันจะได้รับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มอีก 1% ตั้งแต่ต้น, 

2) โครงการสวัสดิการลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา Refinance In เพื่อลดค่าครองชีพจากอัตราดอกเบี้ยสูง 6 – 7 % เหลือ 1.71 % โดยให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยกับสถาบันการเงินอื่นมา Refinance ปรับโครงสร้างหนี้กับ ธอส. ซึ่งจะทำให้มีรายได้ต่อเดือนคงเหลือเพิ่มขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง และ 3) โครงการสวัสดิการเกษียณสุขสำราญ Reverse Mortgage ให้ผู้เกษียณได้มีรายได้เพิ่มเป็นการช่วยเหลือค่าครองชีพ โดยให้ผู้เกษียณแล้วอายุระหว่าง 60 – 75 ปี ที่มีบ้านปลอดภาระจำนอง ได้เข้าโครงการกู้เงินในอัตราครึ่งหนึ่งของราคาประเมินทรัพย์สินแต่ไม่เกิน 10 ล้านบาท รับเงินกู้เป็นรายเดือนโดยไม่ชำระดอกเบี้ยได้ถึงอายุ 85 ปี”

ด้าน ดร. พีระพันธ์  เหมะรัต เลขาธิการ สำนักงาน สกสค. กล่าวว่า “ทั้ง 3 โครงการข้างต้นจะเป็นการลดภาระและแก้ไขปัญหาหนี้สินให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ที่ Line OA : สกสค. 'ศูนย์ปรึกษาทางการเงิน' ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ขณะที่ พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า กระทรงศึกษาธิการมีนโยบาย 'เรียนดี มีความสุข' เพื่อลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษาให้สามารถพัฒนาการศึกษาของชาติให้บรรลุเป้าหมาย  การจัดให้มีสวัสดิการต่าง ๆ รวมทั้งการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูเป็นภารกิจสำคัญอย่างหนึ่ง ที่กระทรวงศึกษาธิการต้องขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยมีสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. เป็นหน่วยงานหลักที่มีบทบาทหน้าที่สำคัญในการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศ ดังนั้นการลงนามความร่วมมือ MOU ระหว่าง สกสค. กับ ธอส. จัดใหญ่ลดดอกเบี้ยเหลือ 1.71 บาทต่อปี จึงถือได้ว่าเป็นการส่งเสริมคุณภาพชีวิตครู และบุคลากรให้ดีขึ้น ที่จะเป็นการหนุนเสริมให้การพัฒนาศักยภาพการเรียนการสอน และการปฏิบัติหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพและคุณภาพมากขึ้น

'หวังอี้' เดือด!! ซัดสหรัฐฯ ต่อหน้า 'บลิงเคน' ถึงท่าทีที่มีต่อจีน ชี้!! ด้านหนึ่งทำตัวกดดันจีน อีกด้านกลับมาขอความร่วมมือ

(28 ก.ย.67) TNN World รายงานว่า เมื่อวานนี้ (27) นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้กล่าวว่า สหรัฐฯ ควรหยุดตี 2 หน้ากับจีน ระหว่างการหารือ นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ นอกรอบการประชุมสมัชชาใหญ่ UNGA ที่นครนิวยอร์ก

หวัง กล่าวต่อบลิงเคนว่า "ขอให้สหรัฐฯ หยุดตี 2 หน้ากับจีน คือ ด้านหนึ่งพยายามควบคุม ปิดล้อมและกดดันจีน แต่อีกด้านหนึ่งกลับพูดคุยและขอความร่วมมือกับจีนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น"

แทนที่จะทำเช่นนั้น หวัง กล่าวว่า "สหรัฐฯ ควรกำหนดนโยบายเกี่ยวกับจีน และจัดการสัมพันธ์ทวิภาคี 2 ประเทศ จากการมีความเข้าใจและรับรู้เกี่ยวกับจีนอย่างมีเหตุมีผล และหาหนทางที่ถูกต้องในการสัมพันธ์กับจีน"

