Saturday, 24 May 2025
NewsFeed

'ไทย' เปิด 'ศูนย์คัดแยกและส่งต่อระดับชาติเหยื่อค้ามนุษย์' หวังยกระดับขึ้น Tier 1

(24 ก.ย.67) เวลา 10.00 น. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานกรรมการประสานและกำกับการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (คณะกรรมการ ปกค.) ได้มอบหมายให้ พลตำรวจโท ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นประธานเปิดศูนย์คัดแยกและส่งต่อผู้เสียหายระดับชาติ (Thailand Victim Identification and Referral Center) อย่างเป็นทางการ ณ ถนนเชิดวุฒากาศ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง 

โดยมี พลตำรวจโท อภิชาติ สุริบุญญา
ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี/หัวหน้าชุดปฏิบัติการต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (TATIP) พลตำรวจตรี ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย รองจเรตำรวจ (สบ 7)/หัวหน้าชุดปฏิบัติการปราบปรามการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต (TICAC) และผู้แทนจากหน่วยงานราชการอันประกอบด้วยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคดีค้ามนุษย์ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานศาลยุติธรรม กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรุงเทพมหานคร สถานเอกอัครราชทูต และสถานกงสุลต่าง ๆ ประจำประเทศไทย รวมถึงองค์กรภาคประชาสังคม(NGOs) ได้ร่วมกันเป็นสักขีพยานและแสดงความยินดีต่อพิธีเปิดครั้งนี้       

พลตำรวจโท ประจวบ วงศ์สุข ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญต่อการป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์และประกาศเป็นวาระแห่งชาติมาอย่างยาวนานต่อเนื่อง 
และเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2565 ก็มีความคืบหน้าที่สำคัญในเรื่องนี้ นั่นคือ คณะกรรมการประสานและกำกับการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ได้ให้ความเห็นชอบต่อแผนปฏิบัติการ
ว่าด้วยกลไกการส่งต่อระดับชาติ การบริหารจัดการคดี และการช่วยเหลือคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ พ.ศ. 2565 เพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติให้กับเจ้าหน้าที่ที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อการป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ ซึ่งแผนปฏิบัติการดังกล่าวยึดแนวทาง 'ผู้เสียหาย
เป็นศูนย์กลาง' หรือ 'victim-centric approach' และยังได้นำเอากลไกการส่งต่อระดับชาติ
ที่ใช้แพร่หลายในระหว่างประเทศมาปรับใช้ ทั้งนี้ เพื่อยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติงานด้านการป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ของไทยให้มีประสิทธิภาพ สอดคล้องต่อหลักสิทธิมนุษยชน และกติกาสากลระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น

พลตำรวจโท ประจวบฯ อธิบายต่อว่า กลไกการส่งต่อระดับชาติ หรือ National Referral Mechanism: NRM ที่กล่าวไปนั้น เป็นกลไกที่ออกแบบมาเพื่อให้เกิดความสะดวกในการปฏิบัติงาน
ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการประสานความร่วมมือ การแบ่งปันข้อมูล การส่งต่อความช่วยเหลือคุ้มครองบุคคลที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าจะเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ จากการบังคับใช้แรงงาน
หรือบริการ เพื่อช่วยให้บุคคลเหล่านี้สามารถเข้าถึงบริการการช่วยเหลือในเบื้องต้นได้

แนวคิดที่สำคัญของกลไกนี้ มีเรื่องของการกำหนดระยะเวลาการฟื้นฟูไตร่ตรอง (reflection period) โดยเป็นช่วงเวลาที่ให้ผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ได้มีโอกาสผ่อนคลาย ทบทวนประสบการณ์ที่ผ่านมาในสถานที่ที่เหมาะสม อันจะนำไปสู่การพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีขั้นตอนการปฏิบัติงานที่สำคัญตามแผนปฏิบัติการได้แก่ 1) การรับแจ้งเหตุ 2) การคัดกรอง 3) การคัดแยก และ 4) การคุ้มครอง โดยการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ ในต่างจังหวัดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดรับผิดชอบในการกำหนดสถานที่และบริหารจัดการให้เป็นไปตามแผน ส่วนในเขตกรุงเทพมหานคร และส่วนกลาง ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงแรงงาน รับผิดชอบในการกำหนดสถานที่ และบริหารจัดการให้เป็นไปตามแผน

ในส่วนของกรุงเทพมหานคร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานหลักทั้ง 3 หน่วย ตามที่ได้กล่าวไปนั้น ได้ดำเนินการและปรับปรุงอาคารศูนย์ฝึกอบรมสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองมาอย่างต่อเนื่อง
และจัดตั้งเป็น “ศูนย์คัดแยกและส่งต่อผู้เสียหายระดับชาติ (Thailand Victim Identification and Referral Center)” เพื่อให้เป็นไปตามแผน ซึ่งรัฐบาลได้อนุมัติเห็นชอบอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา

พลตำรวจโท ประจวบฯ แสดงความเชื่อมั่นว่า ศูนย์คัดแยกและส่งต่อผู้เสียหายระดับชาติแห่งนี้ จะเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการดำเนินงานตามแผนการปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ที่รัฐบาลได้เห็นชอบให้มีประสิทธิภาพ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนานาประเทศและองค์กรระหว่างประเทศที่มีต่อการป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ของไทยมากยิ่งขึ้น ซึ่งรัฐบาลไทย
มีความตั้งใจอย่างยิ่งที่จะยกระดับสถานการณ์การค้ามนุษย์จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ Tier 2 ก้าวขึ้นสู่ระดับ Tier 1 ต่อไป

ชาวเน็ตให้กำลังใจ 'ฟาร์มดัง' เชือดจระเข้ยกบ่อ 'หวั่นน้ำท่วม-จระเข้หลุด' หลังตัดสินใจแบบเร่งด่วนที่สุด ขอป้องกันไว้ก่อน ดีกว่ามาตามแก้ทีหลัง

(24 ก.ย. 67) หลังจากหลายพื้นที่มีฝนตกหนักและน้ำท่วมในหลายจังหวัด ทำให้ชาวบ้านต่างได้รับความเดือดร้อนจำนวนมาก ข้าวของในบ้านต่างเสียหายหนัก

