Saturday, 24 May 2025
NewsFeed

สำนักงานตำรวจแห่งชาติพร้อมภาคีเครือข่าย มอบรางวัลพลเมืองดีส่งคลิปผู้ขับขี่ฝ่าฝืนกฎหมายตาม 'โครงการอาสาตาจราจร'

(26 ก.ย.67) เวลา 13.30 น. พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ , คุณชลทิชา สัตยมานะ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) , สถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์ สวพ.91 และสถานีวิทยุ จส.100 ร่วมแถลงผลการมอบรางวัลและเกียรติบัตรโครงการอาสาตาจราจร ณ ห้องสารสิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมอบรางวัลให้กับประชาชนเจ้าของคลิปกล้องหน้ารถ ที่บันทึกอุบัติเหตุทางถนนหรือการกระทำผิดกฎจราจรที่สำคัญ ประจำเดือนกรกฎาคม 2567 รวมรางวัลทั้งสิ้น 10 รางวัล เงินรางวัลสูงสุด 20,000 บาท รวมเงินรางวัลที่จะมอบในวันนี้ เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 50,000 บาท โดยบริษัท วิริยะประกันภัย เป็นผู้สนับสนุนเงินรางวัล

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการสร้างความปลอดภัยทางถนน โดยเฉพาะโครงการอาสาตาจราจร เป็นกิจกรรมขับเคลื่อนความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่มีผลประจักษ์ชัด ได้รับความสนใจจากภาคประชาชน ร่วมส่งคลิปการกระทำผิดกฎจราจรมาให้คณะทำงานพิจารณาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เริ่มโครงการ ข้อมูลเบาะแสเหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหาการจราจร เพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนนให้กับผู้ใช้ทาง 

สำหรับผู้กระทำผิดที่ถูกบันทึกคลิปวิดีโอเจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำไปตรวจสอบและติดตามมาดำเนินคดี  โครงการนี้มุ่งหวังให้ผู้ขับขี่ ยับยั้งชั่งใจในการกระทำความผิด 

เพื่อมุ่งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าร่วมกิจกรรม สามารถส่งคลิปผู้ฝ่าฝืนกฎจราจรมายังช่องทางที่หลากหลาย ได้แก่ เพจอาสาตาจราจร เพจตำรวจทางหลวง  เพจกองบังคับการตำรวจจราจร  รวมถึงเพจเครือข่ายที่ร่วมโครงการ ทั้งเพจมูลนิธิเมาไม่ขับ สวพ.91 และ จส.100  คลิปที่มีเนื้อหาน่าสนใจผ่านการคัดเลือก นอกจากได้รับเงินรางวัลแล้ว ยังได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะพลเมืองดี ช่วยส่งพยานหลักฐานเพื่อช่วยคนดีชี้คนผิด เป็นส่วนหนึ่งในการลดอุบัติเหตุทางถนน 

ทางด้าน นพ.แท้จริง  ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ กล่าวเสริมว่า โครงการนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยในการสร้างการตระหนักรู้ในการขับขี่ปลอดภัย ให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจร การมีส่วนร่วมดังกล่าวเป็นการสร้างมาตรฐานทางสังคมให้เกิดความยับยั้งชั่งใจในการกระทำความผิด

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอประชาสัมพันธ์ข้อกฎหมายสำหรับผู้ใช้รถใช้ถนนทุกท่าน เรื่องการปรับเป็นพินัยที่เกี่ยวข้องกับการจราจร มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 25 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา ส่งผลให้การบังคับใช้กฎหมายจราจรมีการเปลี่ยนแปลง 2 ประเด็นสำคัญ ประเด็นแรกคือ อายุความของใบสั่งจราจรเปลี่ยนแปลงจากเดิมอายุความ 1 ปี เปลี่ยนเป็นอายุความ 2 ปี มีผลกับใบสั่งฯที่ออกตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2566 เป็นต้นมา ประเด็นที่สอง ผู้ที่ได้รับใบสั่งแล้วไม่ชำระเมื่อครบกำหนดเวลาแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องนำใบสั่งนั้นทำสำนวนยื่นฟ้องต่อศาลทุกราย จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ทุกท่านปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกฟ้อง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติแถลงยุทธการ 'ปราบซิมผี ล่าบัญชีม้า' ระดมกำลังตำรวจไทย 16 วัน รวบผู้ต้องหากว่า 2,000 คน

(26 ก.ย.67) ตามที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยกำหนดนโยบายเร่งด่วน 10 ข้อ ซึ่งนโยบายข้อที่ 9 กำหนดว่า “รัฐบาลจะเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน โดยการเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และรับมือกับอาชญากรรมออนไลน์อย่างรวดเร็ว ช่วยเหลือเหยื่อได้อย่างทันท่วงที โดยผนึกกำลังกับประเทศเพื่อนบ้าน และสร้างกลไกการร่วมรับผิดชอบของบริษัทผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคม และธนาคารพาณิชย์” 

ปัจจุบันคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ 'คดีออนไลน์' มีสถิติการรับแจงความประมาณ 1,000 เรื่องต่อวัน คนร้ายมีการพัฒนารูปแบบและกลโกงที่แปลกใหม่และหลากหลาย ส่งผลใหประชาชนได้รับความเดือดร้อนและสูญเสียทรัพย์สินจำนวนมาก จากสถิติในระบบรับแจ้งความออนไลน ห้วงตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 ถึง 31 สิงหาคม 2567 (รวม 2 ปี 6 เดือน) มีผู้เสียหายแจงความประมาณ 6 แสนเรื่อง มูลค่าความเสียหายกว่า 7 หมื่นล้านบาท โดยคดีประเภทหลอกลวงซื้อขายสินคา เป็นคดีที่เกิดขึ้นมากที่สุด

