Monday, 26 May 2025
NewsFeed

'BOI' ส่งเสริม หม้อแปลง Low Carbon ลดสัดส่วนการลงทุน 50% ตอบโจทย์อุตสาหกรรมและผู้ประกอบการ ด้านการประหยัดพลังงาน ลดค่าไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA)

(17 ก.ย. 67) นายประจักษ์ กิตติรัตนวิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด กล่าว โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการประหยัดพลังงาน (BOI) ส่งเสริมหม้อแปลงไฟฟ้า Low Carbon ทดแทนระบบเดิมเพื่อการประหยัดพลังงาน ลดค่าพลังงานไฟฟ้า ลดคาร์บอนเครดิต ยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องจักรทำให้ใช้งานได้นานขึ้น

นวัตกรรมหม้อแปลง Low Carbon และระบบบริหารจัดการพลังงาน ด้วยโปรแกรม Energy Management System ของคนไทยได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ NIA ภายใต้โครงการ 'Low Carbon Transformer ระบบจัดการ หม้อแปลงไฟฟ้าเพื่อรองรับการใช้พลังงานสะอาด อย่างมั่นคง' (Net Zero, Near Zero, Peak Demand และ Demand Response) และการประหยัดพลังงาน โดยสามารถประหยัดพลังงาน ประหยัดค่าไฟฟ้า ลดต้นทุนค่าไฟฟ้าได้ และอนุรักษ์พลังงาน ได้สูงสุดถึง 22.16% มีระยะเวลาคืนทุนภายในเวลา 2-5 ปี

ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการแก้ปัญหาด้านการประหยัดพลังงานเพื่อเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ สังคม ประชาชนและ ผู้ประกอบการ ด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้า ขอขอบพระคุณในความร่วมมือของทุกฝ่ายที่ทำนวัตกรรมพลังงานสะอาดของหม้อแปลง Low Carbon จะช่วยประหยัดพลังงาน อนุรักษ์พลังงาน ลดค่าไฟ ลดคาร์บอน ลดก๊าซเรือนกระจก สร้างระบบไฟฟ้ามั่นคงปลอดภัย Low Carbon

'เพจดังแฉ' พบเอกสารขอสัญชาติไทยให้คนพม่าใน 'อุ้มผาง' เกลื่อนเมือง ชาวเน็ตจี้ฝ่ายมั่นคงลงพื้นที่ตรวจสอบด่วน หวั่นบางพรรคการเมืองหนุน

(18 ก.ย. 67) เพจ 'วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร' ได้โพสต์คลิปข่าวตำรวจและท่องเที่ยว พร้อมระบุว่า "คิดเห็นอย่างไรกับคลิปนี้ ชาวพม่าได้สัญชาติไทย ต่อมาได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน และช่วยเหลือให้พวกพ้องได้เป็นสัญชาติไทย ส่วนตัวหนู ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายก็โอเค แต่ถ้าไม่ตรงไปตรงมา หรือมีการเมืองแอบแฝง ก็รับไม่ได้ทีมงานกำลังตรวจสอบข้อมูลอยู่"

นอกจากนี้ ทางเพจยังโพสต์ด้วยว่า "พบเอกสารและภาพกิจกรรม ขอสัญชาติไทยให้ชาวเมียนมาจำนวนมาก ในพื้นที่ หมู่ 2 ต.แม่จัน อ.อุ้มผาง จ.ตาก ซึ่งเป็นพื้นที่ของ สส.พรรคส้ม ที่มีนโยบายให้สัญชาติไทยกับต่างด้าวภายใน 3 ปี"

พร้อมระบุเพิ่มเติมว่า 'เจ้าหน้าที่ชี้แจงว่า รายชื่อตามภาพนี้ เป็นบุตรคนต่างด้าวเกิดในประเทศไทย ซึ่งมีสิทธิ์ในสัญชาติไทยตามกฎหมาย เค้ามีสัญชาติไทยโดยชอบ แต่ขณะเกิด เค้าไม่ได้รับการรับรองสัญชาติไทย จึงไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน เพื่อให้มีชื่อในทะเบียนบ้าน เค้าต้องไปยื่นคำขอต่อนายอำเภอ เพื่อลงรายการสัญชาติไทยในทะเบียนบ้าน ส่วนประเด็นที่กำลังเป็นกระแสว่า เกี่ยวข้องกับพรรคส้มหรือไม่ เจ้าหน้าที่ไม่สามารถยืนยันได้ โดยทางเพจระบุเพิ่มเติมว่า ตอนนี้ต้องตรวจสอบต่อว่า การขอสัญชาติดังกล่าว มีการเร่งรัดและไม่ตรงไปตรงมาหรือไม่ กำลังเจาะอยู่ค่ะ"

นอกจากนี้ ทางเพจยังได้โพสต์ภาพที่ นายชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล สวมชุดชนเผ่า ถ่ายร่วมกับคนในพื้นที่ ซึ่งก็ไม่ทราบว่าเป็นคนไทยหรือชนเผ่าอะไร ส่วนคนขวาสุด คือ สส.พรรคส้ม ที่รับผิดชอบในพื้นที่นั่นเอง

หลังโพสต์นี้ถูกเผยแพร่ออกไป มีชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์ถกเถียงกันเป็นจำนวนมาก เช่น...

- "เห็นคลิปยูทูบเบอร์ต่างชาติ บอกว่า ไทยขอสัญชาติยากมาก ทำไมคนพม่าถึงขอได้ง่าย ๆ ฝ่ายความมั่นคงต้องเข้าตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน"

- "ถ้ามีพรรคการเมืองหนุน อันนี้เรื่องใหญ่เลยครับ เกี่ยวกับความมั่นคงชัดเจน เรื่องขอสัญชาติเป็นการขอที่ยากมาก ขนาดเรียนและโตในไทยยังขอไม่ได้เลย"

- "เข้าข่ายขายชาติหรือเปล่าครับ"

- "ถ้าได้สัญชาติแบบไม่โปร่งใส ยื่นถอนสัญชาติได้ไหมคะ"

- "ที่นี่ คือ สถานที่เดียวกันกับหมู่บ้านที่ มีผู้ใหญ่บ้านเป็นคนพม่า หรือไม่?"

