Saturday, 24 May 2025
NewsFeed

'ใบตองแห้ง' ยก!! ทหารเป็นกำลังสำคัญในการกอบกู้ภัยพิบัติ ยัน!! ไม่ปฏิเสธการมีทหาร แต่แค่มีนายพลมากมายไว้ทำไม

(25 ก.ย. 67) อธึกกิต แสวงสุข หรือ ใบตองแห้ง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Atukkit Sawangsuk' ในหัวข้อ 'ทหารมีไว้ทำไม' ระบุว่า...

คุยกับ บก.ลายจุด ทำงานร่วมกับทหารดีมาก

“เขาก็รู้ว่าผมเป็นใคร” แต่ทำงานร่วมกันอย่างมืออาชีพ ทหารยังให้รถมาใช้

ไม่ใช่แค่ บก.หรอก อาสาสมัครมูลนิธิกระจกเงามีหลากหลาย

แดง ส้ม คนรุ่นใหม่ ก็ไปทำงานร่วมกัน เสธ.ทั้งหลาย (ในขณะที่พวก IO นั่งหน้าคีย์บอร์ด)

ไม่ได้มีปัญหาในการทำงานร่วมกัน เพื่อช่วยผู้ประสบภัยพิบัติ

ทหารนั้นเป็นกำลังสำคัญในการกอบกู้ภัยพิบัติ

เป็นอย่างนี้ทุกประเทศ เพราะมีกำลังพลพร้อมลุย

อันที่จริง ควรมีการฝึกซ้อมด้านนี้ด้วยซ้ำ

แต่อันดับแรก คือต้องเพิ่มประสิทธิภาพ ปภ. เป็นเจ้าภาพ แล้วให้ทหารเป็นกำลังหลัก อาสาสมัครเป็นกำลังเสริม 

เวลาพูดเรื่องทหารมีไว้ทำไม

เราไม่ได้ปฏิเสธว่าทหารมีไว้รบ มีไว้กู้ภัย

แต่มันมีนายพลมากมายไว้ทำไม 

มีสนามกอล์ฟมากมายไว้ทำไม

มีทหารกระดาษ ทหารเดินเอกสาร ไว้มากมายทำไม

'วิปรัฐบาล' เตรียมคุยพรรคร่วมฯ จ่อถอนร่างแก้ รธน.รายมาตรา ยัน!! หากเพื่อนไม่เอาด้วย พร้อมถอย ตามวิถีประชาธิปไตย

(25 ก.ย. 67) นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการเจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์ ว่าวันนี้ (25 ก.ย.) จะหารือกับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ต่อการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ รายมาตรา ที่ขณะนี้พบว่าพรรคร่วมรัฐบาลไม่สนับสนุนการแก้ไขรายมาตราในประเด็นตัดส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานจริยธรรม 

ทั้งนี้ยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยได้ยื่นร่างแก้ไขดังกล่าวต่อรัฐสภาแล้ว แต่คงหมวดจริยธรรมไว้ ให้มีอยู่เหมือนเดิม ขณะที่ประเด็นความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ยังคงมีเช่นเดิม แต่กำหนดกรอบปฏิบัติให้ชัดเจน ไม่ใช่แก้ไขเพื่อเป็นข้อหลีกเลี่ยง อย่างไรก็ดีร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทยยังอยู่ระหว่างตรวจสอบของรัฐสภา และยังไม่ถูกบรรจุวาระ

“หากเพื่อนไม่เอาด้วย เราต้องไปด้วยกัน ถอยได้ก็ถอย ไม่ใช่เรื่องลำบากใจอะไร เป็นวิถีทางตามระบอบประชาธิปไตย เพราะพรรคเพื่อไทยแค่เสนอยังไม่บรรจุ จะถอนออกมาก็ได้ หรือบรรจุแล้วคาไว้ก็ได้ ทั้งนี้ผมยอมรับผิด เพราะเป็นความต้องการที่จะเสนอร่างรัฐธรรมนูญประกบกับฝ่ายค้านที่เตรียมเสนอเช่นกัน” นายวิสุทธิ์ กล่าว

เมื่อถามถึงข้อเสนอแก้จริยธรรมมีข้อเสนอจากหัวหน้าพรรคใหญ่ นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ข้อเท็จจริง พรรคประชาชนมาคุยกับตนก่อน ว่ามีแนวคิดแก้ประมวลจริยธรรมออกทั้งหมด ทำให้ตนไปปรึกษากับสส.ในพรรค ว่าเขาขอมาแบบนี้จะเอาด้วยหรือไม่ โดยสส.ในพรรคมองว่ากระแสสังคมอาจไม่ยอมรับหากตัดทั้งหมด เราจึงเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญประกบ และกำหนดว่าไม่ได้ตัดประมวลจริยธรรม และก่อนเสนอได้ถามผู้ใหญ่ในพรรค ว่าทำได้หรือไม่ ซึ่งนายภูมิธรรมม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ฐานะผู้ใหญ่ในพรรค บอกว่ามีหลายพรรคบอกมาว่าควรแก้แบบนั้นแบบนี้ ซึ่งตนถือวิสาสะไปเอง โดยไม่ได้ฟังรายละเอียดทั้งหมด ซึ่งตนอาจฟังแล้วแปลความหมายผิด ไม่ได้ถามว่าหัวหน้าพรรคคนไหนที่พูดในวันที่เข้าเฝ้าฯ เมื่อได้รับสัญญาณจึงรีบทำ 

นายวิสุทธิ์ กล่าวย้ำว่า ตามขั้นตอนของการเสนอร่างกฎหมาย หากฝ่ายค้านเสนอแล้ว แต่ไม่มีฉบับประกบ จะทำให้มีร่างกฎหมายเฉพาะฝ่ายค้าน บางเรื่องเขาทำมาเป็นเชิงบวกกับเขาจะมัดเราเต็มที่ ดังนั้นการยื่นจึงเป็นการเสนอร่างกฎหมายประกบ โดยยืนยันว่าไม่ตัดประมวลจริยธรรม

