Sunday, 25 May 2025
NewsFeed

'ไอซ์' อึ้ง!! พม่าครองตลาดบางบอน จี้!! บังคับใช้กฎหมาย-เก็บภาษีให้คุ้ม

(18 ก.ย. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง เป็นประธานการประชุม โดยก่อนเข้าสู่วาระได้เปิดให้สมาชิกการหารือปัญหาต่าง ๆ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) หารือปัญหาชาวเมียนมาในพื้นที่ ว่า ในเขตของตน มีตลาดพม่า-บางบอน ซึ่งมีคนไทยและเมียนมาตั้งแผงขายของ

มีแรงงานเมียนมา มาใช้บริการจำนวนมาก ถึงขนาดเรียกลูกค้ากันเป็นภาษาพม่าทั้งตลาด มีป้ายโฆษณาเป็นภาษาพม่าทั้งหมด ซึ่งตนได้รับการร้องเรียนของคนในพื้นที่ ว่า มีแรงงานพม่าเป็นเจ้าของแผง ซึ่งเป็นอาชีพต้องห้ามสำหรับแรงงานต่างด้าว

“เมื่อไปลงพื้นที่ ดิฉันถามแม่ค้าคนไทยที่ขายของว่า แผงที่แหกปากตะโกนเป็นภาษาพม่าเป็นเจ้าของแผงหรือลูกจ้าง คนไทยบอกว่าไม่กล้าตอบ เพราะตอบแล้วกลัวจะเดือดร้อน นี่มันตลาดหรือแหล่งซ่องสุมอะไร ทำไมคนไทยจะตอบคำถามแค่นี้ยังต้องกลัว” น.ส.รักชนก กล่าว

น.ส.รักชนก กล่าวต่อว่า นอกจากนี้เมื่อเดินไปยังพบว่ามีป้ายห้ามถ่ายรูป ทำไมต้องขออนุญาตก่อน เพราะตลาดทั่วไปก็ต้องอยากที่จะโปรโมต ตนโทรศัพท์ไปสอบถามเพราะจะถ่าย Vlog ยังไม่ได้รับการติดต่อกลับ และแจ้งเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบแล้ว ก็พบการกระทำผิดอยู่เนือง ๆ แต่กลายเป็นว่าแทนที่จะบังคับใช้กฎหมาย กลับมารีดไถเก็บส่วย

“ประชาชนเล่าให้ดิฉันฟังว่า เจ้าหน้าที่รัฐเหล่านี้เข้ามาส่วนใหญ่จะเข้ามารีดไถ เก็บส่วย มาไถทองคนพม่า มาไถแหวน ไถตุ้มหู ไถสร้อย ถ้าไม่ถอดให้ก็จะเดือดร้อน มีการข่มขู่สารพัด การกระทำที่อุกอาจทั้งหมดนี้ เป็นจุดตรวจสอบ สน.บางขุนเทียน ดิฉันอยากให้เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ…

“ดิฉันไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อน แต่ถ้าผิดกฎหมายก็ต้องจัดการ การที่ภาครัฐปล่อยปละละเลย คนไทยต้องอยู่แบบตั้งคำถามว่าจะจัดการกี่โมง จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาบังคับใช้กฎหมายด้วย อยากให้จัดเก็บภาษีให้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ให้คุ้มกับการมาใช้ทรัพยากรบ้านเรา” น.ส.รักชนก กล่าว

‘นายกฯ’ ชื่นชมกองทัพ เป็นที่พึ่งของประชาชนยามทุกข์ยาก พร้อมส่งกำลังใจให้กำลังพลปฏิบัติงานด้วยความปลอดภัย

(18 ก.ย. 67) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ชื่นชมกองทัพเป็นที่พึ่งของประชาชน โดยเฉพาะยามเกิดภัยพิบัติกองทัพได้นำกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนอย่างทุ่มเท เต็มกำลังความสามารถและอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่า กองทัพอยู่เคียงข้าง ไม่ทอดทิ้งประชาชน

นายกฯ กล่าวว่า จากรายงานกองทัพได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนตั้งแต่เกิดเหตุการณ์จนสถานการณ์คลี่คลายทั้งในพื้นที่ จ.เชียงราย, น่าน, หนองคาย, เลย, บึงกาฬ, นครพนม, ราชบุรี, อุบลราชธานี และ จ.กาฬสินธุ์ โดยได้ทำการช่วยเหลือประชาชน ดังนี้... 

1.ช่วยเหลือประชาชนล้างทำความสะอาด ดินโคลน (บ.เล่าลิ่ว ต.แม่สลองใน อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย) 

2.ลาดตระเวนป้องกันอาชญากรรม เฝ้าระวังความปลอดภัยดูแลทรัพย์สินประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัย (แม่สาย เชียงราย) 

3.ติดตั้งชุดประปาสนาม ผลิตน้ำประปาชั่วคราว 4 แห่ง ให้ประชาชนเชียงรายคลายความเดือดร้อน

4.ฟื้นฟู/ปรับปรุงซ่อมแซมอาคารเรียน ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัย (รร.บ้านปอน ต.ปอน อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน) 

และ 5.ช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่หนองคาย กรอกกระสอบทราย และนำกระสอบทรายไปวางเพื่อเสริมแนวกั้นป้องกันมวลน้ำโขง เพื่อจัดทำพนังกั้นน้ำ (บ้านปากมาง ม.12 ต.กองนาง อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย)

“ขอเป็นกำลังใจให้กองทัพและกำลังพลทุกนายที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน ขอให้ปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวัง บนพื้นฐานความไม่ประมาท คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก” นายกฯ เน้นย้ำ 

'สุริยะใส' แง้ม!! 'อดีต 3 บิ๊ก' คิดตั้งพรรคสู้ 'ปชน.' ชี้!! มีความเป็นไปได้ แต่ก็เต็มไปด้วยความท้าทาย

(18 ก.ย. 67) ดร.สุริยะใส กตะศิลา คณบดีวิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต และอดีตผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โพสต์เฟซบุ๊กในประเด็นที่น่าสนใจเรื่อง ‘อดีต 3 บิ๊กคิดตั้งพรรคอนุรักษ์นิยมใหม่ VS พรรคประชาชน ความเป็นไปได้และข้อท้าทาย’