ล่าสุดเฟซบุ๊ก ‘เอ็กซ์ วัวหันอินเตอร์’ ฟาร์มจระเข้ จ.ลำพูน โพสต์ข้อความและรูปภาพกล่าวว่า “วันนี้ตัดสินใจเอาจระเข้พ่อแม่พันธุ์ที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ต้น ประมาณ 17 ปี ออกจากบ่อทั้งหมด หนึ่งในปัจจัยคือ เรื่องฟ้าฝนที่ปีนี้ดูจะรุนแรงเกิน ผมต้องรีบตัดสินใจแบบเร่งด่วนที่สุด ป้องกัน ดีกว่ามาแก้ไขทีหลัง…

“ปรึกษาครอบครัวและคนใกล้ชิด มีมติเอกฉันท์ ปกติผมจะไม่ค่อยยอม แต่มาคิดหลายด้าน ชั่งใจอยู่นานพอสมควร มันคือทางเลือกที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้แล้วละ จำใจจริง ๆ ปีหน้าเราจะไม่มีเก็บไข่จระเข้ หรือทำคลอดจระเข้อีกแล้ว เชื่อว่า ฟ้าหลังฝนจะสดใสเสมอ ฝนตกหนัก ดินชุ่มน้ำ อุ้มน้ำจนพื้นน่วม อ่อนปวกเปียก ทำให้การทำงานค่อนข้างจะยากมาก”

หลังจากโพสต์ดังกล่าวไปมีชาวเน็ตเข้ามาให้กำลังใจจำนวนมาก เช่น แอบเศร้า เชื่อว่าเป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดและดีที่สุดแล้ว ส่งกำลังใจไปให้ค่ะ, เป็นกำลังใจให้นะพี่เห็นแล้วก็ใจหายไม่น้อยเลยค่ะ เข้าใจเจ้าของฟาร์มอย่างน้องเลย

เปิดโผ!! ผลสำรวจบริษัทที่ 'พนักงาน' มีความสุขที่สุดปี 2024 ชี้!! ความสุขพนักงาน สอดคล้อง 'มูลค่าธุรกิจ-ผลกำไร' ที่เติบโต

ไม่นานมานี้ สำนักข่าว CNBC รายงานถึงผลการศึกษาชิ้นใหม่ล่าสุด '2024 Work Wellbeing 100' จาก Indeed ซึ่งเป็นเว็บไซต์หางานชื่อดัง ร่วมกับ Wellbeing Research Centre ของมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ซึ่งทำการสำรวจว่าบริษัทใดในสหรัฐอเมริกาที่พนักงานมีความเป็นอยู่ที่ดีและมีความสุขมากที่สุดในปี 2024 

ผลการจัดอันดับพบว่า H&R Block ซึ่งเป็นบริษัทด้านการจัดการภาษีสัญชาติอเมริกันที่ดำเนินกิจการในแคนาดา, สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย ขึ้นแท่นเป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในการทำงานสูง ความเครียดต่ำ ทำให้ลูกจ้างทำงานอย่างมีความสุขมากที่สุดในปี 2024

ทั้งนี้ มีการระบุชื่อของ H&R Block ซึ่งเป็นองค์กรที่มีชื่อเสียงในด้านสถานที่ทำงานแบบผสมผสาน โดยพนักงานในองค์กร 42% สามารถทำงานจากระยะไกลได้แบบเต็มเวลา ขณะที่สายการบินเดลต้าแอร์ไลน์, ไนกี้, ดิสนีย์ (สวนสนุก), ไอบีเอ็ม ก็ติดอันดับ Top 10 บริษัทที่ลูกจ้างมีความสุขที่สุด จากทั้งหมด 100 อันดับ

ทีมวิจัยได้เก็บข้อมูลจากความเห็นของพนักงานกลุ่มตัวอย่างในบริษัทต่าง ๆ ผ่านชุดแบบสอบถาม ซึ่งให้พนักงานเขียนรีวิวเกี่ยวกับนายจ้างบริษัทของตนพร้อมให้คะแนนในหมวดหมู่ต่าง ๆ ในการทำงาน จากนั้นทีมวิจัยได้รวบรวมคะแนนแล้วจัดอันดับบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐอเมริกาออกมาได้ 100 อันดับแรก ซึ่งคัดเฉพาะบริษัทที่พนักงานรายงานว่า พวกเขามีความสุขในการทำงาน มีจุดมุ่งหมายในอาชีพการงาน มีความพึงพอใจ และมีความเครียดต่ำ โดยใน 100 บริษัทเหล่านี้พบว่าส่วนใหญ่เป็นบริษัทในอุตสาหกรรมค้าปลีกและอุตสาหกรรมขนส่ง

สำหรับบริษัทที่พนักงานมีความสุขที่สุด 20 อันดับแรก ได้แก่...

อันดับ 1 เอชแอนด์อาร์ บล็อค (H&R Block)
อันดับ 2 สายการบินเดลต้าแอร์ไลน์ (Delta Air Lines)
อันดับ 3 L3แฮร์ริส (L3Harris)
อันดับ 4 เอคเซนเชอร์ (Accenture)
อันดับ 5 ไนกี้ (Nike)
อันดับ 6 ช่างฝีมือนานาชาติ (Tradesmen International)
อันดับ 7 ดิสนีย์สวนสนุก (Disney Parks, Experiences and Products)
อันดับ 8 แอดดัส โฮมแคร์ (Addus HomeCare)
อันดับ 9 ไอบีเอ็ม (IBM)
อันดับ 10 แอมะซอน เฟล็กซ์ (Amazon Flex) 
อันดับ 11 แอปเปิล (Apple) 
อันดับ 12 บริษัท วอลท์ ดิสนีย์ (The Walt Disney Company) 
อันดับ 13 วิโปร (Wipro) 
อันดับ 14 แม็กซิมัส (Maximus) 
อันดับ 15 แวนส์ (Vans)
อันดับ 16 ค็อกนิแซนท์ เทคโนโลยี โซลูชันส์ (Cognizant Technology Solutions)
อันดับ 17 กูเกิล (Google) 
อันดับ 18 ดัตช์บรอสคอฟฟี (Dutch Bros Coffee) 
อันดับ 19 ไมโครซอฟท์ (Microsoft) 
อันดับ 20 ขนส่งเฟดเอ็กซ์ (FedEx Freight) 

