Sunday, 25 May 2025
NewsFeed

เปิดผลสอบ 'ปิยะโสภิชา' อันดับ 1 แทน 'ครูเบญ' ติด 1 ใน 400 สนามครูอาชีวะ รอเรียกบรรจุอีก 1 สนาม

จากกรณี ครูเบญ หรือ น.ส.เบญญาภา สอบติดครู ได้อันดับที่ 1 แต่ผ่านไป 3 วันชื่อหาย และมีสาวอีกราย ‘ปิยะโสภิชา’ นามสกุลใหญ่ ปรากฏชื่อ ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงประกาศผลการสอบตำแหน่งพนักงานราชการ สพม.สระแก้ว และชื่อ ครูเบญ หายไป จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคม ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด (20 ก.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในโลกออนไลน์ได้มีการแชร์ข้อความและผลสอบจากผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งที่ออกมาเปิดเผยผลสอบของ ‘ปิยะโสภิชา’ ที่สอบได้อันดับ 1 ในการประกาศครั้งที่ 2 แทนที่ของ ครูเบญ

โดยระบุว่า “จากข่าว น้องคนหนึ่งสอบครูติด อันดับ 1 ผ่านไป 3 วัน ชื่อหาย ขออย่าเพิ่งด่า น้องคนที่มาเสียบแทน เพราะเอาชื่อน้องไปเสิร์ชในกูเกิล น้องคนนี้ก็เก่งระดับหัวกะทิ..

“เพราะน้องสอบผ่าน ภาค ก. ภาค ข. สนามอาชีวะ ซึ่งเป็นข้อสอบที่ยากกว่า สพม.ที่เป็นข่าวนี้ น้องติด 1 ใน 400 คน จาก 10,000 คน น้องก็ไม่ธรรมดา รอตรวจสอบให้แน่ชัด ถ้าน้องใช้เส้นสายจริงค่อยด่า”

เรามาวิเคราะห์คร่าว ๆ ถึงความน่าจะเป็นของเหตุการณ์นี้ บรรยายใต้ภาพ

1.ทำไมชื่อน้องคนแรกหายไปเลย เป็นไปได้มั้ย หายเพราะประกาศชื่อผิด เพราะเลขลำดับผู้เข้าสอบของน้องสองคนติดกันเลย เลข ๑๐๐๔๐๐๒๐ กับ ๑๐๐๔๐๐๒๑ มีโอกาสที่จะคีย์เลขท้ายผิดโดยไม่ทวนรายชื่อ ส่วนลำดับที่ 2-10 รายชื่อครบ แต่สลับอันดับกัน ตามคำชี้แจงที่บอกว่าเฉลยข้อสอบผิด

2.นามสกุลน้องคนที่มาเสียบ นามสกุลเดียวกับ ผอ.โรงเรียน ภาพที่แชร์มา 2 ปีแล้ว ตอนนั้นน้องน่าจะเป็นครูอัตราจ้าง ปัจจุบันน้องคนนี้ยังไม่รู้จะได้ลงที่โรงเรียนนี้รึป่าว

3.น้องคนที่มาเสียบ สอบติดสนามอาชีวะ ซึ่งเป็นข้อสอบที่ยากกว่า สพม. รอสัมภาษณ์ภาค ค 

4.ศูนย์สอบธรรมศาสตร์ เคยโพสไว้ เมื่อ 6 กันยา ว่าสนามนี้ยาก คนที่สอบผ่านคือ ระดับหัวกะทิ 

5.วิทยาศาสตร์ทั่วไป น้องติด 1 ใน 400+ คน

ต่อมาเฟซบุ๊กดังกล่าว ยังได้โพสต์ข้อความระบุว่า “แชร์กันไปมั่งสิ อันที่น้อง ปิยะโสภิชา เค้าสอบติด ปี 67 นี้ สอบติดรอเรียกบรรจุ 1 สนาม รอเรียก สัมภาษณ์ครูผู้ช่วยอาชีวะอีก 1 สนาม…

“ไปแชร์แต่อันที่เค้าสอบไม่ติด สนามนี้ใครสอบผ่านคือหัวกะทินะ พี่ไม่ได้พูดเอง เพจศูนย์สอบธรรมศาสตร์เป็นคนพูด แชร์ไปให้ถึง #โหนกระแส #หนุ่มกรรชัย #สพมสระแก้ว”

ทั้งนี้ ในส่วนที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะนัดแถลงข้อสรุปกรณี น.ส.เบญ ร้องขอความเป็นธรรมเรื่องการสอบครู หลังสอบติดพนักงานราชการทั่วไปอันดับที่ 1 เอกวิทยาศาสตร์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) สระแก้ว แต่ผ่านไป 3 วัน ปรากฏว่าชื่อของเธอหาย นั้น

ล่าสุด ทาง สพฐ.ขอเลื่อนการแถลงข่าวผลการสืบข้อเท็จจริงออกไปก่อน เนื่องจาก พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการศธ.และเลขาธิการ กพฐ.ประสงค์ให้ ครูเบญ ได้ร่วมแถลงข่าวด้วย สพฐ.จึงขอเลื่อนการแถลงข่าวในวันนี้ออกไปก่อน ทั้งนี้ เมื่อครูเบญมีความพร้อม จะได้นัดหมายการแถลงข่าวร่วมกัน ต่อไป

