Saturday, 24 May 2025
NewsFeed

'อนุทิน' ยัน!! จุดยืนพรรคไม่แก้ 'รธน.' ปมมาตรฐานจริยธรรม ลั่น!! ตรวจสอบไม่ได้ ก็ 'เล่นการเมือง-เป็นรัฐมนตรี' ไม่ได้

(24 ก.ย. 67) ที่ทำเนียบนายอนุทิน​ ชาญ​วี​รกูล​ รองนายก​รัฐมนตรี​และ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​มหาดไทย​ ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีท่าทีของพรรคภูมิใจไทยในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ​รายมาตรา​ โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขมาตรฐานจริยธรรม​ หลังจากที่นายภราดร​ ​ปริศนา​นันทกุล​ รองสภาผู้แทนราษฎร​คนที่​ 2 ออกมาแถลงไม่เห็นด้วย ว่า​ คนการเมืองเป็นคนสาธารณะ​ ถ้าไม่อยากให้ตรวจสอบก็เล่นการเมืองไม่ได้ การเข้ามาการเมืองไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐมนตรี แค่เป็นที่ปรึกษา เป็นเลขานุการ หรือรับตำแหน่งใด ๆ ทางการเมือง กรรมการรัฐวิสาหกิจ ก็ต้องแจ้งทรัพย์สินแล้ว นั่นคือบทแรกของการตรวจสอบ

“ผมคิดว่าคนที่มาทำงานสาธารณรับใช้บ้านเมือง ใช้อำนาจรัฐในการบริหารราชการแผ่นดิน​ ก็ต้องรับการตรวจสอบ เป็นการเช็ก and Balance ถ้าเราไม่ได้ทำอะไรผิดก็ไม่ต้องกลัวการตรวจสอบ นักร้องมีอยู่ทั่วไป เขาก็ร้องได้ ในสิ่งที่เราทำผิดถ้าเราไม่ได้ทำผิด พิสูจน์อย่างไรก็ไม่ผิด เขาก็มีความเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดี หรือถูกฟ้องร้อง ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราเองมากกว่า”

ส่วนจะเป็นจุดยืนของพรรคหรือไม่นายอนุทินกล่าวว่า มันไม่ใช่จุดยืน แต่มันเป็นวิถีชีวิต​ (Day of Life)​ เช่น “ถ้าไม่อยากตรวจสอบก็ให้ทำธุรกิจอยู่ที่บ้าน เสียภาษีตามที่จะต้องเสีย ก็ไม่มีใครสามารถมาบอกให้แสดงทรัพย์​สินบริษัทได้ยกเว้นทำผิด”

ซึ่งนายภราดร ก็แถลงในนามพรรค ก็แถลงไปแล้วก่อนไปรับตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งก็เห็นแล้วว่า ยังไม่ได้ทันทำอะไรก็มีคนจ้องจะร้องแล้ว ผิดรัฐธรรมนูญหรือไม่​ ถ้าผิดให้ไปดูโทษ​ เรื่องการตัดสิทธิ์​ ต้องมีคนไปยืนยันตรงนี้ก่อน

“ผมคิดว่ารัฐบาล ไม่รู้นะ​ ผมมั่นใจไปคุยกับนายกฯแพทองธาร​ ชินวัตร ท่านก็ไม่ได้ซีเรียสเรื่องเหล่านี้​ ท่านบอกว่าถ้าทำดีซะอย่างจะไปกลัวอะไร​ ทำในสิ่งที่ถูกต้องก็พร้อมที่จะถูกตรวจสอบ เช่นขณะนี้เข้ามาทำงานไม่ถึง 2 สัปดาห์ก็เห็นปัญหาต่างๆ เยอะแยะมากมาย มีเรื่องอะไรเยอะแยะที่รัฐบาลจะต้องทำ ที่ทำให้เกิดประโยชน์กับประชาชน เพราะอะไรที่ทำแล้วเป็นการเอื้อตัวเอง เพื่อพวกพ้องมันผิดตั้งแต่ นับหนึ่งแล้ว”

ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลในการหารือ ถึงแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แล้วหรือไม่ กล่าวว่า​ ยังไม่ได้รับการนัดหมาย​ พร้อมยืนยันว่าการแถลงของนายภราดร ถือเป็นการแถลงของพรรค ก่อนจะย้อนถามสื่อมวลชนว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องเบอร์ 1​ หรือไม่​ เรื่องเบอร์ 1 คือเรื่องเชียงราย เชียงใหม่ หนองคาย ลำปางและจังหวัดอื่น  ๆ ในพื้นที่ภาคเหนือที่ถูกน้ำท่วม ตรงนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดมากกว่า

เมื่อถามต่อว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องจริยธรรมประชาชนมองว่าเป็นการเอื้อเพื่อนักการเมือง นายอนุทินกล่าวว่า อย่าให้ไปถึงจุดนั้นสิ การแก้ไขรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้อยู่แล้ว ทำเพื่อประเทศและประชาชน มันเขียนว่าอย่างชัดเจนอยู่แล้ว

ถามถึงจุดยืนในเรื่องของเรื่องการผลักดันพ.ร.บ.นิรโทษกรรม​ ในเรื่องมาตรา​ 112 นายอนุทิน กล่าว​ พูดมาตั้งนานแล้วไม่เห็นด้วย ไม่อยากพูดซ้ำๆ​

‘บุ๋ม ปนัดดา’ แจงข้อสงสัย “เงินบริจาคของมูลนิธิฯ หายไปไหน?” วอน!! ไม่ช่วยกันไม่ว่า แต่อย่าโจมตีแบบนี้ สงสารคนลงพื้นที่

(24 ก.ย. 67) เพจ ‘ดร.ปนัดดา วงศ์ผู้ดี’ ประธานมูลนิธิองค์กรทำดี ได้โพสต์ชี้แจงกรณีมีคนตั้งข้อสงสัยถึงเงินบริจาคของมูลนิธิฯ อยู่ที่ไหน ทั้งที่มีเหล่าดารา ประชาชนโอนมาช่วยเหลือ โดยระบุว่า…