นอกจากนี้ Indeed ยังได้วิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มเติมและพบว่า บริษัทที่ได้คะแนนสูงในด้านความเป็นอยู่ที่ดีในการทำงานนั้น ส่งผลให้บริษัทเติบโตด้วยมูลค่าสูง มีผลตอบแทนจากสินทรัพย์และผลกำไรที่สูงขึ้นด้วย เมื่อดูข้อมูลในภาพรวมแล้วทำให้เห็นว่าบริษัทต่าง ๆ ที่อยู่ในผลการจัดอันดับชุดนี้ มีประสิทธิผลของงานดีกว่าบริษัทที่อยู่ในดัชนีตลาดหุ้น เช่น S&P 500 และ Nasdaq Composite ด้วยซ้ำ 

ด้าน ไคล์ เอ็มเค (Kyle M.K.) ที่ปรึกษาฝ่ายกลยุทธ์บุคลากรของ Indeed กล่าวว่า บริษัทหลายแห่งมักให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในการทำงาน (เลือกสถานที่ วิธีทำงาน และเวลาทำงานได้) บริษัทบางแห่งให้วันหยุดเพิ่มด้วย โดยวันหยุดที่เพิ่มขึ้นทำให้พนักงานสามารถเลือกไปพบแพทย์หรือไปดูเกมฟุตบอล หรือทำงานจากที่บ้านก็ได้หากสะดวกกว่า

“บริษัทที่ให้ทางเลือกวิธีการทำงานที่หลากหลาย คือบริษัทที่มักจะมีชื่อเสียงที่ดีกว่าในสายตาของพนักงานหรือผู้หางาน” ที่ปรึกษาฝ่ายกลยุทธ์บุคลากร กล่าวย้ำ

ข้อมูลในรายงานของ Indeed ยังระบุอีกว่า ท่ามกลางสถานการณ์ที่บริษัทใหญ่ ๆ บางแห่งเริ่มหันมาใช้นโยบายบังคับให้พนักงานกลับเข้าทำงานที่ออฟฟิศสัปดาห์ละ 5 วัน เหมือนกับช่วงก่อนเกิดโรคระบาดใหญ่โควิด แต่กลับมีหลาย ๆ บริษัทที่หลีกเลี่ยงข้อกำหนดที่เข้มงวดเหล่านั้น ซึ่งส่งผลให้บริษัทกลุ่มนี้กำลังได้รับความนิยมจากผู้สมัครงานมากขึ้นเรื่อย ๆ

ทั้งนี้ หากพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้รูปแบบการทำงานแบบยืดหยุ่น สามารถตอบโจทย์กับความต้องการของผู้หางานส่วนใหญ่ในยุคนี้ได้ เพราะพวกเขารู้สึกว่าอยากได้รับการดูแลที่ดี และต้องการทำงานให้กับบริษัทที่ใส่ใจความรู้สึกของพวกเขาจริง ๆ ซึ่งจากลิสต์รายชื่อองค์กรต่าง ๆ ใน '2024 Work Wellbeing 100' จะช่วยให้ผู้หางานที่ชอบทำงานแบบยืดหยุ่น สามารถมองหางานที่ตรงใจพวกเขาได้มากขึ้น 

ด้าน ลาฟอน เดวิส (LaFawn Davis) หัวหน้าฝ่ายบุคลากรและความยั่งยืนของ Indeed กล่าวในแถลงการณ์ว่า แม้ว่าความเป็นอยู่ที่ดีในการทำงานจะเผชิญกับความท้าทายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่บริษัทต่าง ๆ ก็ต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่พนักงานสามารถเติบโตได้อย่างแท้จริง 

“การให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีในการทำงาน จะทำให้บริษัทต่าง ๆ สามารถสร้างพนักงานที่มีความยืดหยุ่น มีประสิทธิภาพ และมีความสุขมากขึ้น ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะเป็นแรงผลักดันให้ธุรกิจเติบโต” เดวิสกล่าว

ท้ายที่สุด ไคล์ เอ็มเค สนับสนุนให้ผู้สมัครงานทบทวนให้แน่ใจว่าวิธีการทำงานรูปแบบใดที่เหมาะกับตนเอง ก่อนจะตัดสินใจเลือกทำงานที่บริษัทใดบริษัทหนึ่ง ขั้นตอนนี้จะช่วยให้ผู้หางานพบกับบริษัทที่มีวัฒนธรรมการทำงานสอดคล้องกับ 'แรงจูงใจภายใน' ของตนเองและสามารถทำงานได้ดีขึ้น อีกทั้ง เขาเชื่อว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะประสบความสำเร็จในการทำงาน และสมควรที่จะได้ทำงานกับบริษัทที่ดูแลพวกเขาได้อย่างดีที่สุด

'เกาหลีใต้' จับหมอมือแฉ!! ปล่อย Blacklist กลุ่มหมอกลับใจ เพียงเพราะเลือกกลับไปดูแลประชาชน ตีจากวงประท้วงรัฐบาล

กล้าแฉ ก็กล้าจับ เมื่อตำรวจเกาหลีใต้จับแพทย์ฝึกหัด 1 คน ที่ได้เผยแพร่รายชื่อกลุ่มแพทย์ฝึกหัดที่ไม่ยอมเข้าร่วมประท้วงนัดหยุดงาน หรือ เคยหยุดงานไปแล้ว และตัดสินใจกลับไปปฏิบัติหน้าที่ต่อ ด้วยการประจานออกสื่อออนไลน์ Telegram เพื่อหวังให้เป็นบทลงโทษทางสังคมจากกลุ่มแพทย์รุ่นใหม่ที่ยังคงแสดงจุดยืนหยุดงานประท้วงรัฐบาล

นับเป็นเคสแรกที่หมอเกาหลีใต้ถูกจับ ตั้งแต่มีการนัดหยุดงานของกลุ่มแพทย์ฝึกหัดมากกว่า 80% ทั่วประเทศ ที่ประกาศทิ้งงาน-ลาออก เพราะไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลเกาหลีใต้ต้องการเพิ่มโควตาการรับนักศึกษาแพทย์ในมหาวิทยาลัยแพทย์กว่า 40 สถาบัน อีก 1,500 ที่นั่ง หรือเท่ากับภายในปี 2025 รัฐบาลเกาหลีใต้ตั้งเป้าที่จะเพิ่มนักศึกษาแพทย์เป็น 4,567 คน เพื่อรองรับสังคมสูงวัย และ ปัญหาขาดแคลนบุคลากรการแพทย์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน 