'ดร.คงกระพัน' ซีอีโอ ปตท. คว้ารางวัลสุดยอดผู้บริหารองค์กรแห่งปี 2024 'DAILYNEWS TOP CEO OF THE YEAR 2024' ในวาระเดลินิวส์ครบรอบ 60 ปี

เมื่อวานนี้ (19 ก.ย.67) ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รับรางวัลเกียรติยศ 'สุดยอดผู้บริหารองค์กรแห่งปี 2024' จากกองบรรณาธิการเดลินิวส์ ในงาน 'DAILYNEWS TOP CEO OF THE YEAR 2024' เนื่องในวาระเดลินิวส์ครบรอบ 60 ปี 

โดยการมอบรางวัลดังกล่าว เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติผู้บริหารสูงสุดขององค์กรที่มีผลงานเด่นชัดในการบริหารธุรกิจ ซึ่ง 'ดร.คงกระพัน' ผลักดันการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม ปตท. ภายใต้วิสัยทัศน์ 'ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน' หรือ 'TOGETHER FOR SUSTAINABLE THAILAND, SUSTAINABLE WORLD' เร่งสร้างความแข็งแรงและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในธุรกิจ โดยยึดมั่นภารกิจสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ให้เป็นที่ยอมรับและมีมาตรฐานระดับสากล สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทุกภาคส่วน พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ควบคู่กับการมุ่งบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ สู่การเติบโตขององค์กรในระดับโลกอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ ในงานดังกล่าวมีการมอบรางวัลรวม 25 รางวัล ให้กับผู้บริหารระดับสูงทั้งภาคเอกชน, ภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ ที่ประกอบกิจการอุตสาหกรรมและกิจการบริการ ซึ่งทุกรางวัลผ่านการพิจารณาอย่างรอบด้าน อาทิ ความเป็นผู้นำ วิสัยทัศน์และความสามารถในการบริหารองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน การดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม เพื่อถ่ายทอดความรู้และกลยุทธ์ของผู้บริหารองค์กรที่ประสบความสำเร็จ และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้บริหารรุ่นใหม่ ซึ่งล้วนแต่เป็นรากฐานที่สำคัญของการพัฒนาประเทศไทยต่อไป

🔎ส่องราคาน้ำมันเฉลี่ยในประเทศอาเซียน ราคา ณ วันที่ 16 ก.ย. 67

รายงานราคาน้ำมันเฉลี่ยในอาเซียน ประจำวันที่ 16 กันยายน 2567 โดยราคาขายน้ำมันแต่ละประเทศ มีปัจจัยทางด้านราคา ดังนี้

1.แต่ละประเทศมีมาตรการภาษี และระบบการเก็บเงินเข้ากองทุนหรืออุดหนุนราคาพลังงานที่แตกต่างกัน

2.ในหลายประเทศเพื่อนบ้านยังมีการอุดหนุนราคากันอยู่

3.ประเทศไทยสนับสนุนการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ให้การอุดหนุนราคาโดยกองทุนน้ำมันฯ จึงทำให้ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ถูกกว่าเบนซิน

หมายเหตุ : ราคา ณ วันที่ 16 กันยายน 2567 อัตราแลกเปลี่ยน (อัตรากลาง) ณ วันที่ 13 กันยายน 2567 *ประเทศไทย อ้างอิงราคาจาก ปตท. และ บางจาก และเป็นราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95E10 ซึ่งมีสัดส่วนการใช้มากที่สุด

'อ.ต่อตระกูล' เผย!! ปี 67 ไทยมีคนอายุเกิน 100 ปี ติดท็อป 5 ของโลก ส่วนใหญ่อยู่ภาคใต้ ที่เหลือกระจายตามจังหวัดใหญ่ๆ ทั่วประเทศ

(20 ก.ย. 67) รองศาสตราจารย์ ต่อตระกูล ยมนาค นายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ประเทศไทย ในปี 2567 นี้มีคนอายุเกิน 100 ติดอันดับ 5 ของโลก มีจำนวนถึง 42,485 คน  

น่าภาคภูมิใจมาก เพราะไทยเป็นประเทศที่มี ลำดับความเจริญเศรษฐกิจ ต่ำที่สุดใน 5 ชาตินี้ แต่มีพลเมืองมีความสุข มีการดูแลสุขภาพผู้สูงวัยได้ดี จนมีจำนวนคนอายุยืนเกิน 100 ปี มากติดอันดับสูงสุด 5 ประเทศของโลกได้ 

ประเทศอันดับ 3 และ 4 คือ จีน และ อินเดีย ซึ่งมีพลเมือง มากที่สุดในโลก ประเทศละ 1,400 ล้านคน อันดับ 2 คือ อเมริกา มีพลเมือง 340 ล้านคน และที่ 1 ในปี 2024 นี้คือ ญี่ปุ่น ที่มีพลเมือง 120 ล้านคน

ข้อมูลจาก The Countries with the Most Centenarians in the World. 