ตามที่มีข่าวมีความพยายามของอดีตผู้บัญชาการทหารบก อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และอดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย บางคนเตรียมก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ในแนวทางอนุรักษ์นิยมใหม่ เพื่อต่อสู้กับกระแสความนิยมของพรรคประชาชนอย่างพรรคด้อมส้ม นั้น อาจดูเป็นความคิดที่น่าสนใจแต่ก็เต็มไปด้วยความท้าทายหลายด้าน

ความเป็นไปได้

การก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ในไทยนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่ความสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความสามารถในการดึงดูดความสนใจของประชาชน การสร้างความเชื่อมั่น และการนำเสนออุดมการณ์ที่ชัดเจน สำหรับแนวทางอนุรักษ์นิยมใหม่สามารถดึงดูดผู้สนับสนุนที่ไม่พอใจกับทิศทางการเมืองในปัจจุบัน และคนที่อยากเห็นความมั่นคงและความเป็นระเบียบในสังคม

นอกจากนี้ ความสำเร็จยังขึ้นอยู่กับการดึงดูดฐานเสียงในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มที่รู้สึกว่าพรรคการเมืองปัจจุบัน ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้

ข้อท้าทาย

1.กระแสการเมืองปัจจุบัน: พรรคด้อมส้มหรือพรรคประชาชนที่มีแนวคิดก้าวหน้าได้รับความนิยมมาก โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ การที่จะตีโต้กับกระแสนี้จะต้องมีการเตรียมพร้อมในการตอบสนองต่อความต้องการและความกังวลของกลุ่มคนที่อาจมองว่าแนวคิดอนุรักษ์นิยมไม่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน

2.การสร้างภาพลักษณ์: การที่กลุ่มผู้ก่อตั้งเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์ในภาครัฐบาล การทหาร และการตำรวจ อาจจะทำให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นพรรคที่ยึดติดกับอำนาจเก่า ซึ่งอาจทำให้ยากในการดึงดูดคนรุ่นใหม่หรือกลุ่มที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงและต้องแยกให้ออกระหว่างอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมใหม่ (Neo Conservative) กับอนุรักษ์นิยมดั้งเดิม (Traditional Conservative)

3.การแข่งขันกับพรรคเก่า นอกเหนือจากพรรคประชาชนและกระแสด้อมส้มแล้ว ยังมีพรรคอนุรักษ์นิยมเก่าที่มีฐานเสียงแข็งแกร่งอยู่แล้ว เช่น พรรคประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้าชาติ หรือพรรคภูมิใจไทย แม้พรรคเหล่านี้พยายามจะปรับภาพลักษณ์เป็นอนุรกษ์นิยมใหม่ แต่ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควร การแข่งขันกับพรรคเหล่านี้จะเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคในการแย่งชิงฐานเสียง

4.ความซับซ้อนของระบบการเมือง การเมืองไทยเป็นระบบที่ซับซ้อน มีความสัมพันธ์ระหว่างพรรคการเมือง ข้าราชการ และกลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มทุนธุรกิจขนาดใหญ่ การที่จะเข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ในเวทีนี้ จึงจำเป็นต้องมีความชำนาญและความสัมพันธ์ที่ดีกับหลายฝ่าย ในขณะเดียวกันต้องอธิบายและสะท้อนประโยชน์ให้กับสาธารณะได้อย่างเป็นรูปธรรม ตั้งได้แต่โตไม่ง่าย

การก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ในประเทศไทยไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีการวางแผนอย่างละเอียด และการประเมินสภาพการเมืองในปัจจุบันอย่างแม่นยำ พรรคที่ก่อตั้งใหม่จะต้องมีจุดยืนที่ชัดเจนและสามารถดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายได้

ทั้งนี้ ความสำเร็จยังขึ้นอยู่กับความสามารถในการสื่อสารกับประชาชน การตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มต่าง ๆ และการสร้างความเชื่อมั่นในนโยบายและผู้นำที่มี Leadership ตอบโจทย์ทันสมัยการเปลี่ยนแปลง

สรุปแล้ว การตั้งพรรคอนุรักษ์นิยมใหม่นั้นมีความเป็นไปได้ แต่ก็เต็มไปด้วยความท้าทายที่จะต้องเผชิญและแก้ไขในหลายด้าน ที่สำคัญไม่ใช่แค่ทำพรรคอนุรักษ์นิยมแนวใหม่เพียงเพราะต้องการขวางการเติบโตของพรรคประชาชนเท่านั้นแต่ต้องเป็นทางเลือกใหม่ที่ทำได้และเป็นไปได้มากกว่า

‘หลานม่า’ หนังครอบครัวน้ำตาซึม สะท้อนภาพวัฒนธรรมไทย-จีน ครองใจผู้ชมทั่วเอเชีย ขึ้นแท่นหนังทำเงินสูงของไทย ปี 2024

(18 ก.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ‘หลานม่า’ ภาพยนตร์ไทยเนื้อหาสุดซึ้งกินใจผู้คนจนมีชื่อเสียงโด่งดังและกวาดรายได้มหาศาลตั้งแต่เข้าฉายในแผ่นดินใหญ่ของจีนเมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยสามารถทำรายได้มากกว่า 100 ล้านหยวน (หรอืประมาณ 500 ล้านบาท) และมีเรตติงอยู่ที่ 8.9 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนนจากผู้ชมภาพยนตร์กว่า 140,000 คนบนเว็บไซต์โต้วป้าน (Douban) แหล่งรวมรีวิวและคำวิจารณ์ภาพยนตร์สัญชาติจีน

นอกจากจะประสบความสำเร็จในจีนแล้ว ภาพยนตร์เรื่องหลานม่ายังได้รับความนิยมไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยขึ้นแท่นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงที่สุดของไทยในปี 2024 และเป็นภาพยนตร์ไทยที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในมาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย

‘หลานม่า’ ภาพยนตร์ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวของเด็กหนุ่มที่อาสาขอดูแลยาย (อาม่า) ของตนที่ป่วยหนักในฐานะ ‘หลานชายที่แสนกตัญญู’ เพื่อหวังที่จะเป็นผู้ได้รับมรดกของยาย ทว่าสุดท้ายกลับพบคุณค่าที่แท้จริงของความสัมพันธ์ในครอบครัว

