Saturday, 24 May 2025
NewsFeed

GULF ปลื้ม!! หุ้นกู้ 2.5 หมื่นล้าน ยอดจองเพียบ สะท้อนความเชื่อมั่นในบริษัทฯ จากของนักลงทุน

เมื่อวานนี้ (26 ก.ย. 67) บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้ออกหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิและไม่มีประกัน มูลค่ารวมทั้งสิ้น 25,000 ล้านบาท โดยเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน (Institutional Investors) และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่เป็นจำนวนมาก โดยแสดงความจำนงในการจองหุ้นกู้ของบริษัทฯ มากถึง 1.96 เท่าของจำนวนที่ประสงค์จะเสนอขาย (Oversubscription) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในศักยภาพและความแข็งแกร่งของบริษัทฯ

สำหรับหุ้นกู้ที่บริษัทฯ เสนอขายในครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 5 ชุด ได้แก่ 

1) หุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.89% ต่อปี มูลค่า 2,500 ล้านบาท 
2) หุ้นกู้อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.15% ต่อปี มูลค่า 2,687 ล้านบาท 
3) หุ้นกู้อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.28% ต่อปี มูลค่า 10,013 ล้านบาท 
4) หุ้นกู้อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.53% ต่อปี มูลค่า 4,800 ล้านบาท 
5) หุ้นกู้อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.76% ต่อปี มูลค่า 5,000 ล้านบาท 

โดยเฉลี่ยอัตราดอกเบี้ยคงที่เท่ากับ 3.37% และอายุเฉลี่ยหุ้นกู้เท่ากับ 6.08 ปี 

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ในระดับ ‘A+’ แนวโน้ม ‘คงที่’ และหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับในระดับ ‘A’ แนวโน้ม ‘คงที่’ จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด โดยบริษัทฯ ได้แต่งตั้งให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ในครั้งนี้ ซึ่งได้เปิดจองซื้อหุ้นกู้ระหว่างวันที่ 23-25 กันยายน 2567 และได้ออกหุ้นกู้ในวันที่ 26 กันยายน 2567

นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก แม้ว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นกู้จะยังคงมีความผันผวน ท่ามกลางความกังวลและความระมัดระวังในการลงทุนในหุ้นกู้ของนักลงทุน แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาดจากนักลงทุน โดยยอดจองซื้อเกินกว่าจำนวนที่เสนอขายเกือบ 2 เท่า ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ และการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจของบริษัทฯ โดยการระดมทุนดังกล่าว ส่วนหนึ่งจะนำไปคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดในเดือนกันยายน อีกส่วนหนึ่งนำไปคืนหนี้สินระยะสั้นของบริษัทฯ และส่วนที่เหลือเพื่อรองรับการขยายการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ ต่อไป  บริษัทฯ ขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจในหุ้นกู้ของบริษัทฯ และขอขอบคุณผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ร่วมทั้ง 7 สถาบันที่มีบทบาทสำคัญในการจัดจำหน่ายหุ้นกู้จนประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยมในครั้งนี้"

ย้อนคำ 'ชาวเน็ต' ติง 'อาจารย์ มช.' เจ้าของวลี "สี่คนโอบก็งอกใหม่ได้" ทั้งที่กว่าต้นไม้จะโตใหม่ถึง 3-4 คนโอบได้ ต้องใช้เวลา 50-100 ปี

เมื่อวานนี้ (26 ก.ย.67) จากเฟซบุ๊ก 'Pinkaew Laungaramsri' โดย รศ.ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้โพสต์ภาพตัวบ้านของตนที่กำลังถูกน้ำท่วมพร้อมข้อความ ระบุว่า..."ข้างบ้านโทรมาให้กลับบ้านด่วน"

ทั้งนี้ หากย้อนไปเมื่อวันที่ 17 มี.ค. 64 ทวิตเตอร์ @pinkaewl ของ รศ.ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โพสต์ข้อความระบุว่า “ทีหลังเวลาถ่ายรูปไร่หมุนเวียน อย่าเอาแต่ถ่ายรูปสร้างภาพเฉพาะช่วงเผาไร่ เอาไฟมาสร้างอิมเมจทำลายป่า หัดถ่ายรูปตอนหน้าฝน ที่ชาวบ้านเขาปลูกข้าว ปลูกพืชพื้นเมืองหลายชนิดที่ทรงคุณค่าต่อระบบนิเวศ ส่วนไม้ที่ตัดฟันลงมา เขาเหลือตอไว้สูงพอที่จะแตกหน่อออกใบเป็นป่าในปีต่อ ๆ ไป”

เมื่อมีชาวเน็ตรายหนึ่งถามว่า “ทรงคุณค่าแบบต้องตัดต้นไม้ขนาดสามคนโอบ?” รศ.ดร.ปิ่นแก้วตอบกลับว่า “สี่คนโอบก็งอกใหม่ได้” สร้างความฮือฮาแก่ชาวเน็ตที่พบเห็น เพราะกว่าต้นไม้จะเติบโตขึ้นมาใหม่ให้มีขนาด 3-4 คนโอบ ต้องใช้เวลาเติบโตมากถึง 50-100 ปี