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. จึงสั่งการให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผอ.ศปอส.ตร.) จัดทำ “โครงการสืบสวนหาข่าวในยุทธการปราบซิมผี ล่าบัญชีม้า” โดยระดมกำลังตำรวจทั้งนครบาล , ตำรวจภูธรภาค 1-9 , ตำรวจสอบสวนกลาง และตำรวจไซเบอร์ เปิดปฏิบัติการระดมกวาดล้างจับกุมผู้องหาตามหมายจับคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี รวมทั้งการกระทำความผิดเกี่ยวกับซิมผี บัญชีม้า ทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 10-27 กันยายน 2567 (รวม 18 วัน) ตามนโยบายของรัฐบาล 

วันนี้ (26 กันยายน 2567) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร. จึงได้เรียกประชุมหน่วยงานในสังกัด ตร. เพื่อติดตามผลการปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม , สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน , สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ , ธนาคารแห่งประเทศไทย , ผู้แทนสมาคมธนาคารไทย รวมทั้งบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และร่วมแถลงผลการปฏิบัติร่วมกัน ณ ห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความสำคัญและมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจังในทุกมิติ ทั้งด้านการปRองกันปราบปราม การสืบสวนสอบสวน การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไข ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (ศูนย์ Anti Online Scam Operation Center หรือศูนย์ AOC) ซึ่งบูรณาการการทำงานแบบ One Stop Service และการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้เท่าทันและไม่ตกเป็นเหยื่อของคนร้าย รวมทั้งกวาดล้างจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างต่อเนื่อง สำหรับการระดมกวาดล้างในยุทธการ 'ปราบซิมผี ล่าบัญชีม้า' สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กวาดล้างจับกุมผู้กระทำความผิด ในความผิด 3 ประเภท โดยมีผลการระดมกวาดล้างจับกุมในห้วงวันที่ 10-25 กันยายน 2567 (รวม 16 วัน) สรุปได้ดังนี้

- ความผิดในคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีประเภทต่างๆ จับกุมได้รวม 874 ราย 
- ความผิดเกี่ยวกับซิมผี บัญชีม้า จับกุมได้รวม 544 ราย 
- ความผิดการพนันออนไลน์ จับกุมได้รวม 690 ราย 
สำหรับซิมผี และบัญชีม้า ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่คนร้ายใช้ในการหลอกลวงและรับโอนเงินจากเหยื่อ สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนได้ตรวจสอบการใช้หมายเลขโทรศัพท์มือถือ และบัญชีธนาคารของตนเองอย่างจริงจัง ดังนี้

หมายเลขโทรศัพท์มือถือ ขอให้ท่านตรวจสอบว่า หากเคยลงทะเบียนใช้งานไว้ แต่ไม่ได้ใช้งาน หรือเคยให้ผู้อื่นนำไปใช้ หรือสงสัยว่าจะมีผู้อื่นนำไปใช้ ขอให้รีบไปแจ้งยกเลิกการใช้หมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวกับศูนย์บริการเจ้าของเครือข่ายโทรศัพท์ หากไม่แนใจหรือจำไม่ได้ว่าท่านใช้งานหมายเลขโทรศัพท์ไว้กี่เลขหมาย ขอให้ไปแจ้งกับศูนย์บริการ ว่าท่านขอใช้เฉพาะหมายเลขโทรศัพท์ที่อยูกับตัวท่าน และใช้งานจริงอยูในปัจจุบันเท่านั้น ส่วนหมายเลขอื่นๆ ที่มีชื่อท่านเป็นผู้ลงทะเบียนแต่ท่านไม่ได้ใช้งาน ขอให้ศูนย์บริการยกเลิกการให้บริการหมายเลขดังกล่าวทั้งหมด

บัญชีธนาคาร ขอให้ทำการตรวจสอบในลักษณะคล้ายกัน คือ หากเคยเปิดบัญชีธนาคารไว้แตไม่ได้ใช้ หรือเคยให้ผู้อื่นนำไปใช้ หรือสงสัยว่าจะมีผู้อื่นนำไปใช้ ขอให้รีบไปปิดบัญชีดังกล่าวกับธนาคารเจ้าของบัญชี สาขาที่ท่านสะดวก หากไม่แนใจหรือจำไม่ได้ว่าท่านได้เปิดบัญชีไว้กี่บัญชี ขอให้ไปแจ้งกับธนาคารว่าท่านขอใช้เฉพาะบัญชีธนาคารที่อยู่กับตัวท่าน และใช้งานจริงอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น สวนบัญชีอื่น ๆ ที่อาจจะมีชื่อท่านเป็นเจ้าของบัญชีแต่ไม่ได้ใช้อยู่ในปัจจุบัน ขอให้ธนาคารปิดบัญชีดังกล่าวทั้งหมด

หากทำการตรวจสอบกับศูนย์บริการเครือข่ายโทรศัพท์ หรือธนาคารแล้ว ยังไม่สามารถดำเนินการยกเลิกการใช้ หรือปิดบัญชีได้โดยเหตุต่างๆ ขอให้ท่านไปที่สถานีตำรวจที่สะดวก เพื่อขอลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานว่า ท่านได้ใช้หมายเลขโทรศัพท์ และบัญชีธนาคารที่แท้จริงในปัจจุบันเป็นนหมายเลขหรือบัญชีใด เพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นผู้ต้องหาร่วมกันกระทำความผิดในข้อหาเกี่ยวกับซิมผี บัญชีม้า และความผิดคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และขอย้ำเตือนว่าอย่าได้หลงเชื่อผู้ให้ผลตอบแทนในการเปิดซิมผีและบัญชีม้า เพราะท่านอาจจะตกเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดและได้รับโทษตามกฎหมาย ซึ่งมีอัตราโทษกำหนดไว้ดังนี้