เมื่อถามว่าการถอยครั้งนี้ทางการเมืองเสียหายหรือไม่ นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า “อย่าคิดว่าเสียหาย หากไม่ถูกต้อง ไม่ถูกใจ ไม่ถูกเวลา ถอยกันได้ ผมยอมรับผิดเพียงผู้เดียวว่าตัดสินใจไวไป ฟังผู้ใหญ่แต่ไม่ได้ฟังรายละเอียดข้อเท็จจริง ทั้งนี้ยืนยันว่าไม่ตัดหมวดจริยธรรมเลย หากจะด่ามาด่าที่ผม ผมรับได้”

'จิรายุ' แนะ!! ส่วนราชการ เร่งทำความเข้าใจกฎหมายสมรสเท่าเทียม เหตุเกี่ยวพัน 'แพ่ง-อาญา' มีผลต่อชีวิตคู่ทั้ง 'สินสมรส-บุตรบุญธรรม'

(25 ก.ย. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 ส่งผลให้ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 120 วัน ในวันที่ 22 มกราคม 2568 นั้น

นายจิรายุกล่าวว่า ตามกรอบกฎหมาย 120 วันที่จะบังคับใช้ในวันที่ 22 มกราคม 2568 โดยระหว่างนี้ ให้ส่วนราชการทำความเข้าใจ ประชาสัมพันธ์ โดยเฉพาะรายละเอียดกฎหมายที่ผูกพัน ทั้งอาญา และแพ่ง เพื่อให้ประชาชนจะได้เข้าใจถึงสิทธิ์ต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงสิทธิจัดการทรัพย์สินของคู่สมรส สิทธิรับบุตรบุญธรรม สิทธิการลงนามยินยอมให้รักษาพยาบาลอีกฝ่าย เป็นต้น

“พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมเป็นอีกก้าวของความสำเร็จของรัฐบาลไทย เป็นเครื่องตอกย้ำความพยายามของรัฐบาลที่ดำเนินการด้านความเสมอภาค และความเท่าเทียมกันตลอดมา และเชื่อว่ารัฐบาลจะผลักดันความเท่าเทียมอย่างต่อเนื่องเพื่อประชาชนไทย” นายจิรายุกล่าว

คึกคัก!! ‘รมช.นภินทร’ ขนทัพ ‘ผู้ประกอบการ SME ไทย 143 ราย’ ร่วมงาน CAEXPO @หนานหนิง นักช็อปจีนล้น ‘ไทยแลนด์ ฮอลล์’ คาดสร้างเม็ดเงินสะพัดกว่า 170 ล้านบาท

‘รมช.พณ.นภินทร’ ร่วมพิธีเปิดงานแสดงสินค้าจีน-อาเซียน ครั้งที่ 21 (China-ASEAN EXPO: CAEXPO 2024) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-28 ก.ย.67 ณ นครหนานหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมกับบรรดาผู้นำประเทศอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ พร้อมเปิด ‘Pavilion of City of Charm’ จังหวัดมนต์เสน่ห์ของไทย นำเสนอจังหวัดฉะเชิงเทรา ชวนจีนท่องเที่ยวไทย พร้อมนำผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SME 143 ราย บินลัดฟ้าสู่แดนมังกร ขายสินค้าในงานใหญ่ระดับอาเซียน วันแรกคนจีนและต่างชาติร่วมชม-ช็อปสินค้าไทยใน Thailand Hall อย่างล้นหลาม รวมถึงเจรจาจับคู่ธุรกิจ คาดเม็ดเงินสะพัดกว่า 170 ล้านบาท และจะเป็นโอกาสขยายตลาดสินค้าไทยมายังจีนและอาเซียน 

เมื่อวานนี้ (24 ก.ย. 67) ณ นครหนานหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เข้าร่วมพิธีเปิดงานแสดงสินค้าจีน-อาเซียน ครั้งที่ 21 (China-ASEAN EXPO: CAEXPO 2024) และเป็นประธานเปิด Pavilion of City of Charm จังหวัดมนต์เสน่ห์ของไทย ภายใน CAEXPO ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมระหว่างประเทศหนานหนิง พร้อมกับเยี่ยมชมบูธผู้ประกอบการไทยจำนวน 143 ราย ที่มาจัดแสดงสินค้าในงานดังกล่าว พร้อมกับเปิดเผยว่า…

“สำหรับวันนี้กระทรวงพาณิชย์ได้เชิญผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SME ที่มีสินค้าไทยที่เป็นเอกลักษณ์มาจัดแสดงในงาน CAEXPO ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าระดับภูมิภาคอาเซียน ที่ถือเป็นงานใหญ่ที่ผู้ประกอบการรอคอยที่จะมาร่วมงานนี้ โดยงานนี้จัดขึ้นต่อเนื่องมาถึงปีที่ 21 แล้ว และกระทรวงพาณิชย์ได้เชิญผู้ประกอบการเข้าร่วมทุกปี และผลที่ผ่านมาได้รับการตอบรับอย่างดียิ่ง สำหรับในปีนี้ มีการจัดงานแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 

1) Pavilion of Commodity Trade ที่ได้นำผู้ประกอบการไทย 143 คูหา เข้าร่วม ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม แฟชั่นและเครื่องประดับ สุขภาพและความงาม ของใช้และของตกแต่งบ้าน และคูหาร้าน TOP THAI บนแพลตฟอร์ม JD.com 

นอกจากนี้ กรมการค้าต่างประเทศ จัดแสดงสินค้าข้าวของไทย และยังมีสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ คัดเลือกสินค้าที่มีดีไซน์เข้าร่วมงานด้วย 