“ในกลุ่มเชียงรายมีการโจมตีมูลนิธิว่าเงินบริจาคเยอะแยะไปไหนหมด ขอโทษนะคะ รถที่มูลนิธิจัดหาไปช่วยปรับปรุงพื้นที่ ใช้น้ำมันไม่ได้ใช้น้ำโคลน…

“เราช่วยบูรณะโรงเรียน 50 โรงเรียน มีรถช่วยกันอยู่ 50 กว่าคัน ทั้งแบ็กโฮ รถขุด รถตัก รถหกล้อ สิบล้อ กระบะดัมป์ เพื่อทำให้ถนนในแม่สายดีขึ้น ค่าอาหาร ค่าที่พัก ค่าซ่อมรถ ค่าน้ำมันรถลงพื้นที่ ค่าอาหารสด อาหารแห้ง ดูแลคนเป็นหลายพันคน ค่าอาหารจิตอาสาลงพื้นที่ทำความสะอาด ค่าอุปกรณ์ทำความสะอาด ค่าปั๊มน้ำ และเราช่วยสนับสนุนทำข้าวกล่องจริง ๆ จำนวนมากต่อวัน…

“ใครคิดอะไรไม่ออก บอกบุ๋ม ดูแลศูนย์พักพิง และมีชาวแม่สายที่ต้องการความช่วยเหลือหลายด้านจริง มารับของสดของแห้งวันหนึ่งหลายตัน ไม่มีตรงไหนโกหกเลย ไม่ช่วยไม่ว่า อย่าโจมตีกันแบบนี้เลยนะคะ สงสารคนลงพื้นที่ ไม่ได้ท้อใจนะคะ แต่บางครั้งถึงเวลาต้องอธิบายก็ต้องอธิบาย มูลนิธิเราโปร่งใส ถูกต้องตามกฎหมาย ตรวจสอบได้”

สะเทือนใจ!! ทุบประติมากรรมปูนปั้น 'ครูทองร่วง' ทำร้านกาแฟ ช้ำหนัก!! คำพูดเจ้าอาวาสปัจจุบัน "อย่ากลัวความเปลี่ยนแปลง"

(24 ก.ย. 67) นายวรา จันทร์มณี ตัวแทนชมรมคนรักศิลปวัฒนธรรม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'วรา จันทร์มณี' ระบุว่า...

การทุบปูนปั้นของครูทองร่วง ศิลปินแห่งชาติทำด้วยมือ แต่กลับถูกลบด้วยเท้า

การทุบประติมากรรมปูนปั้นอันงดงามลึกซึ้งของครูทองร่วง เอมโอษฐ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ประณีตศิลป์-ศิลปะปูนปั้น) หนึ่งในศิลปินแห่งชาติไม่กี่คนของจังหวัดเพชรบุรี ผู้เป็นตำนานเรื่องการบันทึกระบบสังคมการเมืองวัฒนธรรมมาไว้ในงานศิลปกรรม ที่วัดมหาธาตุวรวิหาร จังหวัดเพชรบุรี เพื่อทำร้านกาแฟ นับเป็นความสิ้นคิด เป็นความมักง่ายของผู้เกี่ยวข้อง เพชรบุรีเป็นเมืองช่างแท้ๆ ทำไมไม่ตระหนัก 

การที่เจ้าอาวาสบอกว่า ความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเจอ อย่ากลัวความเปลี่ยนแปลง โอกาสเหมือนไอติม ถ้าไม่กินก็ละลาย นั่นพูดเหมือนจะเป็นนักธุรกิจ ท่านเป็นพระ จะคิดแต่เรื่องเงินไม่ได้ ท่านต้องตระหนักถึงมิติทางสังคม เรามีวัดก็เพื่อส่งเสริมจิตวิญญาณ ศิลปกรรมส่งเสริมจิตวิญญาณ ท่านจะหาเงินก็หาไป แต่ไม่ควรทำลายศิลปวัฒนธรรม

ผมคิดว่าการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์วัดให้ดีขึ้น เหมาะสมแล้ว เดิมมีห้องน้ำอยู่หน้าวัด ดูไม่ดีเลย และจะไม่มีปัญหาเลยถ้าไม่มีการทุบทำลายศิลปกรรมอันทรงคุณค่าที่มีความหมายทางประวัติศาสตร์ หรือเต็มที่ก็หาทางย้ายไปจัดแสดงในที่เหมาะสม จะแก้ตัวอย่างไรก็แล้วแต่ แต่งานประติมากรรมของครูทองร่วงถูกทุบทำลายไปจากความมักง่ายของทุกคนที่เกี่ยวข้อง และเมื่อถูกทุบทำลายไปแล้ว ได้ยินข่าวว่ามีคนบอกจะปั้นให้ใหม่ จะปั้นใหม่ได้อย่างไร มันคนละเรื่องกัน ศิลปินตายไปแล้ว มือแบบนั้นไม่มีอีกแล้ว 

บ่อยครั้งที่เราเห็นศิลปกรรมถูกทำลายด้วยความโง่ แต่เพื่อถนอมน้ำใจกันเลยต้องพูดให้เพราะหน่อยว่า "เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์" ไม่ได้มีเจตนา แล้วอะไรคือเจตนา ความไม่ใส่ใจ ปัดความผิดให้พ้นตัวคือเจตนาใช่หรือไม่ และถ้าจะมาอ้างว่าของอยู่ในวัด เป็นสิทธิ์ของวัดหรือกรรมการอะไรก็อ้างไม่ได้ วัดไม่ใช่ของเจ้าอาวาส วัดไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของใคร วัดเป็นสมบัติสาธารณะ เขาให้มาดูแล ไม่ใช่ให้มาทำลาย การทำลายสมบัติสาธารณะ เจ้าอาวาสในฐานะผู้ดูแลต้องรับผิดชอบ

ประติมากรรม 2 ชิ้นที่ถูกทุบทำลายไป เป็นปูนปั้นประดับเสารั้วพิพิธภัณฑ์วัดมหาธาตุ หรือที่เรียกกันว่า ศาลานางสาวอัมพร บุญประคอง ซึ่งสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2536 ประติมากรรมชิ้นแรกเป็นภาพ 'ชั่งหัวมัน' มีหนุมานทูนตาชั่งที่เอียง โดยข้างหนึ่งที่มีหัวมันสองหัว กลับมีน้ำหนักมากกว่าข้างที่มีหัวมันสามหัว เป็นการเสียดสีถากถางล้อระบบสังคมและกระบวนการยุติธรรมที่ฉ้อฉล เมื่อเรียงเวลาพบว่าประติมากรรมนี้สร้างก่อนที่จะมีโครงการชั่งหัวมันของรัชกาลที่ 9 ซึ่งมาทำที่อำเภอท่ายาง เมื่อปี 2552 