ความผิดเกี่ยวกับ 'ซิมผี'   
- ยินยอมให้ผู้อื่นนำหมายเลขโทรศัพท์มือถือของตนเองไปใช้ในการกระทำความผิด มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 
 - เป็นธุระจัดหา โฆษณา เพื่อซื้อขายหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่มีการลงทะเบียนผู้ใช้งานไว้แล้ว มีโทษ จำคุกตั้งแต่ 2 ปีถึง 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 200,000 บาทถึง 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ความผิดเกี่ยวกับ 'บัญชีม้า'
- เปิดบัญชี หรือยินยอมให้ผู้อื่นนำบัญชีของตนเองไปใช้ในการกระทำความผิด มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 - เป็นธุระจัดหา โฆษณา เพื่อซื้อขาย ให้เช่า หรือให้ยืมบัญชี เพื่อนำไปใช้ในการกระทำความผิด มีโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 200,000 บาท ถึง 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 
สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะดำเนินการระดมกวาดล้างจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับซิมผี บัญชีม้า อย่างจริงจังต่อเนื่อง และจะเพิ่มความเข้มข้นขึ้นอีกในเดือนต่อๆ ไป

ทั้งนี้ ขอแนะนำให้ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลข่าวสาร การประชาสัมพันธ์ เพื่อรู้เท่าทันภัยออนไลน์ได้ผ่านช่องทางต่างๆ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาทิ www.เตือนภัยออนไลน์.com , เฟซบุ๊กแฟนเพจ : ตำรวจไซเบอร์-บช.สอท. , ตำรวจสอบสวนกลาง, สืบนครบาล IDMB เป็นต้น และหากพี่น้องประชาชนถูกมิจฉาชีพหลอกลวงในคดีออนไลน์ หรือต้องการคำปรึกษา หรือสอบถามเกี่ยวกับคดีออนไลน์ ขอให้โทรติดต่อที่สายด่วน 1441 ของศูนย์ AOC ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือแจ้งความผ่านระบบรับแจ้งความออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th

งานแถลงข่าว การจัดกิจกรรม โครงการเดิน-วิ่ง การกุศลลอยฟ้า เพื่อโรงพยาบาลตำรวจ ครั้งที่ 2 'Police Run II 2024'

(26 ก.ย. 67) เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.วินัย ทองสอง นายกสมาคมตำรวจ และ พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตำรวจ ได้ร่วมกันแถลงข่าว งานแถลงข่าว การจัดกิจกรรมโครงการเดิน-วิ่งการกุศลลอยฟ้า เพื่อโรงพยาบาลตำรวจ ครั้งที่ 2 “ Police Run II 2024 ” ณ ห้องสารสิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีรายละเอียดการจัดกิจกรรม ดังนี้

สมาคมตำรวจ กำหนดจัดกิจกรรมโครงการเดิน-วิ่งการกุศลลอยฟ้า เพื่อโรงพยาบาลตำรวจ ครั้งที่ 2 “ Police Run II 2024 ” ขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน 2567 เวลา 04.00-08.00 น. 
โดยมีระยะทางการแข่งขันทั้งสิ้น 3 ระยะทาง 

1) ฮาล์ฟ-มาราธอน 21 กม. ค่าสมัคร 800 บาท จำนวน 700 คน 
2) มินิ-มาราธอน 10.5 กม. ค่าสมัคร 600 บาท จำนวน 1,000 คน  
3) เดินวิ่งเพื่อสุขภาพ 5 กม. ค่าสมัคร 500 บาท จำนวน 800 คน 
4) ประเภทวีไอพี ค่าสมัคร 2,000 บาท  

โดยมีจุดเริ่มต้นและเส้นชัย ณ ลานอเนกประสงค์สะพานพระราม 8 (ฝั่งธนบุรี) เพื่อสร้างความรัก ความสามัคคีให้เกิดขึ้นระหว่างตำรวจ และประชาชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายแบ่งเป็น 2 ส่วน มอบให้แก่

1.โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อใช้ในการจัดซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ที่ยังขาดแคลน
2.สมาคมตำรวจ
2.1 เป็นกองทุนสำหรับการสงเคราะห์ช่วยเหลือข้าราชการตำรวจที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ทั่วประเทศ ข้าราชการตำรวจที่บาดเจ็บสาหัส ทุพพลภาพ
2.2 เป็นกองทุนเพื่อช่วยเหลือข้าราชการตำรวจที่ถูกฟ้องร้องในทางอาญา อันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต และบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
2.3 เพื่อเป็นกองทุนสนับสนุนด้านการศึกษาให้กับบุตรธิดาข้าราชการตำรวจที่มีฐานะยากจน

ทั้งนี้ ผู้ที่มีความประสงค์จะให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมการแข่งขันครั้งนี้ 
สามารถบริจาคเงินแบบไม่เข้าร่วมกิจกรรมได้  โดยสามารถโอนเงินตรงได้ที่  “ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาโรงพยาบาลตำรวจ ชื่อบัญชี “มูลนิธิโรงพยาบาลตำรวจ ในพระบรมราชินูปถัมภ์” บัญชีเลขที่ 981-0-80457-1 และผู้ที่สนใจเข้าร่วมการแข่งขัน สามารถดูรายละเอียดได้ที่แฟนเพจเฟซบุ๊ก Police Run II 2024 https://www.facebook.com/policerunbangkok/ และสมัครออนไลน์ได้ที่ https://www.regis.run/race/policerun2024/ ตั้งแต่วันนี้ถึง 15 ตุลาคม 2567