มีข้อมูลแสดงการเปลี่ยนแปลง ของลำดับขึ้น ๆ ลง มาตั้งแต่ปี 1950 มาจนถึง 2024 ไทยอยู่ในอันดับต้น ๆ มาตลอด เราเคยอยู่ในอันดับเหนือกว่าญี่ปุ่นด้วย เปิดดูคลิปที่แสดงสถิติแบบเคลื่อนไหวได้ ได้ที่ :
https://images.app.goo.gl/TSmvJq9SX3DNRsuPA

ประเทศไทย ต้องมีอะไร ที่ทำให้คนอายุยืน กว่าชาติอื่นๆ? ต้องหาความจริงนี้ให้ได้   

เบื้องต้นมีข้อมูลจากกรมการปกครอง เผยข้อมูลว่าผู้สูงอายุเกิน 100 ปี มีอยู่ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้สุด 5 จังหวัดมากที่สุด ถึง 5 พันกว่าคน ที่เหลืออยู่ในจังหวัดใหญ่ ๆ ทั่วประเทศ มากที่สุดคือที่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล

เอฟเคไอไอ.ร่วม 'ท็อป-จิรายุส' เปิดเวทีตอบโจทย์อนาคตประเทศไทย เสนอรัฐเร่งเดินหน้าความตกลงดิจิทัลอาเซียนดึงเม็ดเงินลงทุนกว่า 60 ล้านล้านบาท มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต สร้างฐานวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยี เสริมทักษะเอไอ ยึดแนวทาง Green-ESG

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ ไทยแลนด์( FKII Thailand) เปิดเผยวันนี้ว่า สถาบันเอฟเคไอไอ.ได้จัดกิจกรรมการสนทนาวาระประเทศไทย ( FKII NATIONAL DIALOGUE )เพื่อนำประเด็นที่เป็นความท้าทายและโอกาสในปัจจุบันและอนาคตมาวิเคราะห์เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับประเทศในหัวข้อ 'อนาคตปัญหาประเทศไทย' โดยจัดร่วมกับสถาบันทิวา มีผู้ร่วมการสนทนาแลกเปลี่ยน(Dialogue) ได้แก่ รศ.ดร.อาณัฐชัย รัตตกุล รองประธานเอฟเคไอไอ.

นายชยดิฐ หุตานุวัชร์ ประธานสถาบันทิวา และ นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (ท็อป-จิรายุส) ดำเนินรายการโดย นางสาวนวรัตน์ สัมพันธ์ศรี หัวหน้าคณะทำงานคณะกรรมการขับเคลื่อนเอฟเคไอไอ.ทั้งนี้ รศ.ดร.อาณัฐชัย รัตตกุล ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงาน ณ สวนเสียงไผ่ สถาบันทิวา ทาวน์อินทาวน์ กรุงเทพมหานคร

ในกิจกรรมการสนทนาดังกล่าว 'ท็อป-จิรายุส' ได้แบ่งปันประสบการณ์ในการเข้าร่วมสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum; WEF) ณ เมืองดาวอส ซึ่งมีผู้นำประเทศต่างๆ ทั่วโลก และนักธุรกิจที่มีมูลค่าตลาดสูงกว่า 5 Billion USD รวมกันประมาณ 3,000 คน ซึ่งในประเทศไทยผู้ที่ได้เข้าร่วมก็จะบริษัทใหญ่ ๆ ได้แก่ CP, ThaiBev, PTT,SCG, KBank เป็นต้น ซึ่งใน WEF มีการพูดถึงเรื่อง ESG หรือ Environment, Social, และ Governance ที่เป็นกระแสของโลกในอนาคตที่จะมีผลบังคับใช้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า (2030) ซึ่งทุกๆ กิจการโดยเฉพาะ SMEs ต้องทราบและเริ่มปรับตัวตั้งแต่วันนี้ เนื่องจากจะทำให้ไม่สามารถขายสินค้าให้กับลูกค้าเดิม ๆ ได้อีกต่อไป เพราะกระบวนการการผลิตที่ไม่สามารถแจกแจงปริมาณการปล่อยคาร์บอนหรือมีส่วนร่วมในการทำลายสภาพแวดล้อมของโลก นอกจากนี้ สถาบันการเงินก็จะไม่ยินดีปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจที่มีส่วนร่วมในการทำลายสภาพแวดล้อมของโลกตลอดทั้งซัพพลายเชนเช่นเดียวกัน ปัจจัยดังกล่าวจึงเป็นข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจของผู้ที่ไม่ปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจตามเทรนด์โลก

แนวทางการปรับตัวของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศเล็ก ๆ ได้แก่ การรวมกลุ่มทางภูมิศาสตร์และการค้า (Regionalization) เพื่อเพิ่มขนาดของเศรษฐกิจและประชากร (จาก 67 ล้านคน เป็น 600 ล้านคน) ซึ่งในภูมิภาค ASEAN กำลังอยู่ในขั้นตอนการจัดทำ DEFA (2025) หรือ Digital Economy Framework Agreement ซึ่งหากบรรลุข้อตกลงนี้ได้ประมาณ 60% จะสามารถดึงเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในภูมิภาคนี้กว่า 2 Trillion USD ดังนั้น ประเทศใดมีความพร้อมมากกว่าก็มีโอกาสที่จะดึงเม็ดเงินลงทุนดังกล่าวได้มากกว่ากัน นอกจากนี้ ยังเป็น ASEAN Single Window, Free Flow for People และ Regional Money

อุตสาหกรรมแห่งอนาคต จะไม่มีอุตสาหกรรมที่มีอยู่ในปัจจุบันอีกต่อไป เนื่องจากหยุดเติบโตแล้ว และเน้นแข่งขันด้านราคา (Red Ocean) ในอนาคตจะขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (S&T) Deep Tech, Digital Infrastructure บนอุตสาหกรรม Frontier Technology ได้แก่ AI, Big Data, IoT, Block Chain, 3D Printing ฯลฯ

ผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์เมื่อประกาศใช้ Net Zero ในปี 2030
-กองทุนต่าง ๆ จะไม่สามารถเข้าไปถือหุ้นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ไม่ Green ไม่ได้ ดังนั้น บริษัทและ Supplier ทั้งหมดต้อง Green ทั้งประบวนการ
-บริษัทที่ไม่ปรับตัวเข้าสู่ Green จะไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ เนื่องจากธนาคารไม่ปล่อยสินเชื่อให้บริษัทที่ไม่ Green
-บริษัทในตลาดหลักทรัพย์เดิมเป็น SET กับ MAI แต่ในอนาคตจะเป็น ESG กับ Non-ESG

เทคโนโลยี AI จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น คนต้องมีความสามารถในการสื่อสาร (Prompt) กับ AI ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด (Ask the right Question) ดังนั้น จำเป็นที่จะต้อง Up-Skill / Re-Skill ในรูปแบบ Open Education Platform ตามความสะดวกของผู้เรียน

เรื่องการศึกษา เสนอว่าให้มีกระบวนการ Build Character ให้กับนักเรียน ทั้งนี้ เนื่องจากคนไทยมีความ Creativity สูงอยู่แล้ว จึงควรส่งเสริมให้พัฒนาขึ้น นอกจากนี้ ควรส่งเสริมด้าน Soft Skill (การสื่อสาร การเข้าร่วมกิจกรรม) และผลักดันเรื่อง Blue Ocean Competition.

สำหรับสถาบันเอฟเคไอไอ. ไทยแลนด์ (FKII Thailand: Field for Knowledge Integration and Innovation) เป็นองค์กรวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ทำหน้าที่สนับสนุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศไทยกับนานาประเทศรวมทั้งเป็นตัวกลางเชื่อมประสานระหว่างหน่วยงานวิจัยกับภาคเอกชนภาครัฐทั้งในและต่างประเทศทางด้านนวัตกรรมและองค์ความรู้เพื่อเพิ่มศักยภาพใหม่ของประเทศและการพัฒนาอย่างยั่งยืนตอบโจทย์ความท้าทายใหม่ของโลกปัจจุบันและอนาคต

ติดตาม FKII Thailand
FB: FKIIThailand https://shorturl.at/87OHy
LineOA: FKIIThailand https://lin.ee/BgPCPvd

แม่สายจมโคลน บางบ้านสูงถึงชั้น 2 ตักยังไงก็ไม่หมด-จ้างไม่ไหว หลายคนเริ่มคิดสั้น 'หลังหมดตัว-หมดใจ' วอนภาครัฐเข้าช่วย

(20 ก.ย. 67) เพจ 'เรียนหมอ' โพสต์ข้อความถึงสถานการณ์แม่สายเชียงรายหลังน้ำลด แต่ชาวบ้านกำลังประสบกับปัญหาใหญ่จากน้ำหลากที่จากไปเหลือไว้แต่โคลนตมที่ทับถมบ้านเรือนอย่างหนัก ระบุว่า...

รถดูดโคลนต้องเข้าแม่สายแล้ว โคลนหนามาก บางบ้านถึงชั้น 2 หลายคนร้องไห้ไปตักโคลนไป ตักเท่าไหร่ก็ไม่หมดสักที จะจ้างทำก็แสนแพง เงินก็ไม่มี

ที่แม่สายหนักมากค่ะ ตามถนนหลาย ๆ ที่โคลนยังหนา จะเอารถไปแจกของก็ยาก คนออกมาเอาก็ลำบาก

ในบ้านเรือนโคลนหนามาก ๆ ถ้าเป็นคนแก่คงทำไม่น่าไหว 

หลายคนพูดถึงความคิดจะคิดสั้นขึ้นมา คือมันหมดตัวไม่พอ ยังต้องมาตักโคลนที่สูงมาก ๆ ๆ อีก ซึ่งตักเท่าไหร่ก็ไม่หมดสักที 

เข้าใจเค้านะคะ คือ หมดตัวอยู่แล้ว ยังต้องมาตักโคลนที่แบบหนา ๆ สูง ๆ ทุกวัน ๆ มันดิ่งนะคะ คือสงสารมาก

หน่วยงานก็พยายามช่วยกันแต่ว่ามันเยอะมาก ๆ

ถ้าช่วยกันหลาย ๆ คน หลาย ๆ ฝ่าย น่าจะหนักเป็นเบาขึ้น

รถดูดโคลนสักกำเนอะจ้าวว ดูด ๆ ๆ ๆ

ความเดือดร้อน มันรอกันไม่ได้ 

คือใช่ เราต้องช่วยตัวเองก่อนที่จะขอคนอื่นมาช่วย  แต่ดูทรงละ งานหนักงานช้างมันทุกบ้าน ทุกหลัง ทุกคนกระทบหมด

ต้องใช้เครื่องจักรมาช่วยละ

ขณะที่โลกโซเชียล ก็ช่วยกันออกมาช่วยแชร์เรื่องนี้ พร้อมกับคอมเมนต์ที่เข้าใจผู้ประสบภัยด้วยว่า...

