Saturday, 24 May 2025
NewsFeed

‘อิน-เอม’ 2 พี่น้องหัวใจนักอนุรักษ์ ผู้ก่อตั้ง ‘Below the Tides’ ร่วมงานประกาศเจตนารมณ์รัฐสภาสีเขียว มุ่งสู่ Net Zero ภายในปี 2032

(25 ก.ย. 67) ถือเป็นความสำเร็จอีกขั้นของ นายอริณชย์ ทองแตง (น้องอิน) และ ด.ญ.อริสา ทองแตง (น้องเอม) สองพี่น้องผู้ก่อตั้ง ‘Below the Tides กลุ่มเด็กรุ่นใหม่ที่มุ่งเน้นสนใจในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในน้ำ’ ซึ่งเป็นกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ ที่มุ่งเน้นการปลูกฝังให้รัก ห่วงแหน และเห็นความสำคัญของธรรมชาติ โดยเริ่มต้นโครงการ ‘Below the Tides: Zero Starving Sea Turtles (อิ่มท้องน้องเต่า)’ เชิญชวนทุกคนร่วมกันอนุบาลลูกเต่าทะเล เพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้ถึง 70% 

จากนั้นก็เริ่มมีโครงการที่มุ่งมั่นตั้งใจทำมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการ Net Zero @อัมพวา: บอกลาคาร์บอน กู้วิกฤตโลกร้อน โครงการปลูกกล้า ป้องแผ่นดิน ปลูกต้นโกงกางเพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง ที่จังหวัดสมุทรสงคราม และ โครงการ ‘ปะ ปลา ยูน หญ้า @เกาะหมาก’ จ.ตราด เป็นต้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 ก.ย. ที่ผ่านมา น้องอิน น้องเอม และพวกพ้อง กลุ่ม Below the Tides ได้เข้าพบ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ หลังได้รับเกียรติร่วมพิธีประกาศเจตนารมณ์รัฐสภาสีเขียวมุ่งสู่การเป็น Net Zero ภายในปี ค.ศ. 2032 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสื่อสาร สร้างความตระหนักรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินงาน เพื่อบรรลุเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน (Corban Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ของรัฐสภา และสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ที่ห้องประชุมมนา B1 ชั้น B1 อาคารรัฐสภา เกียกกาย กรุงเทพฯ และ Live Stream ผ่านระบบอินทราเน็ตสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร

ก่อนเริ่มงาน นายวันนอร์ กล่าวว่า “เราจะประกาศเจตนารมณ์ที่จะลดคาร์บอน และแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศของโลกที่กำลังเดือด ที่ก่อให้เกิดปัญหาน้ำท่วม โดยประเทศไทยเห็นชัด ฉะนั้น ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องสำคัญ และการที่ทำให้โลกสีเขียวเป็นเรื่องสำคัญ โดยวันนี้เราจะประกาศเจตนารมณ์ของสภาฯ ที่จะให้เป็นสภาฯ สีเขียว”

ทางด้าน สองพี่น้องอิน-เอม กล่าวว่า Below the Tides ได้รับเกียรติให้เป็นเยาวชนกลุ่มเดียวที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในช่วงเวลาสำคัญ เมื่อรัฐสภาไทยประกาศเจตนารมณ์ที่จะบรรลุเป้าหมายการเป็น Net Zero ภายในปี 2032 พวกเราได้รับโอกาสอันทรงเกียรติในการนำเสนองานของเราต่อผู้แทนที่มีเกียรติหลายท่าน รวมถึงประธานรัฐสภา ท่านวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานคณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) คุณพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ และผู้แทนถิ่นของ UNDP ประจำประเทศไทย คุณเนียมห์ คอลเลียร์-สมิธ รวมถึงบุคคลอื่น ๆ อีกมากมาย 

“นอกจากนี้ เรายังรู้สึกตื่นเต้นและภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่มูลนิธิพอเพียง ซึ่งมีเครือข่ายนักเรียนกว่า 10 ล้านคน แสดงความสนใจที่จะร่วมมือกับเรา มาร่วมกันทำความดีและสร้างความเปลี่ยนแปลงกันเถอะ” สองพี่น้องหัวใจนักอนุรักษ์ กล่าว

คำถามชวนถก "ผู้บริโภคคิดอย่างไร? คิดค่าจอดรถหน้าเซเว่น-เก็บค่าถุงพลาสติก" ทัวร์ลงฉ่ำ!! เป็นสิทธิของเจ้าของที่และทุกค่าถุงจ่ายเข้ากองทุนโลกร้อน

(25 ก.ย. 67) จากกรณีเพจ 'สภาองค์กรของผู้บริโภค' ได้โพสต์ตั้งคำถามว่า "ผู้บริโภคคิดอย่างไร คิดค่าจอดรถหน้า 7-11 ก่อนหน้านี้ ไม่ให้ถุงพลาสติกเพื่อรณรงค์ลดการใช้พลาสติก ปัจจุบันมีถุงพลาสติกขายให้ผู้บริโภค" นั้น

ล่าสุดโลกโซเชียลที่ได้พบเห็นข้อความดังกล่าว ก็มีความเห็นเป็นมติเอกฉันท์ถึงเรื่องนี้ อาทิ...