ทว่าเรื่องดังกล่าวกลับเจอกระแสต่อต้านรุนแรงจากกลุ่มแพทย์ฝึกหัดจบใหม่ ที่มองว่าการเพิ่มจำนวนนักศึกษาแพทย์ส่งผลเสียต่อคุณภาพการศึกษา และรัฐบาลควรเพิ่มงบประมาณสนับสนุนสวัสดิการให้กับกลุ่มแพทย์ที่ทำงานในปัจจุบันมากกว่า 

เหตุการณ์นี้ลุกลามจนกลายเป็นการนัดหยุดงานประท้วงที่ต่อเนื่องยาวนานมากกว่า 6 เดือน และแม้รัฐบาลเกาหลีใต้จะส่งแพทย์ทหารเข้าไปเสริมในโรงพยาบาลต่าง ๆ ที่ขาดแคลนบุคลากรแพทย์อย่างหนัก แต่ก็ไม่อาจบรรเทาความปั่นป่วนจากการนัดหยุดครั้งใหญ่ของกลุ่มแพทย์ฝึกหัดเกือบหมื่นคนในคราวเดียวกันได้ และเป็นเหตุให้คนไข้ฉุกเฉินบางรายต้องเสียชีวิตเพราะหลายโรงพยาบาลมีแพทย์หน้างานไม่พอ 

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่รัฐบาลออกมาเรียกร้อง และ 'คาดโทษ' กลุ่มแพทย์ฝึกหัดที่ประท้วงหยุดงาน ก็เริ่มมีแพทย์หลายคนที่เปลี่ยนใจกลับมาทำงานเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และนั่นก็กลายเป็นชนวนให้กลุ่มแพทย์ที่ยังยืนหยัดประท้วง หันมาทำบัญชีรายชื่อ พร้อมประวัติส่วนตัว โดยจัดทำเป็น Blacklist ของ 'แพทย์ฝึกหัดแตกแถว' ที่ไม่ยอมเข้าร่วมประท้วง หรือ ตัดสินใจกลับไปปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาลต่อ และปล่อยรายชื่อลงใน Telegram เพื่อหวังประจานแพทย์เหล่านี้ในฐานะ 'คนที่หักหลังเพื่อน' และถือเป็นแรงกดดันหมู่ในสังคมแพทย์เพื่อป้องกันคนแตกแถวเพิ่มขึ้นไปในตัว

แต่งานนี้ผู้แฉก็ไม่รอดเสียแล้ว เพราะเมื่อวันศุกร์ (20 ก.ย. 67) ที่ผ่านมามีการจับกุมแพทย์ฝึกหัด 1 คน ที่ระบุว่าเป็นคนปล่อย Blacklist ดังกล่าวลงในโลกออนไลน์ ซึ่งตอนนี้ถูกคุมขังในสถานีตำรวจแห่งหนึ่งในกรุงโซล

ทว่า 'ลิม ฮยุน-แท็ก' หัวหน้าสมาพันธ์แพทย์เกาหลีใต้ที่ได้ติดต่อขอพูดคุยกับแพทย์ที่ถูกจับกุม และออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ ล้วนเป็นความผิดพลาดของรัฐบาลเกาหลีใต้ ทั้งแพทย์ฝึกหัดที่อยู่ในรายชื่อบัญชีดำ รวมถึงแพทย์ที่ถูกจับกุมเพราะเผยแพร่รายชื่อนั้น ล้วนแต่เป็นเหยื่อของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทั้งสิ้น

แต่มุมมองของหัวหน้าแพทย์ฯ ก็ไม่ใช่ในมุมมองของกฎหมาย เพราะแพทย์ฝึกหัด ที่ตอนนี้กลายเป็นผู้ต้องหาจะต้องถูกดำเนินคดีในความผิดข้อหาการสะกดรอย ที่คุกคามผู้อื่นด้วยการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคล อันได้แก่ ชื่อจริง สถานที่ทำงาน หมายเลขโทรศัพท์ส่วนตัว หรือประวัติการศึกษา โดยไม่ได้รับความยินยอม

ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น เหยื่อที่น่าสงสารที่สุดในตอนนี้ ก็ไม่ใช่กลุ่มแพทย์ในหรือนอกบัญชีดำแต่อย่างใด หากแต่เป็นคนไข้ที่กำลังเดือดร้อนจากสถานการณ์บุคลากรแพทย์ขาดแคลนอยู่ในขณะนี้ และถ้าปัญหาความขัดแย้งระหว่างองค์กรแพทย์และรัฐบาลยังคงดำเนินต่อไปใน ระบบรักษาสุขภาพถ้วนหน้าของเกาหลีใต้อาจเข้าใกล้คำว่าวิกฤติมากกว่าถึงฝั่งฝัน

‘ลิซ่า’ ประกาศจัดเอเชียทัวร์แฟนมีตติ้งครั้งแรก ปักหมุด ‘ประเทศไทย’ บ้านเกิด 13 พ.ย.นี้

(24 ก.ย. 67) ฮือฮาสนั่นโซเชียล ที่แทบจะบอกได้เลยว่าเซอร์ไพรส์สุด ๆ สำหรับการประกาศตารางทัวร์ แฟนมีตติ้งทั่วเอเชียครั้งแรกของศิลปินสาวระดับโลกสายเลือดไทยอย่าง ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ หรือ ‘ลิซ่า BLACKPINK’ ซีอีโอสาวมากความสามารถของ LLOUD

สำหรับงานแฟนมีตติ้ง ‘LISA Fan Meetup in Asia 2024’ ถือว่าเป็นการจัดแฟนมีตติ้งเดี่ยวครั้งแรก ในการเป็นศิลปินเดี่ยวจากค่าย LLOUD ของเธอ โดยในโซเชียลมีเดียของ ‘LLOUD Co.’ ได้โพสต์ภาพ รวมถึงกำหนดการที่จัดงานมีตติ้งครั้งนี้ ที่จะเกิดขึ้น ใน 5 ประเทศด้วยกัน และปักหมุดที่ประเทศไทยบ้านเกิด ในวันที่ 13 พ.ย. 2567