ผู้ชมชาวจีนส่วนมากพบว่าครอบครัวชาวจีนโพ้นทะเลแต้จิ๋วที่ปรากฏในหนังเรื่องนี้มีความคล้ายคลึงกับครอบครัวของตน ทำให้พวกเขามีอารมณ์ร่วมไปกับภาพยนตร์จนน้ำตาซึม และนำมาสู่การถกเถียงเกี่ยวกับจริยธรรมของครอบครัวและปัญหาทางสังคมในวงกว้าง

‘พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์’ ผู้กำกับและผู้ร่วมเขียนบทของภาพยนตร์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่าภาพยนตร์เรื่องนี้พูดถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวที่เราทุกคนคุ้นเคยเป็นอย่างดี สิ่งนี้อาจเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ ‘หลานม่า’ ได้รับความนิยมและเข้าถึงผู้คน

‘หลานม่า’ เป็นผลงานภาพยนตร์เกี่ยวกับครอบครัวชิ้นแรกของพัฒน์ โดยในตอนเริ่มแรกบทภาพยนตร์นี้เขียนขึ้นโดยอิงจากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียนบทอีกหนึ่งคนที่ต้องดูแลย่าที่ป่วยในตอนที่ตนยังเป็นเด็ก ซึ่งผู้เขียนบททั้งสองคนได้ใช้เวลาถึง 2 ปีในการขัดเกลาบทภาพยนตร์ พร้อมเพิ่มรายละเอียดที่อ้างอิงจากผู้คนและเหตุการณ์จริงมากขึ้น

สำหรับพัฒน์ ผู้กำกับซึ่งเป็นลูกครึ่งไทย-จีน เปิดเผยว่าการสร้างภาพยนตร์โดยอิงจากองค์ประกอบทางวัฒนธรรมที่สั่งสมมาตั้งแต่รุ่นยายของเขา และสามารถนำภาพยนตร์มาเข้าฉายในจีนที่ซึ่งผลตอบรับของผู้ชม ‘เกินความคาดหมาย’ นั้นล้วนเป็นประสบการณ์ที่แสนพิเศษสำหรับเขา

ด้านทรงพล วงษ์คนดี ผู้อำนวยการฝ่ายขายและธุรกิจต่างประเทศของจีดีเอช 559 (GDH 559) ซึ่งเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ชื่อดังเรื่องนี้ ระบุว่าการที่หลานม่าได้รับความนิยมในจีน เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสำเร็จในการส่งออกผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมของไทย โดยตลาดพลู ซึ่งเป็นตลาดในเขตธนบุรีของกรุงเทพฯ และเป็นสถานที่ถ่ายทำหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้กลายมาเป็นจุดเช็กอินยอดนิยมของนักท่องเที่ยวแล้วในปัจจุบัน

ทั้งนี้ ทรงพลยังหวังว่าผู้บริโภคชาวจีนจะเข้าใจภาพยนตร์ไทยมากขึ้นผ่านโอกาสในครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นใบเบิกทางให้กับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยในตลาดวัฒนธรรมที่กว้างกว่าเดิม

หม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรี ยุคล ประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านภาพยนตร์และซีรีส์ของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติของไทย เปิดเผยว่าไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ต่างชาติที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน เนื่องจากมีทัศนียภาพทางธรรมชาติที่งดงาม อาทิ ชายทะเลและเกาะต่าง ๆ

หม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรีเผยว่าไทยและจีนมีความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนด้านภาพยนตร์และวัฒนธรรมอื่น ๆ อย่างใกล้ชิดมากขึ้น โดยมีทีมงานภาพยนตร์ชาวจีนเดินทางมาถ่ายทำที่ไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะภาพยนตร์และซีรีส์บางเรื่องที่มีกลิ่นอายของไทยได้รับความนิยมในตลาดขนาดใหญ่ของจีนเช่นกัน พร้อมเสริมว่าภาพยนตร์มีบทบาทสำคัญในการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม และเราให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือกับจีนในด้านอุตสาหกรรมนี้

แฉ!! 'ผอ.กศน.' ในสุรินทร์ ไม่เข้าทำงาน นอนกินเงินเดือนอยู่บ้าน ถ้ามีงาน ก็ใช้ลูกน้องหอบแฟ้มเอกสารไปให้เซ็นถึงบ้านพัก

(18 ก.ย. 67) จากเพจ 'ปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน' ได้โพสต์ข้อความถึงพฤติกรรม ผอ.ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) หรือ กศน.เดิม รายหนึ่งใน จ.สุรินทร์ ที่ไม่เข้าทำงาน นอนกินเงินเดือนอยู่บ้าน แถมใช้ลูกน้องหอบแฟ้มเอกสารไปให้เซ็นถึงบ้านพัก จนชาวเน็ตวิจารณ์สนั่น ว่าคนแบบนี้เป็นภาระต่อองค์กร ดังนี้...

ผอ.กศน. นอนกินเงินเดือนอยู่บ้าน ที่ทำงานไม่เข้า ทำงานตามอัธยาศัย ผอ.ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) อำเภอศรีณรงค์ จ.สุรินทร์ หรือ กศน.เดิม นอนกินเงินเดือนสวัสดิการอยู่บ้าน ที่ทำงานแทบไม่เข้า เข้าทีก็เฉพาะตอนประชุมหรือมีงานสำคัญ เดือนละครั้งสองครั้ง

เวลามีเซ็นเอกสารก็ใช้ลูกน้องหอบแฟ้มไปให้เซ็นถึงบ้านพักในตัวเมือง ห่างไปเกือบ 60 กม. งานกิจกรรมนิเทศนักศึกษาใหม่ก็ให้ครูไปทำกันเอง รักษามาตรฐานนี้มาตั้งแต่ช่วงโควิดปี 2019 จนถึงปัจจุบัน

นอกจากนี้ ยังโพสต์เพิ่มเติมถึงกรณี ผอ.รายนี้ อีกว่า "เป็นคนสปอร์ต เวลานาย ๆ มาตรวจดูแลปรนนิบัติดี ทำถึง เหล้ายา ปลาปิ้งไม่อั้น เป็นน้องรักของบรรดานาย ๆ แบ็คดีก็เลย WFH ไม่อั้น ผอ.กศน. ...... จ.สุรินทร์" และ "สมัยอยู่ประจำสำนักงาน ก็กระทำเป็นสหายสุราในที่ทำงานและบ้านพัก ลูกน้องไม่อยากร่วมวงก๊งแก้ว ก็มีกริ้วมีแกล้ง"

เปิดกล้องวงจรปิดถึงกับขนลุก!! พนักงานเสิร์ฟก๋วยเตี๋ยวให้ใคร ด้านชาวเน็ตแซว!! ลูกค้าจ่ายค่าก๋วยเตี๋ยวให้หรือยัง?