- "บางทีก็สมควร เพราะเห็นบ่อยมากพวกจอดรถที่เซเว่นแล้วไปธุระที่อื่น"

- "15 นาทีแรกสำหรับคนมาจอดรถฟรี ก็ถ้าคนซื้อของจริง ๆ ใครมันจะเดินเล่นในเซเว่นเป็นชั่วโมงล่ะฮิ อยากด่าเขาก็หามุมที่เข้าท่ากว่านี้หน่อยเหอะ"

- "พื้นที่จอดรถก็เป็นของเอกชนเขา ถ้าไม่ซื้อของเขา ก็ควรถูกเก็บเงินบ้าง ไม่แปลกอะไร ส่วนเก็บเงินค่าถุงพลาสติก ก็โอเคกันนะ ต่างประเทศเขาก็ทำกัน"

- "ถุง 1 บาท เค้าจ่ายเข้ากองทุนโลกร้อนนะ"

- "คนไทยพอเจอกฎเกณฑ์ ก็จะเป็นจะตายเสียให้ได้"

- "ที่เขาทำแบบนี้ เพราะบางคนจอดทิ้งไว้ข้ามวันข้ามคืน ลูกค้าจะเข้าไปซื้อของแต่ไม่มีที่จอด ในห้างใหญ่ ๆ เขาก็ทำกัน"

- "ถ้าจะไม่พอใจการกระทำของ 7-11 คุณลองไปดูสถานที่ราชการที่เก็บค่าจอดรถบ้างครับ เช่นที่ จ.กาฬสินธุ์ ที่สำนักงานเทศบาลเมืองหลังเก่า นำเอาที่ลานจอดรถมาบริการให้ประชาชนไปจอด แต่เก็บค่าที่จอดรถคิดเป็นรายชั่วโมง ประเด็นมันคือ สถานที่ราชการที่นำเงินภาษีของประชาชนมาใช้ควรจะบริการประชาชนฟรี แล้วนี่กลับเก็บเงินค่าที่จอดรถกับประชาชนอย่างนี้ไม่น่าจะถูกต้องครับ ส่วนของ 7-11 นี้ ผมคิดว่ามันเป็นสิทธิ์ของเขานะครับ เพราะที่ดินนั้นมันเป็นกรรมสิทธิ์ของเขา เขาจะดำเนินการอย่างไรก็แล้วแต่เขา เขามีเหตุผลของเขาครับ"

- "คาบ้าน มติเอกฉันท์"

'สส.พรรคส้ม' โวย!! ถูกถอนร่างกฎหมายห้ามผู้ปกครองลงโทษบุตร อ้าง!! แปลว่าเห็นคุณค่าลูกหลานมีค่าน้อยกว่า 'วัว-ควาย' หรืออย่างไร?

(25 ก.ย. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาฯคนที่สอง ทำหน้าที่ประธานการประชุม มีการพิจารณาร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. ... ซึ่งมีนายสรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ เป็นประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ ในวาระสอง

สำหรับสาระสำคัญของการแก้ไข คือ ยกเลิก (2) ของมาตรา 1567 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ข้อความต่อไปนี้แทน 'ทำโทษบุตรเพื่อสั่งสอนหรือปรับพฤติกรรมโดยต้องไม่กระทำด้วยความรุนแรงต่อร่างกาย จิตใจ ไม่เป็นการเฆี่ยนตี หรือการกระทำโดยมิชอบ อันเป็นการลดทอนคุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุตร'

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาชิกร่วมกันอภิปรายในการแก้ไขกฎหมายไม่ตีเด็ก มีความคิดเห็นแบ่งออกเป็นสองฝ่าย โดยพรรคประชาชนเห็นด้วยกับร่างกฎหมายดังกล่าว ส่วนฝ่ายรัฐบาลไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะสส.พรรคเพื่อไทย และสส.ภูมิใจไทย เห็นว่าการบัญญัติโดยใช้ถ้อยคำกำกวมจะยากต่อการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ แต่ที่สำคัญเห็นว่าพ่อแม่ผู้ปกครองครูอาจารย์รักลูกและลูกศิษย์ของตนเอง ไม่มีใครต้องการทำโทษรุนแรง การห้ามไม่ให้ตีเด็กถือเป็นการลิดรอนสิทธิ์ในการดูแลบุตรหลาน

นายนิพนธ์ คนขยัน สส.บึงกาฬ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า การทำโทษลูกตนเชื่อมั่นว่าพ่อแม่ทุกคนรักลูก แต่ พ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่มีการตีลูกเลย ถ้าลูกดื้อหรือเกเรก็ตีไม่ได้เลยอย่างนี้ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร และคนต่างจังหวัดที่ต้องมาทำงานในกรุงเทพฯ ลูกอยู่กับปู่ย่าตายาย ไม่มีเงินที่จะเลี้ยงลูกแบบถูกสุขลักษณะ ถ้าพ.ร.บ.ฉบับนี้ออกไปใครจะกล้าตีลูก แม้แต่ครูก็ไม่กล้าตี เก็บไม้เรียวไปได้เลย ซึ่งตนก็เห็นใจแต่ทุกคนเกิดมาไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงอยากให้กรรมาธิการฯ นำกลับไปทบทวนใหม่ แล้วเสนอมาใหม่เพื่อให้พ่อแม่มีทางออก และต้องการให้แยกให้ออกระหว่างการตีด้วยความรักกับการทารุณกรรม

น.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี พรรคภูมิใจไทย อภิปรายว่า เหตุใดต้องเขียนกฎหมายให้คลุมเครือ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติหาบรรทัดฐาน ใช้ดุลยพินิจเอาเอง อีกทั้งเรามีพ.ร.บ.คุ้มครองเด็กอยู่แล้ว จึงอยากให้ คณะกมธ.ถอนร่าง แล้วนำกลับไปทำให้ชัดเจนขึ้น