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ทีมบรรเทาสาธารณภัยเคลื่อนพลอีกครั้ง..จัดทีม 'ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมเชียงใหม่'

(26 ก.ย. 67) พร้อมกระจายเครื่องอุปโภคบริโภค สมทบทีมอาสาฯ 'ช่วยเหลือชาวลำปาง' !! และเปิดลานสักการะหลวงปู่ฯ ระดมเจ้าหน้าที่-จิตอาสาแพ็กถุงยังชีพฉุกเฉิน ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

ตามที่ในหลายจังหวัดของภาคเหนือยังคงเกิดอุทกภัยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดลำปางที่ทีมอาสาสมัครกู้ภัยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งกำลังอยู่ระหว่างการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ขณะนี้ ล่าสุดได้เกิดเหตุน้ำปิงล้นตลิ่งที่จังหวัดเชียงใหม่ บางพื้นที่รถเล็กไม่สามารถสัญจรได้ วานนี้ (วันพุธที่ 25 กันยายน 2567) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิฯ พร้อมคณะกรรมการฯ ห่วงใยผู้ประสบภัยน้ำท่วม เร่งสั่งการให้

นายวรพจน์ จรัสเศรษฐสิริ รักษาการผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ จัดกำลังทีมกู้ชีพ-กู้ภัย พร้อมอุปกรณ์ตอบโต้ภัยพิบัติ ยานพาหนะกู้ภัย กู้ชีพโฟวิล [4x4] โรงครัวเคลื่อนที่ เครื่องอุปโภคบริโภค ชุดยาสามัญประจำบ้าน ออกให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยชาวเชียงใหม่ในทันที โดยมี หน่วยกู้ภัยฉะเชิงเทรา ร่วมปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ พร้อมจัดตั้งกองอำนวยการ และโรงครัวประกอบอาหารปรุงสุก ณ วัดกองทราย อําเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในขณะนี้ ทีมบรรเทาสาธารณภัย อยู่ระหว่างการอพยพประชาชน รวมถึงการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในพื้นที่ประสบภัย อาทิ ตำบลท่าวังตาล และตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่

พร้อมกันนี้ ได้มอบหมายให้แผนกอาสาสมัครมูลนิธิฯ ระดมสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคสมทบอาสาฯ กู้ภัย ซึ่งในขณะนี้ได้จัดกำลังพร้อมเรือท้องแบนลงพื้นที่จังหวัดลำปาง เร่งเข้าช่วยเหลืออพยพผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2567 เป็นต้นมา และได้จัดตั้งโรงครัวเคลื่อนที่ ภายในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เทศบาลตำบลปงยางคก อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง ประกอบอาหารปรุงสุกบรรจุกล่องพร้อมน้ำดื่มนำแจกจ่ายให้ผู้ประสบภัยในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

และในวันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน 2567) ที่ลานสักการะหลวงปู่ไต้ฮง ฝั่งสำนักงานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ นำโดยนางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และนายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย จัดระดมทีมเจ้าหน้าที่  และจิตอาสาหน่วยงานในเครือ เร่งบรรจุเครื่องอุปโภคบริโภค รวมทั้งสิ่งของที่ผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาค และชุดยาสามัญประจำบ้าน บรรจุถุงมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  จัดเป็น “ถุงยังชีพฉุกเฉิน” เพื่อจัดส่งให้ทีมบรรเทาสาธารณภัยนำออกแจกจ่ายให้กับผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่อไป

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ขอขอบพระคุณผู้มีจิตศรัทธาที่ร่วมบริจาคทรัพย์ เครื่องอุปโภคบริโภค สละแรงกาย แรงใจ  สมทบทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยต่าง ๆ  ทั้งที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ และที่กองอำนวยการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ ขอบุญบารมีหลวงปู่ไต้ฮง ส่งผลให้ท่านและครอบครัว มีความสุขความเจริญตลอดไป 

สำหรับผู้มีจิตศรัทธาที่มีความประสงค์จะบริจาคสมทบทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ติดต่อสอบถามได้ที่สายด่วนป่อเต็กตึ๊ง 1418 ต่อ แผนกบริจาคสัมพันธ์ รวมทั้ง ติดตามข่าวสารกิจกรรม การช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org  เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/pohtecktungofficial

“มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
#มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งรวมพลังส่งต่อธารน้ำใจสู้ภัยน้ำท่วม

‘เต็ดตรา แพ้ค’ ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการแปรรูปและบรรจุภัณฑ์ ชู ‘วัสดุ-เครื่องจักร-เทคนิค’ เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม ในอุตฯ อาหาร-เครื่องดื่ม

(26 ก.ย. 67) เต็ดตรา แพ้ค ผู้นำด้านโซลูชันการแปรรูปและบรรจุภัณฑ์ อาหารชั้นนำของโลก ได้จัดงานสัมมนาออนไลน์เพื่อเน้นย้ำถึงความสำคัญของโซลูชันที่ยั่งยืนสำหรับผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มในประเทศไทย ภายใต้หัวข้อ ‘ธุรกิจที่พร้อมสำหรับอนาคตด้วยโซลูชันด้านความยั่งยืนจากเต็ดตรา แพ้ค’ ซึ่งได้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับวิธีการที่ธุรกิจต่าง ๆ สามารถนำเทคโนโลยีและแนวปฏิบัติใหม่มาใช้เพื่อพัฒนาการดำเนินงานและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของข้อกำหนดและกฎระเบียบด้านความยั่งยืน