อย่างไรก็ตาม ทางเพจยังได้ออกแถลงการณ์ทำความเข้าใจกับแรงงานชาวเมียนมาด้วย ระบุว่า "ทุกคนคะ หนูและทีมงานขอชี้แจงดังนี้ พวกเรายินดีให้รัฐบาลไทยช่วยเหลือพี่น้องชาวเมียมา จากภัยสงคราม ตามหลักมนุษยธรรม อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และการรักษาพยาบาล ปัจจุบันเรามีค่ายผู้ลี้ภัยรองรับได้ถึง 1 แสนคน พวกเรากังวลว่า พี่น้องชาวเมียนมา กำลังถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือ จากบางพรรคการเมือง โฆษณาขายฝัน ให้สิทธิพิเศษต่าง ๆ เพื่อเป็นคนไทย โดยเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ ด้วยปัญหาภายในประเทศ และการเก็บภาษีของไทย ที่มีผู้จ่ายเพียง 4 ล้านคน ไทยเราอาจไม่ซัพพอร์ตได้ทุกอย่าง แต่เชื่อว่ารัฐบาลจะช่วยพวกคุณให้ถึงที่สุด ขอย้ำอีกครั้ง อย่าหลงเชื่อนโยบายขายฝันจากบางพรรคการเมือง เพราะเขาโกหกเป็นสันดาน ขอบคุณค่ะ จากน้องหนู"

'ธนกร' หนุน!! 'สรวงศ์' ฟื้น 'คนละครึ่ง-เราเที่ยวด้วยกัน' ยุคลุงตู่ กระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ สร้างเงินสะพัดช่วงปลายปี

(18 ก.ย. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า จากที่ตนได้ลงพื้นที่ทั้งจังหวัดสงขลาภูเก็ตและนครศรีธรรมราช รวมถึงจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ พบว่า มีนักท่องเที่ยวทั้งจากต่างประเทศโดยเฉพาะมาเลเซียเดินทางเข้ามาพักผ่อนท่องเที่ยวในพื้นที่จำนวนมาก ส่วนพี่น้องประชาชนคนไทยต่างก็ฝากถึงรัฐบาล ให้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี ที่เป็นช่วงไฮซีซั่น โดยเรียกร้องให้มีการรื้อฟื้นโครงการเราเที่ยวด้วยกันและโครงการคนละครึ่งที่ประสบความสำเร็จ ในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งพี่น้องประชาชนต่างชื่นชอบ ให้การตอบรับและใช้สิทธิ์ในโครงการดังกล่าวเป็นอย่างดี จึงอยากให้มีการรื้อฟื้นโครงการนี้กลับมาใช้ในรัฐบาลปัจจุบันอีก 

ทั้งนี้เมื่อตนได้ติดตามการมอบนโยบายของนายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ก็พบว่ามีแนวทางที่จะใช้มาตรการส่งเสริมไทยเที่ยวไทย โครงการ 'เราเที่ยวด้วยกัน' หรือ 'คนละครึ่ง' กลับมาอีกครั้ง เพื่อส่งเสริมให้เกิดการเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งตนเห็นด้วยและขอสนับสนุนให้เป็นแคมเปญที่ช่วยดึงนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการทุกระดับ ตั้งแต่ร้านค้าขายขนาดเล็ก ร้านส้มตำ ร้านก๋วยเตี๋ยว ที่ร่วมโครงการ ก็จะรับอานิสงส์ไปด้วย จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจตั้งแต่รากฐานชุมชนไปจนถึงภูมิภาคและระดับประเทศ 

“เมื่อรัฐบาลไฟเขียวโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นการจ่ายเงินสด 10,000 บาท ช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง 14.55 ล้านคนในช่วงปลายเดือนนี้ เชื่อว่าจะเห็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับที่น่าพอใจ เมื่อมาประกอบกับโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง ที่รัฐบาลมีแนวคิดกำลังจะรื้อฟื้นกลับมาใช้อีกครั้ง มั่นใจว่า เศรษฐกิจการท่องเที่ยวในช่วงปลายปีหรือไฮซีซั่นปีนี้ โดยเฉพาะพื้นที่ท่องเที่ยวในภาคใต้ จะมีเงินสะพัดจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ที่คนไทยจะเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมากแน่นอน“ นายธนกร กล่าว

ไทยติดอันดับ 17 แดนสวรรค์ของวัยเกษียณทั่วโลก 'ความเป็นมิตร-สถานที่น่าอยู่-ระบบสาธารณสุขดีเลิศ'

(18 ก.ย. 67) ยูเอสนิวส์แอนด์เวิลด์รีพอร์ต (U.S. News & World Report) เปิดเผยผลการจัดอันดับประเทศที่เหมาะใช้ชีวิตหลังเกษียณมากที่สุด (Best Countries for a Comfortable Retirement) จาก 89 ประเทศ ปรากฏว่า สวิตเซอร์แลนด์ยังคงครองอันดับ 1 ได้เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน เนื่องจากระบบบริการสุขภาพที่ดีและอัตราภาษีต่ำ ขณะที่ประเทศไทยติดอันดับที่ 17 ขยับขึ้นมาจากอันดับ 18 ในรายงานเมื่อปีที่แล้ว รั้งอันดับสูงสุดในอาเซียนและเอเชีย