ขณะที่น.ส.พิมพ์กาญจน์ กีรติวิราปกรณ์ สส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายว่า การมีหลักประกันจากกฎหมายนี้จะทำให้เด็กเติบโตได้อย่างอุ่นใจ ความรุนแรงมีความหมายในตัว และการส่งต่อความรุนแรงในรูปแบบความรักไม่เป็นประโยชน์ต่อใคร อย่างไรก็ตาม สำนวนที่ว่ารักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี นั่นแปลว่าเราเห็นลูกหลานแย่หรือมีค่าน้อยกว่าวัวกว่าควายหรือไม่ ในเมื่อวัวควายท่านบอกให้ผูก แต่ลูกหลานถึงขั้นตี เหตุใดไม่ปรับพฤติกรรมโดยการพูดคุยอย่างอ่อนโยน ให้เหตุผล ในเมื่อเชื่อว่าผู้ใหญ่มีวุฒิภาวะ เหตุใดไม่เรียนรู้ที่จะส่งต่อวิธีที่ถูกต้อง หรือวิธีที่ทำให้ลูกหลานรับรู้ว่าเป็นวิธีที่ผู้ใหญ่ห่วงใย

นางศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กทม. พรรคประชาชน กล่าวว่า สภาฯ เคยผ่านกฎหมายป้องกันทารุณกรรมสัตว์แล้ว ทำไมเราถึงตั้งคำถามกับการคุ้มครองมนุษย์ด้วยกัน โดยเฉพาะเด็กที่เป็นกลุ่มเปราะบาง ฝ่ายที่คัดค้านแล้วบอกว่าใช้คำคลุมเครือนั้น ในฐานะที่ตนเป็นทนายความอยากบอกว่าทำให้กฎหมายชัดเจนละเอียดเท่าใด ไม่เปิดให้ใช้ดุลยพินิจ อันตรายมากกว่า

“สมาชิกหลายคนบอกว่าการตีทำให้พวกท่านได้ดี ทำให้ได้เข้ามายืนในสภา ดิฉันก็อยากยืนยันว่าการที่ทุกคนได้เป็นสส. เป็นผู้เป็นคนได้ เพราะมาจากความรู้ความสามาร อดทน ตั้งใจ ไม่ได้มาจากไม้เรียว ถ้าจะดูถูกตัวเองว่าไม้เรียวทำให้ได้ดี ท่านกำลังดูถูกความรู้ความสามารถความตั้งใจของตัวเองหรือเปล่า” นางศศินันท์ กล่าว

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ทางกมธ.แก้ไขข้อความที่สภาฯ รับหลักการมา โดยตัดคำว่าทารุณกรรมออกไป เหลือเพียงคำว่า ไม่เป็นการเฆี่ยนตี สภาฯ แห่งนี้จึงยอมไม่ได้ เพราะต้องการปกป้องสิทธิผู้ปกครอง แนวโน้มร่างกฎหมายฉบับนี้จึงจะถูกคว่ำ จึงอยากให้หาวิธีการดู สำหรับตนขอเสนอให้กมธ.ถอนแล้วไปปรับปรุงตัวบทใหม่ เพื่อความสมดุลระหว่างสิทธิเด็กและสิทธิผู้ปกครอง คำกำกวมอย่างคำว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สมาชิกหลายคนถามว่าเอาอะไรมาวัด และสิ่งนี้จะทำให้ลงโทษผู้ปกครองได้ ฉะนั้นขอให้ไปปรับมาใหม่

ด้านนายสรรพสิทธิ์ ชี้แจงว่า จากที่ฟังการอภิปรายสรุปได้ว่าสมาชิกอยากได้ไม้เรียวกลับมาให้ครู อีกทั้งต้องการให้พ่อแม่เฆี่ยนตีลูกได้เพื่อว่ากล่าวสั่งสอน หากต้องการให้ทางคณะกมธ.ถอน ตนก็ยังไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไร กฎหมายฉบับนี้ไม่ใช่ห้ามพ่อแม่เฆี่ยนตีลูก เพราะมีกฎหมายอื่นที่ห้ามอยู่แล้ว

ภายหลังพักการประชุม ประธานกมธ.วิสามัญฯ แจ้งว่าทางคณะกมธ.ขอถอนร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวออก ซึ่งที่ประชุมไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่น จึงถือว่าอนุญาตให้ถอนร่างกฎหมายได้

อุตรดิตถ์-บรรยากาศประชาชนเดินทางมารับเงินโอนตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ อย่างคึกคัก 

(25 ก.ย.67) ที่บริเวณหน้าธนาคารกรุงไทย สาขา ม.ราชภัฏอุตรดิตถ์ นายศิริวัฒน์ บุปผาเจริญ ผู้ว่าฯจ.อุตรดิตถ์ พร้อมด้วยส่วนราชการสังกัดกระทรวงการคลัง จ.อุตรดิตถ์ และ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดอุตรดิตถ์ ติดตามการโอนเงิน10,000 บาท ตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 วันแรก นอกจากนี้ยังได้โฟนอิน กับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หลังเปิดงาน (Kick Off) โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ของ จ.อุตรดิตถ์ คือ นางชัยศรี (สงวนนามสกุล) อายุ 64 ปี ชาวบ้านหมู่ 5 ต.ท่าเสา อ.เมืองอุตรดิตถ์ ที่ได้รับเงิน 1 หมื่นบาทเป็นที่เรียบร้อย โดยกล่าวว่าจะนำเงินดังกล่าวเป็นทุนต่อยอดการขายข้าวหมกไก่ ที่เปิดร้านอยู่ริมคลองเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ ดีใจและขอบคุณรัฐบาลที่มอบโครงการดีๆให้กับชาวบ้าน 