2) Pavilion of Cities of Charm กระทรวงได้เลือกจังหวัดฉะเชิงเทราเป็นจังหวัดมนต์เสน่ห์ของไทยด้านเมืองท่องเที่ยว เมืองน่าอยู่ เมืองลงทุนที่เชื่อมต่อกับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก รวมถึงนำเสนอสินค้าบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองบางคล้าและมะพร้าวน้ำหอมบางคล้า พร้อมด้วยบริการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอีกด้วย”

นอกจากนี้ สินค้าไทยที่เราคัดเลือกนำมาแสดงในงาน ล้วนเป็นที่นิยมของคนต่างชาติ โดยเฉพาะคนจีน อย่างเช่น ชุดเครื่องแกง ไอศกรีมผลไม้แช่เย็น ทองม้วนรสมะพร้าวและทุเรียน ลูกประคบสมุนไพรและสมุนไพรสปา น้ำมันเหลืองสมุนไพรและยาหม่อง เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทองและเงิน โคมไฟและกระเป๋าผลิตจากใบไม้ หมอนยางพารา และภาพแกะสลัก เป็นต้น 

“สำหรับงานในวันแรกวันนี้ถือว่าคึกคักเป็นอย่างมาก ในพื้นที่จัดแสดงของประเทศไทยมีคนจีนเข้ามาเลือกซื้อสินค้า และจับมือเจรจาธุรกิจ ในการนำเข้าสินค้าไทยมายังประเทศจีน ซึ่งถือว่านี่คือความสำเร็จของผู้ประกอบการไทยที่พัฒนาสินค้าของตนให้ตอบโจทย์และเป็นที่นิยมของลูกค้าในตลาดใหญ่อย่างจีน ผมขอชื่นชมและเป็นกำลังใจให้ผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SME และเชื่อว่าสินค้าไทยยังเป็นที่ต้องการตลาดใหญ่ในประเทศอาเซียนอีกด้วย” นายนภินทรฯ กล่าว

สำหรับ The 21st CAEXPO จัดระหว่างวันที่ 24-28 กันยายน 2567 งานแสดงสินค้า CAEXPO เป็นมหกรรมงานแสดงสินค้านานาชาติที่กระทรวงพาณิชย์จีน กลุ่มประเทศอาเซียน 10 ประเทศ และ ASEAN Secretariat เป็นงานแสดงสินค้าที่รัฐบาลจีนและกลุ่มประเทศอาเซียนให้ความสำคัญและจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี เป็นกิจกรรมที่เสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างภูมิภาคอาเซียนและจีนทั้งด้านการค้าการลงทุน การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และการท่องเที่ยว ภายใต้วัตถุประสงค์ของเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน (CAFTA)

'รมว.เอกนัฏ' ย้ำ!! ต้องเพิ่มรายได้ให้ระบบอุตฯ อ้อยและน้ำตาลไทย แง้ม!! เตรียมส่งเสริมมูลค่า 'ใบ-ยอดอ้อย' ช่วยเติมรายได้อีกทาง

(25 ก.ย. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยหลังผู้แทน 4 องค์กรชาวไร่อ้อยประกอบด้วย สถาบันชาวไร่อ้อยภาคอีสาน, สหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย, สหสมาคมชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย และสมาพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย เข้าพบเพื่อขอรับทราบถึงความคืบหน้าการสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM 2.5 ปีการผลิต 2566/2567 ซึ่งตนมีข้อกังวลในการบริหารจัดการอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย และขอวางแนวทางไว้ 2 ประเด็น ดังนี้...

ประเด็นแรก ประสิทธิภาพการผลิตน้ำตาลทราย เกษตรกรชาวไร่อ้อยต้องผลิตและนำส่งอ้อยสดคุณภาพดีให้กับโรงงานน้ำตาล และโรงงานน้ำตาลจะต้องปรับปรุงประสิทธิภาพได้ปริมาณตามมาตรฐาน เพื่อให้เกิดรายได้ที่มากที่สุดกับระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ซึ่งหากประสิทธิภาพการผลิตลดลง จะทำให้ผลผลิตน้ำตาลทรายลดลง ส่งผลให้รายได้และราคาอ้อยลดต่ำลงไปด้วย ซึ่งหากมีการเรียกร้องให้รัฐบาลต้องอุดหนุนราคาอ้อย ก็จะผิดกติกาการค้าโลก 

ประเด็นที่สอง การสนับสนุนเงินช่วยเหลือเพื่อลดต้นทุนการตัดอ้อยสดคุณภาพดี เพื่อให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยได้มีระยะเวลาในการปรับตัว และปรับพื้นที่ปลูกอ้อยให้เหมาะสมกับการใช้เครื่องจักรกลการเกษตร ประกอบกับปัญหาภัยแล้ง อาจจะส่งผลให้ราคาอ้อยในปีนี้ลดลงจากปีก่อน และผมได้ให้ สอน. หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาแนวทางความเป็นไปได้ในการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงงานที่ผลิตไฟฟ้าจากใบและยอดอ้อย เป็นแนวทางในการส่งเสริมให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยเห็นคุณค่าและประโยชน์ของใบและยอดอ้อย ซึ่งจะทำให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยลดการเผาอ้อย และถือเป็นการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ลดผลกระทบจากประชาชนและชุมชนใกล้เคียง

"ผมเข้าใจความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวไร่อ้อย การใช้รถตัดอ้อยหรือการจ้างแรงงานคนตัดอ้อยสด ล้วนมีต้นทุนการผลิต เราต้องหันกลับมาช่วยลดต้นทุนการผลิตสำหรับเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่ตัดอ้อยสดคุณภาพดี และได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) หารือกับโรงงานน้ำตาลเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของโรงงาน ก่อนการเปิดหีบฤดูการผลิตปี 2567/2568 เพื่อให้เกิดรายได้ในระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายเพิ่มมากขึ้น และให้ สอน. หาวิธีการชดเชยต้นทุนให้กับชาวไร่อ้อยที่ตัดอ้อยสดส่งโรงงาน และอีกส่วนหนึ่งนำรายได้ที่เกิดจากการจำหน่ายใบอ้อยมาชดเชย" รมว.อุตสาหกรรม กล่าวปิดท้าย