- "โคลนขนาดนั้นคนหนุ่มสาวก็ทำไม่ไหวค่ะหมอ มีแต่ยอดมนุษย์นั่นแหละค่ะที่จะทำได้แบบไม่ต้องร้องไห้ไปด้วย รัฐบาลควรเข้ามาจัดการเรื่องโคลนที่อยู่ในบ้านประชาชนอย่างเร่งด่วนเลยค่ะ เรื่องนี้ไม่ธรรมดาเลยนะคะ"

- "ตอนนี้เริ่มโฟกัสความช่วยเหลือไปที่ภาคอีสานเพราะกำลังจะเจอพายุ น่าจะหนักหน่วงอยู่ ภาพทางเชียงรายเลยแทบหายไปจากสื่อ ต้องกลับมาช่วยกันสื่อสารทั้งภาพทั้งการขอความช่วยเหลืออีกครั้ง แรงงาน เครื่องมือเครื่องจักร อุปกรณ์อะไรบ้าง บางคนนึกไม่ออกจะส่งแต่ข้าวสาร อาหารแห้ง เสื้อผ้าไปแค่นั้นมันจะเยอะเกินความจำเป็น เพราะบ้านยังไม่เคลียร์เลย"

- "อันดับแรกเอาโคลนออกจากถนนก่อน แล้วโคลนในบ้านก็เอามากองข้าง ๆ ถนน ไว้ให้รถมาเก็บไปทิ้งเป็นส่วนรวมอีกที แบบการจัดการขยะ ไม่งั้นจะจัดการยาก ต้องทำซ้ำ ๆ ไปจนกว่าจะหมด แต่ใครจะช่วยละ เจ้าของบ้านคงไม่ไหว บทเรียนราคาแพงที่คนตัดไม้ทำลายป่า ไม่ได้รับความเดือดร้อนนี้ น้ำพาโคลนมา น้ำแห้งระเหยได้ แต่โคลนนี้สิไม่ไปไหนเลย สู้ ๆ ครับ"

- "รัฐต้องระดมเครื่องจักรจากทุกหน่วยงานของทางราชการที่มีอยู่ทั้งในตัวจังหวัดเองและจังหวัดใกล้เคียงให้เข้ามาช่วยรวมทั้งภาคเอกชนด้วย เพราะดูจากสภาพแล้วปริมาณดินมากมายมหาศาลลำพังแรงคนไม่ไหวแน่ และที่สำคัญน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะใช้ในการนี้รัฐต้องอุดหนุนอย่างเต็มที่"

ขณะที่ด้าน ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Tiger Cm' ก็ได้โพสต์คอมเมนต์ถึงกรณีด้วยว่า...

"ข่าวดีคนเชียงราย...ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่า กทม. ได้ส่งรถดูดโคลน (เลน) มาช่วย 2 คัน รถตรวจการณ์ 1 คัน รถหน่วยซ่อมเคลื่อนที่เร็ว (BEST) 1 คัน รถบรรทุกติดตั้งเครนขนาด 65 ตัน 1 คัน รถไฟส่องสว่าง 1 คัน และรถตู้ 12 ที่นั่ง 1 คัน พร้อม จนท.กทม. ที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษที่เคยมีประสบการณ์การใช้รถดูดโคลนสมัยสึนามิมาด้วย"

‘สมเด็จพระสังฆราช’ ประทานพระคติธรรม ‘วันเยาวชนแห่งชาติ’ ขอให้เยาวชนไทย หมั่นเจริญสมาธิ จดจ่อต่อคุณค่าของความดีงาม

(20 ก.ย. 67) สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระคติธรรม เนื่องในวันเยาวชนแห่งชาติ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๗ ความว่า…

“สังคมโลกทุกวันนี้ผันแปรไปอย่างรวดเร็ว ตัวชี้วัดความสำเร็จเชิงวัตถุเริ่มหลากหลายไกลห่างเกินจะบรรลุได้ เป็นภาวะที่สวนทางกับความสงบ เรียบง่าย และสามัญธรรมดา ทำให้มนุษย์ในยุคใหม่ มีใจหวั่นไหวคลอนแคลนง่ายไปตามโลกธรรมทั้ง ๔ คู่ กล่าวคือ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์ เผลอหลงยึดมั่นถือมั่นในโลกธรรมเหล่านั้นว่าเป็นของตน พอจับยึดโลกธรรมฝ่ายไม่น่าพอใจ ก็เร่าร้อนนอนทุกข์ อาจดิ้นรนไขว่คว้าแม้โดยทุจริตเพื่อให้โลกธรรมนั้น ๆ พ้นไป พอจับยึดโลกธรรมฝ่ายน่าพอใจ ก็ยึดติดหลงใหล อาจดิ้นรนไขว่คว้าแม้โดยทุจริตเพื่อให้โลกธรรมนั้น ๆ ยังอยู่หรือเข้ามาบังเกิดแก่ตน ภาวะเช่นนี้ทำให้สุขภาวะของผู้คนในโลกปัจจุบัน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนค่อย ๆ เสื่อมถอยลงทุกขณะ…

“สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงอบรมสั่งสอนให้มนุษย์แสวงหาความสุขที่เรียบง่ายอันเกิดจากความสงบ ด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ มุ่งสร้างสรรค์สุขให้บังเกิดได้ง่าย ๆ ด้วยการนำจิตตนเองไปจดจ่อต่อสิ่งดีงาม จึงขอฝากข้อคิดให้เด็กและเยาวชน หันมาสนใจอบรมเจริญสมาธิ ทำใจให้สงบ ฝึกระงับจิต ข่มความคิด ให้ทุเลาความฟุ้งซ่าน ปล่อยวางความหวือหวา วางเฉยต่อความรวดเร็วปุบปับฉับไวของกระแสข่าวสาร สมัยนิยม ความหลงใหล ความรักใคร่ และความชิงชัง ผ่อนพักจากความเครียดต่าง ๆ ที่รุมเร้า แล้วหันไปจดจ่อต่อคุณค่าของความดีงาม เช่น การศึกษาเล่าเรียน การทำงานอดิเรกที่เป็นประโยชน์ การอุทิศตนช่วยเหลือผู้อื่น การทำบุญกุศล การช่วยงานอาสาสมัคร ฯลฯ เพื่อให้เกิดสุขภาวะทางใจ อันจะเกื้อกูลให้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็งในอนาคต…