นายศิริวัฒน์ บุปผาเจริญ ผู้ว่าฯจ.อุตรดิตถ์ กล่าวว่าสำหรับ จ.อุตรดิตถ์ มีประชาชนที่ได้รับเงินในวันแรกมีโอกาสได้พูดคุย(โฟนอิน)กับท่านนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้ประชาชนที่ได้รับสวัสดิการดังกล่าว จังหวัดอุตรดิตถ์มีประชาชนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 112,084 ราย และ ผู้พิการ 22,342 ราย จะมีการแบ่งทยอยโอน 4 วัน เข้าบัญชีพร้อมเพย์ และบัญชีธนาคารที่แจ้งไว้ ระหว่างวันที่ 25-30 กันยายน 2567 

ผู้สื่อข่าวรายงานสำหรับวันแรกนั้น เป็นในส่วนของประชาชนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีเลขประจำตัวบัตรประชาชนลงท้าย เลข 0 และผู้พิการ ซึ่งกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ได้โอนจ่ายเงินให้กับผู้มีสิทธิรับเงิน 10,000 บาท ตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567

สมุทรปราการ-ผู้บริหารเทศบาลตำบลแพรกษา เข้ารับรางวัล “ท้องถิ่นที่มีศักยภาพสูง” ( Local Award 2024) ประจำปี 2567

ขอแสดงความยินดีกับทางคณะผู้บริหารของทาง เทศบาลตำบลแพรกษา ต.แพรกษา อ.เมือง สมุทรปราการ ที่ได้รับคัดเลือกเข้ารับรางวัลอันทรงเกียรติ โดยได้รับรางวัล “ท้องถิ่นที่มีศักยภาพสูง ระดับดี” ประจำปี 2567

โดยในวันพุธที่ 25 กันยายน  2567 ท่าน ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 2 จังหวัดสมุทรปราการ (สมัยที่ 25) และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา และคณะกรรมการพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย นางอรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษ

พร้อมคณะผู้บริหารเดินทางไปยังอาคาร ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ ห้องวายุภักษ์ ชั้น 5 โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์  แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร

เพื่อเข้ารับรางวัลที่ได้จากการคัดเลือกของจังหวัดและ อปท. ให้ได้รับรางวัลท้องถิ่นที่มีศักยภาพสูงประจำปี 2567 ( Local Award 2024)

จากผลงานอันโดดเด่นและรูปแบบแผนการพัฒนาท้องถิ่นของทางเทศบาลตำบลแพรกษา ทำให้ทางเทศบาลตำบลแพรกษาได้รับคัดเลือกให้ได้รับรางวัลในครั้งนี้ นับได้ว่ารางวัล “ท้องถิ่นที่มีศักยภาพสูง ระดับดี” (Silver) ลำดับที่ 17 ของประเทศนั้น เป็นรางวัลอันทรงเกียรติ จึงขอแสดงความยินดีกับทางคณะผู้บริหารทุกท่านที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในครั้งนี้

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

🔍ชวนส่องประเทศไหนเป็น ‘ผู้นำ’ ในการวิจัย AI กันนะ??

‘Center for Security and Emerging Technology at Georgetown University’ เปิดเผยรายชื่อประเทศ ‘ผู้นำ’ ในการวิจัย AI โดยประเทศที่มีจำนวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่มีการเผยแพร่ระหว่างปี 2556-2566 ได้แก่ ประเทศจีน จำนวน 557,326 ผลงาน รองลงมาคือ สหรัฐอเมริกา จำนวน 354,042 ผลงาน ส่วนจะมีประเทศใดติดโผอีกบ้าง มาดูกัน!!
 

🔍ส่องประเทศที่มาเหล่า ‘แอปพลิเคชัน’ ชื่อดัง

เคยสงสัยหรือไม่ว่า ‘แอปพลิเคชัน’ ที่เราใช้กันในชีวิตประจำวันนั้น มีต้นกำเนิดมาจากประเทศใด หากเป็น Facebook / Youtube หรือ Instagram เราก็รู้อยู่แล้วว่ามาจากสหรัฐอเมริกา หรือ TikTok แอปฯ ดูวิดีโอสั้นชื่อดังนั้นก็มาจากประเทศจีน แต่เชื่อหรือไม่ว่า มีแอปฯ อีกมากมายที่บางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าจริง ๆ มีต้นกำเนิดมาจากประเทศไหน แต่ก็ยังโหลดและใช้กันอย่างคุ้นเคย

วันนี้ THE STATES TIMES จะพาทุกท่านไปส่องประเทศต้นกำเนิดของเหล่าแอปฯ ชื่อดัง จะมีแอปฯ ไหนบ้าง ไปดูกัน!!

เปิดเวที ชำแหละ แก้ไข พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2551

(25 ก.ย. 67) กมธ.ภาคสังคม ค้านตัวแทนธุรกิจแอลกอฮอล์เป็นกรรมการนโยบาย ถ้าให้โฆษณาได้ต้องอยู่ในเงื่อนไขที่กำหนด ดันเพิ่มรับผิดทางแพ่งขายให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี ย้ำมุ่งเศรษฐกิจและท่องเที่ยว ได้ไม่คุ้มเสีย  ทำลายนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ท้ายสุดระบบสาธารณสุขไม่อาจรับมือได้อีกต่อไป ด้านบอร์ด สสส.เผย ทีดีอาร์ไอชี้ชัดรายได้เพิ่มจากภาษี 150,000 ล้านไม่คุ้มกับต้นทุนทางสังคมที่เสียไป 170,000 ล้านบาท  