ส่วนประติมากรรมอีกชิ้นเป็นรูปอาคาร ข้างบนเป็นห้องนอนเตียงนอน มีม่านซ้ายขวาพริ้วไหวงดงาม ตรงกลางมีธรรมจักร รายล้อมด้วยเครื่องอัฐบริขาร ส่วนใต้เตียงมียักษ์ไปขดตัวนอนอยู่อย่างอึดอัด เป็นปริศนาธรรมสื่อถึงเรื่อง 'ธัมมะมัจฉริยะ' คือความตระหนี่ในธรรม มัจฉริยะแปลว่าความตระหนี่  เสียดาย เป็นกิเลสที่ทำให้คนใจแคบเห็นแก่ตัว ขาดความกรุณา การปั้นยักษ์ไปนอนขดอยู่ใต้เตียงที่อึดอัด สื่อถึงความโหดร้ายใจแคบ เป็นยักษ์รูปกายก็ร้ายอยู่แล้ว ใจยังร้าย หวงแหนวิชาความรู้ ไม่อยากให้คนอื่นรู้เท่าตน แทนที่จะนอนบนเตียงให้สบาย ก็ยอมไปขดตัวนอนอยู่ใต้เตียงเพื่ออำพรางความรู้ เดี๋ยวคนอื่นเขาจะรู้ว่าเตียงมีไว้นอนข้างบน เดี๋ยวคนอื่นเขาจะเจอความรู้

ในวัดมหาธาตุมีปูนปั้นอีกมาก ซึ่งเป็นทั้งปริศนาธรรมและการบันทึกประวัติศาสตร์ทางสังคมการเมือง วัดมหาธาตุเป็นวัดสำคัญซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะสร้างในสมัยทวารวดี เนื่องจากมีการขุดพบซากอิฐสมัยทวารวดีจำนวนมาก แม้แต่การขุดวางฐานรากเพื่อก่อสร้างร้านกาแฟครั้งนี้ก็ยังเห็นศิลาแลงซึ่งน่าจะอยู่ในยุคเดียวกับวัดกำแพงแลง (ตั้งอยู่ใน ต.ท่าราบ อ.เมือง เพชรบุรี) และเห็นอิฐซึ่งน่าจะอยู่ในสมัยทวารวดีเหมือนที่เจดีย์ทุ่งเศรษฐี (ชะอำ) ข้อมูลเหล่านี้ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องควรตระหนัก ไม่ใช่ทุบทำลาย และขุดทิ้งอย่างไม่เห็นค่า ทำอย่างนี้นอกจากจะทำลายคุณค่าประวัติศาสตร์ศิลปกรรมของประเทศ แล้วยังเสียชื่อจังหวัดเพชรบุรี ไม่ไว้หน้าคนเมืองเพชร หลวงพ่อบุญรวม อดีตเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุผู้มีคุณูปการต่อศิลปกรรมเมืองเพชรบุรี ท่านรักและใส่ใจในเรื่องศิลปวัฒนธรรมมาก แต่ทำไมพอมาถึงเจ้าอาวาสรูปปัจจุบันถึงเป็นเช่นนี้

ขณะที่เมื่อวานนี้ (23 ก.ย.67) จากเฟซบุ๊ก 'นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว' นักวิชาการนักเขียนชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

"พ่อล้อม เพ็งแก้ว ตายไม่ถึง 2 เดือน ช่างทองร่วง เอมโอษฐ์ ศิลปินแห่งชาติ ตายไปปีกว่าๆ ได้มีการทุบงานปูนปั้นการเมืองของครูทองร่วงทิ้งไปแล้ว ที่วัดมหาธาตุ กลางเมืองเพชรบุรี เพราะวัดมหาธาตุจะใช้พื้นที่ทำร้านกาแฟ หมดพ่อล้อม หมดครูทองร่วง ต่อจากนี้ ใครเล่าจะปกป้องรักษางานปูนปั้นศิลปะการเมือง ของเมืองเพชรบุรีเอาไว้ได้"

หลังจากนั้น ด้าน พระวชิรวาที เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุฯ จังหวัดเพชรบุรี โพสต์ข้อความระบุว่า...

"ความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเจอ อย่ากลัวความเปลี่ยนแปลง สิ่งสำคัญคือ 'การปรับตัว' คนที่ปรับตัวตามสถานการณ์ได้ทุกๆ วันของคุณจะกลายเป็น 'โอกาส' โอกาสเหมือนไอติม ถ้าไม่กินก็ละลาย โอกาสเป็นสิ่งที่ไม่เคยรอเราถ้ามาแล้วไม่รีบคว้าเอาไว้จะกลายเป็นอากาศ และยากที่จะพบกับช่วงเวลาอันควร หรือโอกาสอีกสักครั้ง"

ด้อมส้มยังส่ายหัว หลัง 'พรรคประชาชน' ตั้งแม่ทัพคุมพื้นที่ดีกรีน่าห่วง พบ!! อดีตคนขายเบียร์ไม่เสียภาษี คุมตะวันออก ส่วน 'โตโต้' คุม กทม.

กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักมากเลยทีเดียว เมื่อเพจ ‘วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า “ทุกคนคะ ผบ.โตโต้ อดีตหัวหน้าการ์ดวีโว่ ที่ทีมงานก่อม็อบป่วนเมือง บุกชิงตัวประกัน เผาทรัพย์สินราชการ จุดพลุรบกวนชาวบ้าน ได้รับความไว้วางใจจากพรรคส้ม ผงาดคุม กรุงเทพฯ และปริมณฑล”

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 22 ก.ย.ที่ผ่านมา พรรคประชาชนจัดงานสัมมนาภายในระหว่างแกนนำพรรค สส. พนักงานพรรค และฝ่ายเครือข่าย เพื่อระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับผลการทำงานที่ผ่านมา ถอดบทเรียนจากเสียงสะท้อนของผู้สนับสนุนพรรค วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองปัจจุบัน และร่วมกันกำหนดทิศทางการเดินหน้าทำงานต่อไปของพรรค 

นอกจากนี้ ยังได้มีการปรับทัพแกนนำบริหารพรรคชุดใหม่ จัดเต็มรองหัวหน้าพรรค 7 คน ซึ่งก็มีดาวเด่นตามที่คาดกันไว้ ทั้ง ‘ศิริกัญญา-โรม-วิโรจน์-ปกรณ์วุฒิ-วาโย’ นั่งรองหัวหน้าพรรค ขณะที่รองเลขาธิการพรรค มีการตั้ง ‘โตโต้ ปิยรัฐ’ คุมงานใน กทม.และปริมณฑล

ซึ่งประเด็นที่ทำให้คนวิจารณ์กันหนัก ก็เพราะว่าวันที่ 25-27 กันยายนนี้ศาลอาญา นัดสืบพยานคดี นายปิยรัฐ จงเทพ หรือ โตโต้ สส.กทม.พรรคประชาชน ในฐานะอดีตแกนนำการ์ดวีโว่ กระทำความผิดตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ฐานโพสต์ข้อความวิจารณ์ตำรวจ กรณีเข้าสลายกิจกรรมขายกุ้งที่สนามหลวง เมื่อ 31 ธันวาคม ปี 63 พาดพิงการใช้ภาษีของสถาบันพระมหากษัตริย์ แถมยังมีอีกหนึ่งคดี ที่จ่อคอหอยถูกศาลตัดสิน ในวันที่ 11 ตุลาคมนี้ด้วย

และไม่ใช่แค่การแต่งตั้งโตโต้เท่านั้น ที่ทำเอาตกใจกันทั่วบ้านทั่วเมือง เพราะล่าสุด เพจวันนี้พรรคส้มโกหกอะไร เช็กลิสต์ข้อมูลแบบลงรายละเอียด ก็พบข้อมูลที่น่าตกใจ โดยทางเพจระบุว่า “ทุกคนคะ ภาคตะวันออก ก็ไม่รอดค่ะ พรรคส้มไม่มีใครดีกว่านี้แล้วหรือคะ โย พงศธร คือคนที่เคยมีข่าวโพสต์ขายเบียร์ คนที่ไม่เสียภาษี และคนที่เคยถูกแจ้งคดีความยักยอก ที่หนูเคยแฉไว้

เท่านั้นยังไม่พอ ทางเพจยังลงข้อมูลเพิ่มเติมอีกคนหนึ่งด้วยว่า “ทุกคนคะ เช็กคนไหน โดนคนนั้น อันนี้หนักสุด เป็น สส.สอบตก แต่เป็นแกนนำม็อบ เลยได้ดูแลภาคกลาง หรือว่า ป้าเจี๊ยบคอนถม สิ้นฤทธิ์แล้วคะ โดยบุคคลดังกล่าวคือ หนุ่ม เจษฎา เอี่ยมปุ่น อดีตผู้สมัคร สส.กาญจนบุรี เขต 3 พรรคก้าวไกล ซึ่งทางเพจยังได้นำภาพของนายเจษฎา ที่เคยเป็นแกนนำม็อบมาโพสต์ด้วย พร้อมแคปชันสั้น ๆ ว่า “สภาพตัวแทนภาคกลาง”

หลังโพสต์นี้ถูกเผยแพร่ออกไป มีชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์กันสนั่นโซเชียลเลยทีเดียว เช่น
-หมดตัวเล่นละ ติดคุก กับ โดนตัดสิทธิ์ เกือบหมด เหลือแต่ตัวแถม
-อันนี้จัดทัพบริหารพรรค หรือบริหารม็อบ
-สภาพ แต่ละคน
-ก็ดีแล้ว เอาคนพวกนี้มานำ ชาวบ้านจะได้เห็นอะไรชัดๆ
-คุมตัวเองให้ได้ก่อน ค่อยมาคุมคนอื่น
-เหมือนเอาคนไม่สำคัญที่พร้อมตัดทิ้ง ออกมาเป็นระเบิดพลีชีพ ต้องวางแผนทำไรไม่ดีอีกแน่ เพลียใจ
-ระบบอุปถัมภ์ไงครับ ต่างตอบแทน

‘หนุ่มมาเลฯ’ โพสต์ระบายโรงแรมบ้านเกิด ‘เช็กอินช้า-เร่งเช็กเอาต์’ ฟากชาวเน็ตเชียร์ให้บอยคอตต์ บ้างก็บอก ‘มาเที่ยวเมืองไทยดีกว่า’

เมื่อไม่นานมานี้ ‘ชายชาวมาเลเซีย’ รายหนึ่ง ได้ระบายความผิดหวังที่มีต่อข้อกำหนดต่าง ๆ ของโรงแรมท้องถิ่น (มาเลเซีย) พร้อมส่งเสียงเรียกร้องให้กระทรวงท่องเที่ยว ศิลปะและวัฒนธรรมแดนเสือเหลือง เข้ามาจัดการคลี่คลายการกำหนดเวลาเช็กอินและเช็กเอาต์ตามอำเภอใจ โดยเขามองว่าเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคจนเกินไป 

ความคิดเห็นของชายรายนี้ได้รับเสียงสนับสนุนจากคนอื่น ๆ อย่างกว้างขวางบนสื่อสังคมออนไลน์ และบางส่วนถึงขั้นยุให้คนอื่น ๆ หันไปเที่ยวประเทศไทยแทน

รายงานข่าวระบุว่า ชายรายดังกล่าวนามว่า ‘ฮาคิม เอช’ ใช้บัญชีบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ เขียนคร่ำครวญเกี่ยวกับกำหนดเวลาของโรงแรมต่าง ๆ ในมาเลเซีย ซึ่งดำเนินการแบบตามอำเภอใจ ค่อนข้างล่าช้าในการเช็กอิน แต่มาเร่งรัดในตอนเช็กเอาต์

ฮาคิม เอช โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ ระบุว่า "หากพวกผู้ที่เกี่ยวข้องต้องการเห็นชาวมาเลเซียสนับสนุนการท่องเที่ยวท้องถิ่นของเรา กระทรวงท่องเที่ยว ศิลปะและวัฒนธรรม ต้องเข้ามาแทรกแซง คลี่คลายประเด็นเกี่ยวกับเวลาการเช็กอินและเช็กเอาต์ตามอำเภอใจ"

เขาอ้างต่อว่า "การเช็กอินตอน 16.00 น. และเช็กเอาต์ 11.00 น. มันไร้สาระ พวกคุณอยากบอยคอตต์โรงแรมต่าง ๆ ที่ใช้นโยบายนี้กันหรือเปล่า?"