‘อดิศร’ แจงปม ‘เพื่อไทย’ ถอยแก้ไข รธน. ปมมาตรฐานจริยธรรม ชี้!! ต้องรับฟังทุกฝ่าย และประโยชน์ไม่ได้ตกอยู่ที่ ‘ประชาชน’

(25 ก.ย. 67) ที่รัฐสภา นายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตราเกี่ยวข้องกับมาตรฐานจริยธรรมนักการเมือง ว่า เมื่อวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา ที่ประชุม สส.ของพรรคเพื่อไทยมีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องจริยธรรม เพราะทำเพื่อพวกพ้องของตนเอง การแก้ไขจริยธรรมเป็นเรื่องที่เปราะบางอ่อนไหว ตนคิดว่าพรรคเพื่อไทยต้องรับฟังความเห็นของประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาล จึงคิดว่าหลังจากนี้พรรคเพื่อไทยจะถอยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มองว่าไม่ได้เป็นมาตรการเร่งด่วน แต่การแก้ไขมรดกบาปจากการรัฐประหารจึงคิดว่าจะต้องแก้ไขทั้งฉบับโดยตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ขึ้นมายกร่างทั้งฉบับ ตอนนี้พรรคเพื่อไทยถอยก่อนเพื่อดำเนินการตามนโยบายเศรษฐกิจที่เร่งด่วน เช่น การแก้ไขเรื่องน้ำท่วม เรื่องปากท้อง และเรื่องยาเสพติดในชุมชน 

“อยากให้เข้าใจว่ารัฐบาลโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยฟังพรรคแกนนำ โดยเรื่องนี้ก็ริเริ่มโดยพรรคแกนนำเอง แต่เมื่อได้รับฟังความเห็นสาธารณะคิดว่าการแก้ไขเรื่องจริยธรรมเป็นเรื่องที่ผลประโยชน์ไม่ได้ตกอยู่ที่ประชาชน พรรคเพื่อไทยจึงรับฟังความเห็นดังกล่าว” นายอดิศร กล่าว

เมื่อถามว่า เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับจริยธรรมจะถอยเลยหรือชะลอไว้ก่อน นายอดิศร กล่าวว่า "ตอนแรกเราคิดว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะคิดเหมือนกัน แต่เมื่อได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ว่าจะจากพรรคภูมิใจไทยหรือพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ต้องให้เกียรติกัน"

เมื่อถามว่า ไม่เสียหน้าใช่หรือไม่? นายอดิศร กล่าวว่า "เรื่องรัฐธรรมนูญไม่มีการเสียหน้า"

เมื่อถามว่า สรุปแล้วพรรคเพื่อไทยไม่ใช่เสนอเป็นพรรคแรกใช่หรือไม่? นายอดิศร กล่าวว่า "เราต้องฟังความคิดเห็นทุกพรรค ไม่อยากบอกว่าใครเป็นผู้ริเริ่มเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน มีบางคนบอกว่าเรื่องการตรวจสอบจะไปกลัวทำไม ซึ่งตนเห็นด้วยในส่วนที่หากจะเข้ามารับตำแหน่งทางการเมืองแล้ว ต้องมีการตรวจสอบ เพราะการเมืองต้องการคนที่ไม่มีภาระ และสิ่งที่ขัดต่อคุณสมบัติ ฉะนั้น จึงควรชะลอเรื่องนี้ไว้ก่อนและรอแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เพราะหลังจากนี้จะต้องมีการทำประชามติ หากแก้ไขเป็นบางมาตราจะเสียเงินงบประมาณมากขึ้นโดยที่ไม่จำเป็น"

เมื่อถามย้ำว่า การแก้ไขรายมาตราเราจะไม่ทำแล้ว รอทำทั้งฉบับเลยใช่หรือไม นายอดิศร กล่าวว่า "ต้องฟังเสียงประชาชน เพราะเรื่องจริยธรรมต้องมีความเห็น 2 ฝ่าย อีกฝ่ายหนึ่งว่าเป็นการลงมติเพียงเสียงข้างมาก 1 คนก็ทำให้เปลี่ยนแปลงได้ แต่จะมีการเปลี่ยนเป็น 2 ใน 3 แต่ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจไปขัดกับความรู้สึกของคนบางกลุ่ม ก็ต้องรับฟัง แม้จะไม่แก้เรื่องจริยธรรมก็สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้" 

เมื่อถามว่า เรื่องจริยธรรมที่บอกว่ามีพรรคร่วมรัฐบาลอื่นเป็นคนริเริ่ม พอจะเปิดเผยได้หรือไม่? นายอดิศร กล่าวว่า "ต้องไปถามนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่ก็ไม่เป็นอะไรเรื่องรัฐธรรมนูญก็รอไว้ก่อน ส่วนเรื่องน้ำท่วม ปากท้องประชาชนน่าจะสำคัญกว่า"

แรงฉุดไม่อยู่!! เงินบาทแตะ 32.60 ต่อดอลลาร์ แข็งค่าแล้ว 12.4% ในช่วง 5 เดือน ส่อแววแตะ 32

(25 ก.ย. 67) ค่าเงินบาทวันนี้ เปิดตลาด 'แข็งค่า' ที่ 32.60 บาทต่อดอลลาร์ 'กรุงไทย' ชี้ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐยังแย่กว่าคาด ตลาดหวังเฟดอาจต้องเร่งลดดอกเบี้ยมากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot กดดันดอลลาร์อ่อนค่า และโฟลว์ขายทำกำไรทองคำ มองกรอบเงินบาทวันนี้ 32.50-32.80 บาทต่อดอลลาร์