‘นายกฯ’ กดปุ่ม ‘30 บาทรักษาทุกที่’ ตั้งเป้าปีนี้ครอบคลุมทั่วประเทศ ย้อนความช่วง ‘ทักษิณ’ นั่งนายกฯ ชาวบ้านปลื้มผ่าตัดโรคหัวใจฟรี

(27 ก.ย. 67) ที่ลานอเนกประสงค์ ชั้น 2 อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคารบี) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน 30 บาทรักษาทุกที่ เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า กรุงเทพมหานคร และกล่าวปาฐกถา หัวข้อ ‘จาก 30 บาทรักษาทุกโรค สู่ 30 บาทรักษาทุกที่ เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า’

ทั้งนี้ มีนายภูมิธรรม เวชชัยรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอี), นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข, นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง, พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม, น.ส. ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย, น.ส.จิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นพ. พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี, นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี ผู้อยู่เบื้องหลังการผลักดันโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกโรค และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วมด้วย

นายชัชชาติ กล่าวว่า ในนามของกรุงเทพมหานครดีใจที่รัฐบาลมาสานต่อนโยบาย ‘30 บาทรักษาทุกที่’ เพื่อคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้าในพื้นที่กรุงเทพฯ เพราะเรื่องสุขภาพเป็นหัวใจของการลดความเหลื่อมล้ำ เนื่องจากหากประชาชน เจ็บป่วยก็ไม่สามารถทำงานหารายได้ได้ ก็จะเป็นวงจรให้เกิดความเหลื่อมล้ำ 

ทั้งนี้ กทม.มีโรงพยาบาลชั้นดีจำนวนมาก แต่ก็มีประชากรแฝงถึง 10 ล้านคน ขณะที่ ปัญหาสาธารณสุขไม่ได้น้อยกว่าจังหวัดอื่น หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ ดังนั้นโครงการนี้สำคัญมาก ๆ โดยมี 3 ปัจจัยหลักที่สำคัญ คือ 

1. ใช้เทคโนโลยีในการเชื่อมโยง 
2. การเชื่อมโยงข้อมูลโรงพยาบาล
3. ระบบปฐมภูมิที่เข้มแข็ง อาทิ มีหน่วยสาธารณสุขนวัตกรรม ร้านขายยาที่ใกล้บ้าน ทำให้ประชาชนไม่ต้องตื่นมาตี 3 ตี 4 เพื่อไปรอคิวการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลใหญ่ นี่คือหัวใจของ 30 บาทซึ่งที่ผ่านมาก็มีการพัฒนาร่วมกันอย่างเข้มแข็ง เป็นหัวใจที่จะสร้างความมั่นคง ความสะดวกและประสิทธิภาพในการให้บริการประชาชน นี่คือหัวใจพื้นฐาน ถ้าประชาชนมีสุขภาพดีจะช่วยกันในการพัฒนาประเทศต่อไป 

ขณะที่นายสมศักดิ์ กล่าวว่า นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่มีเป้าหมายยกระดับบริการสุขภาพภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อให้คนไทยได้รับบริการที่ดีครอบคลุมมีคุณภาพมีมาตรฐานที่ดีขึ้นการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวแบ่งออกเป็น 4 ระยะ โดยระยะแรกเดือนม.ค.2567 นำร่อง 4 จังหวัดระยะที่ 2 เดือนมี.ค.2567 เพิ่มเติม 8 จังหวัดและระยะที่ 3 เดือนพ.ค. 2567 เพิ่มเติมอีก 33 จังหวัดและวันนี้กรุงเทพมหานครเป็นจังหวัดที่ 46 ที่จะเริ่มนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ 

โดยกระทรวงสาธารณสุขมีเป้าหมายที่จะขยายให้ครอบคลุมทุกจังหวัดภายในปีนี้เพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทยทั้งประเทศการคิกออฟ 30 บาทรักษาทุกที่  เพื่อช่วยให้ประชาชนในกรุงเทพฯไม่ว่าจะมีสิทธิ์บัตรทองที่จังหวัดใดเพียงใช้บัตรประชาชนใบเดียวก็สามารถเข้าถึงการรับบริการสุขภาพได้ทั้งที่หน่วยบริการประจำตามเขตและหน่วยบริการระดับปฐมภูมิทุกแห่ง ได้แก่ ศูนย์บริการสาธารณสุข 19 แห่งศูนย์บริการสาธารณสุขสาขา 77 แห่งคลินิกชุมชนอีก 280 แห่ง รวมถึงสามารถเข้ารับบริการได้ที่หน่วยบริการนวัตกรรมปฐมภูมิที่มีตราสัญลักษณ์ 30 บาทรักษาทุกที่

สำหรับหน่วยบริการนวัตกรรมปฐมภูมิ ได้แก่ ร้านยาคุณภาพคลินิกเวชกรรม คลินิกทันตกรรมอบอุ่น คลินิกพยาบาลอบอุ่น เทคนิคการแพทย์ชุมชนอบอุ่น คลินิกกายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่น คลินิกแพทย์แผนไทยชุมชนอบอุ่น

