Sunday, 25 May 2025
NewsFeed

‘ธนกร’ สะกิดรัฐสภา คิดถี่ถ้วนก่อน แก้ รธน. ด้าน ‘จริยธรรม’ ชี้!! ‘ปัญหาเศรษฐกิจ-ปากท้อง’ เร่งด่วน-ต้องรีบทำมากกว่า

(20 ก.ย. 67) ที่จังหวัดราชบุรี นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค ในฐานะกรรมาธิการและที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ ได้เดินทางมาเป็นประธานเปิดการสัมมนาและปาฐกถาเรื่อง ‘บทบาทหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมาธิการ กิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน’ โดยมีนางสาววริษฐา สงวนเสริมศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี และนส.กุลวลี นพอมรบดี สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติให้การต้อนรับ

นายธนกร กล่าวว่า คณะกรรมาธิการฯ ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชนและตระหนักถึงปัญหาของประชาชนในพื้นที่ จึงได้มาเผยแพร่ความรู้ สร้างความเข้าใจในเรื่องบทบาทหน้าที่และอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร บทบาทของคณะกรรมาธิการฯ ซึ่งมีทั้งการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และการสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล รวมทั้งการเปิดเวทีอันเป็นช่องทางที่ประชาชนได้สะท้อนปัญหา เสนอข้อร้องเรียนต่าง ๆ ผ่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นผู้แทนของประชาชนในพื้นที่ได้ 

ทั้งนี้ นายธนกร ยังกล่าวว่า กรณีที่พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนกำลังเตรียมเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา เรื่องมาตรฐานจริยธรรมและความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ของสส. และรัฐมนตรี ซึ่งฝ่ายค้านโดยพรรคประชาชนก็เห็นพ้องด้วยนั้น ส่วนตัวมองว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงและผ่านการทำประชามติของประชาชน หากจะเป็นการแก้รายมาตรา ก็ควรแก้ในส่วนที่จำเป็นเร่งด่วน หรือแก้ปัญหาปากท้องให้ประชาชนก่อนจะดีกว่า โดยรัฐธรรมนูญ มาตรา 160(4) (5) มีเจตนารมณ์สำคัญในการป้องกันบุคคลที่ปราศจากคุณธรรม จริยธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต เข้ามามีอำนาจในการบริหารบ้านเมือง หากมีการแก้ไขตรงนี้หรือทำให้เบาลงอาจจะเป็นการเปิดช่องให้บุคคลที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริตโดยแท้เข้ามามีอำนาจได้ 

“กรอบของคำว่าจริยธรรมในรัฐธรรมนูญ ถือเป็นด่านพิสูจน์เพื่อใช้กลั่นกรองบุคคลที่จะก้าวเข้าสู่อำนาจว่าเป็นผู้มีคุณธรรมจริยธรรมหรือไม่ เป็นการตรวจคัดกรองอย่างเข้มข้น เพราะหากแต่งตั้งให้คนที่มีความประพฤติผิดทางจริยธรรมเข้ามาบริหารบ้านเมือง อาจจะส่งผลเสียต่อประเทศชาติและประชาชนได้ ตนจึงเห็นด้วยที่ควรยึดและยกมาตรฐานตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปราบโกงให้สูงเข้าไว้ก่อน ผมเชื่อว่า ท่านสส.ท่านรัฐมนตรีทุกคน ต่างก็หวังดีและตั้งใจทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองอยู่แล้ว ประชาชนต้องการ ผู้บริหารประเทศที่มีมาตรฐาน คุณธรรม จริยธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต เข้ามาปกครองบ้านเมือง จึงขอฝากรัฐสภาให้มีการคิดทบทวนในประเด็นนี้ให้รอบคอบ เพราะถ้ารัฐสภา ทั้งสส.และสว.ร่วมกันแก้รัฐธรรมนูญในเรื่องจริยธรรมดังกล่าว อาจถูกสังคมและประชาชนมองว่าเป็นการแก้เพื่อตัวเอง แก้เพื่อนักการเมืองเสียเอง และหากถูกยื่นร้องให้ตรวจสอบอาจส่อไปในทางที่ขัดต่อกฎหมายได้ จึงควรคิดพิจารณาให้รอบคอบ” นายธนกร ระบุ