จนถึงวันจันทร์ (23 ก.ย.) มีคนเข้ามาอ่านข้อความดังกล่าวบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์แล้วกว่า 396,000 คน และมีคนกดไลก์มากกว่า 2,300 ครั้ง โดยชาวมาเลเซียจำนวนมากเห็นด้วยกับเขา และสะท้อนความรู้สึกแบบเดียวกัน ขณะที่บางส่วนเรียกร้องให้บอยคอตต์โรงแรมเหล่านั้น และบางคนถึงขั้นยุให้หันไปเที่ยวไทยแทน

ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์รายหนึ่งแสดงความคิดเห็นตอบกลับ เล่าว่า เคยได้รับคำอธิบายจากโรงแรมเหล่านั้นเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัตินี้ แต่เขารู้สึกว่ามันไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไร ในนั้นรวมถึงอ้างว่าแผนกทำความสะอาดไม่มีเวลามากพอที่จะทำความสะอาดห้อง

ส่วนอีกคนโพสต์เห็นด้วยว่าควรบอยคอตต์โรงแรมเหล่านั้น โดยมองว่าเวลาเช็กอินล่าช้า แต่เช็กเอาต์เร็วนั้น เป็นเรื่องที่ไร้สาระ และไม่คู่ควรกับการเข้าพักแต่อย่างใด

นอกจากนี้ ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์หลายคนยังเรียกร้องให้กำหนดเวลาเช็กอินและเช็กเอาต์ ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันสำหรับโรงแรมทั่วประเทศ ซึ่งคือเช็กอิน 14.00 น. และเช็กเอาต์ 12.00 น.

ขณะเดียวกัน มีชาวมาเลเซียบางส่วนถึงขั้นขอให้มีการจัดทำบัญชีรายชื่อโรงแรมต่าง ๆ ที่เช็กอินช้าและมาเร่งรัดตอนเช็กเอาต์ เพื่อให้ง่ายต่อการที่ชาวมาเลเซียจะบอยคอตต์

‘นักธุรกิจสาว’ โวยโรงหนังดัง หลังถูกงูฉกขณะเข้าใช้บริการ ฟาก ‘โรงหนัง’ ไม่เชื่อ คิดว่าเป็นหนู เสนอเยียวยา 6,990 บาท

(24 ก.ย. 67) น.ส.กรภาภิพร (สงวนนามสกุล) นักธุรกิจ อายุ 27 ปี เข้าร้องทุกข์กับ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษา รมว.มหาดไทย และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด กรณีนั่งดูภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ชื่อดังกับครอบครัว จู่ ๆ ก็ถูกงูฉกที่เท้าได้รับบาดเจ็บ 

โดยผู้เสียหาย เล่าว่า เหตุเกิดเมื่อวันที่ 31 ก.ค. ที่ผ่านมา เวลา 17.00 น. ขณะเข้าไปดูหนังเรื่องในโรงหนังชื่อดังย่านพระราม 2 พอภาพยนตร์จบก็รู้สึกเหมือนมีอะไรเลื้อยผ่านเท้า เพราะถอดรองเท้าแตะนั่ง จากนั้นก็รู้สึกเหมือนถูกตัวอะไรกัด ตะโกนร้องกรี๊ดตกใจรีบออกไปปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่นอกโรงภาพยนตร์ 

พอเห็นท่าไม่ดี จึงรีบไปโรงพยาบาล ต้องอยู่ดูอาการที่โรงพยาบาลเป็นเวลา 1 คืน เมื่อออกจากโรงพยาบาล จึงไปแจ้งความที่ สน.ท่าข้าม แต่ตำรวจให้เพียงแค่ลงบันทึกประจำวัน โดยอ้างว่าให้ไปพูดคุยเจรจากันก่อน 

ผู้เสียหายยังบอกว่า หลังเกิดเรื่องทางพนักงานโรงภาพยนตร์ไม่เชื่อว่าเป็นงูฉกอาจจะเป็นหนู ซึ่งทางความเห็นแพทย์ระบุว่า ถูกกัดจากสัตว์มีเขี้ยวอาจเป็นงูพิษ ซึ่งตนเองพยายามเรียกร้องการดูแลรับผิดชอบ เรื่องค่ารักษาพยาบาล เป็นจำนวนเงิน 25,000 บาท แต่ทางตัวแทนโรงภาพยนตร์กลับบอกว่าให้สำรองจ่ายไปก่อน ค่อยนำใบเสร็จมาเบิกเงิน กว่าจะได้เงินค่ารักษาคืนก็นานเป็นสัปดาห์ 

ล่าสุดเมื่อวาน (23 ก.ย. 67) เสนอเงินเยียวยา 6,990 บาท แต่ตนเองปฏิเสธไป เห็นว่าทางโรงภาพยนตร์ควรจะแสดงความรับผิดชอบอย่างจริงใจให้มากกว่านี้ 

ด้านนายเอกภพ เปิดเผยว่า จะประสานกับผู้กำกับสน.ท่าข้าม  ตรวจสอบกรณีนี้ เพราะเห็นว่าควรเป็นคดีอาญา อีกทั้งในเรื่องความรับผิดชอบนั้นควรจะมีมากกว่านี้ เชื่อว่าทางโรงภาพยนตร์มีการทำประกันภัยไว้ เพราะถือว่าโรงภาพยนตร์เป็นที่สาธารณะจะต้องมีความปลอดภัยสูง ไม่ควรเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น