สถานการณ์เงินบาทยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด หลังแข็งค่าขึ้นรุนแรงต่อเนื่อง โดยล่าสุดเช้าวันนี้ (25 ก.ย. 67) เงินบาทเปิดตลาดที่ระดับ 32.60 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นมากจากระดับปิดเมื่อวันก่อนหน้าที่ 32.85 บาทต่อดอลลาร์ และหากนับจากจุดที่เงินบาททำสถิติอ่อนค่าสุดในปีนี้ที่ระดับ 37.25 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเกิดขึ้นช่วงปลายเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา เท่ากับว่าระดับของค่าเงินบาทในปัจจุบันแข็งค่าขึ้นมาแล้ว 12.4% 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า เงินบาท 'แข็งค่าขึ้นมาก' จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 32.85 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.50-32.80 บาทต่อดอลลาร์ 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (กรอบการเคลื่อนไหว 32.58-32.86 บาทต่อดอลลาร์) ตามการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ หลังดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดย Conference Board เดือนกันยายน ออกมาแย่กว่าคาดและสะท้อนความกังวลภาวะตลาดแรงงานของผู้บริโภคมากขึ้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงคาดหวังว่า เฟดอาจต้องเร่งลดดอกเบี้ยมากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด

นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากการกลับมาแข็งค่าขึ้นของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะ เงินยูโร (EUR) และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ได้แรงหนุนจากความหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน หลังทางการจีนได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่

อีกทั้ง เงินบาทยังคงได้แรงหนุนจากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำยังคงสามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (All-Time High) ท่ามกลางความหวังการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด รวมถึงความต้องการถือทองคำในช่วงสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางยังคงร้อนแรงอยู่

"สำหรับ แนวโน้มค่าเงินบาท เราประเมินว่า โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทนั้นมีกำลังมากกว่าที่เราประเมินไว้ ซึ่งต้องยอมรับว่า เกิดจาก 'Surprise' มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของทางการจีนในวันก่อนหน้า (เราเองก็ไม่ได้คาดคิดว่าทางการจีนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นนักลงทุนขนานใหญ่ในเร็ววันนี้) ที่พลิกมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจจีน จนทำให้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นร้อนแรง ขณะเดียวกันเงินหยวนจีน (CNY) ก็แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง และหนุนการแข็งค่าขึ้นของบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชีย...

"ซึ่งเรามองว่า ภาพดังกล่าวอาจยังคงช่วยหนุนบรรยากาศในตลาดการเงินฝั่งเอเชียในช่วงนี้ ทำให้เงินบาทอาจพอได้รับอานิสงส์จากความหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนอยู่บ้าง กอปรกับในมุมของเงินดอลลาร์เองก็อาจยังไม่สามารถกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ชัดเจน จนกว่าตลาดจะปรับมุมมองใหม่ต่อแนวโน้มการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งต้องอาศัยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด หรือ อย่างน้อยก็ดีกว่าบรรดาเศรษฐกิจอื่น ๆ เหมือนต้นสัปดาห์ที่ดัชนี PMI ของสหรัฐฯ นั้นดูดีกว่าทั้งฝั่งยูโรโซน อังกฤษ และญี่ปุ่น และที่สำคัญ เราคงมุมมองเดิมว่า ตราบใดที่ราคาทองคำยังคงสามารถปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ได้นั้น เงินบาทก็อาจทยอยแข็งค่าขึ้นต่อได้ ทำให้มีโอกาสที่จะเห็นเงินบาทแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับสำคัญ 32.50 บาทต่อดอลลาร์"

ทั้งนี้ หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นทะลุโซนดังกล่าวได้จริง จะเปิดโอกาสให้เงินบาทสามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องไปยังโซน 32.00-32.25 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดบางส่วนที่อาจมีมุมมองคล้ายกับเรา ที่ประเมินว่า การแข็งค่าของเงินบาทควรจำกัดลงได้แล้วนั้น อาจต้องปรับสถานะถือครอง หรือ Cut Loss สำหรับสถานะ Short THB ในจังหวะที่เงินบาทแข็งค่าหลุดโซนแนวรับ

'นายกฯ' คิกออฟ!! โอน 'เงินหมื่น' กระตุ้นเศรษฐกิจ หวัง!! พายุหมุนลูกนี้จะทำให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้น

(25 ก.ย. 67) ที่ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในงานเปิดตัว (Kick Off) การโอนเงินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ โดยมีคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมในงานอย่างพร้อมเพรียง

ซึ่งวันเดียวกันนี้เป็นจ่ายเงินในโครงการเติมเงิน 10,000 บาท กระตุ้นเศรษฐกิจ สำหรับกลุ่มเปราะบางจำนวน 14.5 ล้านคน ซึ่งเป็นเฟสแรก แบ่งเป็นผู้รับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐและผู้พิการ เริ่มโอนตั้งแต่วันที่ 25-30 ก.ย.นี้ เป็นการโอนเงินเข้าสู่ระบบพร้อมเพย์ที่เชื่อมเลขบัตรประชาชน ซึ่งวันนี้ (25 ก.ย.) กรมบัญชีกลาง โอนเงินเข้าบัญชีผู้พิการ 2.1 ล้านคน และผู้รับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ ที่เลขหลังบัตรประชาชน 0 วันที่ 26 ก.ย. / ผู้รับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ ที่เลขหลังบัตรประชาชน 1, 2, 3 วันที่ 27 ก.ย. / ผู้รับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ ที่เลขหลังบัตรประชาชน 4, 5, 6, 7 และวันที่ 30 ก.ย. ผู้รับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ ที่เลขหลังบัตรประชาชน 8, 9