ผลสำรวจดังกล่าวได้จากผู้ตอบแบบสอบถามเกือบ 17,000 คนทั่วโลก และผู้ตอบแบบสำรวจกลุ่มย่อยจำนวน 5,900 คนที่อยู่ในช่วงอายุตั้งแต่ 40 กลางๆ ขึ้นไป พิจารณาจากคุณลักษณะ 7 ด้าน ได้แก่ ราคาจับต้องได้, สภาพแวดล้อมด้านภาษีเอื้ออำนวย, ความเป็นมิตร, สถานที่น่าอยู่, ภูมิอากาศน่ารื่นรมย์, สิทธิในอสังหาริมทรัพย์ และระบบสาธารณสุขที่ดี 

สำหรับอันดับประเทศน่าอยู่ที่สุดสำหรับวัยเกษียณ 10 อันดับแรก ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์, นิวซีแลนด์, โปรตุเกส, ออสเตรเลีย, สเปน, แคนาดา, เดนมาร์ก, เนเธอร์แลนด์, สวีเดน และลักเซมเบิร์ก

'บุ๋ม-ปนัดดา' เดินหน้าช่วยน้ำท่วม ไม่หวั่นแม้ตั้งครรภ์ 7 เดือน เมินคนแซะดาราทำดี ชี้!! จิตใจผู้ประสบภัยหลังน้ำลดสำคัญกว่า

ขณะนี้ประเทศกำลังเจอวิกฤตน้ำท่วมครั้งใหญ่ คนบันเทิงและคนทั่วไป ต่างโอนเงินร่วมบริจาคผ่านองค์กรทำดี เพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวเหนืออย่างต่อเนื่อง และเป็นจำนวนมาก บางรายโอนช่วยเงียบ ๆ ไม่บอกใครจนโดนดรามา ถึงขั้น ‘บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี’ ออกมาโต้แทน 

เมื่อวานนี้ (17 ก.ย. 67) บุ๋ม ปนัดดา รวมตัวเฉพาะกิจนักร้องลูกทุ่ง และ องค์กรทำดี เพื่อไลฟ์สดเพื่อหารายได้ไปช่วยฟื้นฟูโรงเรียนที่ถูกน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ณ เซียร์รังสิต เจ้าตัวก็ขอเปิดใจทุกเรื่อง ลั่น ทนไม่ได้หากใครมาแซะคนทำดี พร้อมยันไม่ต้องห่วงเรื่องอุ้มท้องโตลงพื้นที่ เพราะผัวอนุญาต

“เราก็พยายามจะหาทุนอย่างเพราะเรายังลงพื้นที่อยู่นะคะ เมื่อเช้าเราก็ดูแลที่พะเยา แล้วก็มาหนองคายต่อ แต่เชียงรายเราก็ยังดูแลพื้นที่อยู่ โรงครัวต่าง ๆ เพราะยังมีผู้ประสบภัยอยู่ หลังจากนี้เรายังมีการฟื้นฟูอีก 50 โรงเรียนเลยนะคะ แต่ละโรงเรียนก็เกือบหลักแสนนะคะ ยังไม่รวมกับเสื้อผ้าเด็ก ๆ อีก มันเป็นสิ่งที่เราต้องสู้กันต่อค่ะ น้ำท่วมว่าหนักแล้วนะ แต่พอไปดูสภาพหลังน้ำท่วมแล้วหนักยิ่งกว่า เพราะน้ำท่วมคราวนี้มันมาพร้อมโคลน มันมาพร้อมความเสียหาย อย่าเรียกว่าเริ่มต้นใหม่เลย เรียกว่าติดลบดีกว่า
บางหลังรากฐานล่างก็ต้องออกหมดเลยค่ะ อย่างที่สุโขทัยพื้นบ้านหายไปหมดเลย เรายังมีอะไรที่ต้องฟื้นฟูกันอีกเยอะค่ะ”

“คนในพื้นที่ตอนนี้สภาพจิตใจก็แย่ค่ะ ล่าสุดก็ได้มีทีมจิตแพทย์เข้าไปดูแลสภาพจิตใจกันด้วย เพราะคนตอนนี้กลายเป็นซึมเศร้า น่าสงสารมากเลย เพราะภาพที่เขาดูน้ำท่วมอยู่หน้าบ้าน แล้วมันเวิ้งว้างไม่มีความช่วยเหลือเข้าไป อันนั้นคือสภาพจิตใจที่แย่สำหรับพวกเขาแล้ว หลาย ๆ บ้านมองสภาพบ้านตัวเองที่มันไม่เหลืออะไรเลยแม้กระทั่งตอม่อ ค่าผ่อนรถ ค่าผ่อนมอเตอร์ไซค์มันยังเดินต่อ แต่สิ่งที่สร้างรายได้ให้เขามันไม่มีเลย บางบ้านเฟอร์นิเจอร์ไม่เหลือสักชิ้นนะคะ กลายเป็นบ้านโล่ง ๆ เปล่า ๆ แล้วแถมยังต้องทำความสะอาดบ้าน น้ำสะอาดก็ไม่มี นี่คือสภาพติดลบของประชาชนในพื้นที่ค่ะ”

“ทีนี้พอเราได้ลงพื้นที่จริง ๆ เราถึงได้เห็นสภาพจิตใจของพวกเขา เราถึงรู้ว่าเขายังต้องการความช่วยเหลืออีกเยอะมาก ๆ อย่างเมื่อวานบุ๋มดูแลศูนย์พักพิง มีอยู่ประมาณเกือบ 200 คน ซึ่งมีคนแก่และเด็กเยอะมาก กลายเป็นว่าน้ำสะอาดก็ไม่มี เขาก็ไม่ได้อาบน้ำกัน ช่วงแรก ๆ ใช้เทียนกัน 4 วันเต็ม ๆ แล้วตอนนี้อุปกรณ์เครื่องมือทำอาหารบุ๋มก็ต้องส่งไป ส่งกันทุก ๆ วันค่ะ ถ้าคุณเป็นคนทำกับข้าว เป็นแม่ครัวทำอาหารน่าจะรู้ดีกว่าค่าใช้จ่ายมันขนาดไหน แล้วมีทั้งหมด 3 โรงครัวใหญ่ เราดูแลคนเยอะมากค่ะ”