เอเชียทัวร์ของเธอเริ่มที่สิงคโปร์ ในวันที่ 11 พ.ย. 2567 ต่อด้วยที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย 13 พ.ย. 2567 จากนั้นเป็นกรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย วันที่ 15 พ.ย. 2567 ต่อที่เมืองเกาสง ไต้หวัน วันที่ 17 พ.ย. 2567 และปิดท้ายที่ฮ่องกงในวันที่ 19 พ.ย. 2567 นั่นเอง

‘บลูมเบิร์ก’ ตีข่าว ‘กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ’ เตรียมฟ้อง ‘วีซ่า’ หลังตรวจพบผูกขาดตลาดบัตรเดบิต-สกัดไม่ให้คู่แข่งเข้าตลาด

(24 ก.ย. 67) บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานอ้างแหล่งข่าวว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐโดยแผนกต่อต้านการผูกขาดเตรียมยื่นการฟ้องร้องดำเนินคดี บริษัท วีซ่า (Visa Inc.) ผู้ให้บริการเครือข่ายการชำระเงินสัญชาติสหรัฐ ในข้อกล่าวหาผูกขาดตลาดบัตรเดบิตในสหรัฐฯ โดยมิชอบด้วยกฎหมาย คาดว่าจะยื่นฟ้องต่อศาลของรัฐบาลกลางโดยเร็วที่สุด

แหล่งข่าวผู้ไม่ประสงค์ให้ออกนามระบุอีกว่า เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายป้องกันการผูกขาดตลาดกำลังเตรียมที่จะกล่าวหาวีซ่า ผู้ให้บริการเครือข่ายการชำระเงินรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ได้ดำเนินการกีดกันคู่แข่งไม่ให้สามารถแข่งขันหรือท้าทายการครองตลาดบัตรเดบิตของตน หลังพบวีซ่ามีพฤติกรรมเป็นภัยต่อการแข่งขันหลายอย่าง 

ข้อกล่าวหาของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ รวมถึงการที่วีซ่าทำข้อตกลงแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่มุ่งหมายจะขัดขวางการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้นและสกัดกั้นความพยายามของหลายบริษัทเทคโนโลยีที่จะเข้าสู่ตลาดบัตรเดบิตของสหรัฐ

หลังจากมีข่าวจะโดนฟ้อง หุ้น V ของวีซ่าที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) ร่วงลงมากถึง 1.95% ในการซื้อขายช่วงหลังปิดตลาดวันจันทร์ที่ 23 กันยายน 

ขณะนี้วีซ่าและกระทรวงยุติธรรมยังปฏิเสธที่จะให้ความเห็น

การยื่นฟ้องร้องดำเนินคดีของกระทรวงยุติธรรมดังกล่าวถือเป็นจุดสิ้นสุดของการสอบสวนแนวปฏิบัติในการดำเนินธุรกิจของวีซ่าที่กินเวลานานหลายปี ซึ่งการสอบสวนนี้เกิดจากกรณีที่วีซ่าล้มเหลวในการเข้าซื้อกิจการบริษัท เพลด (Plaid Inc.) ซึ่งทำธุรกิจให้บริการโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน เมื่อปี 2021 

ในระหว่างการดำเนินการสอบสวน กระทรวงยุติธรรมยังตรวจสอบโครงสร้างทางราคาของเทคโนโลยีการแปลงสินทรัพย์เป็นโทเค็น (Tokenization) ในการที่วีซ่าให้บริการโทเค็นการชำระเงินด้วย 

เมื่อปีก่อนหน้านี้ บริษัท มาสเตอร์การ์ด (Mastercard Inc.) คู่แข่งทางธุรกิจของวีซ่าได้ตกลงจ่ายเงินระงับคดีที่คล้ายกันนี้ ซึ่งมุ่งตรวจสอบเทคโนโลยี Tokenization ของมาสเตอร์การ์ด โดยคณะกรรมการการค้าแห่งสหพันธรัฐ (FTC) ซึ่งเป็นอีกหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาดเป็นผู้ยื่นฟ้องร้องดำเนินคดี

‘อัครเดช’ ย้ำ!! ‘รวมไทยสร้างชาติ’ ไม่แก้ รธน. ปมมาตรฐานจริยธรรม ชี้!! นักการเมือง ควร ‘ซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส ไร้ประวัติด่างพร้อย’

(24 ก.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เปิดเผยภายหลังการประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า…

การประชุมพรรครวมไทยสร้างชาติในครั้งนี้นำโดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยมีรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของพรรคร่วมประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง 

สำหรับประเด็นสำคัญที่มีการหารือในการประชุมพรรครวมไทยสร้างชาติในวันนี้ที่สำคัญคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมือง ซึ่งบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 

ในที่ประชุมได้มีการหารือในประเด็นนี้อย่างกว้างขวาง จนสามารถสรุปเป็นมติของพรรครวมไทยสร้างชาติได้ว่า ‘มาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมือง’ ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมีความเหมาะสมแล้ว เพื่อให้ได้นักการเมืองที่มีความซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส ไร้ประวัติด่างพร้อย 

ดังนั้นพรรครวมไทยสร้างชาติจึงมีมติไม่เห็นด้วยกับการแก้ไข ‘มาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมือง’ ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

นอกจากนี้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ยังได้แจ้งต่อที่ประชุมอีกว่าในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในส่วนของ ‘มาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมือง’ นั้นไม่เคยมีการหยิบยกขึ้นมาหารือในระดับหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลมาก่อนแต่อย่างใด

'พีระพันธุ์' ตอกย้ำ!! กฎหมายสำคัญด้านพลังงาน 3 ฉบับ เดินหน้า!! แก้ปัญหาโครงสร้างพลังงานไทยสะสมยาวนานได้อย่างยั่งยืน