เมื่อช่วงบ่าย วันที่ 25 กันยายน 2567 ณ ห้องบุษบงกช บี ชั้น 2 โรงแรมยอรัล ริเวอร์ บางพลัด กรุงเทพฯ, มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) ร่วมกับ สมาคมการ์ตูนไทย เครือข่ายการ์ตูนไทยสร้างสรรค์สังคม และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดประชุมเสวนาหัวข้อ "ชำแหละแก้ไข พ.ร.บ.แอลกอฮอล์...ก้าวหน้าหรือล้าหลัง" โดยมีวิทยากรประกอบด้วย นายชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์( ครปอ.)  นายธีรภัทร์  คหะวงศ์  ผู้ประสานงานภาคีป้องกันและลดผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  โดยมี นายจิระ ห้องสำเริง ผู้ดำเนินรายการ The Leader Insight FM 96 เป็นผู้ดำเนินรายการ

นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ กรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ประธานเปิดการประชุมกล่าวถึง ความชุกของการดื่มแอลกอฮอล์ของคนไทยที่สำนักงานสถิติแห่งชาติสำรวจทุก 3 ปีว่า ข้อมูลล่าสุดในปี 2564 พบว่าประชากรวัย 15 ปีขึ้นไปจำนวน 15.96 ล้านคนหรือร้อยละ 28.0 เป็นนักดื่ม โดยเพศชายดื่มมากสุดจำนวน 12.77 ล้านคนคิดเป็นร้อยละ46.46 และพบว่าวัยทำงานตอนต้นอายุ 25-44 ปีคิดเป็นร้อยละ 36.53 เป็นนักดื่มประจำ ส่วนนักดื่มหน้าใหม่ที่เป็นเยาวชนอายุ 15-24 ปีมีจำนวน 1,381,449 คน คิดเป็นร้อยละ 5.95 เมื่อเปรียบเทียบกับวัยอื่นแล้วแม้จะน้อยกว่าแต่ถ้าเราไม่ป้องกันหรือทำให้ลดจำนวนลงนักดื่มหน้าใหม่เหล่านี้จะกลายเป็นนักดื่มประจำและดื่มหนักต่อไปในอนาคต

บอร์ดสสส.กล่าวต่อว่าการผลักดันของพรรคการเมืองในการเสนอแก้ไขร่างพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พ.ศ.2551ที่จะกลับเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรในวาระ 2 และ 3 ในเดือนตุลาคม 2567 นี้ จะเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงของคนทำงานรณรงค์ลดการบริโภคแอลกอฮอล์ทั้งป้องกันนักดื่มหน้าใหม่และลดนักดื่มหน้าเก่าที่เป็นนักดื่มหนัก ตัวเลขจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยหรือ TDRI ระบุว่าปี 2565 ธุรกิจแอลกอฮอล์สร้างรายได้จำนวน 600,000 ล้านบาท ทำให้รัฐมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีจากแอลกอฮอล์มากถึง 150,000 ล้านบาท แต่ในขณะเดียวกันเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็สร้างต้นทุนทางสังคมทั้งเรื่องสุขภาพ อุบัติเหตุ อาชญากรรมถึง 170,000 ล้านบาท กลายเป็นว่าจัดเก็บภาษีได้น้อยกว่างบประมาณที่นำแก้ปัญหาผลกระทบถึง 20,000 ล้านบาท  ดังนั้นการแก้กฎหมายเปิดช่องให้ขายและดื่มแอลกอฮอล์ได้ง่ายขึ้นจึงเป็นความเสี่ยงของคนทำงานรณรงค์แน่นอน จึงหวังว่านักวาดการ์ตูนที่มาร่วมงานวันนี้เมื่อรับรู้ข้อมูลแล้วจะช่วยกันสื่อสารสู่สังคมเพื่อป้องกันนักดื่มหน้าใหม่และลดนักดื่มหน้าเก่าไปพร้อมกัน

นายธีรภัทร์ คหะวงศ์ ผู้ประสานงานภาคีป้องกันและลดผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่…) พ.ศ. …. กล่าวว่า ร่างกฎหมายที่รับหลักการมี 5 ร่าง รวมทั้งร่างที่ตนกับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 92,978 คน เป็นผู้เสนอ สาระสำคัญคือจะแก้ไขให้เหลือคณะกรรมการระดับชาติเพียงชุดเดียว มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีความพยายามเพิ่มฝ่ายธุรกิจแอลกอฮอล์เข้ามาเป็นกรรมการด้วย ส่วนคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัดจะมีทั้งในกทม. และระดับจังหวัดโดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน มีการเพิ่มสัดส่วนผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สภาเด็กและเยาวชนในจังหวัด มีการกระจายอำนาจการตัดสินใจในบางเรื่องไปที่คณะกรรมการจังหวัด ส่วนเรื่องการควบคุมนั้น มาตรา 29 ห้ามขายให้บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี และคนเมาที่ครองสติไม่ได้ โดยเพิ่มการตรวจบัตร เพิ่มการรับผิดทางแพ่งหากขายให้คนที่อายุต่ำกว่า 20 ปีและผู้นั้นไปก่อเหตุให้บุคคลภายนอกได้รับความเสียหาย มาตรา 30 อาจพิจารณาให้ขายผ่านเครื่องขายอัตโนมัติที่สามารถยืนยันตัวผู้ซื้อได้ และมาตรา 31 การควบคุมสถานที่ดื่มส่วนใหญ่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญ

ส่วนประเด็นการควบคุมการโฆษณานั้นนายธีรภัทร์ กล่าวว่า ตามมาตรา 32 ห้ามผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เว้นแต่เป็นการกระทำโดยผู้ผลิตผู้นำเข้าหรือผู้ขาย เฉพาะที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการประกาศกำหนด โดยอย่างน้อยต้องคำนึงถึงข้อพิจารณาดังต่อไปนี้ หนึ่ง การให้ข้อมูลข่าวสารความรู้หรือประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับคุณภาพ ปริมาณ มาตรฐาน ส่วนประกอบหรือแหล่งกำเนิดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยไม่มีลักษณะการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผู้อื่นบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สอง เป้าหมายต้องไม่เป็นบุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า 20 ปี สาม ใช้ช่องทางการสื่อสารที่แพร่หลายหรือประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้โดยสะดวก สี่ ไม่เป็นการอวดอ้างสรรพคุณอันเป็นเท็จ เกินความจริง หรือทำให้เข้าใจผิดในสรรพคุณของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ ห้า กำหนดให้มีข้อความคำเตือน

ด้านนายชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์( ครปอ.)กล่าวว่าก่อนที่ประเทศไทยจะมี พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปี 2551 ประเด็นแอลกอฮอล์ไม่มีการควบคุมธุรกิจการโฆษณาได้เต็มที่  ไม่มีพื้นที่ห้ามขาย เกิดอุบัติเหตุจากเมาแล้วขับสูงมาก จุดเปลี่ยนคือ ในปี 2548 มีความพยายามนำเบียร์ช้างเข้าตลาดหลักทรัพย์เกิดกระแสต่อต้าน รัฐบาลพรรคไทยรักไทยจึงให้กระทรวงสาธารณสุขยกร่างพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขึ้นมาแต่ก็เกิดการรัฐประหาร จากนั้นเครือข่ายภาคประชาชนจึงร่วมกันผลักดันกฎหมายเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติจนมีผลบังคับใช้ แต่ด้วยผลประโยชน์หลายหมื่นล้านบาทของธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เป็นทุนผูกขาดรายใหญ่เพียง 2 รายมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับฝ่ายการเมืองและชนชั้นนำ 16 ปีของกฎหมายฉบับนี้จึงต้องต่อสู้กับผลประโยชน์ กลยุทธ์ทางการตลาดที่แยบยล การบังคับใช้กฎหมายที่ยังไม่เข้มข้น  ทำให้อัตราการดื่มเฉลี่ยของประชากรไทยลดลงเพียง 2 % ส่วนประชากรในกลุ่มวัยรุ่นคือกลุ่มเดียวที่ยังเป็นปัญหา อัตราการดื่มทรงตัว ปริมาณแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ต่อคนต่อปียังอยู่ที่ 7 ลิตร หากไม่มีกฎหมายควบคุมเชื่อว่าจะพุ่งสูงถึง 10 ลิตรต่อคนต่อปี
ผู้ประสานงานครปอ.กล่าวต่อว่าสิ่งที่น่ากังวลมากๆคือมุมมองทางนโยบายของภาครัฐ  ที่เชื่อว่าการให้ ค้าขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้เสรีมากขึ้นเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้กับภาครัฐมากขึ้น นำมาซึ่งนโยบายการขยายเวลาเปิดสถานบริการถึงตี 4 ใน 5 พื้นที่นำร่อง รวมไปถึงการแก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ที่มีเป้าหมายเพื่อลดทอนการควบคุมลง สวนทางกับงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศซึ่งชี้ชัดว่ารายได้ทุก 1 บาทที่เราได้มาจากแอลกอฮอล์ ประเทศจะสูญเสียไปถึง 2-2.5 บาท ในทุกมิติ ดังนั้นความสมดุลในมิติสุขภาพกับเศรษฐกิจจึงทดแทนกันไม่ได้เลยเรียกว่าได้ไม่คุ้มเสีย และที่สำคัญปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งด้านสุขภาพและสังคม จะทำลายนโยบายด้านสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกทีของรัฐบาลและในท้ายที่สุดระบบสาธารณสุขไม่อาจรับมือได้อีกต่อไป.

'YUZU GROUP' เปิดเกมรุกธุรกิจร้านอาหาร ผุดแบรนด์ใหม่ 'Duri Buri' ชูทุเรียนสู่ซอฟต์พาวเวอร์เมืองไทย

'YUZU GROUP' ผู้นำเชนร้านอาหารระดับพรีเมียมชื่อดังของประเทศไทย ภายใต้แนวคิด 'Taste The New Boundary…ทุกมื้อของคุณ คือโอกาสสร้างสรรค์ของเรา' ส่องภาพรวมธุรกิจร้านอาหารเติบโต 4-5 % แตะ 3 แสนล้านบาท หลังเศรษฐกิจและภาคท่องเที่ยวฟื้น กางแผนลุยขยายสาขา Yuzu Suki กับ Yuzu Ramen เพิ่มอีก 2 สาขา คาดสิ้นปีมีแบรนด์ร้านอาหารรวม 33 สาขาทั้งในและต่างประเทศ ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ ตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 18% แตะ 640 ล้านบาท ล่าสุดเปิดตัว แบรนด์น้องใหม่ 'Duri Buri' เชิดชูคุณค่าทุเรียนให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์เมืองไทย เจาะกลุ่มคนจีน ด้วยแนวคิด 'Everything Durain' ประเดิมเปิดสาขาแรก Siam Square One รับช่วง Golden Week วันหยุดยาวคนจีน