ในประเด็นไต้หวัน หวัง กล่าวว่า "หากสหรัฐฯ หวังจะเห็นสันติภาพและเสถียรภาพระหว่าง 2 ฟากฝั่งของช่องแคบไต้หวันอย่างแท้จริงแล้ว สหรัฐฯ ควรยึดถือในหลักการจีนเดียว ปฏิบัติตามปฏิญญาร่วมจีน-สหรัฐฯ 3 ฉบับ หยุดติดอาวุธไต้หวัน คัดค้านการเป็นอิสระของไต้หวันอย่างเปิดเผย และสนับสนุนการรวมชาติอย่างสันติของจีนกับไต้หวัน"

นอกจากนั้น หวัง เผยอีกว่า จีนคัดค้านสหรัฐฯ ที่ปราบปรามทางการค้าและเทคโนโลยี จีนไม่มีวันยอมรับการชี้นิ้วกล่าวโทษด้วยการพร่ำสอนเรื่องสิทธิมนุษยชน และสหรัฐฯ ควรแทรกแซงกิจการภายในของจีนให้น้อยลงภายใต้ข้ออ้างเรื่องสิทธิมนุษยชน

เมื่อพูดเกี่ยวกับทะเลจีนใต้ หวัง กล่าวว่า จีนยังคงยึดมั่นแก้ไขความแตกต่างในประเด็นนี้ ผ่านการพูดคุยและหารือกับประเทศต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงเท่านั้น สหรัฐฯ ไม่ควรกระพือปัญหาในทะเลจีนใต้ หรือบ่อนทำลายความพยายามของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้ ในการปกป้องสันติภาพและเสถียรภาพในพื้นที่นี้

เมื่อพูดเกี่ยวกับยูเครน หวัง ยืนยันว่า จุดยืนจีนนั้นเปิดเผย คือจีนยึดมั่นในการส่งเสริมการเจรจาสันติภาพ และจีนได้ใช้พยายามจะที่ช่วยให้ปัญหายูเครนยุติลงอย่างสันติ สหรัฐฯ ควรหยุดให้ร้าย หรือทำให้จีนเป็นแพะรับบาป หรือออกมาตรการคว่ำบาตรจีนตามอำเภอใจในประเด็นนี้ รวมถึงให้หยุดใช้ประเด็นนี้ สร้างความรู้สึกต่อต้าน และยุยงให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างค่ายด้วย

'นิคอสรพิษวิทยา' โต้!! PETA ควรมองความจริง ปมให้เอา 'หมูเด้ง' ไปปล่อยป่า ถาม!! นี่ใช่องค์กรเดียวกับที่ประณามไทย 'ทรมานลิง-เก็บมะพร้าว' หรือไม่?

(28 ก.ย.67) จากกรณี องค์กรพิทักษ์สัตว์ หรือ PETA ได้ออกมาเรียกร้องให้ปล่อยหมูเด้ง ฮิปโปแคระ สวนสัตว์เปิดเขาเขียว ที่กำลังฮอตสุดขีดในหลากหลายวงการเวลานี้ กลับเข้าป่า โดยให้เหตุผลว่า การเอาหมูเด้งมาไว้ในสวนสัตว์เป็นการทรมานสัตว์ นั้น ด้าน นายนิรุทธิ์ ชมงาม หรือ 'นิคอสรพิษวิทยา' หัวหน้าผู้ก่อตั้งกลุ่มอสรพิษวิทยา และผู้เชี่ยวชาญการจับงูและสัตว์เลื้อยคลาน ก็ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า "มันเยอะไปไหม?" พร้อมทั้งกล่าวต่ออีกว่า...

จากข่าวองค์กรแห่งหนึ่ง ที่บอยคอต 'สวนสัตว์เขาเขียว' ในกรณีของหมูเด้ง ลูกฮิปโปแคระที่เป็นกระแสอยู่ตอนนี้ ว่าใช้สัตว์เพื่อผลประโยชน์และแสวงหาผลกำไร ลั่น!! ฮิปโปต้องอยู่ในป่าเท่านั้น

มีเพื่อนมาถามว่าในมุมมองของกลุ่มคนที่อนุรักษ์เขาคิดกันยังไง? ตอบได้แค่ว่า “อย่าสุดโต่งและอย่าเยอะ”

บางครั้งคนเราก็อินกันมากเกินไปจนตกขอบ เพราะอยู่แต่ในมุมของตัวเอง ในเรื่องของตัวเอง จนไม่ได้ดูบริบทแวดล้อมอะไรเลย