สหภาพยุโรปได้กำหนดมาตรฐานระดับโลกในการจัดการขยะบรรจุภัณฑ์ด้วยแนวทางที่ครอบคลุม โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎระเบียบเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์และขยะบรรจุภัณฑ์ (PPWR) กฎระเบียบนี้ได้มีการกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันเรื่องขยะบรรจุภัณฑ์ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้บรรจุภัณฑ์ ส่งเสริมการใช้ซ้ำ การรีไซเคิล และตั้งข้อกำหนดที่เข้มงวดสำหรับบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ในตลาดสหภาพยุโรป นอกจากนี้ยังเน้นการใช้แนวทางตามวงจรชีวิตของขยะบรรจุภัณฑ์และผลักดันให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์  อีกด้วย

เช่นเดียวกับประเทศไทยที่กำลังมุ่งสู่เป้าหมายความยั่งยืน ซึ่งรวมถึงเป้าหมายที่ระบุไว้ในแผนปฏิบัติการแห่งชาติฉบับที่ 2 เกี่ยวกับแผนงานขยะพลาสติก 2022-2027 ประเทศไทยได้พัฒนาร่างพระราชบัญญัติการจัดการบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน โดยอิงตามหลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต (EPR) ซึ่งมุ่งหวังให้ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มมีส่วนร่วมโดยตรงในกระบวนการนำบรรจุภัณฑ์กลับมาจัดการอย่างถูกวิธีโดยเน้นการนำบรรจุภัณฑ์มาแปรรูปใช้ใหม่ (รีไซเคิล) และการนำโซลูชันบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนมาใช้ ในขณะเดียวกัน ความต้องการของผู้บริโภคที่มีต่อความยั่งยืนก็มีเพิ่มมากขึ้น 

ข้อมูลล่าสุดจาก NielsenIQ เผยว่า 74% ของผู้บริโภคในประเทศไทยให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้นกว่าเมื่อสองปีที่ผ่านมา  ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นอย่างยิ่งที่ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มต้องให้การสนับสนุนความพยายามในด้านความยั่งยืนของประเทศ พร้อมทั้งส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและยั่งยืนเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอีกด้วย

งานสัมมนาออนไลน์ ‘ธุรกิจที่พร้อมสำหรับอนาคตด้วยโซลูชันด้านความยั่งยืนจากเต็ดตรา แพ้ค’ ในครั้งนี้ คุณแพรพร อมรภาณุพันธ์ ผู้อำนวยการกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านบรรจุภัณฑ์ และคุณปฏิญญา ศิลสุภดล ผู้อำนวยการฝ่ายความยั่งยืน บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด ได้บรรยายให้เห็นถึงความจำเป็นอย่างเร่งด่วนสำหรับผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มในการนำโซลูชันความยั่งยืนมาเป็นส่วนสำคัญของการดำเนินงานเพื่อตอบสนองต่อเทรนด์ด้านความยั่งยืนที่เกิดขึ้น รวมถึงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับประเทศและระดับสากลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งเชื่อมโยงกับการลดคาร์บอน การรีไซเคิล และการจัดการขยะ โดยเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของเต็ดตรา แพ้ค ในการช่วยให้ธุรกิจบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนโดยใช้แนวทาง 4 ขั้นตอนที่ครอบคลุม ได้แก่ การหลีกเลี่ยงการใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง การกู้คืนการใช้พลังงานและน้ำ การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และการทำให้กระบวนการผลิตเกิดความเป็นกลางทางสิ่งแวดล้อมตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า

ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนผู้ผลิตในการขับเคลื่อนกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน เต็ดตรา แพ้คได้นำเสนอโซลูชันแบบครบวงจรทั้ง 3 โซลูชันที่จะสามารถช่วยเปลี่ยนแปลงธุรกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการปฏิบัติตามข้อกำหนดทั้งในระดับประเทศและระดับสากล พร้อมรักษาความสามารถด้านการแข่งขันในระยะยาวสำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ดังนี้

1.โซลูชันบรรจุภัณฑ์ของเต็ดตรา แพ้ค มีการจัดหาทรัพยากรหมุนเวียนอย่างมีความรับผิดชอบ โดยกระดาษบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ได้รับการรับรองจากองค์การจัดการด้านป่าไม้ หรือ เอฟเอสซี (FSC™) อีกทั้ง บรรจุภัณฑ์ยังสามารถรีไซเคิลได้ทั้งหมด และออกแบบมาเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในขณะที่ยังคงมาตรฐานคุณภาพผลิตภัณฑ์สูงสุด เต็ดตรา แพ้ค มีเป้าหมายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน ด้วยการแนะนำฝาบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน เพิ่มการใช้วัสดุที่ได้จากการรีไซเคิล และวัสดุที่เป็นทรัพยากรหมุนเวียนจากพืชที่ปลูกทดแทนได้ รวมถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สร้างสรรค์ โดยเมื่อเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา เต็ดตรา แพ้ค ประสบความสำเร็จในการร่วมมือกับ แบรนด์ Lactogal ประเทศโปรตุเกส ในการวางขายผลิตภัณฑ์ในกล่องเครื่องดื่มกล่องแรกของโลกที่ใช้ชั้นปกป้องทดแทนที่ผลิตจากเยื่อกระดาษ ซึ่งทำให้เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ใช้วัสดุหมุนเวียนมากถึง 90% และลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 33% 