นายปรมินทร์ เปรื่องเมธางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท ส้มพาสุข จำกัด หรือ YUZU GROUP (ยูซุ กรุ๊ป) ผู้นำเชนร้านอาหารระดับพรีเมียมชื่อดังของประเทศไทย ภายใต้แนวคิด 'Taste The New Boundary…ทุกมื้อของคุณ คือโอกาสสร้างสรรค์ของเรา' เปิดเผยถึงภาพรวมอุตสาหกรรมร้านอาหารและเครื่องดื่ม ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกรุงศรีระบุว่ามีแนวโน้มเติบโต อยู่ที่ 4-5% ต่อปี คิดเป็นมูลค่า 2.75 - 3 แสนล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก 1) ภาวะเศรษฐกิจและทิศทางการท่องเที่ยวที่ทยอยฟื้นตัว 2) ผู้ประกอบการขยายสาขาเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาปกติ 3) ความนิยมในแบรนด์และช่องทางเข้าถึงผู้บริโภคได้ในหลากหลายพื้นที่

ขณะเดียวกันพฤติกรรมของผู้บริโภคหันมานิยมบริโภคอาหารนอกบ้านมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากการระบาดของ COVID-19 คลี่คลาย ซึ่งมีปัจจัยเร่งจากการขยายตัวของความเป็นเมืองและโซเชียลมีเดียผ่านอินเตอร์เน็ตที่มีบทบาทต่อผู้บริโภคมากขึ้น อาทิ การแนะนำร้านอาหารใหม่ๆ การแชร์ประสบการณ์การรับประทานอาหารในร้าน การโปรโมทร้านอาหารผ่านโฆษณาออนไลน์ การสร้างการติดตามจากลูกค้าโดยแบ่งปันเรื่องราวที่น่าสนใจของอาหาร และการให้สิทธิพิเศษต่างๆ ของร้านอาหาร ด้วยอิทธิพลทางการตลาดนี้ส่งผลทำให้ YUZU GROUP ได้รับอานิสงส์จากปัจจัยดังกล่าว 

ส่วนแผนธุรกิจของ YUZU GROUP ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2567 บริษัทยังคงเดินหน้าเร่งขยายสาขาเพิ่ม โดยวางแผนเปิดสาขาใหม่แบรนด์ Yuzu Suki กับ Yuzu Ramen เพิ่มอีก 2 สาขา เพื่อขยายฐานลูกค้าโซนราชพฤกษ์ พร้อมทั้งมองหาทำเลในย่านศูนย์กลางธุรกิจ CBD เพิ่ม คาดว่าใช้เงินลงทุนสาขาละ 20 ล้านบาท คาดสิ้นปี 2567 จะมีจำนวนสาขาของทุกแบรนด์ร้านอาหารในเครือ YUZU GROUP รวมทั้งสิ้น 33 สาขา ทั้งในและต่างประเทศ

นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาโมเดลธุรกิจเปิด Mass Brand อาหารญี่ปุ่น โดยหากได้ข้อสรุปจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งภายหลัง พร้อมทั้งเตรียมขยายทีมงาน ซึ่งปัจจุบันมีทีมงานราว 500 ท่าน และวางแผนสำหรับการลงทุนเกี่ยวกับการฝึกอบรมบุคลากรระดับปฏิบัติการให้มีการสื่อสารจากข้างหลังและข้างหน้าให้ดีที่สุด โดยในอนาคตตั้งเป้าให้บริษัทเปิดเป็นโรงเรียนให้ความรู้ด้านอาหารและบริการตามมาตรฐานของ YUZU GROUP

สำหรับผลประกอบการปี 2567 ของ YUZU GROUP บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวมเติบโตไม่ต่ำกว่า 18% อยู่ที่ 640 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่ทำไว้ 541 ล้านบาท โดยปัจจุบัน YUZU GROUP มีแบรนด์ในเครือทั้งหมด 12 แบรนด์ ได้แก่ 1) Yuzu Omakase 2) Yuzu Suki 3) Yuzu Sushi 4) Yuzu Ramen 5) Yuzu Honey 6) Thai Thai 7) Kogoro Katsu 8) Chicken Club Thailand 9) Korata โค-ร-ต 10) เนื้อนาบุญ Nuer Na Boon 11) Yuzu Yakiniku 

และล่าสุดเปิดตัวแบรนด์ใหม่ 12) 'Duri Buri' ภายใต้แนวคิด Everything Durian โดยนำเอา 'ทุเรียน' ซึ่งเป็นผลไม้เปลือกหนามเนื้อสีเหลืองทองอร่าม พร้อมด้วยรสชาติหวาน มัน นุ่มละมุนลิ้น และกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว บางคนว่ามีกลิ่นแรง บางคนว่าหอม จนได้รับฉายาราชาผลไม้ เอาใจคนรักทุเรียน ด้วยเมนูทุเรียนมากมาย อาทิ ไอศกรีมหลากรส Milkshake และทุเรียนสดๆ จากสวน รวมถึงของที่ระลึก อาทิ หมอน เสื้อ กางเกง กระบอกน้ำ เป็นต้น 

โดยบริษัทต้องการชูจุดเด่นให้ทุเรียนเป็นเอกลักษณ์แห่งซอฟต์พาวเวอร์ไทย เจาะตลาดคนจีน ซึ่งในปีนี้เริ่มตรงกับวันที่ 1 ต.ค. 2567 เป็นช่วง Golden Week วันหยุดยาวของจีน คาดว่าจะทำให้คนจีนทยอยเข้ามาท่องเที่ยว กิน ดื่มในประเทศไทยกันอย่างคึกคัก โดยร้าน Duri Buri ประเดิมเปิดสาขาแรก ณ Siam Square One ชั้น 1 