มันต้องอยู่ในป่า มันต้องอยู่ในธรรมชาติ จนไม่ได้คิดว่า ฮิปโปแคระที่เกิดในที่เลี้ยง พ่อแม่มันก็อยู่ในที่เลี้ยง แล้วรณรงค์ให้มันไปอยู่ป่า มันจะรอดไหม? แล้วมันได้จะอะไรขึ้นมา ซึ่งบางทีก็ไม่เข้าใจว่าเขามองแบบตีรวมเลยหรือเปล่า ว่าเพราะญาติโก โหติกามันถูกจับมาจากธรรมชาติ เชื่อมโยงไปสู่กระบวนการค้าสัตว์ป่า ผ่านมา รุ่น3 รุ่น4 มันเลยต้องถูกตีรวมทั้งหมด ต้องถูกประณามทั้งหมด

มันต้องแยกแยะให้ได้ สัตว์ในธรรมชาติก็ไม่ควรถูกนำมาเลี้ยงโดยไม่จำเป็น แต่สัตว์ที่มันถูกเพาะเลี้ยงมามันก็เป็นอีกประเด็น แต่ก็ควรได้รับสวัสดิภาพที่ดีในที่เลี้ยง บางทีการมองอะไรแค่ด้านเดียวมันก็ไม่ถูกต้อง

ต้องไม่ลืมว่าพันธุกรรมสัตว์หลายๆ ชนิดก็ถูกปกป้องในที่เลี้ยงนี่แหละ เรามีการปล่อยสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์กลับสู่ธรรมชาติ เช่น นกกระเรียน อีแร้ง ละมั่ง วัวแดง และสัตว์อีกหลายๆ ชนิดได้ ก็เพราะการถูกรักษาไว้ในที่เลี้ยงนี่แหละ (แต่ต้องทำตามกระบวนการศึกษาที่ถูกต้องนะครับ ไม่ใช่อยากปล่อยก็เอาไปปล่อย)

ไฟมีอันตราย แต่ก็ยังนำมาใช้ประโยชน์ได้ ดังนั้นทุกอย่างมี 2 ด้านเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้มันยังไง

บางทีการคิดการมองแค่มุมเดียวจนสุดโต่ง มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร นอกจากนั้นยังทำให้ค่านิยมต่อคนที่ทำงานอนุรักษ์ด้วยความเป็นจริง ต้องถูกมองลบไปด้วย ว่า คนอนุรักษ์ต้องเป็นแบบนี้มองโลกแค่มุมเดียว

“ขอประณามกลับไป หัดกลับไปมองความจริง และคิดอะไรให้เหมือนชาวบ้านเขาบ้าง”

ปล.เกือบลืม องค์กรเดียวกับที่ประณามเราเรื่อง ประเทศไทยทรมานลิง ใช้ลิงเก็บมะพร้าวส่งออก

'ปิยบุตร' ชี้!! แก้รัฐธรรมนูญยืดเยื้อ จบไม่ทันเลือกตั้งปี 70 แนะ!! เลือกทำประชามติ 2 ครั้ง-แก้รายมาตรา ไม่แตะหมวด 1-2

เมื่อวานนี้ (28 ก.ย. 67) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า อดีตอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ 'เมื่อการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ล่าช้าออกไปอีก รัฐบาลรัฐสภาควรทำอย่างไร?' ระบุว่า...

รัฐบาลวางแนวทางไว้ว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะมีขึ้นได้ ต้องผ่านการออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง โดยรัฐบาลเห็นว่า การออกเสียงประชามติในครั้งแรก จะเกิดได้ต้องแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติ เสียก่อน เพื่อเปลี่ยนจากเกณฑ์ 'ผู้มาใช้สิทธิเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ + ผู้เห็นด้วยเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ' หรือ Double Majority ให้เป็น 'ผู้เห็นด้วยเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ' ร่างพ.ร.บ.แก้ไข พ.ร.บ.ประชามตินี้ ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว อยู่ในการพิจารณาของวุฒิสภา 