‘พีระพันธุ์’ ร่วมงานเสวนา ‘สามย่านคาเฟ่’ ครั้งที่ 2 ย้ำชัด จะเดินหน้านโยบาย 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' พลังงานไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมเผยกฎหมายสำคัญด้านพลังงาน 3 ฉบับ ทั้งกฎหมายคุมกิจการค้าน้ำมัน กฎหมายส่งเสริมการติดตั้ง โซลาร์เซลล์ และกฎหมายตั้งคลังน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ จะยกร่างเสร็จภายในปีนี้ ก่อนจะยื่นเสนอสภาพิจารณาต่อ เชื่อจะช่วยลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชนและสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศอย่างยั่งยืน

ไม่นานมานี้ (22 ก.ย.67) สำนักข่าวออนไลน์ UTN TODAY ได้จัดงานเสวนา จัดงานเสวนาอินฟลูฯ 'สามย่านคาเฟ่' แลกเปลี่ยน เรียนรู้ โลกออนไลน์ ซึ่งครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ณ KliqueXSomyan ชั้น 3 I'm Park สามย่าน โดยภายในงานได้รับเกียรติจากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ร่วมพูดคุยอย่างเป็นกันเองกับผู้ร่วมงาน พร้อมตอบคำถามเรื่องพลังงานในหลายประเด็น โดยเฉพาะในเรื่องโครงสร้างพลังงาน การติดตั้งโซลาร์เซลล์ และการจัดตั้งระบบน้ำมันสำรอง การจัดทำระบบสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงของประเทศ (SPR)

นายพีระพันธุ์ ได้ย้ำถึงแนวทางการทำงานตามนโยบาย 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน พร้อมลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนและประเทศชาติ ผ่านการออกกฎหมายด้านพลังงานฉบับใหม่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำร่างกฎหมายสำคัญ 3 ฉบับ ประกอบด้วย...

(1) กฎหมายกำกับดูแลการประกอบกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง 
(2) กฎหมายที่อนุญาตส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ โซลาร์เซลล์ และ 
(3) กฎหมายการจัดทำระบบสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงของประเทศ หรือ SPR (Strategic Petroleum Reserve)

นายพีระพันธุ์ ระบุว่า กฎหมายทั้ง 3 ฉบับ จะเข้ามาตอบโจทย์และไขปัญหาโครงสร้างพลังงานของประเทศไทยที่สะสมมาเป็นเวลายาวนาน พร้อมทั้งช่วยแก้ปัญหาราคาพลังงานได้อย่างยั่งยืน

โดยกฎหมายกำกับดูแลการประกอบกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งจะเน้นในเรื่องการคำนวณราคาน้ำมันตามต้นทุนจริงแทนการอิงราคาน้ำมันจากต่างประเทศ และการดึงอำนาจด้านกำหนดเพดานภาษีน้ำมันกลับคืนมา เพื่อดูแลราคาน้ำมันให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ที่สำคัญจะไม่ให้ราคาน้ำมันขึ้นลงรายวันตามอำเภอใจอีกต่อไป ขณะเดียวกันกฎหมายฯ ยังจะครอบคลุมไปถึงโครงสร้างการเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมัน ไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน เพราะปัจจุบันถูกเรียกเก็บภาษีหลายต่อ ทั้งภาษีการค้าน้ำมัน, ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีท้องถิ่น ไม่เพียงเท่านั้นยังเก็บเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งล้วนส่งผลให้ราคาน้ำมันในประเทศไทยแพงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทั้ง ๆ ที่เนื้อน้ำมันที่กลั่นแล้วราคาอยู่ที่ 20-21 บาทต่อลิตรเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของภาษี อาจจะไม่สามารถลดได้อย่างเต็มที่ เพราะจะส่งผลต่อการจัดเก็บรายได้ของประเทศ แต่จะเปิดโอกาสให้ภาคการเกษตร ธุรกิจขนส่ง และผู้มีรายได้น้อย ที่สามารถจัดหาน้ำมันสำเร็จรูปจากต่างประเทศเข้ามาใช้แทนการซื้อภายในประเทศ เพื่อทางออกในการลดต้นทุนทางภาษี ซึ่งเป็นไปตามนโยบายเปิดนำเข้าน้ำมันเสรี โดยไม่ผ่านคนกลาง ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ได้ยกร่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างให้คณะทำงานตรวจสอบความเรียบร้อย

ส่วนในค่าไฟฟ้าแพง ที่เป็นปัญหาต่อประชาชนชาวไทยทั้งประเทศนั้น นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า แม้ว่าจะไม่สามารถลดราคาค่าไฟลงได้ แต่จะพยายามไม่ให้ราคาปรับเพิ่มขึ้นไปมากกว่านี้ เพราะต้องยอมรับว่า ต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าของประเทศมีหลายปัจจัยมาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะราคาก๊าซที่เป็นต้นทุนหลักยังมีราคาสูง เพราะต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เนื่องจากการผลิตก๊าซจากอ่าวไทยไม่เพียงพอ 

แต่ปัญหาค่าไฟแพงจะสามารถแก้ไขได้อย่างยั่งยืน ด้วยการหันมาติดตั้งโซลาร์เซลล์ เพื่อผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ใช้ในครัวเรือน ซึ่งประเทศไทยมีแสงอาทิตย์เพียงพอ แต่ในขณะนี้ ต้องยอมรับว่า การขออนุญาตในการติดตั้งโซลาร์เซลล์มีความยุ่งยาก เพราะเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน และไม่มีกฎหมายในด้านนี้โดยเฉพาะ ดังนั้น กฎหมายที่อนุญาตส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ โซลาร์เซลล์ขึ้นมา เพื่อให้การติดตั้งโซลาร์เซลล์ทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งร่างกฎหมายอยู่ระหว่างปรับปรุงเพิ่มเติม

ขณะที่กฎหมายฉบับที่ 3 จัดทำระบบสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงของประเทศ หรือ SPR (Strategic Petroleum Reserve) นั้น อยู่ระหว่างการยกร่าง โดยนายพีระพันธุ์ ย้ำว่า กฎหมายฉบับนี้มีความสำคัญ ที่จะทำให้ประเทศไทยมีความมั่นคงด้านน้ำมัน เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยไม่มีการสำรองน้ำมันของประเทศเลย มีเพียงการสำรองเชิงพาณิชย์ของผู้ค้าน้ำมัน และมีปริมาณสำรองเพียง 20 กว่าวันเท่านั้น หากเกิดวิกฤตน้ำมันเหมือนเมื่อปี 1973 ประเทศไทยจะไม่สามารถรับมือได้เลย