'ออสเตรเลีย' ฟ้อง 2 ซูเปอร์มาร์เก็ตยักษ์ใหญ่ หลังทำโปรโมชัน 'หลอก' ลดราคาสินค้า

(24 ก.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า คณะกรรมาธิการการแข่งขันและผู้บริโภคของออสเตรเลีย (ACCC) ยื่นฟ้องซูเปอร์มาร์เก็ตวูลเวิร์ธ (Wollworths) และ โคลส์ (Coles) ฐานเอาเปรียบผู้บริโภค โดยการขึ้นราคาสินค้าจากปกติ แล้วเสนอขายในราคาลดลง ถือเป็นการหลอกลวงผู้บริโภคทางอ้อม โดยมีพฤติกรรมหลอกลวงเกี่ยวกับการลดราคาสินค้า ระบุว่า ซูเปอร์มาร์เก็ตทั้ง 2 แห่งนี้ได้คงราคาสินค้าบางอย่างเป็นเวลานานถึง 2 ปี จากนั้นได้ขึ้นราคา เพียงเพื่อจะนำมาโฆษณาหลังจากนั้นว่ากำลังอยู่ในช่วงลดราคา

จีน่า คาสส์ กอตต์ลิบ ประธานสำนักงานคุ้มครองดูแลผู้บริโภคของออสเตรเลีย กล่าวว่า หลังจากที่มีการโฆษณาทางการตลาดมาหลายปี บรรดาลูกค้าต่างเข้าใจว่าโปรโมชัน Prices Dropped ของ Woolworths และ ‘Down Down’ ของ Coles หมายถึงการลดราคาปกติของผลิตภัณฑ์ในซูเปอร์มาร์เก็ตอย่างต่อเนื่องแต่กลับพบว่าในหลายกรณีส่วนลดนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา 

จากการตรวจสอบข้อร้องเรียนพบว่า Woolworths ได้ให้ข้อมูลเท็จแก่ลูกค้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประมาณ 266 รายการในช่วง 20 เดือน ที่ผ่านมา และทางด้าน Coles ได้ให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ 245 รายการในช่วง 15 เดือนที่ผ่านมา โดยผลิตภัณฑ์มีตั้งแต่อาหารสัตว์ พลาสเตอร์ และน้ำยาบ้วนปาก ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ยอดนิยมจากออสเตรเลีย เช่น Tim Tam หรือจะเป็นซีเรียลของ Kellogg's

โดยทั้งสองบริษัทได้มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ลดราคาปลอมไปหลายสิบล้านชิ้น และได้รับรายได้จำนวนมากจากการขายเหล่านั้น ในขณะที่ผู้บริโภคจำนวนมากต้องพึ่งพาส่วนลดเพื่อช่วยให้มีงบประมาณในการซื้อของชำใช้ได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ค่าครองชีพพุ่งสูงเช่นนี้ 

ต่อมาแอนโทนี อัลบาเนซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย กล่าวว่า รัฐบาลของเขาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เพราะผู้บริโภคไม่สมควรถูกซูเปอร์มาร์เก็ตกระทำราวกับเป็นคนโง่เขลา

'เยอรมนี' แจ้งอียูจะไม่เปิดรับเพิ่ม 'ผู้ลี้ภัย' หลังสิ้นทรัพยากรดูแลไปมากยอมรับ!! ไม่มีประเทศไหนในโลกพร้อมอุ้มผู้ลี้ภัยได้แบบไร้ขีดจำกัด

(24 ก.ย. 67) เมื่อช่วงต้นเดือนกันยายน รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีโอลาฟ โชลซ์ แถลงว่าเยอรมนีจะเริ่มตรวจเช็กพาสปอร์ตตามแนวชายแดนทางบกอีกครั้ง เป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน โดยไม่คำนึงถึงข้อตกลงเชงเก้น

ต่อมา หนังสือพิมพ์ แดร์ ชปีเกล รายงานว่า พวกเขาเข้าถึงหนังสือฉบับหนึ่งในวันพุธที่ 11 กันยายน ซึ่งเป็นจดหมายที่ เฟรเซอร์ เขียนถึงคณะกรรมาธิการยุโรป มีใจความว่า "ไม่มีประเทศไหนในโลกที่สามารถอ้าแขนรับพวกผู้ลี้ภัยในจำนวนที่ไม่มีขีดจำกัด"

ในจดหมายระบุต่อว่า "เยอรมนีกำลังถึงขีดจำกัดมากขึ้นเรื่อย ๆ ในแง่ของความสามารถในการรองรับ อำนวยความสะดวกและดูแลผู้ลี้ภัย" พร้อมเน้นว่าพวกเขาสูญทรัพยากรทั้งในระดับรัฐบาลกลางและระดับรัฐ "ไปจนแทบหมดสิ้น" และมีความเสี่ยงอย่างแท้จริงที่ระบบสวัสดิการทั่วไปจะแบกรับไม่ไหว

เนื้อหาในจดหมายระบุว่าปริมาณผู้ลี้ภัยขาเข้าประเทศที่มากผิดปกติเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ และเยอรมนีมีความกังวลอย่างยิ่งต่อจำนวนผู้ลี้ภัยที่แตะระดับ 50,000 คน ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2024

เฟรเซอร์ ยังอ้างว่า ด้วยภัยคุกคามที่มีต่อความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของประชาชน มันจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องกลับมากำหนดมาตรการควบคุมชายแดนอีกครั้ง โดยชี้ถึงเหตุการณ์ใช้มีดไล่แทงผู้คนและอาชญากรรมรุนแรงต่าง ๆ ที่เกิดจากฝีมือพวกผู้ลี้ภัย ในนั้นรวมถึงกรณีที่มีผู้เสียชีวิต 3 รายและบาดเจ็บ 8 คน เมื่อเดือนที่แล้ว ในเหตุไล่แทงผู้คนในงานเทศกาลหนึ่งในเมืองโซลิงเกน ซึ่งผู้ต้องสงสัยเป็นชาวซีเรีย 26 ปี ที่มีข่าวว่าได้ยื่นขอลี้ภัยในปี 2022