ด้านนายกฯ กล่าวว่า พูดถึง 30 บาทรักษาทุกโรคก็ทำให้เกิดภาพมากมาย ตนได้ยินนโยบายนี้มาตั้งแต่อายุประมาณ 8-9 ขวบและไม่ว่าจะไปที่ไหน ๆ ผ่านมาแล้วเป็นสิบ ๆ ปี ก็ยังมีคนขอบคุณและพูดถึงนโยบายนี้เสมอ ซึ่งดิฉันเองมีประสบการณ์ดี ๆ หลายอย่าง ขอยกตัวอย่างสั้น ๆ วันหนึ่งคุณพ่อตอนนั้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้กลับมาที่บ้านทานข้าวเย็นกันปกติ คุณพ่อบอกว่าไปต่างจังหวัดมามีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งมาหาและเปิดเสื้อมีแผลยาวตั้งแต่ด้านบน ถึงช่วงท้อง และบอกว่าได้ผ่าตัดหัวใจมาด้วยบัตร 30 บาทซึ่งคุณพ่อเล่าด้วยความภาคภูมิใจอย่างมาก ซึ่งวันนั้นคุณพ่อเป็นหัวหน้ารัฐบาลเป็นนายกรัฐมนตรี

“แต่เบื้องหลังการทำงานยังมีคนอื่นอีกมากมายที่ทำให้นโยบายนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ รวมถึงให้พี่น้องประชาชนได้ใช้ 30 บาท ไม่ต้องล้มละลาย ไม่ต้องจ่ายเงินมากมาย กู้หนี้ยืมสินมาตั้งแต่ที่พรรคไทยเป็นรัฐบาลในวันนั้น จนมาถึงรัฐบาลเพื่อไทยในวันนี้ เรามีความภูมิใจอย่างมากกับนโยบายที่สร้างความภาคภูมิใจอย่างที่สุดให้กับเรา ฉะนั้นมาถึงวันนี้ถึงเวลาแล้วเราจะต่อยอด 30 บาทรักษาทุกโรคให้เป็น 30 บาทรักษาทุกที่” นายยกฯ กล่าว

นายกฯ กล่าวต่อว่า เวลาผ่านไปมีนวัตกรรมต่าง ๆ มากขึ้น เราได้เก็บตัวอย่างทั้งข้อดีและข้อเสียพร้อมที่จะปรับปรุง อย่างที่บอกผ่านมาแล้วตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ 23 ปีวันนี้ 30 บาทรักษาทุกที่มาถึงกรุงเทพฯ ต้องลองถามพี่น้องคนกรุงเทพฯ เวลาเจ็บป่วยไปหาหมอที่ไหนกันบ้าง เวลาเจ็บป่วยเอาแค่ตัวร้อน ปวดท้องบางทีต้องเสียเวลาทั้งวันไปรอในโรงพยาบาลรัฐใหญ่ ๆ ถ้าพูดถึงบางคนที่มีทุนทรัพย์ไม่อยากไปรอทั้งวันก็ไปโรงพยาบาลเอกชนทั้งนี้ เรื่องสาธารณสุขสำคัญมาก คนที่มากรุงเทพฯไม่มีทางเลือก ไปที่ไหนก็ต้องไปโรงพยาบาลที่ต้องรอนาน บางทีไม่ได้รอ แค่ตัวเองคนเดียวญาติหรือคนที่พามาจะต้องเสียเวลาไปด้วยทั้งวัน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราเห็นและพร้อมที่จะแก้ไขในโรงพยาบาลส่งเสริมในจังหวัดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่กรุงเทพฯ ให้มีสาธารณสุขที่ได้ปรับปรุง ไปถึงจุดที่ค่อนข้างมากไม่ต้องมีโรงพยาบาลใหญ่เป็นทางเลือกเท่านั้น แต่สามารถจะไปลงโรงพยาบาลที่ส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลได้ตามต่างจังหวัดที่มีถึง 7,000 แห่งและมีโรงพยาบาลประจำชุมชนและอำเภอมากกว่า 800 แห่งทั่วประเทศ 

นายกฯ กล่าวอีกว่า วันนี้ถือว่ากรุงเทพฯ ยังขาดแคลนในเรื่องของบริการสาธารณสุขระดับต้นและระดับกลางมากกว่าต่างจังหวัด ซึ่งตอนนี้กรุงเทพฯ ควรมีศูนย์บริการสาธารณสุข 500 แห่ง และโรงพยาบาลชุมชน 50 แห่ง หากเราป่วยขั้นพื้นฐานและสามารถเข้าในคลินิกหรือร้านขายยาควรที่จะได้รับการรักษาในแบบเดียวกัน นั่นคือการได้รับยาที่มีคุณภาพ เพื่อที่สามารถดูแลตัวเองและเฝ้าระวังระยะการป่วยที่บ้าน ไม่ต้องเสียเวลาที่โรงพยาบาลใหญ่ และบุคลากรทางการแพทย์ก็ต้องทำงานหนักขึ้น เมื่อเวลาที่เราป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ดูแลทั้งหมดเท่ากัน เพราะโรงพยาบาลใหญ่ ๆ เองเหมาะสำหรับโรคที่เป็นเฉพาะทางและโรคที่ร้ายแรงอย่างเช่นโรคมะเร็ง หัวใจ หรือไต ต่อไปนี้คนเจ็บป่วยเล็กน้อยในกรุงเทพฯสามารถไปร้านขายยาใกล้บ้าน คลินิกเวชกรรมใกล้บ้าน ทันตกรรมใกล้บ้าน รถโมบายตรวจเลือดที่บางครั้งอาจจะมีการเข้าไปถึงชุมชน และเวลาขอเบิกยาหมอสามารถออนไลน์ถามอาการได้ เพื่อให้ได้ยาที่มีคุณภาพกลับบ้านเช่นกัน 30 บาทรักษาทุกที่ให้บริการในทันที ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย 