ดังนั้น ประเทศไทยจำเป็นต้องมีคลังจัดเก็บน้ำมันสำรองในเบื้องต้น 90 วัน หรือประมาณ 9,000 ล้านลิตร เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันให้อยู่ในระดับที่รัฐบาลสามารถควบคุมราคาได้เอง ขณะเดียวกันหลักการของกฎหมายนี้คือจะนำน้ำมันสำรองนี้มาดูแลปัญหาราคาน้ำมันแทนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเปลี่ยนการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน มาเป็นเก็บน้ำมันเข้าคลังน้ำมันของรัฐบาลแทน และแน่นอนว่า จะทำให้กองทุนน้ำมันที่เคยเป็นหนี้สิน กลายเป็นทรัพย์สินของประเทศประมาณ 1.8 แสนล้านบาททันที

“กฎหมายทั้ง 3 ฉบับ มีความคืบหน้าอย่างมาก และในฐานะนักกฎหมายต้องบอกว่า เป็นการยกร่างกฎหมายที่เร็วมาก และคาดว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการยกร่างกฎหมายทั้งหมดภายในปีนี้ โดย 2 ฉบับแรก อาจจะเข้าสภาได้ทันภายในปี 2567 ส่วนฉบับที่ 3 การสํารองน้ำมันของประเทศ คาดว่า จะเข้าสภาได้ปี 2568 และเชื่อมั่นว่ากฎหมายทั้ง 3 ฉบับ จะได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกรัฐสภา เพราะเป็นกฎหมายที่จะสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติและประชาชน รวมถึงสร้างความมั่นคงด้านพลังงานอย่างยั่งยืนอีกด้วย” นายพีระพันธุ์ กล่าว

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดพิธีมอบประกาศเกียรติคุณ และสวนสนาม เป็นเกียรติแก่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และข้าราชการตำรวจที่เกษียณอายุราชการ ประจำปี 2567

(24 ก.ย. 67) พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และคุณนิภาพรรณ สุขวิมล นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจที่เกษียณอายุราชการ ประจำปีพุทธศักราช 2567 เช่น พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช รอง ผบ.ตร. , พล.ต.อ.สุรพงษ์ ชัยจันทร์ ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. , พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. และข้าราชการตำรวจระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แก่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรง ผู้ช่วย ผบ.ตร. ร่วมพิธีมอบประกาศเกียรติคุณแก่ผู้เกษียณอายุราชการ , พิธีสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ , พิธีวางพานพุ่มฯ , พิธีสวนสนาม และพิธีเชิญธงพิทักษ์สันติราษฎร์ลงจากยอดเสา เนื่องในงานเกษียณอายุราชการ ประจำปี 2567 ณ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม

โดยในเวลา 16.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. เป็นประธาน ในพิธีสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และถวายราชสักการะพระบรมรูป รัชกาลที่ 9 และพิธีมอบประกาศเกียรติคุณแก่ผู้เกษียณอายุราชการ ประจำปี 2567 แก่ข้าราชการตำรวจที่เกษียณอายุราชการ ระดับ พ.ต.อ.ขึ้นไป ณ ห้องประชุมเตมียาเวส 

จากนั้น เวลา 19.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. เป็นประธานพิธีวางพานพุ่มถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 และรับการเคารพจากกองเกียรติยศ ต่อมา ผบ.ตร.เป็นประธานตรวจพลสวนสนาม พิธีมอบแหวนอัศวิน และกล่าวอําลาชีวิตราชการ จากนั้นเป็นขบวนสวนสนาม และพิธีเชิญธงพิทักษ์สันติราษฎร์ลงจากยอดเสา ณ ลานฝึกศรียานนท์ พิธีสุดท้ายในเวลา 22.00 น. ข้าราชการตํารวจในสังกัดโรงเรียนนายร้อยตำรวจ และนักเรียนนายร้อยตำรวจ ตั้งแถวซุ้มกระบี่หน้าประตูทางออกหอประชุมชุณหะวัณ และยืนแถวรายทางจากหน้าหอประชุม ถึงลานพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 เพื่อเป็นเกียรติแก่คณะผู้เกษียณอายุราชการ ผบ.ตร. และนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ

ทั้งนี้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. กล่าวว่า สำหรับข้าราชการตำรวจที่เกษียณอายุราชการแล้ว การที่ท่านได้ปฏิบัติหน้าที่ในราชการ จนวันเกษียณอายุราชการอย่างราบรื่น ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าปลาบปลื้มยินดีอย่างยิ่ง ขอให้ท่านใช้ชีวิตในวัยเกษียณอย่างมีคุณภาพ มีศักดิ์ศรี และมีความสุขต่อไป นอกจากนี้ ขอให้ข้าราชการตำรวจทุกนายพึงระลึกเสมอว่า การที่เราได้อาสามาเป็นตำรวจนั้น หน้าที่หลักคือการดูแลทุกข์สุขของประชาชน เสียสละอุทิศกายและใจให้กับการทำงาน เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุข สร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาให้กับประชาชน โดยเฉพาะหน้าที่ที่สำคัญที่สุด คือการปกป้องและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ขอให้ตำรวจทุกนายได้ภาคภูมิใจในการปฏิบัติหน้าที่ ตามรอยพระยุคลบาทในฐานะข้าของแผ่นดิน โดยมีเจตนาอันแน่วแน่ ในอันที่จะมุ่งหมายประพฤติปฏิบัติตนเป็นตำรวจที่ดีของประชาชน ให้สมกับคำว่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

'พิทบูลจอมโหด' ขย้ำแม่เฒ่าวัย 67 ดับ พบรอยบาดแผลฉกรรจ์ ขาเกือบขาด

เมื่อวานนี้ (24 ก.ย. 67) พ.ต.ท.กฤชฐา ประทุมแก้ว สารวัตรสอบสวน สภ.สามโคก ได้รับแจ้งมีเหตุ สุนัขพันธุ์พิทบูลกันคน แล้วลูกชายอุ้มมาอยู่บริเวณถนน ก่อนที่จะเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยศพอยู่บริเวณหน้าร้านซ่อมจักรยานยนต์ ใกล้เคียงที่ทำการผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 ต.เชียงรากน้อย อ.สามโคก จ.ปทุมธานี 