รัฐมนตรีหญิงรายนี้เขียนในจดหมายว่า เยอรมนีความกังวลอย่างยิ่ง "ต่อระเบียบดับลินที่ทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์นัก" อ้างถึงกฎเกณฑ์ของอียู ที่ระบุให้ประเทศแรกที่ผู้อพยพและผู้ลี้ภัยเดินทางมาถึงต้องรับและดำเนินการกับคำขอลี้ภัย

เวลานี้ เบอร์ลิน กำลังหาทางส่งผู้ลี้ภัยไปยังประเทศต่าง ๆ ในอียูที่อยู่รอบนอก อย่างเช่น บัลแกเรีย กรีซ อิตาลี และโรมาเนีย แต่พวกผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่จากบรรดาชาติรอบนอกต่างต้องการมาลงเอยในเยอรมนี สืบเนื่องจากสิทธิประโยชน์สวัสดิการที่เอื้อเฟื้ออารีของประเทศแห่งนี้

แม้พันธมิตรของนายกรัฐมนตรีโชลซ์ ไม่ต้องการปิดช่องทางทั้งหมดสำหรับผู้ลี้ภัย อ้างถึงความกังวลทางกฎหมาย แต่หนึ่งในพรรคการเมืองฝ่ายค้านที่ใหญ่ที่สุดได้แสดงจุดยืนสนับสนุนแนวทางดังกล่าว โดยชี้ว่า "มันทั้งได้รับอนุญาตทางกฎหมาย และมีความเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน แม้กระทั่งความจำเป็นทางการเมืองที่ต้องปิดชายแดน" เฟรดริช เมอร์ซ ผู้นำพรรคซีดียู กล่าวเมื่อวันพุธที่ 11 กันยายน

ขอนแก่น - รับสมัคร 'นายกอบจ.ขอนแก่น' วันแรกคึกคัก 'แชมป์เก่า' ปะทะ 'อดีต สส.พปชร.' 

เปิดรับสมัครชิงเก้าอี้นายก อบจ.ขอนแก่น วันแรก พงษ์ศักดิ์ 'แชมป์เก่าหลายสมัย' จับได้หมายเลข 2 ขณะที่ ประธานสโมสรขอนแก่น ยูไนเต็ด เดินทางมาสมัคร จับได้หมายเลข 1 

เมื่อวานนี้ เวลา 08.30 น. (23 ก.ย.67) ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดขอนแก่นได้รายงาน วันแรกของการเปิดรับสมัคร ผู้สมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ.ขอนแก่น ที่ หอประชุม องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ว่าที่ร้อยเอก พงเจตน์ พรกุณา ปลัด อบจ.ขอนแก่น ในฐานะ ผอ.กกต. อบจ.ขอนแก่น เป็นประธานในการรับสมัคร โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ สมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ตลอดจนกองเชียร์ของทั้งสองฝ่าย ร่วมมาให้กำลังใจว่าที่ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ทั้งสองคน กันอย่างคับคั่ง

ผู้สื่อข่าวรายงาน ด้วยว่า 'ดร.พงษ์ศักดิ์ ตั้งวานิชกพงษ์' อดีตแชมป์เก่า ลงรักษาเก้าอี้ ขณะที่ 'นายวัฒนา ช่างเหลา' อดีต สส.ขอนแก่นลงชิงเก้าอี้ ซึ่งการเปิดรับสมัครชิงเก้าอี้นายก อบจ.ขอนแก่น วันแรกคึกคัก ดร.พงษ์ศักดิ์ แชมป์เก่า นายกอบจ.ขอนแก่น หลายสมัย  จับได้หมายเลข2 ขณะที่ นายวัฒนา ช่างเหลา ประธานสโมสรขอนแก่น ยูไนเต็ด เดินทางมาสมัคร จับได้หมายเลข 1 

สำหรับการเปิดรับสมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ.ขอนแก่น ในครั้งนี้ เกิดขึ้นภายบหลังการตัดสินใจยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น (อบจ.ขอนแก่น) ของ 'ดร.พงษ์ศักดิ์ ตั้งวานิชกพงษ์' นายก อบจ.ขอนแก่น เมื่อวันศุกร์ที่ 13 ก.ย.ที่ผ่านมา ส่งผลทำให้ตำแหน่งนายก อบจ.ขอนแก่น เป็นอันว่างลง และ รองนายก อบจ.ขอนแก่น ต้องพ้นจากตำแหน่งตามไปด้วย

การเปิดรับสมัครเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น กรณีแทนตำแหน่งที่ว่าง ระหว่างวันที่ 23 – 27 ก.ย.2567 เริ่มตั้งแต่เวลา 08.30 – 16.30 น. และจะทำการเลือกตั้งนายกฯ อบจ.ขอนแก่น ในวันที่ 3 พ.ย. 2567 ที่จะถึงนี้

ต่อจากนั้นในเวลา 10.00 น.ที่ ห้องประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น นายพันธ์เทพ เสาโกศล รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น พร้อมด้วย นายวัชระ สีสาง ผู้อำนวยการคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดขอนแก่น และว่าที่ร้อยเอก พงเจตน์ พรกุณา ปลัด อบจ.ขอนแก่น ในฐานะ ผอ.กกต. อบจ.ขอนแก่น ดำเนินการประชุมเตรียมการเลือกตั้ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น แทนตำแหน่งที่ว่างลง หลังจากที่ นายพงษ์ศักดิ์ ตั้งวานิชกพงษ์ ลาออกจากตำแหน่งก่อนหมดวาระ 3 เดือน โดยเป็นการประชุมลับห้ามสื่อมวลชนและบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องร่วมรับฟัง

ซึ่งแหล่งข่าว เปิดเผยว่าในปี 2563 ได้มีการเลือกตั้ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น เนื่องจากครบวาระ ซึ่งมีผู้สมัครจำนวน 10 คน ในครั้งนั้น ดร.พงษ์ศักดิ์ ตั้งวานิชกพงษ์ อดีตนายก อบจ.ขอนแก่น  สามารถชนะการเลือกตั้ง ได้เป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น สมัยที่ 6 โดยได้คะแนนถึง 376,460 คะแนน ทิ้งห่างคู่แข่ง กว่าแสนคะแนน ซึ่งในครั้งนั้น สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด(ส. อบจ.) ทั้ง 42 เขต เป็นคนของบ้านใหญ่ และเป็นคนหน้าใหม่เข้ามายึดครอง