>>ทำมูลนิธิ 10 ปี ครั้งนี้ครั้งแรกที่ไม่เข้าเนื้อ ไม่สนดรามา สนว่าประชาชนจะได้อะไร

“อยากจะบอกว่าทำมูลนิธิมา 10 ปีนี่เป็นครั้งแรกที่ไม่เข้าเนื้อ (หัวเราะ) เพราะตั้งแต่โควิดตอนนั้นบุ๋มก็ควักไป 5 ล้าน แล้วน้ำท่วมก็ไม่ใช่แค่แม่สายนะ องค์กรทำดีเราดูแลมาตั้งแต่เทิงแม่ต๋ำ เดือนกว่าแล้วนะคะ แล้วไปแพร่ ไปน่าน ไปสุโขทัย ไปอยุธยา กลับมาขึ้นแม่สายต่อแล้วตอนนี้อยู่หนองคาย ซึ่งหลังจากนี้บุ๋มก็ต้องบินไปหนองคายต่อ เราดูแลมาเดือนนึงเต็ม ๆ แล้วค่ะที่แช่น้ำกันมา ค่าใช้จ่ายที่เราต้องดูแลในแต่ละวันเยอะมากค่ะ ดังนั้นนี่คือครั้งแรกค่ะที่ไม่เข้าเนื้อ ที่ผ่านมาคือเงินบุ๋มหมด รถที่ใช้วิ่งที่ใช้ลากเรือนี่ ดิฉันไม่ได้ใช้โซลาร์เซลล์ค่ะ ดิฉันใช้น้ำมัน (หัวเราะ) ผัดกับข้าว ทำโรงครัวเป็นพัน ๆ กล่องต่อวัน เราต้องใช้น้ำมัน ต้องใช้แก๊สค่ะ ค่ากล่องใส่ข้าวอีก”

“มีคนบอก ค่าใช้จ่ายอะไรบ้างเหรอ ไอ้คนที่ถามนี่ไม่ได้บริจาคหรอกบุ๋มเชื่อ แต่คนที่บริจาคเขาไม่พูดหรอกค่ะ เพราะเขารู้ว่าเราทำอะไรบ้าง เขาดูตารางงานของบุ๋มในแต่ละวันก็รู้ ข้อเสียของบุ๋มคือถ่ายรูปไม่เก่ง บุ๋มไม่ค่อยถ่ายรูปลงเท่าไหร่ เพราะทีมงานเราลงอยู่ในน้ำค่ะ เพื่อเอาของใส่เรือให้ได้มากที่สุด ดังนั้นทีมงานไม่สามารถควักมือถือมาถ่ายรูปได้ว่าเราทำอะไรอยู่ตอนนั้น แต่สิ่งที่เราเจอคือเราได้รับสิ่งของจากหลาย ๆ หน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน ตอนนี้บนดอยต่าง ๆ เราส่งของถึงแล้วนะคะเรามีมอเตอร์ไซค์วิบาก มีรถออฟโร้ด ทีมที่มาเป็นอาสาสมัครให้กับเรา มาร่วมกับองค์กรทำดี ทุกคนมาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน บุ๋มก็เลยไม่ได้โพสต์อะไร เพราะตอนนี้บุ๋มไม่สนดรามาค่ะ แต่เราจะสนว่าประชาชนได้อะไรมากกว่า”

>>ทีมอาสาขององค์กรทำดีมีเกือบร้อยชีวิต

“ถ้าทีมขององค์กรทำดีก็เกือบ 100 ชีวิต แต่ถ้าทีมอาสาสมัครตอนนี้เยอะมาก เพราะมีหน่วยงานบริษัทบ้าง มีมหาวิทยาลัยบ้าง แต่เราก็ต้องซัปพอร์ตในเรื่องของอุปกรณ์ น้ำยาทำความสะอาด และค่าเดินทางของพวกเขา ค่าอาหารอะไรต่าง ๆ เราก็ต้องดูแลพวกเขาตรงนี้ด้วย”

“เอาง่าย ๆ ว่าถ้าน้ำยังท่วมอยู่เราก็ยังไปเรื่อย ๆ ของพวกเรา เพราะเดี๋ยวจะบอกว่าช่วยแต่เชียงรายเหรอ เราก็ต้องไปทุกที่ เพราะทุกที่เดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือหมด แม้กระทั่งพื้นที่ที่แห้งไปแล้ว อย่างสุโขทัย อยุธยา หรือแม้กระทั่งเทิงแม่ต๋ำ แต่ความเสียหายมันยังอยู่ค่ะ ไม่ใช่ว่าน้ำแห้งแล้วจบค่ะ เรายังต้องช่วยเขาต่อ บุ๋มอยากขอบคุณทุกพลังค่ะ 1 บาทของคุณ 1 ล้านบาทของคุณมันคือพลังอันยิ่งใหญ่ค่ะเพราะเรือเราพัง รถเราพัง เราเลยรู้สึกมันไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าน้ำใจของทุกคนที่ส่งมาให้กับบุ๋ม ขอบคุณมาก ๆ ที่ทุกคนเชื่อในตัวบุ๋ม ขอบคุณมาก ๆ ที่เชื่อในองค์กรทำดี ในการที่เราจะส่งต่อทุกอย่าง ทุกบาท ทุกสตางค์ให้ถึงพี่น้องประชาชนให้ได้มากที่สุดค่ะ”

>>ไม่กล้าคิดเรื่องเงินสมทบทุน แค่มีคนให้ก็ดีใจแล้ว ขอบคุณดาราออกมาช่วยกันเยอะเป็นล้าน ๆ ครั้ง