หลังรับแจ้ง จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดหตุ พร้อม พ.ต.อ.จตุพร คงเมือง ผกก.สภ.สามโคก, เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สภ.สามโคก, แพทย์และเจ้าหน้าที่กู้ชีพโรงพยาบาลสามโคก, แพทย์เวรจาก สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม และอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง

ในที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่พบศพ นางสาวแดง ธรรมทันตา อายุ 67 ปี บ้านเลขที่ 42 หมู่ 1 ต.เชียงรากน้อย อ.สามโคก จ.ปทุมธานี สภาพศพนอนหงาย มีรอยถูกสุนัขพันธุ์อเมริกันพิทบูล กัดตามร่างกายหลายแห่ง ขาขวาเกือบขาด และแขนซ้ายทั้งหมด เป็นบาดแผลฉกรรจ์ ทางแพทย์พยายามห้ามเลือด ปั๊มหัวใจช่วยชีวิต แต่ผู้บาดเจ็บเสียเลือดมาก เป็นเหตุให้เสียชีวิต 

ซึ่งจุดที่เกิดเหตุ อยู่บริเวณภายในซอยห่างจากจุดพบศพประมาณ 800 เมตร ซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านผู้ตาย โดยทราบว่า หมาตัวที่กัดเป็นหมาพันธุ์อเมริกัน พิทบูลชื่อ ‘โป๊ยก่าย’ เป็นสุนัขเพศผู้ ซึ่งเป็นหมาของญาติ ๆ ที่อยู่บ้านใกล้กัน ซึ่งเมื่อเดินทางไปตรวจสอบที่บริเวณด้านในซอย ก่อนถึงบ้านคนตาย พบรถจักรยานล้มอยู่ข้างถนน และมีรอยเลือดกระจัดกระจายเต็มไปหมด ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน

จากการสอบถาม นายทวี มากผ่อง อายุ 41 ปี (ลูกชาย) ตนเองก็ไม่ทราบว่าแม่กำลังจะไปไหน มาทราบอีกทีคือน้ามาเรียกว่าแม่ถูกหมากัด เมื่อวิ่งมาดูก็ตกใจเพราะเห็นเลือดออกจำนวนมาก ตนเองกับพี่ชายจึงได้อุ้มแม่ออกมาขอความช่วยเหลือที่บริเวณร้านค้าใกล้เคียงที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 600 เมตร ก่อนที่จะมีคนโทรแจ้งกู้ภัยให้เข้ามาช่วยเหลือแต่ก็ไม่ทัน

ต่อมา ทางด้านจ่าสิบเอกนำ พล. นาคประดิษฐ์ อายุ 52 ปี หลานผู้ตาย เดินทางมาที่เกิดเหตุพร้อมกับบอกว่า โดยตอนเช้าและตอนเย็นจะปล่อยออกมา โดยคนตายเป็นน้าสาวของตนเอง ซึ่งบ้านจะอยู่หน้าสุด ส่วนบ้านของน้าจะอยู่ถัดไปอีก 2 หลัง ซึ่งในกลุ่มนั้นจะเป็นบ้านญาติพี่น้องกันหมดเลย วิ่งทุกเช้าน้าก็จะปั่นจักรยานออกไปมาปกติ ซึ่งปกติเขาก็ไม่มีอาการก้าวร้าว แต่ก่อนหน้านี้ก็เคยกัดลูกสาวคนเล็ก ซึ่งตอนนี้ยังพาไปทำแผลอยู่เลย

ทางด้าน นางเกียรติกนก แทนแล อายุ 48 ปี เล่าให้ฟังว่า สุนัขของตนชื่อ ‘โป๊ยก่าย’ เป็นสุนัขพันธุ์พิทบูลเพศผู้ อายุประมาณ 6 ปี ปกติตนเองจะเอาเข้าไปนอนด้วย เข้าก็จะนอนข้างเตียง โดยเขามาเริ่มดุเมื่อไม่นาน ซึ่งก่อนหน้านี้เคยกัดลุงข้างบ้าน และก็ลูกสาว โดยหมาไทยจะเห่านำแล้วเจ้าโป๊ยก่าย ก็จะวิ่งเข้าใส่เลย โดยปกติจะปล่อยตอนเข้า และตอนเย็น ซึ่งคาดว่าวันนี้มันจะหลุดออกไปซึ่งตนเองก็คาดว่าน่าจะกระโดดออกจากตรงประตูข้างหน้า ซึ่งตนเองก็อยากให้มีหน่วยงานที่รับผิดชอบให้เข้ามาช่วยเหลือเพื่อเอาน้องไปดูแลหน่อย เพราะเรารับผิดชอบไม่ไหวแล้ว เพราะน้องกัดคนตายแล้ว โดยตอนนี้เราเลี้ยงไว้ 7 ตัว อาจจะให้เอาแต่เจ้าพิทบูลไป โดยลูกสาวคนโตเป็นผู้เอามาเลี้ยง ซึ่งตนเองไม่อยากได้เลย ซึ่งผู้เสียชีวิตก็เป็นญาติฝั่งสามีอีกด้วย

ในเบื้องต้นทาง พ.ต.ท.กฤชฐา ประทุมแก้ว สารวัตรสอบสวนสภ.สามโคก ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมกับแพทย์เวร และร่วมกันชันสูตรพลิกศพ ทางเจ้าหน้าที่จึงได้บันทึกภาพในจุดเกิดเหตุ เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน ก่อนที่จะนำเจ้าของหมาไปทำการสอบสวนที่โรงพัก ส่วนผู้เสียชีวิต มอบให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำร่างผู้เสียชีวิต ส่งศพไปผ่าพิสูจน์ ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ถนนสายซ่อมสร้าง ต.บ้านใหม่ อ.เมือง จ.ปทุมธานี เพื่อหาสาเหตุการตายโดยละเอียดอีกครั้ง และให้ญาติ ๆ ไปขอรับศพ นำไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top