“ขออนุโมทนาความดีที่เด็ก เยาวชน และผู้ทำประโยชน์ต่อเด็กและเยาวชนได้บำเพ็ญด้วยดีตลอดมา ขอคุณพระศรีรัตนตรัยและกุศลธรรมจริยาที่ท่านทั้งหลายได้สั่งสมไว้ ดลบันดาลให้ท่านมีสรรพกำลังพรั่งพร้อม ในอันที่จะบำเพ็ญกรณียกิจเพื่อประโยชน์สุขของสังคมประเทศชาติสืบไป เทอญ”

ผู้ใหญ่ใจดี!! ‘คุณย่าอุไรวรรณ’ มอบอุปกรณ์ไฟฟ้า ช่วยเหลือพื้นที่น้ำท่วม

(20 ก.ย. 67) นับว่าเป็นเรื่องราวดีดีที่ธารน้ำใจหลั่งไหลช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม ถึงแม้น้ำจะลดแล้วแต่ผู้ประสบภัยก็ยังต้องการการช่วยเหลือฟื้นฟูหลังน้ำลด 

ล่าสุดเพจดังอย่าง 'เจ๊มอย 108' ได้นำเรื่องราวดีดีมาแชร์ มีการเปิดเผยว่า คุณย่าอุไรวรรณ คุณแม่ของ 'น็อต' วิศรุต รังษีสิงห์พิพัฒน์ สามีของนางเอกตัวแม่ 'ชมพู่' อารยา เอ ฮาร์เก็ต

โดยทางเพจดัง 'เจ๊มอย 108' ได้เผยข้อมูลจาก 'รายการทุบโต๊ะข่าว' ระบุข้อความว่า "พี่กันจอมพลัง ลงพื้นที่ฟื้นฟู แม่สาย เชียงราย ทีมจิตอาสาที่ไปช่วย บอกว่าไม่มีอุปกรณ์ไฟฟ้า พี่กันจึงโทรศัพท์ไปหาคุณย่าอุไรวรรณ เพื่อขอติดต่อสั่งซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าลอตใหญ่ในราคาพิเศษ”

“คุณย่าอุไรวรรณ : มาเอาที่ฉันนี่ ไม่ต้องไปหาซื้อที่ไหนเลย อยากได้เท่าไร จะช่วยทั้งหมด ซึ่งคุณย่าตั้งใจช่วยแต่แรก ตั้งแต่เห็นข่าว โดยเตรียมอุปกรณ์ไฟฟ้า ทุกอย่างไว้ก่อนนี้อยู่แล้ว เพื่อจะส่งไปช่วยชาวบ้านที่ประสบภัย แล้วพี่กันโทรติดต่อมาพอดี เลยบอกให้พี่กันเอารถมาขนไปได้เลย เตรียมไว้หมดแล้ว ไม่ต้องจ่ายให้สักบาท ซึ่งมีหลอดไฟ สายไฟ อุปกรณ์ติดตั้งทุกอย่างครบจบ!! ทีมพี่กันเตรียมแค่ช่างไฟไปติดตั้งแค่นั้น"

งานนี้ทำเอาชาวเน็ตต่างเข้ามาชื่นชมน้ำใจของ คุณย่าอุไรวรรณ และครอบครัว รังษีสิงห์พิพัฒน์กันยกใหญ่และร่วมอนุโมทนาบุญกันเพียบ

'ดร.สุวินัย' มอง!! กระแสต้าน 'พระอาจารย์ต้น' แพร่ธรรมละยึดโยงพระไตรปิฎก ชี้!! สิ่งที่สอนถูก ก็ต้องบอกว่าถูก สิ่งที่สอนผิด ก็ต้องบอกว่าผิด "นี่คือธรรม"

(20 ก.ย. 67) รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ 'การแก้ไขภาวะโรคซึมเศร้าตามแนวทางพระพุทธศาสนา' ระบุเนื้อหา ดังนี้...

๑. ตั้งจิตระลึกถึงพระรัตนตรัยให้บ่อยที่สุดในแต่ละวัน หรือระลึกทั้งวันก็ได้ ด้วยบทระลึกถึงพระรัตนตรัยว่า...

“พุทโธ เม นาโถ พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า 
ธัมโม เม นาโถ พระธรรมเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า 
สังโฆ เม นาโถ พระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า” 

>> ให้ 'ระลึก' ย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ ไว้เรื่อย ๆ อยู่เสมอ
>
๒. หากมีอารมณ์ใดเกิดกระทบจิตในแต่ละครั้ง ให้ทักอารมณ์นั้นตรง ๆ ไปเลย เช่น หากเกิดความเครียดขึ้นมาให้ทักว่า...

“นี่คือความเครียด 
ความเครียดกำลังเกิดขึ้นกับจิต 
จิตกำลังมีความเครียด 
ความเครียดมีอยู่ในจิต 
จิตกำลังถูกความเครียดปรุงแต่ง 
ความเครียดกำลังปรุงแต่งจิต”  

>> ให้ฝึก 'ทักอารมณ์' อยู่บ่อย ๆ

๓. หากอาการซึมเศร้าเกิดขึ้นมามากจนควบคุมไม่ได้ ก็ให้ทักอาการซึมเศร้านั้นตรง ๆ ว่า...