“ไม่รู้ ไม่กล้าคิดเลย แค่มีคนมาดิฉันก็ดีใจแล้ว ไม่กล้าตั้งเป้าอะไรเลย เพราะว่าตอนนี้เงินมาก็เงินออกค่ะ (หัวเราะ) อยากให้มาเป็นบัญชีดิฉันจังเลย อย่างวันนี้เราก็ไม่คาดคิดว่าจะมีศิลปินดารามาเยอะขนาดนี้ ตอนแรกคิดว่าน่าจะสัก 2 ชม. จบ แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว”

“และมีน้อง ๆ ดารามากันอีกเยอะมาก ก็อยากจะขอบคุณเป็นล้าน ๆ ครั้งจริง ๆ ค่ะ ขอบคุณที่มาช่วยประชาชนค่ะ“

>>แซะคนทำดี ทนไม่ได้

“คือใครที่แซะบุ๋ม บุ๋มทนได้นะ แต่ถ้าแซะคนทำดี บุ๋มทนไม่ได้ บางทีน้องเขาไม่ได้ออกตัว น้องเขาไม่ได้พูดอะไร อย่างน้องชมพู่ (อารยา เอ ฮาร์เก็ต) เขาบอกว่าหนูต้องจ่ายเท่าไหร่ให้พี่ไม่ลงน้ำ (หัวเราะ) เราคุยกันทางไลน์ บุ๋มก็บอกว่าไม่เรียกร้องเลย แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือเรือเราแตกหลังจากที่เจอคลื่นแรง เราต้องซื้อเรือใหม่ เขาบอกโอเคได้ งั้นหนูให้แม่ล้านนึง เงินเข้ามาก็ออกไปทันที เพราะเราก็เอาไปช่วยเหลือคนต่อ ก็เป็นสิ่งที่อยากขอบคุณจริง ๆ ค่ะ อยากบอกว่าคนที่ไม่ออกนามมีอีกเยอะนะคะ คุณอย่าไปแซะเขาเลยค่ะ ถ้ามีเวลาว่างนะ ช่วยกันหาดีกว่าว่าโรงเรียนไหนยังเดือดร้อน ประชาชนตรงไหนยังเดือดร้อน แล้วส่งมาที่องค์กรทำดี เรามาช่วยเหลือกันดีกว่า อย่ามัวแต่แซะคนนั้นคนนี้เลย ใช้สื่อให้เป็นประโยชน์กันดีกว่า“

>> รับอุ้มท้อง 7 เดือนลงพื้นที่ ไม่ได้นอน กลับมาเลือดกำเดาไหล แต่ยังไงก็รักลูกที่สุด ไม่ต้องห่วง ยังหาหมอปกติ เดี๋ยวผัวดุ ถ้าผัวยังอนุญาตให้ไป ก็สบายใจได้

“ตอนที่ลงแม่สายยอมรับว่าไม่ได้นอนค่ะ กลับมาก็เลือดกำเดาไหล เพราะเราไม่ค่อยได้ดื่มน้ำ ในพื้นที่ห้องน้ำไม่มี แต่หลังจากนั้นก็กลับมาดูแลตัวเองแล้วค่ะ ยังไงดิฉันก็ต้องรักลูกดิฉันมากที่สุดค่ะ ไม่ต้องห่วง ส่วนที่มีคนบอกว่าไม่ยอมไปหาหมอ หาอยู่ค่ะ หมอสูตินารีนัดสิ้นเดือนค่ะ ไม่ต้องห่วง ๆ เดี๋ยวผัวดุค่ะ ไม่ได้ค่ะ (หัวเราะ) จริง ๆ ที่บ้านก็ยังไม่ค่อยห่วง ก็ถ้าขนาดสามีดิฉันยังปล่อยดิฉันไปได้ พวกคุณก็สบายใจได้ค่ะ (ยิ้ม) นี่หลายคนตั้งชื่อให้ลูกดิฉันแล้วนะคะ ชื่อน้องน้ำใจบ้าง น้ำเหนือบ้าง แต่น้ำเหนือคงไม่ได้ เดี๋ยวอีสานน้อยใจ (หัวเราะ)”

>>หมอห้ามลงน้ำลึกเกินมดลูก หวั่นติดเชื้อ

“คุณหมอห้ามลงน้ำลึกค่ะ ลึกห้ามเกินมดลูก เพราะเขากลัวติดเชื้อ แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เกินค่ะ ยังอยู่แค่เข่า แต่ ณ ตอนนี้แค่เข่าทีมงานก็ไม่ให้แล้วค่ะ ทีมงานก็ให้เป็นแม่ย่านางนั่งสั่งการอยู่บนเรือไป”

>>แฮปปี้ถูกลอตเตอรี่ แต่ได้เงินมาก็ออกหมด

“เราได้ที่ดินเป็นมูลนิธิสาขา 2 ที่ลำปางนะคะ อันนี้ตั้งใจจะทำเป็นพื้นที่ในการช่วยเป็นบ้านพักพิงให้กับผู้หญิงและเด็กที่โดนทำร้ายร่างกาย โดนข่มขืนมา พอเราได้บ้านปุ๊บ ดิฉันก็โพสต์เลขที่บ้านค่ะ 237 ก็ไม่คิดหรอกว่าจะออกจริง ๆ งวดที่แล้วดิฉันก็ยืนอยู่ตรงรถกู้ภัยของดิฉันนี่แหละ แล้วก็ออกอีก ชาวบ้านก็เลยบอกว่าแม่บุ๋มให้โชคเยอะมาก แต่ถ้าจะให้ดีคุณให้ดิฉันบ้างก็ได้นะคะ (หัวเราะ)”

“ดิฉันไม่เคยได้โชคอะไรอย่างนี้เลย มีแค่เมื่อวานแหละค่ะที่ถูก 2 ใบ เงินที่ได้ก็เอาไปเป็นค่าน้ำให้กับศูนย์พักพิงไปเรียบร้อยแล้วค่ะ ได้มาก็ออกไปค่ะ ยังไงก็ขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะสำหรับทุกคนที่เป็นพลังน้ำใจให้กับบุ๋ม ขอบคุณสื่อมวลชน ขอบคุณศิลปินดาราทุก ๆ คน บุ๋มเชื่อว่าทุกคนทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้ แล้วมันกลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ ค่ะ ขอบคุณที่เชื่อในองค์กรทำดีค่ะ”