จากกรณีผู้ใช้ติ๊กต็อก @aunudon โพสต์คลิปวิดีโอจากกล้องวงจรปิด จับภาพขณะที่เด็กเสิร์ฟคนนึงกำลังให้บริการลูกค้า โดยพนักงานคนอื่นต่างงุนงงกันว่าเสิร์ฟใครกัน? เพราะที่โต๊ะนั้นทุกคนไม่เห็นใครเห็นคนนั่งอยู่ พร้อมระบุแคปชันว่า “เห็นอยู่คนเดียว” นั้น 

ล่าสุด (18 ก.ย. 67) คุณพลอย พนักงานเสิร์ฟในคลิปดังกล่าว ได้เปิดใจกับ ‘ข่าวสดออนไลน์’ ระบุว่า เมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. ถึง 15.00 น. ของวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา เป็นช่วงชุลมุนของร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งหนึ่งใน จ.อุดรธานี โดยตอนนั้นมีพนักงานอยู่ในร้านทั้งหมด 4 คน ตนซึ่งเป็นหนึ่งในนั้น เห็นลูกค้าผู้หญิงคนนึง ใส่เสื้อสีขาว ทรงเซอร์ ๆ หน่อย อายุประมาณ 40 ปีต้น ๆ เดินเข้ามาในร้านตามปกติ แต่ลูกค้าคนดังกล่าวไม่พูดไม่จาอะไร เพียงแค่กวักมือเรียกพนักงาน ตอนนั้นตนกำลังก้มปิดแก๊สอยู่ ก็แปลกใจว่าทำไมพนักงานคนอื่นที่นั่งอยู่ข้างกันถึงไม่ไปรับออเดอร์ ราวกับว่าไม่มีใครเห็นลูกค้าคนนี้ มีแค่ตนเห็นคนเดียว

ตนจึงเป็นคนเดินเอาเมนูไปวางที่โต๊ะให้ลูกค้าคนดังกล่าว ระหว่างรอให้เขาเขียนเมนู ตนก็เดินไปเอาของข้างหลังร้าน พอกลับมาที่หน้าร้านอีกที ก็ยังคงไม่มีใครเอาน้ำมาเสิร์ฟ ลูกค้าก็ไม่พูดอะไรแต่เอามือจิ้มว่าต้องการน้ำเก๊กฮวย ตนจึงไปเสิร์ฟให้ ในตอนนั้นพนักงานอีก 3 คนก็เริ่มงงว่าตนเสิร์ฟให้ใครแต่ก็ยังไม่ได้ถามอะไร คิดว่าลูกค้าคงไปเข้าห้องน้ำอยู่

จากนั้นตนก็เดินกลับมาที่เคาน์เตอร์ เมื่อคิดว่าลูกค้าคงเขียนเมนูเสร็จแล้ว จึงเดินไปรับเมนู เห็นว่าลูกค้าติ๊กเมนูเป็นเส้นเล็กน้ำ ตนก็ไปทำออเดอร์มาเสิร์ฟให้ตามปกติ แต่กลับมาอีกที ลูกค้าไม่อยู่ที่โต๊ะแล้ว ตนก็คิดแค่ว่า ทำไมเขาไม่มากินสักที เส้นจะอืดไหม

หลังจากนั้นตนก็เริ่มถามคนอื่นกันว่า ลูกค้าไปไหน ลูกค้าเข้าห้องน้ำหรือเปล่า แต่พอหาที่ห้องน้ำไม่เจอ ตอนนั้นตนเริ่มรู้สึกทะแม่งเพราะพนักงานคนอื่นยืนยันว่าไม่เห็นลูกค้าคนดังกล่าวตั้งแต่แรก ตนจึงคิดแล้วว่าลูกค้าคนนี้คงไม่ใช่คน พอเอาเมนูมาดูอีกที เมนูที่เห็นว่าติ๊กสั่งตอนแรกก็ว่างเปล่า ตนจึงให้เถ้าแก่ที่ร้านลองเปิดกล้องวงจรปิดดู ปรากฏว่าไม่เห็นมีใครนั่งที่โต๊ะดังกล่าวเลย มีเพียงตนที่ยืนพยักหน้ารับออเดอร์อยู่คนเดียว

คุณพลอย เล่าอีกว่า ก่อนหน้านี้เคยเจอเหตุการณ์ลี้ลับแบบนี้ในรูปแบบเสียงเฉย ๆ เพิ่งเคยเจอแบบเป็นตัวเป็นตนมาหาโดยตรงขนาดนี้ครั้งแรก ซึ่งในวันนั้นก็เป็นวันโกนด้วย แต่เกิดขึ้นในช่วงเวลากลางวันปกติ ลูกค้าคนอื่นก็อยู่เยอะ ตนคิดในแง่ดีว่าเขาคงจะมาให้โชค เหมือนเขาหิวข้าวมาขอข้าวกิน และเขาก็มาดีไม่ได้มาทำร้ายอะไรเรา ตนก็เหมือนได้ทำบุญไปด้วย

อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็มีทั้งคนที่มองว่าเป็นเรื่องลี้ลับ บ้างก็ว่าพนักงานเสิร์ฟคนดังกล่าวเป็นผู้มีบุญ เขาถึงมาขอให้ช่วยบรรเทาความหิว ส่วนชาวเน็ตอีกกลุ่มก็มีการแซวตามประสา เช่น เค้าได้จ่ายเงินให้ไหม อยากเห็นตอนรับเงิน