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยประสบกับปัญหาทางเศรษฐกิจมาอย่างเรื้อรังนานหลายปี และปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจเหล่านี้ไม่ได้มาจากปัจจัยภายในประเทศเท่านั้นยังมีปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก เศรษฐกิจทั่วโลกนั้นยังฟื้นฟูได้ช้ากว่าปกติและมากไปกว่านั้นยังมีเรื่องของปัญหาความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์ในหลาย ๆ ภาค และยังไม่รวมปัญหาสิ่งแวดล้อมในตอนนี้ที่ทวีคูณความรุนแรงขึ้น ก็จะเห็นได้จากประเทศไทยของเราเองอย่างปัญหาอุทกภัยในปีนี้ที่เป็นปัญหารุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์เลย 

ซึ่งปัจจัยที่กล่าวมาเป็นเหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้เศรษฐกิจฝืดเคืองและไม่สามารถที่จะเพิ่มการลงทุนได้เราจะเห็นได้ชัดว่าเงินในระบบของเราก็หายไปตอนนี้เงินหมุนเวียนแทบจะเป็นสิ่งหายาก เงินไม่หมุน เศรษฐกิจฝืดเคือง ทำให้การลงทุนน้อยลง อุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยก็เกิดขึ้นน้อยลง

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือกลุ่มเปราะบางที่มีรายได้น้อยรวมถึงผู้พิการ ประเทศไทยต้องเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจทั้งระบบ ทำให้ประเทศไทยต้องมีความพร้อมต่อการลงทุนและอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยและเราเองก็จะต้องสร้างรายได้ที่มั่นคงในระยะยาวเพื่อที่จะให้คนไทยมีความมั่นคงและหารายได้อย่างยั่งยืน

นโยบายต่าง ๆ ที่รัฐบาลเน้นย้ำที่ผ่านมาตั้งแต่รัฐบาลของนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน 1 ปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้เรายังเน้นย้ำเรื่องนโยบายด้านเศรษฐกิจเป็นสำคัญ เพราะเราทราบว่าเป็นสิ่งที่จะทำให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่และมีความสุขมีสิ่งที่ดีขึ้น ทำให้ชีวิตพัฒนาได้มากขึ้น แต่นโยบายหลายนโยบายอาจจะต้องใช้เวลาเป็นเดือน หรือบางนโยบายต้องใช้เป็นปีและต้องใช้เสถียรภาพทางการเมืองด้วย เพื่อทำให้นโยบายนั้นต่อเนื่องและพัฒนาไปถึงมือของพี่น้องประชาชนจริง ๆ

ทั้งหมดนี้คือความท้าทายของรัฐบาลและที่จะต้องเปลี่ยนทั้งหมดเป็นโอกาสเพื่อประชาชน ที่ผ่านมารัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องเศรษฐกิจและมีหลายนโยบายที่ออกไปแล้ว อย่างเช่น นโยบายพักหนี้เกษตรกร และเมื่อวานนี้ในที่ประชุมครม. ต่อนโยบายอีกหนึ่งปีเป็นปีที่สอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลดดอกเบี้ย รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านนโยบายฟรีวีซ่า ก็จะเห็นได้ชัดว่าตัวเลขการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปีที่ผ่านมา แต่การกระตุ้นการท่องเที่ยวยังไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งประเทศได้

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ประเทศไทยจะถูกกระตุ้นครั้งใหญ่ เงินสดถึงมือคนไทย ระบบเศรษฐกิจจะถูกเติมเงินหมุนเวียนกว่า 145,552.40 ล้านบาท สร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจลูกใหญ่ครั้งแรก ที่ทำให้คนไทยได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจในภาพใหญ่ ต่อลมหายใจให้พี่น้องประชาชนรายเล็กที่กำลังเดือดร้อน

“นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจรอบนี้จะถึงมือพี่น้องประชาชนกลุ่มเปราะบาง จำนวน 14.55 ล้านคน โดยแบ่งเป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 12.40 ล้านคน และกลุ่มคนพิการจำนวน 2.15 ล้านคน ทุกคนจะได้รับเงินสดคนละ 10,000 บาท ผ่านบัญชีพร้อมเพย์ของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และผ่านช่องทางการรับเบี้ยเดิมของผู้พิการ ไม่ว่าจะเคยได้รับเงินผ่านบัญชีธนาคาร หรือได้รับเงินสดผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็จะได้รับเงินในวิธีการเดิม ที่สำคัญเงินจำนวนนี้ไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ในการใช้ เมื่อเงินเข้าบัญชีสามารถนำไปใช้จ่ายได้ทันที เป็นวิธีการที่ง่ายที่สุด และถึงมือพี่น้องประชาชนมากที่สุด ซึ่งการโอนเงินจะทยอยโอนให้ถึงมือพี่น้องประชาชนภายใน 4 วัน โดยเริ่มที่วันนี้เป็นวันแรก” นายกรัฐมนตรีกล่าว

นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า นโยบายนี้จะช่วยกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจให้พี่น้องประชาชน สร้างโอกาส สร้างความหวัง นำไปสู่การพัฒนาเพื่อต่อยอดคุณภาพชีวิต ทำให้พี่น้อง มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี อย่างที่ได้เคยกล่าวไว้ เงินหนึ่งหมื่นบาทเป็นจำนวนที่จะทำให้พี่น้องประชาชนหลายคนมีโอกาสสร้างชีวิตใหม่มากพอ รัฐบาลหวังว่าจะใช้เงินนี้มีประโยชน์ หรือบางครอบครัวที่มีมากกว่าหนึ่งคนก็นำเงิน 10,000 มารวมกัน ต่อยอดธุรกิจ สร้างธุรกิจ สร้างโอกาสใหม่ ๆ รัฐบาลมีความเชื่อมั่นว่าพี่น้องประชาชนจะสามารถใช้เงินนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และขอเน้นย้ำว่านโยบายนี้เป็นหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมาอีกมากมาย

“แน่นอนสิ่งที่ทุกคนรอคอยและถามถึง รัฐบาลยังคงเดินหน้าโครงการ Digital Wallet ต่อเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับคนไทย ให้ประชาชนมี Digital ID เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างรัฐบาลและประชาชน ทำให้การทำธุรกรรมต่าง ๆ กับหน่วยงานรัฐสะดวกขึ้น โปร่งใสตรวจสอบได้ เป็นการวางรากฐานตั้งแต่วันนี้เรากำลังพัฒนาระบบนี้อยู่ อีกหน่อยจะใช้เรื่องของการเยียวยารัฐจะสามารถโอนตรงสู่ประชาชนได้นี่คือสิ่งที่เราวางดิจิทัลเอาไว้เพื่อให้ประชาชนสะดวกสบายมากขึ้นและรวดเร็วในการรับจากรัฐบาลได้ง่ายขึ้น และพี่น้องประชาชนสามารถติดตามข่าวสารและตรวจสอบข้อมูลได้ที่ทุกช่องทางของกระทรวงการคลัง และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทั้งหมดนี้เพื่อเป้าหมายสำคัญ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่จะเอื้อให้พี่น้องประชาชนใช้ชีวิตอย่างมีความหวัง มีรอยยิ้ม และเป็นการต่อยอดให้พี่น้องประชาชนมีโอกาสในชีวิตเพิ่มมากขึ้น รวมถึงสร้างความเท่าเทียมทางโอกาส และหวังเป็นอย่างยิ่งว่านโยบายนี้และอีกหลายนโยบายของรัฐบาลจะพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้กลับมาดีเหมือนเดิมให้พี่น้องประชาชนกลับมามีความสุขอีกครั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเปิดงานได้นายกฯ ได้มีการพูดคุยกับประชาชนที่วิดีโอคอลมาจากจังหวัดต่าง ๆ เริ่มจากจังหวัดเชียงใหม่, สมุทรสาคร, มุกดาหาร และอุตรดิตถ์ โดยนายกฯ ได้มีการสอบถามว่า "ได้เงิน 10,000 หรือยัง ได้ตั้งแต่เวลาเท่าไหร่" ซึ่งส่วนใหญ่ประชาชนกลุ่มแรกได้รับเงินกันตั้งแต่ช่วงกลางดึกหลังเที่ยงคืน โดยตัวแทนภาคประชาชนขอบคุณนายกฯ และรัฐบาล โดยระบุว่า จะนำเงินไปใช้ของสำหรับประกอบอาชีพของตัวเอง การศึกษาของบุตรและเครื่องอุปโภคบริโภค

จากนั้นได้วิดีโอคอลพูดคุยกับกลุ่มผู้พิการจากจังหวัดสมุทรสาคร พร้อมสอบถามว่า "ได้เงิน 10,000 เวลาเท่าไหร่" ผู้พิการจึงตอบว่า ตีสามสิบห้า นายกฯ จึงแซวกลับว่า "เลขเด็ดหรือไม่" พร้อมสอบถามว่าจะนำเงินไปทำอะไร และถามว่ามีอะไรอยากจะบอกรัฐบาลเพิ่มเติมหรือไม่ ซึ่งตัวแทนผู้พิการระบุว่า จะนำเงินที่ได้ไปซื้อเกี่ยวกับของอุปโภคบริโภคสำหรับผู้พิการ

ผู้สื่อข่าวถามว่าสำหรับโครงการเฟสสองและเฟสสาม เราจะเริ่มต่อทันทีเลยหรือไม่? นายกฯ กล่าวว่า "ตอนนี้กำลังวางเรื่องของระบบอยู่ ซึ่งทางกระทรวงการคลังจะเป็นผู้ชี้แจงในรายละเอียดทั้งหมด"

เมื่อถามย้ำว่ารู้สึกอย่างไรที่ประชาชนตั้งตารอตั้งแต่เที่ยงคืนเพื่อเช็กเงินหมื่น ถือเป็นพายุหมุนทางเศรษฐกิจหรือไม่? นายกฯ กล่าวว่า "รู้สึกดีใจกับประชาชนด้วยและกับรัฐบาลทั้งหมดอยากให้พายุหมุนลูกนี้ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น"

'TIPCO' หยุดโรงงานผลิต 'สับปะรดกระป๋อง' ตั้งแต่ 25 ก.ย นี้ หลังเผชิญความผันผวนของปริมาณ-ราคาวัตถุดิบต่อเนื่อง

(25 ก.ย. 67) บมจ.ทิปโก้ ฟูดส์ (TIPCO) แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติให้หยุดการดำเนินงานในธุรกิจผลิตและจำหน่ายสับปะรดกระป๋องของบริษัท ทิปโก้ ไพน์แอบเปิ้ล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย. 67 โดยมีสาเหตุหลักเนื่องจากการดำเนินงานขาดทุนต่อเนื่อง และสภาวะความผันผวนของปริมาณและราคาวัตถุดิบสำคัญคือผลสับปะรดสด มาตลอดในช่วงที่ผ่านมา

ทั้งนี้ คณะกรรมการของบริษัทย่อยยังไม่ได้มีมติเลิกบริษัท ชำระบัญชีแต่อย่างใด โดยบริษัทย่อยกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาแผนการสื่อสาร และแจ้งให้คู่ค้า เจ้าหนี้ ลูกจ้าง พนักงาน และผู้มีส่วนได้เสียอื่น ๆ ให้ทราบถึงเรื่องดังกล่าว และดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวให้เป็นธรรมและสอดคล้องกับกฎหมาย