'สวีเดน' ปลูกผักสดขายในห้าง 'ใช้น้ำน้อย-ไร้สารพิษ-ไม่ปล่อยคาร์บอนฯ' ลูกค้าเจอพืชผักถูกใจ เก็บใส่ตะกร้า แล้วนำไปจ่ายเงินได้ทันที

(18 ก.ย. 67) สื่อต่างประเทศรายงาน ว่า ‘SweGreen’ สตาร์ตอัปของสวีเดน ปลูกผักขายในซูเปอร์มาร์เก็ต สร้างแนวทางรับมือกับปัญหาการขาดแคลนน้ำ พื้นที่เกษตรกรรมที่ไม่เพียงพอ ลดการพึ่งพาภูมิรัฐศาสตร์ระดับโลก และเป็นทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในการทำการเกษตร

การปลูกผักใบเขียวในท้องถิ่นจะช่วยลดการนำเข้าสินค้า ลดการปล่อยมลพิษจากการขนส่ง ทำให้เก็บได้นานขึ้น และปรับปรุงรสชาติของผักให้ดีขึ้น ซึ่ง SweGreen ได้ปลูกผักแนวตั้งในซูเปอร์มาร์เก็ตโดยกรรมวิธีไฮโดรโปนิกส์ ซึ่งเป็นการปลูกผักในแร่ใยหินด้วยน้ำโดยไม่ใช้ดิน

ปัจจุบันแปลงผักของ SweGreen มีวางขายอยู่ในห้างสรรพสินค้าของสวีเดนและเยอรมนี เมื่อลูกค้าเจอพืชผักที่ถูกใจ พวกเขาก็สามารถเก็บผักต้นนั้นออกมาแล้วนำไปจ่ายเงินได้ทันที

ปิแอร์ มูห์ลิน ซีอีโอของ Swegreen กล่าวว่า “ผลตอบรับเป็นไปในเชิงบวกอย่างเหลือเชื่อ เป้าหมายของเราคือการสร้างระบบการผลิตอาหารที่ยั่งยืน และมีประสิทธิภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของคนในท้องถิ่น และการมีฟาร์มในซูเปอร์มาร์เก็ตถือเป็นก้าวสำคัญในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว”

แปลงปลูกผักอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ได้รับการควบคุมและได้รับการปกป้องอย่างดี ให้ปลอดภัยจากศัตรูพืชและวัชพืช ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลงหรือสารกำจัดวัชพืช มั่นใจได้ว่าจะได้ผักที่สด สะอาด ปลอดภัย มีกินตลอดทั้งปี

นอกจากนี้ แปลงผักยังใช้ระบบน้ำหมุนเวียน ทำให้ใช้น้ำน้อยกว่าการทำการเกษตรแบบดั้งเดิมมาก สามารถปลูกผักกาดหอม 1 กิโลกรัม โดยใช้น้ำเพียง 1 ลิตรเท่านั้น ซึ่งใช้น้ำน้อยลงกว่าการปลูกผักกาดหอมในพื้นที่กลางแจ้งถึง 99% ที่ต้องใช้น้ำประมาณ 250 ลิตร

เนื่องด้วยพืชผักถูกปลูกในห้างสรรพสินค้า ทำให้ไม่จำเป็นต้องขนส่งสินค้าข้ามทวีป ไม่เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 

สตาร์ตอัประบุว่า แพลตฟอร์มการเพาะปลูกแต่ละแห่งสามารถปลูกผักได้ในปริมาณที่เทียบเท่ากับพื้นที่เกษตรกรรมขนาด 30,000 ตารางเมตร และสามารถปลูกพืชได้มากถึง 100 สายพันธุ์ รวมถึงผักกาดหอม ผักชีลาว สะระแหน่ และผักชีฝรั่ง

เซเพอร์ มูซาวี หัวหน้าฝ่ายนวัตกรรมและหัวหน้า SweGreen X กล่าวว่า ตอนนี้บริษัทกำลังจะเริ่มทดสอบปลูกไม้ผล และกำลังพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะปลูกสตรอว์เบอร์รี

>> ใช้ AI ช่วยทำฟาร์ม

การเจริญเติบโตของพืช ฤดูกาล และความต้องการของผู้บริโภคเป็นความท้าทายของคนที่ทำงานเกษตรกรรม และ SweGreen ก็เจอความท้าทายมากเข้าอีกจากการปลูกผักในห้าง ดังนั้นบริษัทจึงหันมาใช้เอไอเพื่อช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้น

“เรามีเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์เป็นผู้ช่วย เพื่อให้พนักงานซูเปอร์มาร์เก็ตต้องรู้ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง ถึงจะได้ผลผลิตตามที่ต้องการในแต่ละวัน” มูซาวีกล่าว

ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับขนาดของซูเปอร์มาร์เก็ตและความต้องการของลูกค้าด้วย โดยทางห้างสรรพสินค้าสามารถเลือกขนาดพื้นที่เพาะปลูกได้ ซึ่งขนาดมาตรฐานของฟาร์มแนวตั้งอยู่ที่ 45 ตารางเมตร ซึ่งมีกำลังการผลิต 300 ไร่ต่อวัน และสามารถลดขนาดพื้นที่เพาะปลูกลงให้เหลือ 12 ตารางเมตรและปลูกได้สูงสุด 116 ไร่ต่อวัน

ซูเปอร์มาร์เก็ตไม่ใช่เพียงแห่งเดียวที่กำลังมองหาโซลูชันที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ร้านอาหาร โรงแรม มหาวิทยาลัย และเจ้าของทรัพย์สินต่างก็อยากได้เกษตรแนวตั้งด้วยเช่นกัน