'เจ้าของแผงตลาดบางบอน' โชว์ 'บัตรประชาชนไทย' ยันเป็นคนไทย 100% แต่โซเชียลยังเอ๊ะ!! สำเนียงแปลกๆ

(20 ก.ย. 67) จากรายการ 'เข้มข่าวค่ำ' ทาง PPTV HD 36 ได้ลงสำรวจพื้นที่ตลาดในเขตบางบอน และสัมภาษณ์เจ้าของร้านในย่านนั้น ภายหลังจากแม่ค้าคนไทยในตลาดบางบอนเริ่มเดือดร้อน หลัง สส.ไอซ์-รักชนก ได้จุดประเด็นให้สังคมเข้าใจผิดว่า เป็นตลาดพม่า ทั้ง คนซื้อ คนขายเป็นพม่าหมด ทำให้คนไม่กล้ามาเดินตลาด

ทั้งนี้แม่ค้าท่านหนึ่งชื่อ 'เหลงจวิง แซ่ลี้' เจ้าของร้านค้าในตลาดย่านบางบอนได้โชว์บัตรและบอกว่าเป็นคนไทย 100% แต่ก็ให้เหตุผลว่า ที่ร้านมีการจ้างลูกน้องชาวพม่ามาช่วย เพราะคนซื้อบางส่วนก็เป็นคนพม่า จะได้สื่อสารกันเข้าใจ ที่สำคัญผู้ซื้อส่วนใหญ่ก็มีบัตรเข้าเมืองมาทำงานถูกต้อง แต่พอ สส.ไอซ์ ตีข่าว ก็ทำให้ผู้คนทั่วไปไม่สบายใจและไม่กล้ามาจับจ่าย

อย่างไรก็ตาม แม่ค้าคนดังกล่าวพูดในส่วนของร้านตนเอง แต่ร้านอื่นไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือไม่ ไม่สามารถตอบแทนได้ แต่จะเหมารวมว่าเป็น #ตลาดพม่า เลย คงไม่ถูกต้อง

ทั้งนี้ หลังสัมภาษณ์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ ก็มีชาวเน็ตตั้งข้อสังเกตว่า เจ้าของร้านบางท่านเหมือนคนพม่าที่อยู่ไทยจนพูดภาษาไทยได้คล่อง แต่ก็ยังฟังสำเนียงออกว่าเป็นคนพม่า ขณะเดียวกันก็มีการมองว่า คนพม่าบางคนก็อยู่มานานจนได้บัตรประชาชนไทย และบ้างก็บอกว่าเจ้าของแผงตัวจริงอาจจะเป็นคนไทย แต่ไปปล่อยให้คนพม่าเช่าขายต่อ 

ส่วนกรณีว่ามีเรียกเก็บส่วยคนพม่าจากเจ้าหน้าที่หรือไม่นั้น บรรดาเจ้าของร้านไม่ยืนยัน

'วิสุทธิ์' ลั่นรับไม่ได้ สุราก้าวหน้าฉบับ สส.เท่าพิภพ เสรีจัดถึงขั้นให้ต้มเหล้าดื่มเอง แจกจ่ายในหมู่บ้านได้

เมื่อวานนี้ (19 ก.ย. 67) ที่รัฐสภา นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานวิปรัฐบาล ให้สัมภาษณ์ถึงการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีสรรพสามิต ที่เริ่มพิจารณาเมื่อวันที่ 18 ก.ย. และจะลงมติสัปดาห์หน้า แนวทางโหวตในสัปดาห์หน้าจะมีการคว่ำร่างหรือไม่ ว่า...