ตัวชี้วัด ในการที่จะเป็นผู้ชนะนั่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น นั่นคือ จำนวนเสียงสนับสนุนของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น และมีข้อสงสัย ต่อกรณีที่ นายวัฒนา ช่างเหลา เลขานุการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายทรงศักดิ์ ทองศรี พรรคภูมิใจไทย 

ซึ่งมีบิดาคือ นายเอกราช ช่างเหลา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดขอนแก่น เขต 4 พรรคภูมิใจไทย ซึ่งจะต้องขึ้นฟังคำพิพากษาของศาล ตามรายงานกระบวนพิจารณา ศาลจังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่26 มีนาคม 2567 กำหนดให้จำเลยคือนายเอกราช ช่างเหลา นำหลักทรัพย์มูลค่า130 ล้านบาท มาวางประกันหรือนำเงินจำนวน 100 ล้านบาท ชำระค่าเสียหายให้กับสหกรณ์ฯ 

ภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม 2567 ปรากฏว่าบุคคลลลดังกล่าวไม่ได้ดำเนินการ ศาลจังหวัดขอนแก่น นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 7 ตุลาคม เวลา 14.39 น. ที่ได้มาเปลี่ยนสวมเสื้อพรรคเพื่อไทย ในการประกาศตัวครั้งล่าสุด ซึ่งก็สร้างความงุนงง เพราะในเขตที่ 4 จังหวัดขอนแก่น เป็นพื้นที่ของนางมุกดา พงษ์พงศ์สมบัติ อดีต สส.พรรคเพื่อไทย 

ซึ่งพ่ายแพ้ให้กับนายเอกราช ช่างเหลา ซึ่งสวมเสื้อพรรคภูมิใจไทย เมื่อครั้งเลือกตั้งที่ผ่านมา

ประชาธิปัตย์ประเดิม ก้าวใหม่เปิดเวที 'เดโมแครต ฟอรั่ม' ประเด็นฮ็อต 'เศรษฐกิจคาร์บอน : โอกาสในวิกฤตโลกรวนน้ำท่วมภัยแล้งสุดขั้ว'

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยวันนี้ว่าพรรคประชาธิปัตย์กำลังเดินหน้าสู่ยุคปรับเปลี่ยน (Democrat in Transformation) จากองค์กรพรรคการเมืองเก่าแก่ที่สุดสู่องค์กรพรรคการเมืองของประชาชนที่ก้าวหน้าทันสมัยทันโลกเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงประเทศทุกมิติทั้งมิติการพัฒนา การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีตามนโยบายและวิสัยทัศน์ของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคโดยเฉพาะประเด็นเมกะเทรนด์ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยโดยตรงทั้งในปัจจุบันและอนาคต 

ล่าสุดคือปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้เกิดอุทกภัยน้ำท่วมอย่างรุนแรงในหลายภูมิภาคของประเทศไทยและประเทศต่างๆจากภาวะโลกรวนโลกร้อนทะเลเดือดแบบสุดขั้ว พรรคประชาธิปัตย์จึง เปิดเวที 'เดโมแครต ฟอรั่ม' (Democrat Forum)ครั้งที่ 1 ในหัวข้อ 'เศรษฐกิจคาร์บอน : โอกาสในวิกฤตโลกรวนน้ำท่วมภัยแล้งสุดขั้ว' ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ระหว่างเวลา 9.00 -11.00 ณ สำนักงานใหญ่ พรรคประชาธิปัตย์ มีเป้าหมาย 3 ประการ 
1.สร้างการรับรู้ถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
2.เปิดพื้นที่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้อมูล สภาพปัญหา และแนวทางการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ 
3.การกำหนดมาตรการและนโยบายของพรรค

โดยมีวิทยากรทั้งภาครัฐภาคเอกชนภาควิชาการและภาคประชาชนเช่น ตัวแทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ตัวแทนภาครัฐเช่นกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมและองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ตัวแทนสื่อมวลชน ตัวแทนภาคประชาสังคมและผู้แทนพรรคมาร่วมในการเสวนาครั้งนี้โดยมี ส.ส.ร่มธรรม ขำนุรักษ์เป็นผู้ดำเนินรายการ

อดีตรัฐมนตรีอลงกรณ์ ยังกล่าวต่อไปว่า “ความท้าทายสำคัญในปัจจุบันและอนาคตคือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(Climate Change)ที่รุนแรงและรวดเร็ว นายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการ สหประชาชาติ กล่าวเตือนไว้เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมปีที่แล้วว่า สามสัปดาห์แรกของเดือนกรกฎาคม 2023 ทำสถิติ ร้อนที่สุดเท่าที่เคยวัดกันมา โลกร้อนขึ้น 1.5 องศา การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเกิดขึ้นแล้ว เป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก และนี่แค่จุดเริ่มต้น เป็นจุดจบของ ภาวะโลกร้อน และเป็น จุดเริ่มต้นของภาวะโลกเดือด (Global Boiling)

จากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ประเทศไทยต้องเร่งขับเคลื่อนสู่เป้าหมายว่าความเป็นกลางทางคาร์บอน ในปี 2050 และคาร์บอนเป็นศูนย์หรือซีโร่คาร์บอนภายในปี 2065 เพื่อรับมือกับภาวะโลกรวนโลกร้อนทะเลเดือดแบบสุดขั้วซึ่งเป็นภัยคุกคามต่ออนาคตของประเทศไทย ในมุมมองของพรรคประชาธิปัตย์เห็นว่าเราสามารถสร้างโอกาสในวิกฤตโดยสร้างโมเดลเศรษฐกิจคาร์บอน(Carbon Economy)ครอบคลุมตั้งแต่คาร์บอน ฟุ้ตปริ้นท์(carbon footprint) คาร์บอน เครดิต(carbon credit)จนถึงมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้า พรมแดน (CBAM:Carbon Border Adjustment Mechanism)สามารถสร้างงานสร้างอาชีพสร้างเทคโนโลยีสร้างธุรกิจและสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ให้กับประเทศจึงได้จัดเวทีเดโมแครต ฟอรั่มในประเด็นดังกล่าว“


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top