‘อัครเดช-รวมไทยสร้างชาติ’ ค้าน ร่างกม.วินัยการเงินฯ จากฝ่ายค้าน ชี้!! ไม่รัดกุม-ขาดรายละเอียด หวั่นทำลายความคล่องตัวใช้จ่ายเงิน

(18 ก.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้อภิปรายร่างพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ว่า หนึ่งในนโยบายหลักของพรรครวมไทยสร้างชาติคือการจัดการกับปัญหาทุจริตคอร์รัปชันโดยเด็ดขาด ดังนั้นทางพรรคจึงเห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะมีการตรวจสอบเงินนอกงบประมาณเพื่อให้เกิดความโปร่งใส พร้อมทั้งใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ และปราศจากการทุจริตตามนโยบายของทางพรรค 

จากข้อมูลล่าสุดเงินนอกงบประมาณมีประมาณ 3 ล้านล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีหรือที่เรียกว่าเงินในงบประมาณ โดยเงินนอกงบประมาณนั้นมีที่มาจากเงินบริจาค เงินบำรุงหน่วยงานต่าง ๆ เงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ เป็นต้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการตรวจสอบเงินนอกงบประมาณ 

อย่างไรก็ดี ร่างกฎหมายฉบับนี้ที่ถูกเสนอมามีทั้งหมด 7 มาตรา มีเนื้อหาที่สำคัญคือการดึงเงินนอกงบประมาณเข้าสู่กระทรวงการคลังต้องปฏิบัติตามขั้นตอนปกติ ผ่านการออกเป็นพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งจะสูญเสียความคล่องตัวในการใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณ 

ดังนั้น เงินนอกงบประมาณจึงเป็นสิ่งที่พึงเก็บรักษาไว้ในการใช้ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนหรือมีเหตุฉุกเฉินที่มีผลกระทบต่อประชาชน เนื่องจากหลายหน่วยงานภาครัฐมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ความคล่องตัวในการใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล โรงเรียนขนาดเล็ก และอีกหลายหน่วยงาน โดยเงินนอกงบประมาณดังกล่าวในปัจจุบันจะต้องมีการใช้จ่ายตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบถ้ามีการทุจริตคอร์รัปชันก็จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฏหมายรวมถึงถูกตรวจสอบจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินโดยปกติอยู่แล้ว

การแก้ไขกฎหมายตามร่างฉบับของพรรคฝ่ายค้านในครั้งนี้ จะส่งผลกระทบต่อหน่วยงานภาครัฐหลาย ๆ หน่วยงานอย่างกว้างขวางเกิดผลกระทบอย่างมหาศาลต่อพี่น้องประชาชน โดยเมื่อเปรียบเทียบระหว่างประโยชน์และผลกระทบแล้วตนมีความเห็นว่าการแก้ไขกฎหมายครั้งนี้เป็น ‘การเผาป่าเพื่อหาหนู’

ขอย้ำว่า การใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณนั้นในปัจจุบัน มีการตรวจสอบผ่านพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้าง รวมถึงการตรวจสอบจากหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ อาทิ ปปช. สตง. เป็นต้น ดังนั้น ในวันนี้ทางพรรครวมไทยสร้างชาติ จึงมีมติไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายที่ขาดรายละเอียดที่ดีในการจัดการเงินนอกงบประมาณในฉบับนี้ของพรรคฝ่ายค้าน

แต่อย่างไรก็ตาม พรรครวมไทยสร้างชาติก็ได้เล็งเห็นปัญหาในส่วนของการตรวจสอบเงินนอกงบประมาณเช่นกัน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการยกร่างกฎหมาย และคาดว่าจะสำเร็จในเร็ววันนี้ ซึ่งจะช่วยยกระดับการตรวจสอบเงินนอกงบประมาณ โดยไม่ทำให้ความคล่องตัวในการใช้จ่ายของหน่วยงานสูญเสียไป 

และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เมื่อมีการเสนอกฎหมายโดยพรรครวมไทยสร้างชาติ จะได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกท่าน

'ปราชญ์ สามสี' ถอดบทเรียนประวัติศาสตร์ เหตุใดการทำให้กองทัพอ่อนแอ คือการทำลายประเทศ

(19 ก.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก ปราชญ์ สามสี เผยแพร่บทความเรื่อง ‘บทเรียนจากประวัติศาสตร์: ทำไมการทำให้กองทัพอ่อนแอ คือการทำลายประเทศ’ มีเนื้อหาดังนี้ 

ที่ข้าพเจ้าเอาบทความทางทหารมาเล่าให้ฟังบ่อยขึ้น ๆ นั้นก็เพราะต้องการให้ ทุก ๆ ท่านตระหนัก ‘ให้ชัดเจน’ ประเทศไทยของเรากำลังใกล้เผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่า สงครามขนาดใหญ่ที่เข้ามาประกบเราซ้ายขวาหน้าหลังเวลานี้ นับวันจะยิ่งส่อเค้าว่าจะหลบหนีไปจากสงครามเป็นไปได้ยากอีกด้วย เนื่องจาก ภูมิรัฐศาสตร์ของไทยนั้น กำลังจะกลายเป็น รัฐกันชนกับสงครามใหญ่โต ระหว่าง จีนและสหรัฐฯ

และลองคิดดูสิว่า ในปี 2567 ถ้าหากประเทศเรามีกองทัพที่ไม่เข้มแข็ง ไม่พร้อมปกป้องบ้านเมือง ตอนที่มีศัตรูมารุกรานจะเป็นอย่างไร? คำตอบมันชัดเจนมาก: ประเทศจะเสี่ยงที่จะล่มสลาย ดังนั้น นี่คือการทำให้กองทัพอ่อนแอ ไม่เพียงแต่ทำให้เราสูญเสียความสามารถในการป้องกันตนเอง แต่มันยังทำให้ประเทศตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกดึงเข้าไปในความขัดแย้งระดับโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่ควรละเลยครับ
นี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายนะครับ

ในปี 2567 ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภัยสงครามที่ซับซ้อนและรุนแรงขึ้นจากความขัดแย้งระดับภูมิภาคและระดับมหาอำนาจ โดยเฉพาะในบริบทของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งปัจจุบันประเทศจีนได้ขยายอิทธิพลทางทหารในพื้นที่ทับซ้อน ณ บริเวณหมู่เกาะ สแปลชลี่ย์ ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาททางทะเล ระหว่างหลายประเทศ จนกลายเป็นพื้นที่สีแดงที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดการปะทะกันระหว่าง ประเทศจีน และ ประเทศที่มีส่วนเกี่ยวข้องใน ณ บริเวณหมู่เกาะ สแปลชลี่ย์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สหรัฐอเมริกา

การมีพื้นที่สงครามทางทะเลแปซิฟิกบริเวณ บริเวณหมู่เกาะ สแปลชลี่ย์ ตามหลักภูมิรัฐศาสตร์แล้ว นับเป็นทางออกทะเลทางเดียวของประเทศจีน จึงไม่แปลก ที่ จีนจำเป็นจะหาทางออกทางทะเล แห่งใหม่ เพื่อหลบ หรือ ซ่องสุมอำนาจกองกำลังทางทะเลเพื่อรักษาผลประโยชน์ของจีน 

ดังนั้น การสนับสนุน กัมพูชา และ พม่า เพื่อจัดสร้างระบบการขนส่งทางราง และ แม่น้ำ รวมไปถึงการพัฒนาฐานทัพเรือสำคัญ ๆ ให้สามารถรองรับ เรือดำน้ำ และเรื่องบรรทุกเครื่องบิน ก็เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำหรับจีน ในการการรักษาความมั่นคงในพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยที่มีทรัพยากรสำคัญ และ เผชิญหน้ากับสหรัฐฯ ส่งผลให้ไทยอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ระหว่าง พม่าและกัมพูชาก็อาจกลายเป็นสมรภูมิในสงครามระหว่างสองมหาอำนาจนี้

ขณะเดียวกัน เราชาวไทยก็กำลังพบเจอกับปัญหาอีกเรื่องเกิดจากแนวโน้มสงครามภายในพม่าทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้เกิดคลื่นผู้ลี้ภัยหลบหนีเข้ามาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเอ็นจีโอ และฝ่ายการเมืองพยายามกดดันฝ่ายความมั่นคงไทยด้วยการกดดันให้ปล่อยให้ผู้ลี้ภัยล้นทะลักเข้ามา ซึ่งหากเกิดจริงสร้างปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมในไทย ผู้ลี้ภัยที่หลั่งไหลเข้ามานี้อาจเป็นชนวนของความไม่พอใจภายในประเทศ คล้ายกับเหตุการณ์ ‘อาหรับสปริง’ ที่เคยเกิดขึ้นในตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นการประท้วงที่เกิดจากความไม่พอใจในระบบการจัดการและความไม่เท่าเทียม หากประเทศไทยไม่สามารถควบคุมสถานการณ์นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็อาจนำไปสู่ความวุ่นวายภายในที่ทวีความรุนแรงขึ้น

จากทั้งสองปัจจัย เราจะเห็นได้ว่า มันกำลังจะเป็นสงครามที่ระเบิด จากภายใน และ ภายนอก ในเวลาไล่เลี่ยกัน ... ดังนั้นสิ่งที่เขียนอยู่นี่ ทุกคนจะต้องตั้งสติให้ดี ๆ นะครับ

ข้าพเจ้าขอตัวอย่างที่อยากให้ลองฟังกัน เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายถึงสถานการณ์บ้านเมือง จึงขออนุญาต ยกข้อคิดมาจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับประวัติศาสตร์รัสเซีย มหาอำนาจใหญ่ที่เคยผ่านวิกฤติการณ์ลักษณะคล้าย ๆ กันนี้มาแล้ว

หากต้องพูดถึงประวัติศาสตร์รัสเซีย สิ่งที่จะต้องรู้คือ รัสเซีย แท้จริงแล้วเป็นชาติที่มี ไม่ได้ถูกกำหนดด้วยเชื้อชาติใดเชื้อชาติหนึ่ง เหมือนกับที่ใครบางคนเข้าใจว่า ‘เชื้อชาติรุส’ (Rus) เป็นต้นกำเนิดของชนชาติรัสเซีย เพราะ ข้อเท็จจริงแล้ว รัสเซีย เป็นดินแดนที่ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติอยู่ร่วมกันไม่ว่าจะเป็น สลาฟ, ตาตาร์, เชเชน และอื่น ๆ เขารวมกลุ่มคนหลากหลายให้เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งก็ไม่ต่างจากประเทศไทยของเราเลยครับ

ทำไมชาติรัสเซียถึงยิ่งใหญ่?

ในศตวรรษที่ 18 ภายใต้การปกครองของ ปีเตอร์มหาราช (Peter the Great) และ แคทเธอรีนมหาราช (Catherine the Great) จักรวรรดิรัสเซียได้ขยายอาณาเขตไปยังยุโรปตะวันออก, เอเชียกลาง, และไซบีเรีย การขยายอาณาเขตครั้งนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มพื้นที่ให้กับรัสเซีย แต่ยังรวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลายเช่น ชนกลุ่มคอเคซัส, ตาตาร์, ชาวเติร์ก และอื่น ๆ ที่ถูกนำมาอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิ การรวมชาติของเขามีความเข้มแข็งมากเพราะแม้ว่าจะมีวัฒนธรรมที่หลากหลาย แต่กลับมีวัฒนธรรมร่วมที่แข็งแรงมาก เช่นการใช้ ภาษารัสเซีย เป็นภาษากลางที่ทุกคนใช้สื่อสารได้ทั่วประเทศ ไม่ว่าคุณจะมาจากภูมิภาคไหน จึงทำให้ความหลากหลายนี้ไม่ได้เป็นอุปสรรค แต่ทำให้รัสเซียแข็งแกร่งขึ้น

ปัจจุบัน หัวใจสำคัญของความสำเร็จ ในการสร้างชาติรัสเซีย นั้นก็คือ ความรักชาติ (Patriotism) ที่ปลูกฝังในคนรัสเซีย ท่ามกลางพวกเขาภูมิใจในความเป็นรัสเซียและพร้อมเสียสละเพื่อปกป้องชาติ ไม่ต่างจากไทยที่เราต้องปลูกฝังความรักชาติในทุกคน เพื่อให้เราสามารถเผชิญกับความท้าทายในอนาคตได้

อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างย่อมมีจุดสูงสุดก็มีต่ำสุด ช่วงเวลาที่ชัดเจนที่สุดก็คือ การล่มสลายของสหภาพโซเวียต ในปี 1991 ซึ่งเกิดจากการที่ผู้นำในยุคนั้นอย่าง มิคาอิล กอบาเชฟ ทำให้กองทัพอ่อนแอ กองทัพโซเวียตสูญเสียพลังและงบประมาณจนไม่สามารถรักษาความมั่นคงของประเทศได้ และสุดท้ายก็เกิดการล่มสลายของรัฐยิ่งใหญ่นั้น นี่คือบทเรียนสำคัญที่ประเทศอื่น ๆ ต้องเรียนรู้

แล้วมันเกี่ยวกับประเทศไทยยังไง?

ประเทศไทยก็มีบทเรียนแบบเดียวกัน ถ้าเรามองย้อนไปในประวัติศาสตร์ การที่กองทัพไทยเคยเข้มแข็งและปกป้องประเทศจากการรุกรานของเพื่อนบ้าน ทำให้เราสามารถคงอธิปไตยของเราไว้ได้ แต่นึกดูสิว่าถ้าวันหนึ่งเราปล่อยให้กองทัพของเราอ่อนแอลง เราจะเกิดอะไรขึ้น? แน่นอนว่า

ความเสี่ยงจะตามมา เช่น ความขัดแย้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงปัญหาใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นระหว่าง จีน กับ สหรัฐฯ ที่มีโอกาสใช้ อ่าวไทย และ พื้นที่ตลอดชายแดนอาจเป็นสมรภูมิได้

คิดดูนะว่า ถ้าประเทศเราไม่พร้อมรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ เราอาจต้องสูญเสียทั้งอธิปไตยและความมั่นคงของประเทศ ไม่ต่างจากที่เคยเกิดขึ้นกับสหภาพโซเวียต

แล้วไทยจะทำยังไงต่อ?

สำหรับประเทศไทย บทเรียนจากรัสเซียสอนเราว่า ความเข้มแข็งของกองทัพและความรักชาติ (Patriotism) เป็นสองสิ่งที่ไม่สามารถละเลยได้ หากเราละเลยสิ่งเหล่านี้ อนาคตเราอาจจะเป็นเหมือนโซเวียตในอดีตก็ได้ ความรักชาติและการสนับสนุนกองทัพที่แข็งแกร่งจะทำให้เราอยู่รอดปลอดภัยในโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง

เพื่อน ๆ ต้องเข้าใจว่า การมี กองทัพที่เข้มแข็ง ไม่ได้หมายความว่าเรากำลังเตรียมพร้อมเพื่อทำสงคราม แต่เป็นการรักษาสมดุลของอำนาจในภูมิภาคและป้องกันประเทศจากภัยคุกคาม ถ้าเราอ่อนแอ ประเทศอื่นอาจใช้โอกาสนี้ในการแทรกแซง ดังนั้น การสนับสนุนกองทัพและปลูกฝัง

ความรักชาติในทุกคนจึงเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความมั่นคงของชาติเรา

สรุปคือ การทำให้กองทัพอ่อนแอ ก็คือการทำลายประเทศนั่นเอง

'FED' ใช้ยาแรงตามคาด ลดดอกเบี้ย 0.5% ฟาก 'ตลาดหุ้นสหรัฐฯ' เด้งรับก่อนปิดลบ

(19 ก.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลง 0.5% เมื่อวันพุธที่ 18 ก.ย. 2567 ถือเป็นการเริ่มต้นวัฏจักรของการลดดอกเบี้ยอย่าง ‘เข้มข้น’ โดยการลดดอกเบี้ยถึง ‘ครึ่งเปอร์เซ็นต์’ แทนที่การลดดอกเบี้ย 0.25% ตามปกติ เป็นไปตามที่นักวิเคราะห์ในตลาดส่วนใหญ่คาดการณ์เอาไว้ เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของตลาดแรงงานสหรัฐ ที่ส่งสัญญาณอ่อนเเรงมาก่อนหน้านี้

ขณะที่ผลการคาดการณ์ทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐในระยะยาว (Dot Plot) แสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ 10 คนจาก 19 คน "สนับสนุนให้ลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 0.5% ในการประชุมอีก 2 ครั้งที่เหลือของปี 2024"

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวม 1.00% ในปี 2568 และลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในปี 2569

โดยรวมแล้ว Dot Plot บ่งชี้ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2.00% หลังการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในวันนี้

คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) ลงมติ 11 ต่อ 1 เสียงให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 4.75% - 5.0% หลังจากคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูงสุดในรอบ 2 ทศวรรษมาเป็นเวลากว่า 1 ปี 

การเคลื่อนไหวที่เด็ดขาดเมื่อวันพุธเน้นย้ำถึง ‘ความกังวลที่เพิ่มมากขึ้น’ ของผู้กำหนดนโยบายเกี่ยวกับทิศทางตลาดการจ้างงานของสหรัฐ

เฟดระบุในแถลงการณ์ว่า "คณะกรรมการมีความมั่นใจมากขึ้นว่าอัตราเงินเฟ้อจะเคลื่อนตัวไปสู่ระดับ 2% อย่างยั่งยืน และเห็นว่าความเสี่ยงในการบรรลุเป้าหมายด้านการจ้างงานและอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่สมดุล" และเสริมว่าเจ้าหน้าที่ "มีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะสนับสนุนการจ้างงานสูงสุด" นอกเหนือจากการผลักดันอัตราเงินเฟ้อให้กลับไปสู่เป้าหมาย

ทั้งนี้ เฟดลดดอกเบี้ยครั้งล่าสุดคือในปี 2563 (2020) ซึ่งลดไป 0.50% เมื่อวันที่ 3 มี.ค. และอีก 1.00% ในวันที่ 15 มี.ค. โดยถือเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉินในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยลดลงมาอยู่ที่ระดับ 0-0.25% ยาวต่อเนื่องจนเข้าสู่วัฎจักรการขึ้นดอกเบี้ยในปี 2565-2566