ปรากฏมีข่าวว่าคณะกรรมาธิการวิสามัญของวุฒิสภา มีมติให้กลับไปเป็นเสียงข้างมาก 2 ชั้น ตามเดิม หากไปจนจบวาระสามในชั้นวุฒิสภา ยังเป็นเช่นนี้ ก็หมายความว่า วุฒิสภามีมติแก้ไขจากร่างที่ผ่านสภาผู้แทนราษฎร หากสภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขของวุฒิสภา ต้องตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกันของสองสภา ต้องทอดเวลาออกไปอีก หากสภาใดสภาหนึ่งยังไม่เห็นด้วยกับร่างที่คณะกรรมาธิการร่วมสองสภาทำกันมา ร่างนั้นก็จะถูกยับยั้งไว้ 180 วัน สภาผู้แทนราษฎรจึงจะนำกลับมาลงมติยืนยันได้ 

เมื่อดูกระบวนการแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติแล้ว จึงไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะมีการออกเสียงประชามติรอบแรกในต้นปี 2568 อย่างน้อยๆ ต้องเสียเวลาเพิ่มอีก 8-10 เดือน กว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) มาทำร่างใหม่ แล้วทำประชามติ ต้องบวกเวลาเพิ่มไปอีก อย่างน้อย 2 ปี ดังนั้นโรดแมปที่แกนนำรัฐบาล พูดกันว่าเลือกตั้งปี 70 จะมีรัฐธรรมนูญใหม่ให้ใช้ จึงไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว

นายปิยบุตร ระบุอีกว่า ด้วยสถานการณ์ที่มีคนพยายามใช้กลไกถ่วงเวลาการแก้รัฐธรรมนูญเช่นนี้ ผมเห็นว่า รัฐบาลและรัฐสภามีทางเลือก 2 ทาง ทางเลือกแรก ลดการออกเสียงประชามติเหลือ 2 ครั้ง กล่าวคือ เสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่เข้ารัฐสภาเลย (ถ้ารีบเสนอวันนี้เลย สามารถพิจารณาวาระแรกทันในสมัยประชุมนี้ ซึ่งจะสิ้นสุดสิ้นเดือนตุลาคม) เมื่อผ่านรัฐสภาก็ไปออกเสียงประชามติ เมื่อผ่าน มีส.ส.ร.ทำร่างใหม่เสร็จ ก็นำมาออกเสียงประชามติ ทางเลือกนี้ประหยัดเวลาไปอีก 8-10 เดือน และทำประชามติเพียงสองครั้ง ประหยัดงบประมาณไปได้มาก ประธานรัฐสภาไม่ต้องกังวล ต้องกล้าบรรจุเรื่องเข้ารัฐสภา เพราะคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ บอกว่าการทำรัฐธรรมนูญใหม่ต้องทำประชามติ แต่ไม่ได้บอกว่าต้องทำประชามติกี่ครั้ง...

ทางเลือกที่สอง เสนอแก้รัฐธรรมนูญ 2560 รายมาตรา ตั้งแต่หมวด 3 จนถึงหมวดสุดท้าย ตั้งแต่มาตรา 25 ถึงมาตรา 279 ในเมื่อรัฐสภาเป็นผู้ทรงอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว สามารถดำเนินการตามกระบวนการที่กำหนดไว้ใน หมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเสีย ปัญหาหรือข้อกังวลต่างๆก็ตกไป การแก้ไข ตั้งแต่ มาตรา 25 ถึง มาตรา 279 ไม่ใช่การทำใหม่ทั้งฉบับอยู่แล้ว ย่อมไม่ติดกับดักประชามติ ที่ปรากฏอยู่ในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ข้อกังวลเรื่องจะมาแก้ไข หมวด 1 หมวด 2 หรือไม่ ก็ไม่มี เพราะคือการเริ่มแก้ตั้งแต่หมวด 3 เป็นต้นไป และกระบวนการนี้ ทั้งหมดจบได้ด้วยประชามติครั้งเดียวตอนท้าย หลังจากรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว ทางเลือกนี้ แก้ทั้งกับดัก และยังช่วยประหยัดเวลา ประหยัดงบประมาณ มีแต่ทางเลือกสองทางนี้เท่านั้น ที่จะทำให้เรามีรัฐธรรมนูญใหม่ใช้ทันในปี 2570”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top