"ประเด็นที่เกิดขึ้น ตนต้องเรียนกับประชาชนว่า เรื่องสุราก้าวหน้า ภาษีสรรพสามิต ต้องอาศัยข้อเท็จจริง ซึ่งในการพิจารณามีอยู่ 3 ร่าง ได้แก่ร่างของพรรคเพื่อไทย, ร่างของพรรคประชาชน และร่างของพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่เมื่อไปดูหลักการการเสนอร่างของพรรคประชาชนนั้นระบุว่าถ้าไม่ขาย ก็สามารถต้มดื่มกันเองได้ แจกจ่ายกันเองในหมู่บ้านทั่วไปได้ เราจึงมองว่าหลักการเช่นนี้จะทำให้เราลำบาก หากมีการเสนอเข้าไปแล้วจะขัดกับหลักการกับที่เราตั้งไว้ ซึ่งสุราทุกอย่างจะต้องมีการควบคุม อาจจะลดขนาดเงื่อนไขในการตั้ง เพื่อให้วิสาหกิจชุมชนขนาดเล็กสามารถสร้างได้ ตั้งได้ ผลิตได้ แต่ทุกอย่างต้องอยู่ในการควบคุมของกฎหมาย ไม่ใช่ว่าเสรีเลย จึงมีปัญหาเกิดขึ้นเมื่อวาน"

นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า “ภายหลังได้มีการเจรจากับพรรคประชาชน ทางพรรคประชาชนมาขอว่า อยากให้ห้อยรวมร่างของเขาไปด้วย ฉะนั้น พวกเราจึงถอยกลับมาว่าเราเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ใช่มาขอเพื่อไทย แล้วจะให้ผมบอกว่าได้หรือไม่ได้เลย แต่ในเมื่อหลักการของคุณขัดกับหลักการ ก็จะลำบากอยู่ ฉะนั้น เราต้องดูพรรคอื่นด้วยว่าคิดอย่างไรในเรื่องนี้”

นายวิสุทธิ์ กล่าวต่อว่า "นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร สส.กทม. พรรคประชาชน หากจะพูดอะไรควรพูดในสภา จะได้มีบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ฉะนั้น เรายืนยันในหลักการของเรา ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในการตรากฎหมาย ไม่ใช่ไปแก้หลักการที่ยังไม่เคยมี"

“คุณจะพูดในสภาฯ ได้หรือไม่ว่า คุณไม่ติดใจประเด็นอย่างนี้ เราก็จะมาพิจารณาว่าทำได้หรือไม่ แต่ทั้งหมดเราต้องปรึกษากับพรรคร่วมรัฐบาลก่อน” นายวิสุทธิ์ กล่าว

เมื่อถามว่าจะถูกกล่าวหาว่าตั้งธงคว่ำร่างหรือไม่? นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า "เราไม่ได้คิดตั้งธงถ้าหากคุณเขียนหลักการว่าให้ขออนุญาตเฉพาะคนที่ทำเป็นร้านค้าหรือจำหน่าย แต่ประชาชนทั่วไปสามารถต้มเหล้ากินได้หมด อย่างนี้รับไม่ได้"

“ประชาชนเสี่ยงตายมากี่คน ใครรับผิดชอบได้บ้าง แล้วยังป่วยอีกหลายสิบคน ถ้าทำไปแล้วไม่มีใครควบคุม ใครอยากต้มก็ต้ม ใครอยากแจกก็แจก นี่มันไม่ใช่ประเทศไทยแล้ว คงเมากันทั้งประเทศ ที่เรารับไม่ได้คือประเด็นนี้ ไม่ใช่จะไปคว่ำร่างของก้าวไกล (ประชาชน) แต่เขาเอง ถึงแม้ไม่ได้นำร่างเข้ามาก็เป็นกรรมาธิการร่วมกันได้อยู่ ยังทำงานร่วมกันได้ จะไปออกข่าวว่าเราคว่ำอะไร ต้องดูข้อเท็จจริงก่อน” นายวิสุทธิ์ กล่าว

นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ต้องดูข้อเท็จจริง เพื่อไม่ให้เสียหายมาถึงพรรคเพื่อไทย ว่าพรรคเพื่อไทยไม่สนับสนุน แต่เราสนับสนุนให้รายย่อยมีโอกาส ลดเงื่อนไขลงมา แต่ไม่ใช่ว่าไม่ต้องขออนุญาตเลย ไม่ได้ขายต้มแจกได้หมด ไม่เช่นนั้น เมาทั้งตำบล ทั้งอำเภอ พร้อมย้ำว่าเรื่องนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับองค์ประชุม

นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า "ภายหลังจากการประชุม พวกเรามานั่งปรึกษาหารือคุยกัน ฝ่ายค้านรัฐบาลไม่ได้มีอะไร แค่ความแตกต่างทางความคิด เป็นความสวยงามของประชาธิปไตย เขามาปรึกษาว่าห้อยไปด้วยได้หรือไม่"

เมื่อซักเพิ่มว่าเบื้องต้นพรรคประชาชนยอมหรือไม่? นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า "ให้เขามาตอบวันพุธก็ยังมีเวลา ไม่ได้ไปคว่ำร่างใคร คนที่ติดตามเรื่องนี้ก็ขอให้เข้าใจถูกต้อง"

เมื่อถามว่านายเท่าพิภพ ใช้คำพูดว่าเราต่อเรือมาแล้ว เหมือนเป็นการปล้น? นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า "กฎหมาย ไม่มีใครปล้นใคร ทุกพรรคหวังดีต่อพี่น้องประชาชน เราก็อยากให้ SMEs เกิดขึ้นในประเทศไทย หรือธุรกิจอะไรเกิดขึ้นในประเทศไทย ไม่ได้ปล้นใคร ถ้าไปพูดแบบนั้นก็มีปัญหา”

เมื่อถามว่าจะทำให้วิปรัฐบาลและฝ่ายค้านคุยกันยากขึ้นหรือไม่? นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า “ไม่ยาก เจอที่ไหนก็คุยกันได้ รุ่นใหม่รุ่นเก่าก็ทำงานร่วมกันได้ ดูตามหลักการที่ถูกต้องการ และไม่ต้องไปโจมตีกัน การใช้วาทกรรมทางการเมืองจะทำให้งานไม่เดินหน้า ปล้นเปลิ้นอะไรไม่มี”

ขณะที่ นายศรัณย์ ทิมสุวรรณ สส.เลย พรรคเพื่อไทย ในฐานะเลขาธิการวิปรัฐบาล กล่าวว่า ตนในฐานะผู้เสนอให้มีการลงมติแยกทีละฉบับ ซึ่งในหลักการร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 3 ร่างนั้น การผลักดันให้ประชาชนให้เข้าถึงและขอใบอนุญาตได้ ทั้ง 3 ร่างเห็นตรงกัน แต่ติดปัญหาเดียวคือพรรคประชาชนเขียนหลักการว่าผู้ที่ทำเพื่อการค้าเท่านั้นที่ต้องขออนุญาต ซึ่งเราก็ปรึกษาว่ามีทางไหนที่ทำให้สามารถนำเข้าไปพิจารณาพร้อมกันได้หรือไม่โดยที่ความขัดแย้งหลักการ กระบวนการไม่เป็นปัญหา ซึ่งปกติแล้วในหลักการไม่สามารถแก้ได้ จึงเป็นปัญหา โดยหลักของกฎหมายแล้วเมื่อเสนอมาแล้วไม่ควรแก้หลักการ จึงยังไม่มีข้อสรุปว่าเมื่อพิจารณารวมทั้ง 3 ร่างแล้วจะขัดกันหรือไม่

โซเชียลเดือด!! สส.พรรคส้ม แจมสัมมนา Sex Creator ร่วม 'ชายต๊อง' หมกมุ่นแต่ 'เหล้า-เบียร์-เซ็กซ์-พม่า' ส่วนปัญหาบ้านเมือง-ทุนเทา เงียบกริบ

จากกรณีเมื่อวันที่ 17 ก.ย.67 ทนายแจม สส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ พรรคประชาชน ได้โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า...