>>หั่นคาดการณ์ GDP ปีนี้เหลือ 2.0% 

นอกจากการปรับลดดอกเบี้ยแล้ว เฟดได้ ‘ปรับลด’ คาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2567 ลงเหลือ 2% โดยประมาณการว่าจีดีพีสหรัฐจะโตได้ระดับ 2.0% ในทุกๆ ปี ตั้งแต่ปี 2567- 2570 หลังจากก่อนหน้านี้เคยคาดการณ์ในเดือนมิ.ย.ว่า จะมีการขยายตัว 2.1%, 2.0% และ 2.0% ในปี 2567, 2568 และ 2569 ตามลำดับ 

นอกจากนี้ เฟดยังได้ปรับคาดการณ์การว่างงานในปีนี้ ‘เพิ่มขึ้น’ จาก 4.0% เป็น 4.4% 

เฟดปรับตัวเลขคาดการณ์อัตราว่างงานในช่วง 4 ปีนี้ ตั้งแต่ปี 2567 - 2570 อยู่ที่ระดับ 4.4%, 4.4% และ 4.3% และ 4.2% ตามลำดับ หลังจากคาดการณ์ในเดือนมิ.ย.ว่าจะอยู่ที่ระดับ 4.0%, 4.2% และ 4.1% ในปี 2567, 2568 และ 2569 ตามลำดับ ส่วนอัตราว่างงานระยะยาวยังคงอยู่ที่ระดับ 4.2%

ขณะเดียวกัน เฟดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปี 2567- 2570 อยู่ที่ระดับ 2.6%, 2.2%, 2.0% และ 2.0% ตามลำดับ ‘ลดลง’ หลังจากคาดการณ์ในเดือนมิ.ย.ว่าจะอยู่ที่ระดับ 2.8%, 2.3% และ 2.0% ในปี 2567, 2568 และ 2569 ตามลำดับ

>>'หุ้น-ทอง' พุ่งทุบสถิติใหม่!

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวเขียวยกแผง โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวบวกขึ้นไปถึง 300 จุดในช่วงสั้นๆ หลังการประกาศผลประชุม ก่อนจะปรับลดลงมา ณ เวลาประมาณ 01.20 น. ตามเวลาในไทย Dow Jone บวกไปกว่า 174 จุด หรือราว 0.4% แตะสถิติสูงสุดใหม่ระหว่างการซื้อขาย ส่วน S&P500 บวกราว 0.51% และ Nasdaq บวกได้ราว 0.74% ก่อนที่ทั้งสามดัชนีจะ ‘ปิดตลาดลบลงไปเล็กน้อย’

-ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดตลาดลดลง 103.08 จุด หรือ -0.25% ปิดที่ 41,503.10 จุด
-ดัชนี S&P500 ปิดลบ 16.32 จุด หรือ -0.29% ปิดที่ 5,618.26 จุด
-ดัชนี Nasdaq ปิดลบ 54.76 จุด หรือ -0.31% ปิดที่ 17,573.30 จุด 

ด้านสัญญาทองคำฟิวเจอร์ตลาด Comex ปิดตลาดวันพุธที่ 18 ก.ย. เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.2% ปิดที่ 2,598.60 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือเพิ่มขึ้น 6.2 ดอลลาร์จากวันก่อนหน้า ขณะที่ราคาทองสปอตทะยานไปแตะ 2,592.39 ดอลลาร์/ออนซ์ ระหว่างการซื้อขายเมื่อคืนนี้

'นักวิชาการ' แนะดูคลิปแล้วจะรู้ว่าสมควรเชื่อใคร หลัง 'รมว.พิชัย' ถาม!! "ผู้ว่าฯ ธปท.จบจากที่ไหน?"

เมื่อวานนี้ (18 ก.ย. 67) รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า

"ผู้ว่าเองพูดในเชิงว่า เราเองไม่ต้องไปเน้นจีดีพี ผมไม่รู้ว่าท่านจบจากที่ไหนนะฮะ ผมว่าเป็นสิ่งที่ผิด ผมว่าอันนี้เป็นสิ่งที่ผิด ท่านพูดเหมือนกับคนไม่ค่อยรู้เรื่อง"

นี้คือคำพูดของ คุณพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ อันเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ การแสดงปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ ‘ท้องถิ่นที่สากล : อนาคตประเทศไทย Globally Competitive Localism : Future of Thailand’ ในงานเสวนาที่สำนักข่าวไทยพับลิก้าจัดขึ้นเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2567 ซึ่งมีข้อความส่วนหนึ่งว่า

"เราไม่ควรโตแบบล่าตัวเลข GDP แต่ตัวเลขที่ต้องล่าคือ ความมั่งคั่ง รายได้ของครัวเรือนที่สะท้อนความเป็นอยู่ของคน เพราะ GDP ไม่ได้สะท้อนความเป็นอยู่ของคน”

ท่านผู้ว่าแบงก์ชาติจบมาจากที่ไหน สามารถหาข้อมูลได้จาก google ตัวคุณพิชัยเอง จบมาจากที่ไหน ก็สามารถหาได้จาก google เช่นกัน วิญญูชนลองค้นหาข้อมูลดังกล่าวแล้วนำมาเปรียบเทียบกันเอาเอง

อยากให้ทุกท่านลองย้อนกลับไปดูคลิปจาก youtube เมื่อ 13 ปีที่แล้ว ที่คุณพิชัย นริพทะพันธุ์ ดีเบตกับคุณหมอ วรงค์ เดชกิจวิกรม ในหัวข้อ ประกัน vs จำนำข้าว ในรายการ เจาะข่าวเด่นของคุณสรยุทธ์ สุทัศนจินดา และอยากให้ฟังจนจบ

เมื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับ ใครจบจากที่ไหน และดูคลิปดังกล่าวแล้ว ท่านก็สมควรจะตัดสินได้เองได้เองว่า สมควรเชื่อใคร

ดูคลิปข้างต้นได้จาก link ด้านล่างนะครับ
(https://www.youtube.com/watch?v=H4QQQ3M7pEo)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top