ทั้งนี้การดำเนินงานตลอด 8 เดือนที่ผ่านมา 30 บาทรักษาทุกที่ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากและมีผลงาน 1 ใน 4 ของผู้ป่วยเลือกใช้บริการที่คลินิกเอกชนใกล้บ้านแทนการมาโรงพยาบาล เพื่อลดความแออัดลดระยะเวลาการรอตรวจ ลดภาระของบุคลากรทางการแพทย์ที่สำคัญลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาโรงพยาบาล โดยเฉลี่ย 160 บาทต่อครั้งลดระยะเวลาในการรอถึง 50% จากเฉลี่ย 2 ชั่วโมงเหลือประมาณ 1 ชั่วโมง เมื่อรักษาใกล้บ้านก็จะลดภาระการขาดงานของผู้ป่วยและญาติที่มาด้วยกัน

“ที่สำคัญพี่น้องประชาชนผู้เข้ารับบริการกว่า 98% พึงพอใจกับนโยบายนี้อย่างมาก 30 บาทรักษาทุกที่เริ่มต้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยตอนแรกเริ่มใน 4 จังหวัดนำร่องและขยายนโยบายครอบคลุมเพิ่มเติมไปอีก 41 จังหวัดรวมทั้งสิ้น 45 จังหวัดและวันเดียวกันนี้ จะเป็นอีกวันประวัติศาสตร์ทางด้านสาธารณสุขไทยที่ต้องบันทึกไว้ว่าเราทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานภาครัฐและรัฐบาลสภาวิชาชีพทางการแพทย์ หน่วยบริการภาคเอกชนและประชาชน ได้ร่วมมือกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันทำให้กรุงเทพฯอยู่ในโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่” น.ส.แพทองธาร กล่าว

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า สุขภาพดีเริ่มที่ใกล้บ้านได้สำเร็จ ทำให้ 30 บาทรักษาทุกที่ ขยายเป็น 46 จังหวัดเรียบร้อย อยากขอให้พี่น้องประชาชนคนไทยมั่นใจได้ว่าภายในปี 2567 รัฐบาลจะสามารถขยาย 30 บาทรักษาทุกที่ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ทุกตารางนิ้วบนประเทศไทย เพื่อให้คนไทยเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ง่ายขึ้น รวดเร็วขึ้น โดยมีรัฐบาลเป็นผู้ดูแลและขอย้ำอีกครั้ง สำหรับคนกรุงเทพฯ สามารถดูสัญลักษณ์ 30 บาทรักษาทุกที่และเข้าไปใช้บริการได้ทันที

จากนั้นนายกฯเยี่ยมชมบูธเกี่ยวกับสุขภาพ ภายในงาน โดยนายกฯ เน้นย้ำขอให้ดูแลกลุ่มเปราะบางเป็นพิเศษในพื้นที่น้ำท่วม

‘นักวิจัยจีน’ แยกแอนติบอดีต้านเชื้อ HIV จาก 'อัลปากา' พบแนวโน้มดี สำหรับการพัฒนายาต้านเอดส์ชนิดใหม่

(27 ก.ย. 67) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า คณะนักวิจัยจีนแยกแอนติบอดีจาก ‘อัลปากา’ ซึ่งสามารถออกฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งถือเป็นแนวทางที่มีแนวโน้มดีสำหรับการพัฒนายาต้านเอดส์ชนิดใหม่

อู๋จื้อเหว่ย ศาสตราจารย์จากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยหนานจิง กล่าวว่า ปัจจุบันการบำบัดด้วยยาต้านไวรัสถือเป็นแนวทางหลักในการยับยั้งการจำลองแบบของเอชไอวี ซึ่งแม้ว่าแนวทางนี้จะช่วยยืดอายุขัยของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่อาจทำให้เกิดการดื้อยาได้อย่างมีนัยสำคัญ จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องศึกษาวิธีการบำบัดใหม่ ๆ

สำหรับแนวทางหลักในการพัฒนายาต้านเอดส์ชนิดใหม่ ทางคลินิกจะมุ่งเป้าไปที่กระบวนการที่ไวรัสเข้าสู่เซลล์โฮสต์ โดยในกระบวนการนี้ ตัวรับที่เรียกว่า ‘ซีดี4’ (CD4) จะทำหน้าที่เสมือน ‘ลูกบิดประตู’ ซึ่งไวรัสใช้เพื่อเปิด ‘ประตู’ ของเซลล์

ทีมนักวิจัยได้แยกนาโนบอดี ‘ซีดี4’ จำนวนหลายพันตัวจากอัลปากา ซึ่งในจำนวนนี้มี ‘เอ็นบี457’ (Nb457) ที่แสดงศักยภาพยับยั้งเอชไอวี โดยนาโนบอดีคือ แอนติบอดีชนิดหนึ่งที่เล็กและเสถียรกว่าแอนติบอดีทั่วไป