2.โซลูชันการผลิตของเต็ดตรา แพ้ค มีโซลูชันการผลิตที่ล้ำสมัยซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต แต่ยังคงไว้ซึ่งคุณภาพ ทั้งยังช่วยลดการสูญเสียในกระบวนการผลิต เครื่องจักรได้รับการพัฒนาเป็นระบบอัตโนมัติทำให้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ยกตัวอย่างเช่น เครื่องโฮโมจีไนเซอร์ของเต็ดตรา แพ้ค รุ่นใหม่ที่มีอายุการใช้งานของชิ้นส่วนอะไหล่เพิ่มเป็นสองเท่า ลดการใช้น้ำ และลดการใช้พลังงานได้ถึง 30% นอกจากนี้ยังมีเครื่องแยกไขมัน ที่ใช้เทคโนโลยี AirTight สามารถช่วยประหยัดพลังงานได้ถึง 40% และลดการใช้น้ำได้ถึง 20%

3.โซลูชันบริการทางเทคนิคของเต็ดตรา แพ้ค ให้บริการทางเทคนิคแบบครบวงจรโดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของโรงงาน ตัวอย่างเช่น การประเมินและวางแผนการ บำรุงรักษาเครื่องจักรและการซ่อมบำรุง การให้บริการจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโรงงาน ที่ช่วยผู้ผลิตตั้งแต่การวางแผนลดการใช้พลังงานและน้ำ รวมถึงลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและของเสียในโรงงานทั้งหมด ซึ่งช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

"เราเล็งเห็นว่าผู้บริโภคและหน่วยงานกำกับดูแลต่าง ๆ มีความตระหนักรู้และให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืนเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ โซลูชันด้านความยั่งยืนจากเต็ดตรา แพ้คได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ธุรกิจต่าง ๆ สามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน และในขณะเดียวกัน ก็ยังคงไว้ซึ่งความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่มีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว" คุณปฏิญญา ศิลสุภดล ผู้อำนวยการฝ่ายความยั่งยืน บริษัทเต็ดตรา แพ้ค ประเทศไทย และเวียดนาม กล่าว

"โซลูชันด้านความยั่งยืนจากเต็ดตรา แพ้คช่วยให้ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในประเทศไทยสามารถเตรียมพร้อมสำหรับตลาดและกฎระเบียบต่าง ๆ ในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ  โดยล่าสุดในงานสัมมนาออนไลน์ 'ธุรกิจที่พร้อมสำหรับอนาคตด้วยโซลูชันด้านความยั่งยืนจากเต็ดตรา แพ้ค' เราได้ให้ข้อมูลของโซลูชันแบบครบวงจร ตั้งแต่บรรจุภัณฑ์ที่ใช้วัสดุหมุนเวียนที่ปลูกทดแทนได้ นวัตกรรมในการผลิต ตลอดจนการยกระดับความ สามารถในกระบวนการผลิต ที่จะช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนความยั่งยืนในตลาด" คุณแพรพร อมรภาณุพันธ์  ผู้อำนวยการกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านบรรจุภัณฑ์ บริษัทเต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

เต็ดตรา แพ้ค มุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อช่วยให้การเปลี่ยนผ่านการดำเนินธุรกิจไปสู่แนวทางการปฏิบัติที่ยั่งยืนอย่างราบรื่น และลดการปล่อยมลพิษให้น้อยที่สุด ในขณะเดียวกัน ยังพร้อมสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการตลาดและนวัตกรรมล่าสุดเพื่อตอบสนองต่อกฎระเบียบหรือข้อบังคับใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความมุ่งมั่นนี้สอดคล้องกับพันธกิจหลักของเต็ดตรา แพ้คในการส่งมอบบรรจุภัณฑ์อาหารที่ยั่งยืนที่สุดในโลก พร้อมนำนวัตกรรมมาใช้ในการเปลี่ยนแปลงระบบอาหารทั่วโลก เพื่อปกป้องอาหาร ผู้คน และโลกใบนี้

การสัมมนาออนไลน์ ‘ธุรกิจที่พร้อมสำหรับอนาคตด้วยโซลูชันด้านความยั่งยืนจากเต็ดตรา แพ้ค’ สามารถรับชมย้อนหลังได้ผ่านทาง https://event.on24.com/wcc/r/4695197/FE405E93B45974992841C3B9AE595758 

'กัน จอมพลัง' เผย!! รถขุดช่วยน้ำท่วม โดนจับด่านชั่งน้ำหนัก โดนค่าปรับ-มีคดีติดตัว ตัดพ้อ!! ต่อไปใครจะกล้าช่วย

(26 ก.ย. 67) เพจเฟซบุ๊กของ กันจอมพลัง ช่วยสู้ ได้โพสต์เรื่องราวน่าเห็นใจหลังจากที่ ‘รถขุด’ ดินโคลนที่เดินทางไปช่วยน้ำท่วมที่จังหวัดเชียงราย ล่าสุดได้โพสต์ภาพและข้อความว่า…

"Fc ทักมาขอให้ผมช่วยพี่รถขุด ที่เดินทางไปช่วยขุดดินที่เชียงราย ระหว่างเดินทางกลับถูกด่านชั่งน้ำหนักจังหวัดพะเยา ของกรมทางหลวงจับกุม ฐานรถน้ำหนักเกิน พร้อมส่งดำเนินคดีและถ้าจะประกันตัวและรถต้องใช้หลักทรัพย์กว่า 320,000 หลังจากประกันต้องไปศาลต่อเพื่อจ่ายค่าปรับและมีคดีติดตัว เคสนี้ผมรับปากช่วย ผมจะจ่ายค่าปรับให้เอง ส่วนรถขุดคันอื่น ๆ ที่มาช่วยขุดดินออกจากเชียงรายแล้ว ขากลับโดนจับน้ำหนักเกิน ผมจะช่วยจ่ายค่าปรับให้ทั้งหมด