Fotografiska Stockholm พิพิธภัณฑ์ร่วมสมัยด้านการถ่ายภาพ ศิลปะ และวัฒนธรรม ได้นำโซลูชันนี้มาใช้กับในร้านอาหารของพิพิธภัณฑ์ เพื่อให้ได้เมนูตามฤดูกาลและยั่งยืน

“พวกเราร่วมมือกับเจ้าหน้าที่และเชฟของร้าน เพื่อหาว่าทางร้านควรปลูกพืชชนิดใดบ้าง สำหรับใช้ประกอบอาหาร เป็นผักตกแต่ง เพื่อให้คุณค่าทางโภชนาการ เพื่อรสชาติที่แปลกใหม่สำหรับค็อกเทล รวมถึงมองหาอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ มีรสชาติดี และสามารถใช้เป็นจุดเด่นของจานอาหารได้อีกด้วย” มูซาวีกล่าว

SweGreen ได้รับรางวัลและเสนอชื่อเข้าชิงหลายครั้งในด้านการผลิตอาหารอย่างยั่งยืน ในปี 2023 บริษัทได้รับรางวัล IKANO Sustainability Award และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล FoodTech 500 เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ซึ่งเป็นรายชื่อระดับโลกที่เน้นถึงสตาร์ทอัพและบริษัทที่เติบโตอย่างรวดเร็วที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลกสำหรับอนาคตของอาหาร เทคโนโลยี และความยั่งยืน

ทรภ.1 โดย ศบภ.ทรภ.1 ร่วมหอการค้าจังหวัดระยอง และเครือข่ายเอกชน จัดรถบรรทุกลำเลียงสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัย หนองคาย

พลเรือโท สุระศักดิ์ สิงขรวัฒน์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1/ผู้อำนวยการศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 1 (ผบ.ทรภ.1/ผอ.ศบภ.ทร.1) และคณะผู้บังคับบัญชาในศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 1 ร่วมส่งขบวนรถบรรทุกสำหรับบรรทุกสิ่งของ เพื่อไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่จังหวัดหนองคาย รวมทั้งจัดกำลังพลในศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 1 ร่วมลำเลียงถุงยังชีพจำนวน 2,000 ถุง สิ่งของบริจาค และนำ้ดื่ม ขึ้นรถบรรทุก ณ มูลนิธิสว่างพรกุศลจังหวัดระยอง 

เพื่อแสดงออกถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างกองทัพเรือ กับหน่วยงานภายนอก รวมทั้งเป็นการสนับสนุนการช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนจากอุทกภัยในภาวะปัจจุบันตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารเรือ 

ตลอดจน เป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของกองทัพเรือต่อประชาชน โดยขบวนรถบรรทุกฯ จะออกเดินทางไปยังหอการค้าจังหวัดหนองคาย ในวันที่ 18 กันยายน 2567 

‘GRD Catalyst’ จับมือ ‘วีระสุวรรณ’ ก่อตั้ง ‘Thailand Catalyst Consortium’ ใช้ความรู้-ความเชี่ยวชาญผลิตตัวเร่งปฏิกิริยาและตัวดูดซับ ตอบสนองอุตฯ ในไทย

(18 ก.ย. 67) ที่สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ บริษัท จีอาร์ดี แคททาลิสต์ จำกัด (GRD Catalyst Co., Ltd.) และบริษัท วีระสุวรรณ จำกัด (Verasuwan Co., Ltd.) ได้ลงนามบันทึกข้อตกลง Thailand Catalyst Consortium การค้าร่วมตัวเร่งปฏิกิริยาเคมีประเทศไทย เมื่อวันที่ 17 ก.ย. ที่ผ่านมา

โดยภายใต้วัตถุประสงค์ของความร่วมมือนี้ดังกล่าว ทั้งสองบริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะตอบสนองความต้องการภาคอุตสาหกรรมในการใช้งานตัวเร่งปฏิกิริยาเคมีและตัวดูดซับ (Catalyst and Adsorbent) โดยไม่ได้เฉพาะเจาะจงในอุตสาหกรรมเคมี อุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมี แต่ยังตอบสนองความต้องการไปถึงอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมด้านเภสัชกรรม และอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่มีความต้องการการใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาเคมีและตัวดูดซับดังกล่าว โดยทั้งสองบริษัทใช้องค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์การผลิตในระดับอุตสาหกรรม (Commercialized Scale) ในการผลิตตัวเร่งปฏิกิริยาเคมีและตัวดูดซับที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตหรือดูดซับผลิตภัณฑ์เป้าหมาย (Target Product) ที่ดำเนินการภายใต้กระบวนการทางเคมีให้เพิ่มขึ้น เพื่อลดการใช้พลังงานระหว่างกระบวนการผลิต

ดร.ก้องเกียรติ สุริเย CEO บริษัท จีอาร์ดี แคททาลิสต์ จำกัด กล่าวภายหลังการลงนามร่วมว่า “ทั้งสองบริษัทมุ่งหวังที่จะผลิตตัวเร่งปฏิกิริยาเคมีและตัวดูดซับที่มีปริมาณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระหว่างกระบวนการผลิตที่ต่ำ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังมีความมุ่งมั่นที่จะใช้การจัดตั้งกิจการค้าร่วมดังกล่าวนี้ในการพยายามลดการนำเข้าตัวเร่งปฏิกิริยาและตัวดูดซับจากต่างประเทศ เนื่องจากปัจจุบันตลาดตัวเร่งปฏิกิริยาเคมีและตัวดูดซับในประเทศไทยมีการนำเข้าจากต่างประเทศมากกว่าแสนล้านบาทต่อปี ทั้งนี้การค้าร่วมนี้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเทคโนโลยีตัวเร่งปฏิกิริยาและตัวดูดซับของประเทศไทย