การหยุดดำเนินงานในธุรกิจดังกล่าวเป็นการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจภายในของบริษัทฯ ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจหลักของบริษัทฯ โดยธุรกิจนี้คิดเป็นประมำณ 22%ของรายได้รวม

‘GC’ เตรียมออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน ผ่าน ‘12 สถาบันการเงิน’ หนุนโครงสร้างการเงินแกร่ง

(25 ก.ย. 67) นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายทศพร บุณยพิพัฒน์ ผู้จัดการใหญ่ และนางสาวภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC พร้อมกับผู้บริหารสถาบันการเงิน 12 แห่ง เข้าร่วมพิธีแต่งตั้งผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน ไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท หรือ Perpetual Bond

นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ CEO GC ผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล และแกนนำธุรกิจเคมีภัณฑ์ของกลุ่ม ปตท. กล่าวว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างเตรียมการออกและเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน ไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนด และมีสิทธิเลื่อนชำระดอกเบี้ยโดยไม่มีเงื่อนไข (หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน) ต่อผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) เพื่อสนับสนุนโครงสร้างทางการเงินของกลุ่มบริษัท GC ให้แข็งแกร่ง เสริมสร้างธุรกิจและต่อยอดการเติบโตของบริษัทในอนาคต 

นายณะรงค์ศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เป็นครั้งแรกของ GC ที่ออกและเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน และเป็นการออกหุ้นกู้ประเภทนี้ในประเทศไทยในรอบ 10 ปี ของกลุ่ม ปตท. ซึ่งการออกและเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของการ #ก้าวต่อไปกับการเติบโตที่ยั่งยืนของ GC นอกจากนี้ ยังเป็นการขยายฐานผู้ถือหุ้นกู้รายย่อยของ GC และเพิ่มทางเลือกการลงทุนที่มั่นคงและให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป

หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนที่จะเสนอขายในครั้งนี้ ทาง GC สามารถใช้สิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนดได้เมื่อหุ้นกู้มีอายุครบ 5 ปี 6 เดือน เป็นต้นไป มีกำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก ๆ 6 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ โดยมีอัตราดอกเบี้ยและวันจองซื้อที่แน่นอน โดยทาง GC จะแจ้งให้ทราบต่อไป 

สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป สามารถจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท ผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 12 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ธนาคารกสิกรไทย บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส ธนาคารกรุงศรีอยุธยา บริษัทหลักทรัพย์กรุงไทย เอ็กซ์สปริง บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ธนาคารทหารไทยธนชาต และบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) 

ซึ่งทาง GC มั่นใจว่า หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนของ GC จะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ลงทุน ด้วยพื้นฐานธุรกิจ ความแข็งแกร่งทางการเงินของ GC และความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ของกลุ่ม ปตท. จะเป็นปัจจัยสนับสนุนความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนต่อการตัดสินใจลงทุนในหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนของ GC ในครั้งนี้

การออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนในครั้งนี้ จะเป็นโอกาสของผู้ลงทุนที่จะลงทุนในหุ้นกู้ของ GC ซึ่งเป็นองค์กรต้นแบบความยั่งยืนในระดับสากล โดย GC เป็นบริษัทหนึ่งเดียวในโลกที่ได้รับการจัดอันดับจากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) ในกลุ่ม World Index ให้เป็นที่ 1 ในกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์ ด้วยคะแนนสูงสุด 5 ปีต่อเนื่อง โดย S&P Global ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเป็นองค์กรต้นแบบความยั่งยืนในระดับสากล ด้วยการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงดุลยภาพของสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ (Governance & Economic) (ESG) ตั้งเป้าหมายการขับเคลื่อนธุรกิจยั่งยืนตลอดห่วงโซ่ธุรกิจ พร้อมมุ่งสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 สอดคล้องกับความตกลงปารีสตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ทั้งนี้ อันดับความน่าเชื่อถือของ GC อยู่ที่ระดับ ‘AA(tha)’ แนวโน้ม ‘มีเสถียรภาพ’ เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2567 และอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนที่เสนอขายในครั้งนี้อยู่ที่ระดับ ‘A+(tha)’ จัดอันดับโดยบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2567 

นอกจากนี้ GC จะเป็นบริษัทแรกในประเทศไทยที่จะสามารถนำหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนไปนับเป็นส่วนของทุนของบริษัท สำหรับการพิจารณาอันดับความน่าเชื่อถือกับบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลกทั้ง Moody’s Investors Service S&P Global Ratings และ Fitch Ratings Inc. ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันความแข็งแกร่งของ GC ในระดับสากล โดย GC จะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนครั้งนี้เพื่อใช้ชำระคืนหนี้สินสกุลเงินบาทและสกุลเหรียญสหรัฐฯ ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ ผู้สนใจสามารถติดต่อจองซื้อ หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

-ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking
-ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02-626-7777 

-ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02-888-8888 กด 869 และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
-บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02-165-5555 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปฯ Dime! และรวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)

-ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02-111-1111 หรือจองซื้อออนไลน์บนแอปพลิเคชัน Krungthai Next ผ่านระบบ Money Connect by Krungthai
-ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02-777-6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) 

-บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02-680-4004
-ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร.1572
-บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด โทร. 02-695-5000

-บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050
-ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 1428 กด #4 (เปิดจองซื้อเฉพาะผู้ลงทุนรายใหญ่เท่านั้น) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน)
-บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-009-8351-56

หมายเหตุ:
-แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนยังไม่มีผลใช้บังคับ เนื่องจากอยู่ระหว่างยื่นขออนุญาตต่อสำนักงาน ก.ล.ต.
-การจัดสรรหุ้นกู้ดังกล่าวให้อยู่ในดุลยพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ตามแต่จะเห็นสมควร

คำเตือน:
-การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
-ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top