รายงานระบุว่าทีมนักวิจัยสร้างอนุภาคเหมือนไวรัส (Pseudovirus) จำนวนหนึ่งขึ้นมาเพื่อจำลองสายพันธุ์เอชไอวี 117 สายพันธุ์ และทำให้อนุภาคเหมือนไวรัสเหล่านี้ทำปฏิกิริยากับเอ็นบี457 โดยผลการทดลองเผยว่าเอ็นบี457 สามารถยับยั้งไวรัส 116 สายพันธุ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และออกฤทธิ์ต้านไวรัสอย่างครอบคลุม

อู๋สี่หลิน นักวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยหนานจิง กล่าวว่า ในการทดสอบไวรัสจริง นาโนบอดีสามหน่วยย่อยที่ดัดแปลงมาจากเอ็นบี457 แสดงศักยภาพการยับยั้งเอชไอวีที่มีประสิทธิภาพ ส่วนผลการทดลองกับหนูเผยว่าแทบจะไม่สามารถตรวจพบไวรัสดังกล่าวได้ในหนูที่ได้รับการบำบัด และไม่พบการกลายพันธุ์ที่ดื้อยา

อู๋จื้อเหว่ย กล่าวว่า เชื้อไวรัสเอชไอวีกลายพันธุ์อย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มที่จะดื้อยา ส่งผลให้ประสิทธิภาพของยาลดลง ทว่าแอนติบอดีที่เพิ่งค้นพบใหม่นี้ ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ไวรัสโดยตรง แต่มุ่งเป้าไปที่ซีดี4 ซึ่งเป็น ‘ลูกบิดประตู’ ทำให้มีโอกาสดื้อยาน้อยลงและมีนัยสำคัญต่อการพัฒนายาต้านเอดส์ชนิดใหม่และการรักษาทางคลินิก

อนึ่ง ผลการวิจัยดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ในวารสารวิชาการนานาชาติเนเจอร์ คอมมิวนิเคชันส์ (Nature Communications) เมื่อไม่นานนี้

‘แม่ตั๊ก’ เบี้ยวนัด ‘สคบ.’ ปมขายทอง อ้าง!! รอคืนเงินลูกค้า เตรียมเรียกครั้งที่ 2 หากไม่มาจะดําเนินคดีตามกฎหมาย

(27 ก.ย. 67) นายเลิศศักดิ์ รักธรรม ผู้อํานวยการกองคุ้มครองผู้บริโภคด้านสัญญา เปิดเผยกรณีส่งหนังสือให้ ‘แม่ตั๊ก กรกนก’ เข้าพบเจ้าหน้าที่ สคบ. เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นขายทอง ว่า ทาง สคบ. ได้นัดให้ทางแม่ตั๊กเข้ามาพบเวลา 09.00 น. แต่ปรากฏว่ามีตัวแทนแจ้งเข้ามาขอเลื่อนนัด โดยให้เหตุผลว่าต้องการคืนเงินลูกค้าที่นําทองมาขายคืนให้เรียบร้อยก่อน

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จะพิจารณาดูความเหมาะสมเหตุที่ขอเลื่อน เพราะการฝ่าฝืนหนังสือเรียกตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคฯ มีโทษปรับ และจําคุก หลังจากนี้ สคบ. จะส่งหนังสือเรียกรอบที่ 2 หากไม่มาจะส่งดําเนินคดีตามกฎหมาย และจะต้องเดินทางเข้ามาชี้แจงด้วยตัวเอง ไม่สามารถส่งตัวแทนเข้ามาชี้แจงแทนได้

สําหรับผลการเก็บตัวอย่างทองที่ร้านของแม่ตั๊ก คาดว่าจะรู้ผลภายในสัปดาห์หน้า ส่วนจะเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชนหรือไม่ อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูล ซึ่งมีการทํางานร่วมกับตํารวจ ปคบ. ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล

ส่วนของตัวเลขผู้เสียหายนั้น เมื่อวานนี้มีผู้เสียหายประมาณ 45 คน เชื่อว่าหลังจากนี้จะทยอยเดินทางเข้ามาเรื่อย ๆ ซึ่งผู้เสียหายที่อยู่ต่างจังหวัด และต่างประเทศ สามารถร้องเรียนผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่ OCPB Connect พร้อมแนบเอกสารการซื้อ-ขายให้ครบถ้วน

‘มท.1 - ผบ.ทบ.’ ลงนาม MOU ถอนทหารจากพื้นที่ชายแดนใต้ ปี 70 เสริมทักษะกองกำลังอาสาฯ ดูแลความปลอดภัย ปชช. ลดภารกิจทหาร

(27 ก.ย. 67) ที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะ รอง ผอ.รมน. ร่วม เป็นประธานร่วมพิธีลงนาม MOU เรื่องเสริมสร้างประสิทธิภาพอาสาสมัครจังหวัดชายแดนภาคใต้ (อส.จชต.) ระหว่างกระทรวงมหาดไทย กับ กอ.รมน.