ด้าน ดร.สัญญา บุญญาสุวัฒน์ CEO บริษัท วีระสุวรรณ จำกัด กล่าวเสริมว่า การลงนามใน MOU นี้เป็นการกระตุ้นให้องค์กรการศึกษา สถาบันการศึกษา และสถาบันวิจัยภายในประเทศมีการพัฒนางานวิจัยด้านตัวเร่งปฏิกิริยาเคมีและตัวดูดซับเคมีอย่างจริงจัง เพื่อนำมาประยุกต์ใช้งานจริงและตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรมในเมืองไทย

ทางด้าน ดร.แสวง บุญญาสุวัฒน์ คณะกรรมการบริหาร วิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในสักขีพยาน กล่าวว่า ยินดีกับการก่อตั้งกิจการค้าร่วมครั้งนี้ ถือเป็นการนำองค์ความรู้ และเทคโนโลยีในเชิงอุตสาหกรรมที่มีอยู่มาใช้ในการเปลี่ยนทรัพยากรในประเทศให้มีมูลค่าสูงขึ้น เพื่อตอบสนองอุตสาหกรรมเคมีในประเทศ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการร่วมลงนามข้อตกลงดังกล่าวได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.ศิริพร จงผาติวุฒิ และ ผศ.ดร.อุทัยพร สุริยประภาดิลก อาจารย์ประจำวิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมด้วย ศ.ดร.ตะวัน สุขน้อย และ รศ.ดร. กิตติศักดิ์ ชูจันทร์ อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ร่วมเป็นสักขีพยานกิตติมศักดิ์ในงานนี้ด้วย

'รศ.ดร.คมสัน' ชื่นชม 'น้องบีม' อีกหนึ่งคนเก่งที่น่าภาคภูมิใจจากรั้ว สจล. สร้าง ‘Revision Success’ แพลตฟอร์มเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ในยุคปัจจุบัน

(18 ก.ย. 67) รศ.ดร.คมสัน มาลีสี อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Komsan Maleesee' ระบุว่า...

เพราะเด็กในวันนี้ คือ อนาคตของชาติในวันหน้า 

เเละ 'น้องบีม' คือ อีกหนึ่งความภาคภูมิใจในรั้ว สจล. ครับ น้องบีม นักเรียน Grade 11 จากโรงเรียนสาธิตนานาชาติ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (KMIDS) ที่สร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ ‘Revision Success’ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ในยุคปัจจุบัน

น้องได้รับรางวัลมากมาย และยังได้ไปเป็นวิทยากรสอนการใช้ Platform และ AI technology ให้โรงเรียนหลายแห่ง ทั่วประเทศ

ผมและพวกเรา สจล. ภูมิใจในตัวน้องมากครับ เด็กไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกจริงๆ

‘เมตา’ ออกแถลงการณ์แบน ‘สื่อรัสเซีย’ หลัง ‘สหรัฐฯ’ อ้างตัวทำเป็นหน่วยสอดแนม

(18 ก.ย. 67) เมตา (Meta) บริษัทโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่เจ้าของเฟซบุ๊ก (Facebook) ได้ออกประกาศเมื่อวันจันทร์ (16 ก.ย.67) ว่า ทางบริษัทกำลังแบน RT ซึ่งเป็นสื่อของรัสเซีย หลังจากที่คณะบริหารของประธานาธิบดี โจ ไบเดน กล่าวหาว่า RT เป็นส่วนหนึ่งของหน่วยสอดแนมรัสเซีย

โดยทางด้านโฆษกของเมตา ได้ระบุในแถลงการณ์ว่า “หลังจากพิจารณาโดยละเอียดแล้ว เราได้เพิ่มการบังคับใช้มาตรการ ซึ่งกำลังดำเนินอยู่ในตอนนี้ต่อสื่อต่าง ๆ ของรัสเซีย โดย Rossiya Segodnya, RT และสื่ออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องถูกแบนจากแอปของเราทั่วโลก เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการแทรกแซงกิจการต่างประเทศ”

สำนักข่าวซีเอ็นบีซี (CNBC) รายงานว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่คณะบริหารของ ปธน.ไบเดนประกาศมาตรการคว่ำบาตรชุดใหม่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (13 ก.ย. 67) ขณะที่เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ รายหนึ่ง เรียกสื่อดังกล่าวว่าเป็น ‘สมาชิกเต็มตัวของหน่วยข่าวกรองและการปฏิบัติการของรัฐบาลรัสเซีย’ สำหรับการสู้รบในยูเครน ก่อนที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ จะกล่าวหาว่า RT แอบทำสงครามข้อมูลทั่วโลกในนามของหน่วยสอดแนมรัสเซีย

ด้าน เจมส์ โรบิน ผู้ประสานงานศูนย์การมีส่วนร่วมระดับโลก (GEC) ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า “RT คือแหล่งรวมโฆษณาชวนเชื่อ ข้อมูลเท็จ และคำโกหกที่เผยแพร่ไปสู่ผู้คนนับล้านหรืออาจถึงพันล้านคนทั่วโลก”

ฟากทางการสหรัฐฯ ระบุว่า คณะบริหารของ ปธน.ไบเดน กำลังดำเนินการคว่ำบาตรสื่อที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐซึ่งกำกับดูแล RT, TV-Novosti และ Rossiya Segodnya ซึ่งเป็นสื่อของทางการ ตลอดจนผู้บริหารอย่าง ดมิทรี คิเซลยอฟ

ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ได้กล่าวหารัสเซียว่า พยายามแทรกแซงการเลือกตั้ง โดยก่อให้เกิดความขัดแย้งและความแตกแยก และในปี 2561 กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ประกาศฟ้องชาวรัสเซีย 12 คน ฐานก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ ซึ่งมุ่งเป้าที่จะแทรกแซงการเลือกตั้งปี 2559 รวมถึงการแฮกคอมพิวเตอร์ของคณะกรรมการแห่งชาติของพรรคเดโมแครตและการขโมยอีเมล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top