“ในมุมมองของผมทุเรียนต้องร่วมสมัย โดยมุ่งหวังคนต่างชาติเวลานึกถึงทุเรียน ให้นึกถึง Duri Buri อยากให้เป็นชื่อแรกที่คิดขึ้นมาเวลาอยากกินทุเรียน อยากลองทุเรียน หรือผลิตภัณฑ์จากทุเรียน เปิดใจลอง Duri Buri อยากให้ทุเรียน Durian Scene in Thailand มากกว่า สร้างภาพลักษณ์ใหม่ แต่ไม่ใช่รสชาติใหม่ รสชาติก็รสชาติเดิม แต่สร้างภาพจำใหม่ สร้างความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับทุเรียนให้กับคนทั้งโลกได้รู้ ว่าความจริงตัวทุเรียน ไม่ได้มีแค่เนื้อทุเรียน แต่สามารถนำไปทำทุกอย่างได้ อาทิ เบเกอรี ไอศกรีม ฯลฯ อร่อยหมด ดีหมดเลย” นายปรมินทร์กล่าว 

สำหรับแนวทางการตลาดในปีนี้ บริษัทจะเน้นการสื่อสารให้แบรนด์ YUZU GROUP เป็นที่เชื่อมั่นในกลุ่มผู้บริโภคทุกกลุ่ม ผ่านการทำการตลาดแบบ Influencer Marketing คือ การทำการตลาดโดยใช้ผู้ที่มีอิทธิพล เพื่อชักจูง หรือสร้างความต้องการให้กับผู้บริโภค โดยผ่านการเขียนรีวิวร้านอาหาร การทำคลิปวิดีโอบนแพลตฟอร์มออนไลน์ อาทิ Facebook, Twitter, Instagram, YouTube และ Tiktok ก็มีบทบาทในวงการธุรกิจร้านอาหารมานาน และแทบจะกลายเป็นสื่อกระแสหลักที่ทำให้ร้านอาหารต่างเลือกมาทำการตลาดบนแพลตฟอร์มออนไลน์มากกว่าการโฆษณาผ่านโทรทัศน์ หรือสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ ซึ่งจากสิ่งที่กล่าวมานี้ ทำให้ผู้ประกอบการต่างหันมาเลือกใช้ Influencer เพื่อเป็นช่องทางในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับร้านอาหาร เพิ่มยอดขาย และเป็นที่รู้จักได้มากขึ้น  

ปัจจุบัน ธุรกิจร้านอาหารมีการเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะร้านอาหารทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ ต่างแข่งขันด้วยการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่แตกต่างกันออกไป จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ประกอบการต้องเร่งปรับตัวให้พร้อมรับมือกับสิ่งที่ไม่อาจคาดคิด และความท้าทายต่างๆ ในสมรภูมิอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้น การสร้างความแตกต่างด้วยแพ็กเกจ หรือสิทธิพิเศษ จัดดีลพิเศษ ที่คุ้มค่า คุ้มราคา ก็สามารถครองใจลูกค้าได้ทั้งลูกค้าเก่าหรือลูกค้าใหม่ เช่น การมอบประสบการณ์พิเศษในการรับประทานอาหาร หรือเมนูพิเศษในช่วงเทศกาล ที่รู้สึกคุ้มค่าคุ้มราคากับงบประมาณที่จ่ายไป ก็ช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจในการใช้บริการได้เช่นเดียวกัน ซึ่งแบรนด์ร้านอาหารในเครือ YUZU GROUP มีราคาอาหารและเครื่องดื่มอยู่ระหว่าง 139 - 50,000 บาท

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม www.yuzugroup2018.com และ https://linktr.ee/yuzugroup2018 หรือ โทร. 083-851-3028

สว.สรชาติ วิชย สุวรรณพรหม รองประธานคณะกรรมาธิการพลังงาน คนที่ 1 แต่งตั้งที่ปรึกษาคณะฯ ทำหน้าที่ด้านการประชาสัมพันธ์

เมื่อวานนี้ (25 ก.ย.67) ที่ผ่านมาที่อาคารรัฐสภาฯ นายสรชาติ วิชย สุวรรณพรหม สมาชิกวุฒิสภา ,รองประธานคณะกรรมาธิการพลังงาน คนที่ 1 และประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณวุฒิสภาฯ ได้แต่งตั้งที่ปรึกษาทำหน้าที่ด้านการประชาสัมพันธ์ แก่นายโกสินธุ์ จินาอ่อน ( บก.เบียร์ ) ผู้ผลิตรายการ โฟกัสผู้นำรายการเปิดฟ้าช่อง5 บรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์ สยามโฟกัสไทม์ ผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ ๔ เหล่าทัพ 

โดยในวันนี้โกสินธ์ จินาอ่อน(บก.เบียร์)เข้าเยี่ยมคารวะแสดงความยินดีกับท่าน สว.สรชาติ วิชย สุวรรณพรหม ที่ได้รับตำแหน่งรองประธานคณะกรรมาธิการพลังงาน คนที่ 1 และประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณวุฒิสภา พร้อมคณะที่ปรึกษาฯ สว. ร่วมเป็นสักขีพยานฯ ในการนี้ สว.สรชาติ (กล่าวว่า) รู้สึกดีใจที่ได้ทีมงานที่มีพร้อมที่จะทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชน และขอให้ทำงานสุดความสามารถโดยขอมอบหมายให้ทำหน้าที่ ที่ปรึกษาด้านการประชาสัมพันธ์ ในด้านนโยบายและกิจกรรม ในทุกๆ ด้าน กับส่วนที่เกี่ยวข้อง ของวุฒิสภาและทางกรรมาธิการฯ ยังความปลื้มปิติแก่นายโกสินธุ์เป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รับมอบหมายให้ปฎิบัติหน้าที่และภารกิจนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top