นายอนุทิน กล่าวว่า การลงนามเอ็มโอยูวันนี้เป็นการแสวงหาความร่วมมือระหว่าง กระทรวงมหาดไทยและ กอ.รมน. ฝึกฝน ทักษะที่กองทัพบกมีให้แก่กองกำลังอาสาของกระทรวงมหาดไทยซึ่งมีแผนให้เข้ามาทำหน้าที่ลดภารกิจของทหาร ดูแลความปลอดภัยประชาชนตั้งแต่ปี 2570 เป็นต้นไป โดยกองกำลังอาสามาจากคนในพื้นที่เพราะมีความคุ้นเคยกับประชาชนอยู่แล้ว

นายอนุทิน กล่าวย้ำว่า กองกำลังอาสาเดิมมีทักษะตัวเองอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องเสริมความสามารถในการป้องกันตัวเองดูแลความสงบเรียบร้อย ซึ่งต้องอาศัยการฝึกฝนและได้รับความร่วมมืออย่างดีจากกองทัพบกจัดส่งครูฝึก ผู้เชี่ยวชาญมาฝึกให้ ตนและ ผบ.ทบ.ลงพื้นที่สังเกตการณ์หลายครั้งมีพัฒนาการดีขึ้นเรื่อย ๆ มีความมั่นใจในการปฏิบัติงาน เมื่อถึงเวลากระจายงานให้ปฏิบัติ โดยมีบทบาทหน้าที่ครอบคลุมทุกด้าน

ด้าน พล.อ.เจริญชัย กล่าวเสริมว่า การปฏิบัติงานพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ดำเนินการร่วมกันระหว่าง พลเรือน ตำรวจ ทหาร ในรูปแบบ กอ.รมน. และเมื่อถึงเวลาเหมาะสมและสถานการณ์เรียบร้อยตามแผนปี 2570 จะมอบพื้นที่ให้กรมการปกครอง อาสาสมัคร ตำรวจ ดูแล ในระหว่างนี้เป็นการเตรียมการไปถึงจุดเราคาดหวังแล้วหรือไม่ หากสถานการณ์ดีขึ้น เหมาะสมเป็นไปตามแผน แต่ให้ไม่ดีขึ้นก็อยู่ที่รัฐบาลจะพิจารณา พร้อมยืนยันว่าอาสาสมัครมีพื้นฐานที่ดี แต่การทำงานร่วมกันต้องฝึกร่วมเพื่อให้คุ้นเคยในการทำงานที่ดี อาสาสมัครเป็นเครื่องมือรัฐบาลในการดูแลความปลอดภัยประชาชนและเป็นที่พึ่งในทุกโอกาสรวมถึงบรรเทาสาธารณภัย

'ผู้ช่วยฯไมค์' ตระเวณตรวจเยี่ยม สนองนโยบาย ตร.จัดสรรงบฯ มอบให้ใช้ปรับปรุงห้องเก็บอาวุธให้กับ 3 สภ.

เมื่อวานนี้ (26 ก.ย.67) เวลา 11.30 น. พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร.(บร 1) เปิดเผยว่า ตนพร้อมด้วย- พล.ต.ต.ไพศาล พฤกษจำรูญ ผบก.ภ.จว.อ่างทอง- พ.ต.อ.ดำรงศักดิ์ สว่างงาม รอง ผบก.ฯ ปรก.สง.ผู้ช่วย ผบ.ตร.- พ.ต.อ.สมพล ใจดี รอง ผบก.ฯ ปรก.สง.ผู้ช่วย ผบ.ตร.

ตามที่ ตร. ได้อนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 สำหรับใช้ปรับปรุงห้องเก็บอาวุธให้กับ สถานีตำรวจต่างๆ ในสังกัด ตำรวจภูธรจังหวัดอ่างทอง จำนวน 3 สถานี ได้แก่

1.สภ.เมืองอ่างทอง (สถานีตำรวจขนาดใหญ่)ได้รับจัดสรร 495,000 บาท 
2.สภ.ป่าโมก (สถานีตำรวจขนาดกลาง) 
ได้รับจัดสรร 444,000 บาท 
3.สภ.เกษไชโย (สถานีตำรวจขนาดเล็ก) ได้รับจัดสรร 491,000 บาท ซึ่งภ.จว.อ่างทองได้ดำเนินการปรับปรุงเสร็จเรียบร้อยแล้วทั้ง 3 สถานี  

พล.ต.ท.นิรันดร กล่าวว่า ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยม ผลการดำเนินการปรับปรุงห้องเก็บอาวุธของสถานีตำรวจ (ต้นแบบ) ทั้ง 3 สภ. ดังมี สภ.ป่าโมก สภ.เมืองอ่างทอง ,สภ.เกษไชโย 

โดยมี หัวหน้าสถานีตำรวจ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ป่าโมก สภ.เมืองอ่างทอง และสภ.เกษไชโย รอรับการตรวจเยี่ยมตามลำดับ จึงได้กำชับให้จัดเก็บอาวุธให้เป็นระเบียบและหมั่นบำรุงรักษาห้องเก็บอาวุธ อาวุธปืน รวมทั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพที่ดีพร้อมใช้งานอยู่เสมอ 

ต่อนี้หลังจากที่อ่างทองยังมีอีก 24 สภ ใน ภ 2-8 ที่ไดรับจัดสรรงบประมาณไปดำเนินการเป็นนำร่องของภาค ทำแล้วเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่แออัด มีมาตรฐานและมีความปลอดภัยมากขึ้นครับ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากที่ส่งคืนปืนเก่าที่จำหน่ายแล้วไปเก็บรักษาที่คลังอาวุธของ สพ.ที่หุบสบู่ ช่วยลดความแออัดได้มาก ทั้งนี้ยังมีแผนจะเสนอให้ทำเพิ่มเติมในปี งปม 68 อีกจำนวนหนึ่ง และหลังจากนั่นจะทยอยปรับปรุงจนครบตามร้องขอต่อไป” ผู้ช่วย ผบ.ตร.กล่าว