“วานนี้ (16 ก.ย. 67) แจมได้รับเชิญมาร่วมวงสัมมนาในหัวข้อ Sex Creator เพศพาณิชย์ โอกาสหรือความอับอาย ที่จัดโดย คณะกรรมาธิการท่องเที่ยว สภาผู้แทนราษฎร ที่รัฐสภาค่ะ…

“สัมมนาครั้งนี้ ได้ร่วมเสวนากับ สส. เท่าพิภพ @taopiphop, คุณชายต๊อง Sex Creator และคุณเอช จากองค์กร Daydm ได้แลกเปลี่ยนกันหลายประเด็นมาก ๆ เช่น -Sexual Pleasure Right is Human Right. สิทธิในความพึงพอใจทางเพศเป็นสิทธิมนุษยชนอย่างหนึ่ง…

“- Sex toys ที่เป็นส่วนสำคัญในการแก้ปัญหาสุขภาวะทางเพศ ได้เปิดโลกมาก ๆ ว่า เซ็กส์ทอยตอนนี้พัฒนาไปไกลมาก ๆ ค่ะ…

“- กฎหมายที่ทำให้ Sex Creator ไม่สามารถทำได้ และไม่ได้ถูกปกป้องจากกฎหมายลิขสิทธิ์ และ การกีดกันของกฎหมายที่ส่งผลถึงอุตสาหกรรมหนังผู้ใหญ่ที่ช่วยให้เกิดอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้…

“สุดท้ายการจะผลักดันกฎหมายที่ก้าวหน้า ต้องอาศัยการให้ความรู้ความเข้าใจกับสังคมไปพร้อม ๆ กัน สังคมที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แต่กฎหมายปัจจุบันไม่สามารถตามทันได้ในปัจจุบัน สุดท้ายก็จะสามารถผลักดันให้เกิดขึ้นได้ในอนาคตค่ะ…

“#กมธท่องเที่ยว #Sextourism #ทนายแจมศศินันท์”

หลังจากโพสต์ดังกล่าวปรากฏ ก็ทำให้ชาวโซเชียลแสดงความเห็นถึงการที่ พรรคประชาชน ถึงเชิญ นายธนพณ เชี่ยวสุทธิ อายุ 29 ปี มีฉายา 'ชายต๊องหญิงเพี้ยน' ผู้ต้องหาคดีค้ามนุษย์ และพรากผู้เยาว์ มาร่วมงานครั้งนี้ อาทิ...

- คนที่คุณคุยด้วยคือคนที่เคยมีคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็กอายุ 16 มันจะซ้ายจัดจนไร้สติอะไรขนาดนั้นน่ะ แค่นี้ประเทศไทยก็เหมือนไม่มีกฎหมายอยู่แล้วนะ

- ภูมิใจไหมครับ ที่มีคนเหี้*ๆ ที่จ้างเด็กอายุ 16 มาเอา มาร่วมเสวนาด้วย คุณคงภูมิใจ

- ไม่เห็นด้วยกับการให้พื้นที่กับคนที่มีคดีอนาจารเด็ก แม้แต่ในมาตรฐานสากลพวกที่ทำกับเด็ก ไม่มีโอกาสมาลอยหน้าลอยตาในสังคม เท่าพิภพนี่หลายรอบแล้วทำงานชุ่ยมาก ไม่ได้เช็กประวัติคนที่เชิญมาก่อนเหรอว่ามายังไง

- บ้าหรือเปล่าสนับสนุนให้เด็กขายตัว ดูหนังโป๊มากไปไหมครับ? เลิกทำเรื่องชั่ว ๆ เถอะ ตายไปจะได้ไม่ต้องลงมาหานรกขุม 3 ทุกข์ทรมานยาวนานชั่วกัปชั่วกัลป์

- ยากจะช่วย Defend พี่แจม แต่พอนึกถึงรูปนั้นแล้วก็ช่วยไม่ลงจริง ๆ ครับ

- แล้ว สส. ไม่ได้รีเช็กอะไรเลยเหรอ ให้คนนี้ที่มีคดีเคยบอกว่าตัวเองถูกหลอกไม่รู้มาก่อนว่าน้องมันเด็ก แล้วเด็กมันก็หลอก หรือเจ้าตัวเองก็ไม่ได้หนีข้อหา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นความเหมาะสมอ่ะค่ะ คนอื่นก็ได้นะคะ ไม่ใช่คนนี้ที่เป็นสุดยอด Sex Creator เพียงคนเดียวค่ะ คนอื่นมาตรฐานดีกว่าเค้าก็มี