“นี่คืออาการซึมเศร้า 
อาการซึมเศร้าเกิดขึ้นกับจิต 
จิตมีอาการซึมเศร้า 
อาการซึมเศร้ามีอยู่ในจิต 
จิตถูกอาการซึมเศร้าปรุงแต่ง 
อาการซึมเศร้ากำลังปรุงแต่งจิต” 

>> ทักอาการซึมเศร้าไว้เรื่อย ๆ จนกว่าจะคลายไป หากเกิดอีกก็ให้ทักอีกอยู่เรื่อย ๆ

๔. ให้แผ่เมตตาก่อนนอนทุกคืน 

๕. สวดพระปริตร ๒ บทคือ รัตนปริตรกับอาฏานาฏิยปริตร ทุก ๆ วัน

~ จารุวณฺโณ ภิกฺขุ (พระอาจารย์ต้น)

*********

เหตุที่ กรรมฐานนี้ได้ผลในการแก้ไขภาวะโรคซึมเศร้าให้ดีขึ้นได้ เพราะ...

(1) กรรมฐานนี้สอนให้ 'เจริญสติ' ด้วยการให้ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าหัดตั้งจิตระลึกถึงพระรัตนตรัยให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ในแต่ละวันทุกวัน

เนื่องจากภาวะซึมเศร้าเป็น 'อกุศลจิต'  ขณะที่การระลึกถึงพระรัตนตรัย เป็น 'กุศลจิต' ... กรรมฐานนี้คือ อุบายใช้ 'น้ำดี' (กุศลจิต) เข้ามาแทนที่ 'น้ำลาย' ในจิตนั่นเอง แม้จะเป็นครั้ง ๆ คราว ๆ ก็ตาม อุปมาดั่งสภาวะจิตที่อยู่ในความมืด (อุกศลจิต) แล้วทำการจุดเทียน (กุศลจิต) ส่องความสว่างขึ้นมาท่ามกลางความมืดเพื่อมาแทนความมืดชั่วคราวนั่นเอง

หัวใจจึงอยู่ที่การทำได้บ่อย ๆ เพื่อให้จิตที่ซึมเศร้าได้สัมผัสแสงสว่างบ้าง และบ่อยขึ้น มากขึ้น นานขึ้น จนกระทั่งจิตที่อยู่ในภาวะซึมเศร้ากลับมาสู่จิตปกติของปุถุชนที่ทุกข์น้อยลงจากโรคซึมเศร้า

(2) กรรมฐานนี้สอนให้ 'ดูจิต' 'ดูอารมณ์' โดยตรง โดยใช้วิธี 'ทักอารมณ์นั้นตรง ๆ' ... การทักอารมณ์ที่เป็นอกุศลจิตตรง ๆ เช่น ความเครียดกับอาการซึมเศร้า ... มันคือการทำให้จิต 'รู้ตัว' และหลุดออกจากอารมณ์ที่เป็นอกุศลจิตนั้นได้ชั่วคราว ครั้งพออารมณ์ที่เป็นอกุศลจิตนั้นกลับมาใหม่อีก ก็ให้ "ทักอารมณ์" นั้นอีกเรื่อย ๆ ทุกครั้งไป เมื่อทำเช่นนี้บ่อยครั้ง อุศลจิตที่ว่าจะตั้งอยู่ไม่ได้ มันจะคลายอำนาจการครอบงำจิตได้น้อยลงหรืออ่อนแรงลง  เพราะจิตเป็นอนิจจัง

ผมจะไม่พาดพิงเรื่องที่ มติเถรสมาคมสั่ง 'พระอาจารย์ต้น' (ผู้สอนกรรมฐานข้างต้นเพื่อแก้ไขภาวะโรคซึมเศร้า) ให้แก้ไขแนวคิด-การเผยแพร่ว่าต้องยึดพระไตรปิฎก ... เพราะผมเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างอ่อนไหว และผมเองก็ไม่ได้สนใจติดตามคำสอนของพระอาจารย์ต้นมาก่อนจนกระทั่งเกิดกระแสต่อต้านขึ้นมาจนกลายเป็นประเด็น 

เวลาจะให้คำตอบในเรื่องนี้เอง เพราะความจริงมีหนึ่งเดียว

อะไรที่สอนถูก ก็ต้องบอกว่าถูก  ... นี่คือธรรม
อะไรที่สอนผิด ก็ต้องบอกว่าผิด ... นี่คือธรรม
สิ่งที่สอนถูก ไม่สามารถเอามาหักล้างสิ่งที่สอนผิดได้ ... นี่คือธรรม

"พระไตรปิฎกบกพร่อง 20% ...จริงหรือไม่?"
"พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ยังมีความโกรธอยู่ ...จริงหรือไม่?"
"พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยการนั่งคิดทั้งคืน ...จริงหรือไม่?"