สนง. เลขาธิการวุฒิสภา จัดพิธีอำลาราชการ เนื่องในโอกาสเกษียณอายุราชการ ประจำปี 2567

เมื่อวานนี้ (26 ก.ย.67) เวลา 13.30 นาฬิกา ณ ห้องรับรองสมาชิกวุฒิสภา ชั้น 2 อาคารรัฐสภา (ฝั่งวุฒิสภา) สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา จัดพิธีอำลาราชการ เนื่องในโอกาสเกษียณอายุราชการ ประจำปี 2567 ของข้าราชการ และลูกจ้างประจำของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา รวมจำนวนทั้งสิ้น 17 คน โดยมี นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย พลเอก เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง นายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง สมาชิกวุฒิสภา นางสาวนภาภรณ์ ใจสัจจะ เลขาธิการวุฒิสภา และผู้บริหารสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ร่วมในพิธี และมีนายรุ่งธรรม เปรมมางกูร ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานกลาง กล่าวรายงาน

โอกาสนี้ ประธานวุฒิสภา พร้อมด้วยรองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง และรองประธานวุฒิสภา คนที่สอง ได้กล่าวให้โอวาทเนื่องในโอกาสเกษียณอายุราชการของเลขาธิการวุฒิสภา และบุคลากรของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา พร้อมทั้งได้มอบพระพุทธรูปปางเปิดโลก และสลากออมสินให้แก่ผู้เกษียณอายุราชการเพื่อเป็นที่ระลึกด้วย

สำหรับในปีนี้มีข้าราชการ และลูกจ้างประจำของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาที่เกษียณอายุราชการ รวมจำนวนทั้งสิ้น 17 คน ประกอบด้วย 
1. นางสาวนภาภรณ์ ใจสัจจะ เลขาธิการวุฒิสภา (นักบริหารสูง) 
2. นายวัลลภ หมู่พยัคฆ์ ผู้บังคับบัญชากลุ่มงาน (นักวิชาการโสตทัศนศึกษาเชี่ยวชาญ) กลุ่มงานโสตทัศนูปกรณ์ สำนักประชาสัมพันธ์ 
3. นายประธาน ทิพยกะลิน ผู้บังคับบัญชากลุ่มงาน (วิทยากรเชี่ยวชาญ) กลุ่มงานวิจัยและข้อมูล สำนักวิชาการ 

4. นางสาวลัดดาวัลย์ สมบูรณ์กิจชัย ผู้บังคับบัญชากลุ่มงาน (นิติกรเชี่ยวชาญ) กลุ่มงานบริการเอกสารอ้างอิงในการประชุมกรรมาธิการ สำนักกรรมาธิการ 1 
5. นางมณฑาทิพย์ กรีมหา ผู้บังคับบัญชากลุ่มงาน (นิติกรเชี่ยวชาญ) กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการแรงงานและสวัสดิการสังคม สำนักกรรมาธิการ 3 
6. นางสาวศิริพร ภิญโญสิริธร ผู้บังคับบัญชากลุ่มงาน (วิทยากรชำนาญการพิเศษ) กลุ่มงานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักกรรมาธิการ 3 

7. นายสมชาย ชัยเชษฐ์ดำรงกุล นักวิชาการคอมพิวเตอร์ชำนาญการพิเศษ กลุ่มงานวิทยาการคอมพิวเตอร์ สำนักเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 
8. นายกวี จันทจิราภา นิติกรชำนาญการพิเศษ กลุ่มงานคณะกรรมาธิการวิสามัญ 5 สำนักกรรมาธิการ 3 
9. นางมนทิรา ยอมเจริญ ผู้บังคับบัญชากลุ่มงาน (เจ้าพนักงานธุรการอาวุโส) กลุ่มงานบริหารทั่วไป สำนักกรรมาธิการ 1 
10. นางวิมล แจ้งอัตถะ ผู้บังคับบัญชากลุ่มงาน (เจ้าพนักงานชวเลขอาวุโส) กลุ่มงานชวเลข 2 สำนักรายงานการประชุมและชวเลข 
11. นางสาวภาวิณีย์ ปิ่นอ่อน เจ้าพนักงานธุรการอาวุโส กลุ่มงานโสตทัศนูปกรณ์ สำนักประชาสัมพันธ์ 
12. นายวงศ์วิศว์ ช้างสุวรรณ เจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภาอาวุโส กลุ่มงานรักษาความปลอดภัย สำนักบริหารงานกลาง 

13. นางสาวชฎาพันธ์ สุขสัมพันธ์ เจ้าพนักงานธุรการอาวุโส กลุ่มงานบริหารทั่วไป สำนักการคลังและงบประมาณ 
14. นางกิจจา ฟักจันทร์ เจ้าพนักงานธุรการอาวุโส กลุ่มงานบริหารทั่วไป สำนักวิชาการ 
15. นายคมสัน นิคมคณารักษ์ นิติกรชำนาญการ กลุ่มงานบริการเอกสารอ้างอิงในการประชุมกรรมาธิการ สำนักกรรมาธิการ 1 
16. นางสาววรณธร หงส์จรรยา นักทรัพยากรบุคคลชำนาญการ กลุ่มงานส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรม สำนักพัฒนาทรัพยากรบุคคล 
17. นายบุญเสริม ยอดราช พนักงานขับรถยนต์ ระดับ ส2/หัวหน้ากลุ่มงานยานพาหนะ สำนักการคลังและงบประมาณ