สิ่งที่ผมห่วงต่อไป ใครจะกล้ามาช่วยเชียงรายช่วยแล้วต้องมีคดีติดตัวแล้วขากลับรถขุดจะกลับกันยังไง

(เคสนี้ไม่ใช่ตำรวจที่เป็นต้นจับนะครับ กรมทางหลวงของกระทรวงคมนาคม เป็นคนจับมาส่งครับแล้วข้างรถก็แขวนป้ายช่วยน้ำท่วมอยู่ก็ยังโดน) " 

กัน จอมพลัง ยังบอกอีกว่า "ผมอยู่หน้างานทุกวัน ผมโคตรสงสารคนทำงานเลย ทุกคนเต็มที่ทุ่มเทจริง ๆ แต่นี่หรอคือสิ่งตอบแทนที่คนมาช่วยได้รับ สงสารคนช่วย สงสารชาวบ้าน "

'ดร.ธรณ์' โพสต์!! รอให้ทางการวิเคราะห์และพยากรณ์มาก่อน หลังข่าวว่อนเตือน อีก 5 วัน พายุใหญ่ ซัดกทม.ท่วมหนักกว่า ปี 54

จากกรณี ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'เดชา นฤนารท' ได้ออกมาโพสต์ข้อความเตือน ระบุว่า อีก 5 วันจะเกิดพายุไต้ฝุ่นขนาดใหญ่ ถล่มไต้หวันแบบชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และรุนแรงมาก แรงกว่าพายุยางิถึงสองเท่า และหากพายุลูกนี้เคลื่อนตัวเข้าเวียดนามและเข้าประเทศไทยทางฝั่งภาคเหนือตอนบน อาจจะลุกลามมาถึง กรุงเทพฯ จนอาจเกิดน้ำท่วมหนักกว่าปี 54 ถึงสองเท่านั้น

ล่าสุด (26 ก.ย.67) ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Thon Thamrongnawasawat’ ระบุว่า...

"หลายท่านสอบถามมา ขออธิบายว่า พายุยังไม่ได้เกิดเลย เกิดแล้วแรงแค่ไหนก็ไม่รู้ ไปทิศทางไหนก็ยังบอกไม่ได้ รอให้หน่วยงานเป็นทางการวิเคราะห์และพยากรณ์มาก่อน ค่อยมาพูดคุยกันนะครับ ยุคโลกเดือดสภาพภูมิอากาศแปรปรวน ต้องใจเย็นและรับฟังข่าวสารให้ดีครับ"

‘พีระพันธุ์’ ร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 42 ชูแนวทาง ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’ หนุน ‘พลังงานไทย’ มั่นคง-ยั่งยืน

(26 ก.ย. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยนายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน คณะผู้บริหารกระทรวงพลังงาน และหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 42 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง (The 42nd ASEAN Ministers on Energy Meeting and Associated Meetings: The 42nd AMEM) ณ เวียงจันทน์ สปป.ลาว 

โดยรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ร่วมรับรองถ้อยแถลงร่วมทั้งหมด 3 ฉบับซึ่งระบุผลการดำเนินงานที่ผ่านมา และแนวทางการดำเนินงานในอนาคตของอาเซียนได้แก่ ถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 42 ถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนบวกสามด้านพลังงาน (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) ครั้งที่ 21 และถ้อยแถลงร่วมสำหรับโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่าง สปป.ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ฉบับที่ 5

ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้กล่าวแสดงวิสัยทัศน์เพื่อแสดงถึงแนวทางการพัฒนาพลังงานของไทยซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์พลังงานในอาเซียน โดยเน้นย้ำแนวทาง ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’ เพื่อปฏิรูประบบพลังงาน การผลักดันการสำรองน้ำมันและก๊าซเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน และการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ควบคู่กับการลดการใช้ถ่านหิน รวมทั้งกล่าวสนับสนุนให้อาเซียนร่วมมือกันอย่างเข้มแข็ง เพื่อการพัฒนาพลังงานอย่างยั่งยืนในภูมิภาค

ที่ประชุมได้รายงานถึงทิศทางอนาคตพลังงานของอาเซียน ที่คาดว่าจะมีความต้องการใช้พลังงานมากขึ้นประมาณสามเท่าเมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2565 โดยภาคอุตสาหกรรมและคมนาคมมีแนวโน้มใช้พลังงานมากที่สุด ในขณะที่ ภาคครัวเรือนจะเปลี่ยนผ่านจากการใช้พลังงานแบบดั้งเดิม สู่การใช้ LPG และไฟฟ้าในการประกอบอาหารมากขึ้นในปี พ.ศ. 2050 

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้หารือถึงความก้าวหน้าใน 7 สาขาพลังงานของอาเซียน ได้แก่ ไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ การจัดการถ่านหินและคาร์บอนประสิทธิภาพและการอนุรักษ์พลังงาน พลังงานหมุนเวียน นโยบายและแผนพลังงาน และพลังงานนิวเคลียร์เพื่อประชาชน และเครือข่ายความร่วมมือด้านการกำกับกิจการพลังงานโดยที่ประเทศไทยมีบทบาทนำในภูมิภาคในการดำเนินงานทางด้านพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานซึ่งได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง และได้ทำหน้าที่เป็นประธานสาขาประสิทธิภาพและการอนุรักษ์พลังงานซึ่งมีการดำเนินการสำคัญที่รายงานในปี 2567 คือการผลักดันการเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้พลังงานของอาเซียน ได้ร้อยละ 24.5