เวลาจะให้คำตอบเอง เพราะความจริงมีหนึ่งเดียว

ด้วยความปรารถนาดี

‘เพจเจอร์’ เทคโนโลยียุคเก่า ความนิยมในวงการแพทย์ ใช้แจ้งเหตุฉุกเฉินพร้อมกัน ในขณะที่มือถือทำไม่ได้

‘เพจเจอร์’ เครื่องเล็ก ๆ ที่เคยถูกมองว่าล้าสมัยกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง ทั้งในแง่ของการใช้งานในภาคการแพทย์และเหตุการณ์ระเบิดเพจเจอร์ที่สั่นสะเทือนเลบานอน ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงหน่วยสืบราชการลับของอิสราเอล

(20 ก.ย. 67) สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า ความเป็นที่นิยมของ 'โทรศัพท์มือถือ' จนกลายเป็นเครื่องมือสื่อสารหลักของโลก ได้ทำให้วิทยุติดตามตัว หรือ 'เพจเจอร์' กลายเป็นสิ่งล้าสมัยไปอย่างมาก โดยความต้องการลดลงจากช่วงรุ่งเรืองในทศวรรษ 1990

อย่างไรก็ตาม เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กเหล่านี้ยังคงเป็นวิธีการสื่อสารที่สำคัญในบางพื้นที่ เช่น การดูแลสุขภาพและบริการฉุกเฉิน เนื่องจากความทนทานและมีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนาน

แพทย์ศัลยกรรมอาวุโสที่โรงพยาบาลชั้นนำแห่งหนึ่งของสหราชอาณาจักรกล่าวว่า “นี่เป็นวิธีที่ถูกที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุดในการสื่อสารกับผู้คนจำนวนมากเกี่ยวกับข้อความที่ไม่ต้องการคำตอบ” โดยเสริมว่า เพจเจอร์นั้นมีการใช้กันทั่วไปโดยแพทย์และพยาบาลทั่วทั้งระบบบริการสุขภาพแห่งชาติ (NHS) ของประเทศ

ล่าสุด ประเด็นวิทยุสื่อสารได้ครองหน้าข่าวเกือบทุกสำนัก เมื่อมีการระเบิดเพจเจอร์หลายพันเครื่องที่ใช้โดยสมาชิกกลุ่มติดอาวุธฮิซบอลเลาะห์พร้อมกันทั่วเลบานอน จนมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 9 คน และบาดเจ็บเกือบ 3,000 คน

ตามแหล่งข่าวความมั่นคงระดับสูงของเลบานอนและแหล่งข่าวอีกแห่งหนึ่งระบุว่า อุปกรณ์ระเบิดภายในเพจเจอร์นั้นถูกฝังโดย 'มอสซาด' หน่วยสืบราชการลับของอิสราเอล

สำหรับเพจเจอร์นั้น NHS ของสหราชอาณาจักรใช้งานประมาณ 130,000 เครื่องในปี 2019 ซึ่งคิดเป็นมากกว่าหนึ่งในสิบของเพจเจอร์ทั่วโลก

แพทย์ที่ทำงานในแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลพกเพจเจอร์เมื่อพวกเขาอยู่ในเวร แพทย์อาวุโสใน NHS กล่าวว่า เพจเจอร์หลายเครื่องยังสามารถส่งเสียงไซเรนและข้อความเสียงไปยังกลุ่ม เพื่อให้ทีมแพทย์ทั้งหมดได้รับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับเหตุฉุกเฉินพร้อมกัน ซึ่งไม่สามารถทำได้ด้วยโทรศัพท์มือถือ

นอกจากนี้ สถาบันเรือช่วยชีวิตแห่งชาติของสหราชอาณาจักร ยังใช้เพจเจอร์นี้เพื่อแจ้งเตือนลูกเรือของตน

ตัวเพจเจอร์นั้น สามารถติดตามได้ยากกว่าสมาร์ตโฟน เนื่องจากขาดเทคโนโลยีการนำทางที่ทันสมัยกว่า เช่น ระบบตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ หรือ GPS สิ่งนี้ทำให้เพจเจอร์เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมในหมู่อาชญากร โดยเฉพาะผู้ค้ายาเสพติดในสหรัฐฯ ในอดีต

อย่างไรก็ตาม แก๊งอาชญากรรมกำลังใช้โทรศัพท์มือถือมากขึ้นในปัจจุบัน เคน เกรย์ อดีตตัวแทน FBI กล่าวกับรอยเตอร์สว่า “ตอนนี้พวกอาชญากรหันไปใช้โทรศัพท์มือถือ โทรศัพท์แบบใช้แล้วทิ้ง ซึ่งสามารถทิ้งได้ง่ายและแทนที่ด้วยโทรศัพท์เครื่องอื่นที่มีหมายเลขต่างกัน ทำให้ติดตามได้ยาก”

ทั้งนี้ ตลาดเพจเจอร์ทั่วโลก ซึ่งเคยเป็นแหล่งรายได้สำคัญสำหรับบริษัทอย่าง Motorola มีมูลค่าอยู่ที่ 1,600 ล้านดอลลาร์ในปี 2023 ตามรายงานเดือนเมษายนของ Cognitive Market Research จำนวนนี้คิดเป็นเพียงเศษเล็กเศษน้อยของตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลก ซึ่งมีมูลค่าประมาณครึ่งล้านล้านดอลลาร์ ณ สิ้นปี 2023

แต่ความต้องการเพจเจอร์กำลังเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดความต้องการการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในภาคการดูแลสุขภาพ รายงานคาดการณ์อัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้นที่ 5.9% จากปี 2023 ถึง 2030 โดยอเมริกาเหนือและยุโรปเป็นตลาดเพจเจอร์ที่ใหญ่ที่สุดสองแห่ง โดยสร้างรายได้ 528 ล้านดอลลาร์ และ 496 ล้านดอลลาร์ตามลำดับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top