สวนนงนุชพัทยา จัดให้อีกนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยลด50% สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยเข้าชมพิพิธภัณฑ์พระฟรีตลอดเดือนตุลาคม

สวนนงนุชพัทยาโดย นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา มอบสิทธิพิเศษให้นิสิตนักศึกษาระดับอนุปริญญาถึงปริญญาตรี ซื้อบัตรผ่านประตูเที่ยวชมสวน(walk in )ลด 50% อีกหนึ่งเดือน เพียงแสดงบัตรประจำตัวนิสิตนักศึกษา ณ จุดให้บริการ และนักท่องเที่ยวชาวไทยได้สิทธิเข้าชมพิพิธภัณฑ์พระพุทธคุณ แหล่งรวบรวมพระเก่าแก่ล้ำค่าของชาติฟรีตลอดเดือนตุลาคม 2567

พิพิธภัณฑ์พระพุทธคุณมีเจตนารมณ์ในการจัดสร้างเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ ต้องการให้เด็ก เยาวชน และผู้มีความสนใจเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้เข้ามาเยี่ยมชมศึกษาพระพุทธรูป พระเครื่อง สมบัติอันเก่าแก่ และเป็นสื่อกลางที่ทำให้เด็กรู้สึกชอบในเรื่องของพระพุทธศาสนา

โปรโมชั่นอื่นเด็กที่มีความสูงไม่เกิน140ซม.ที่มากับครอบครัว และผู้พิการนั่งรถเข็นพร้อมผู้ติดตามเข้าฟรีทุกวัน ผู้สูงอายุ (มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป)เข้าชมสวนฟรีทุกวันศุกร์ สำหรับท่านที่สนใจชมการแสดงนงนุชโชว์ และการแสดงของน้องช้างแสนรู้ มีการแสดงวันละ 4 รอบ ณ โรงละครสกาลานงนุชพัทยาโดยเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ เวลา 08.00-18.00 น. สามารถสอบถามรายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่  www.nongnoochpattaya.com 

สมุทรปราการ-'สุนทร ปานแสงทอง' อดีตรัฐมนตรีช่วย ส่งใจถึงต่างแดน ทำบุญวันคล้ายวันเกิดให้พ่อใหญ่ 'วัฒนา อัศวเหม'

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวานนี้ (26 ก.ย.67) นายสุนทร ปานแสงทอง อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธี จัดพิธีทำบุญเลี้ยงพระเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิด ครบรอบ 88 ปี ท่าน วัฒนา อัศวเหม อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และอดีตหัวหน้าพรรคราษฎร 

ซึ่งพิธีทำบุญเลี้ยงพระเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดของท่าน วัฒนา อัศวเหม ในปีนี้ มีทางผู้นำท้องถิ่น หัวหน้าส่วนราชการ คณะสมาชิกสภาและทีมสมุทรปราการก้าวหน้า ร่วมในพิธีเป็นจำนวนมาก โดยงานถูกจัดขึ้นภายในวัดสร่างโศก ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ โดยได้นิมนต์พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ จากวัดต่างๆ มาร่วมประกอบพิธีเจริญชัยมงคลคาถาเพื่อความเป็นสิริมงคล อาทิเช่น พระครูสุคนธ์กิจจานุยุต เจ้าคณะตำบลบางพลีน้อย เจ้าอาวาสวัดหอมศีล พระครูโสภณสุตาธาร เจ้าคณะตำบลคลองด่าน เขต 1 เจ้าอาวาสวัดปานประสิทธาราม พระครูสังวรวิมลกิจ เจ้าคณะตำบลคลองด่าน เขต 2 เจ้าอาวาสวัดแจ่มราษฎร์ฯ สีล้ง และพระครูปลัดพรชัย เจ้าอาวาสวัดสร่างโศก เป็นต้น 

โดยทางด้านนาย สุนทร ปานแสงทอง อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ในวันนี้ตัวผมและทางครอบครัวอัศวเหม นำโดย นายอัครวัฒน์ อัศวเหม นายต่อศักดิ์ อัศวเหม อดีต สส.สมุทรปราการ นายวรพร อัศวเหม อดีตประธานสภาเทศบาลตำบลบางปู นางสาวนันทิดา แก้วบัวสาย นายก อบจ.จังหวัดสมุทรปราการ นางประภาพร อัศวเหม นายกเทศมนตรีนครสมุทรปราการ และขอขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน อาทิ นายฉะโอด รุ่งเรือง อดีตนายก อบต.บางพลีใหญ่ ดร.พัฒนพงศ์ จงรักดี นายกเทศมนตรีตำบลบางพลี นายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก อดีต ส.ส.สมุทรปราการ นางสาวชนม์ทิดา อัศวเหม นางสาวพิม อัศวเหม และคณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ สมาชิกสภา อบจ.สมุทรปราการ สมาชิกสภาเทศบาล กลุ่มสมุทรปราการก้าวหน้า ที่เดินทางมาร่วมในงานทำบุญในครั้งนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top