นอกจากนี้ ไทยได้มีการหารือทวิภาคีกับ สปป.ลาว และมาเลเซีย ถึงแนวทางการกระชับความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ และได้ร่วมแสดงความยินดีกับคณะผู้ประกอบการจากประเทศไทยที่เข้ารับรางวัล ASEAN Energy Awards ประจำปี 2567 ซึ่งในปีนี้ไทยเป็นผู้ได้รับรางวัลมากที่สุด ด้านการอนุรักษ์พลังงาน 9 รางวัล ด้านพลังงานหมุนเวียน 10 รางวัล และได้รับรางวัลบุคคลดีเด่นด้านการบริหารจัดการพลังงานอีก 5 รางวัลอีกด้วย

'สคบ.' ลั่น!! เอาผิดถึงที่สุด ร้านทองออนไลน์ 'หลอกลวงประชาชน' ด้าน 'ผู้ค้าออนไลน์-อาหารเสริม' งานเข้าด้วย!! จ่อถูกขยายผล

(26 ก.ย. 67) กลุ่มผู้เสียหายกรณีซื้อทองออนไลน์ แม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์ เข้าพบขอความเป็นธรรมกับ นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)  

ด้าน น.ส.จิราพร กล่าวว่า สคบ.มีหน้าที่ กำกับดูแลเรื่องสินค้าและบริการ กรณีของการซื้อทอง ที่พบว่านำทองไปขายที่อื่นแล้วไม่ได้ราคา และมีผู้มาร้องเรียน ว่าได้รับความเสียหายจำนวนมาก ทาง สคบ. จึงตั้งคณะทำงาน และลงพื้นที่ไปตรวจสอบที่ร้านทอง ตรวจฉลากและเก็บตัวอย่างทองไปตรวจ โดยส่งไปที่สถาบันอัญมณี ว่าเป็นไปตามโฆษณาว่าเป็นทอง 99.99% หรือไม่ และจะทราบผลภายใน 3 วันนี้ หากทราบผลแล้วไม่ตรงตามที่โฆษณา ก็จะมีความผิด ขอให้ผู้เสียหายทุกคนมั่นใจว่า เราตรวจสอบเข้มข้น หากพบผิดไม่ละเว้น โดย สคบ. ทำงานร่วมกับ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อดูแลเรื่องการเยียวยาหรือคืนทอง และบังคับใช้กฎหมายให้รัดกุม ยืนยันว่า สคบ.ทำงานเต็มที่ และพร้อมดูแลทุกคน และเปิดพื้นที่รับฟังผู้เสียหายและ ประเด็นอื่นที่เกิดในโลกออนไลน์   

น.ส.จิราพร กล่าวว่า นอกจากนั้นจะตรวจสอบการขายสินค้าชนิดอื่นของแม่ค้าคนดังกล่าวด้วย เพราะ สคบ. ต้องดูเรื่องฉลากและการโฆษณา ว่าถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และอาจจะไม่ใช่ดูแค่รายนี้ ต้องดูรายอื่นที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย ขอให้ประชาชนที่เดือดร้อนมาร้องต่อ สคบ.ได้ และทาง สคบ. ได้เชิญเจ้าของร้านมาให้ข้อมูลในวันที่ 27 กันยายนนี้ รอการตอบรับกลับมา และในสัปดาห์หน้าจะเชิญผู้เสียหายมาให้ข้อมูลอีกครั้ง และสั่งการไปแล้วว่าให้เรื่องนี้จบโดยเร็วที่สุด  

"ไม่ต้องกลัว เพราะเรามีทั้ง ปคบ. ตำรวจ ยินดีที่จะดูแลคุ้มครองประชาชน หากพบว่ามีความผิด จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และถึงที่สุด" น.ส.จิราพร กล่าว 

ด้านตัวแทนกลุ่มผู้เสียหาย กล่าวว่า อยากให้ สคบ. ช่วยเข้ามากำกับดูแลการขายของออนไลน์ ทั้งเรื่องของการกำหนดราคา และน้ำหนักของทอง เนื่องจากคนที่ไปซื้อต้องการเก็บไว้เพื่อขายในอนาคต แต่กลับนำไปขายไม่ได้ รวมถึงให้ดูแลเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อ เรื่องการออมทอง และการสร้างภาพลักษณ์ให้ประชาชนเชื่อถือ สร้างภาพลักษณ์ที่ดีทำให้ประชาชนหลงเชื่อ เพราะผู้ซื้อบางคนก็อาจจะไม่ทันกับเทคโนโลยี ในระหว่างที่มีการขายออนไลน์ และขอฝากถึงประชาชนให้ป้องกันสิทธิ์ของตัวเอง ออกมาร้องเรียนเพื่อขอความเป็นธรรมให้กับตัวเอง เพื่อให้คนที่ทำความผิดหรือเอาเปรียบผู้บริโภค ควรต้องคืนสิทธิ์ให้กับประชาชน

🔍ชวนส่อง คาดการณ์ 10 ประเทศ ที่จะมี GDP สูงที่สุดในปี 2050

เศรษฐกิจแข็งแกร่ง!! คาดการณ์ 10 ประเทศ ที่จะมี GDP สูงที่สุดในปี 2050 ‘ประเทศจีน’ นำโด่ง ติดอันดับ 1 ส่วน ‘อินเดีย’ ตามมาในอันดับ 2 และ ‘สหรัฐอเมริกา’ ติดอันดับ 3 ส่วนประเทศจะอยู่ในอันดับใดบ้างมาดูกัน!!


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top