- ไม่ควรเชิญคนทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะละเมิดเด็กเรื่องเพศ มามีหน้ามีตาในสังคม

- ทนาย ควรเห็นใจเหยื่อ วัย 16 ปีนะ คิดดูสิ ถ้าเป็นลูกหลาน โดนหลอกมาทำแบบนี้ จะรู้สึกยังไงฮะ

- เอาคนใส่ EM มา ความน่าเชื่อถือเป็น 0 เลย คนที่ผลักดันด้านนี้ผมก็เห็นว่ามีเยอะ ทำไมต้องไอชายต๊องอะ เอาคนที่ไม่มีคดีไม่ได้แล้วหรอ

- สนับสนุนเรื่องทางเพศ โดยเอาคนล่อลวงเยาวชนมาถ่ายหนังโป๊มาสัมมนาป่าวนะ ที่ข้อเท้ากำไลสั่งทำพิเศษเหรอคะ แบบที่ไม่มีคดีไม่มีใส่รึเปล่า 

- คิดยังไงกับข่าวพ่อบังคับลูกทำ Only Fans ครับ

- ทำไมหมกมุ่นอยู่กับเรื่องพวก เหล้า เบียร์ Sex พม่า ปาเลสไตน์ เดี๋ยวนี้ ลืมเรื่องใหญ่ๆ หมดเช่น ส่วยรถบรรทุก จีนเทา และสารพัดเรื่อง

เมื่อกระแสไม่พอใจเริ่มลุกลาม ทางด้าน สส.เพชร กรุณพล เทียนสุวรรณ จึงได้โพสต์ข้อความใน X โดยชี้แจงว่า นายธนพณ เชี่ยวสุทธิ เป็นผู้ต้องหาค้ามนุษย์และล่วงละเมิดทางเพศผู้เยาว์จริง แต่โดนผู้เยาว์หลอกว่าอายุ 20 แล้ว พร้อมทั้งระบุว่า หากกฎหมายที่พรรคของตนเสนอนำมาบังคับใช้ จะมีการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง เซ็กซ์ครีเอเตอร์ จะไม่โดนเด็กหลอกโกงอายุอีกต่อไป ดังนี้...

“ชี้แจงกรณีที่ กมธ.ท่องเที่ยว เชิญ Sex Creator ที่มีคดีล่วงละเมิดทางเพศกับผู้หญิงอายุ 16 ปีมาเสวนาในงานดังนี้...

“1.ทนายแจมเป็นแขกรับเชิญมาให้ความเห็นทางกฎหมายเนื่องจากเป็นทนายที่เชี่ยวชาญเรื่องสตรีและผู้เยาว์…

“2.มีข้อสงสัยว่า Sex Creator ท่านนี้ถูกผู้เยาว์หลอกว่าอายุเกิน 20 ปีจริงหรือไม่ และหากมีกฎหมายแบบต่างประเทศที่ผู้อยู่ในธุรกิจ Sex Creator ต้องลงทะเบียน ทำให้ป้องกันผู้เยาว์เข้าสู่ธุรกิจนี้ได้จริงหรือไม่…

“3.เมื่อไม่มีกฎหมายบังคับและทุกวันนี้ทุกคนสามารถเข้าสู่โซเชียลมีเดียได้อย่างง่ายดาย  จึงเป็นอันตรายอย่างยิ่งที่จะถูกล่อลวงให้เป็นทั้งผู้ชมหรือผู้แสดง จึงต้องฟังข้อมูลจากฝั่งผู้ผลิตผลงานที่เคยกระทำผิด เพื่อหาทางป้องกันให้เท่าทันกับโลกที่เปลี่ยนไป…

“4.เป็นการแลกเปลี่ยนความเห็นทั้งคัดค้านและสนับสนุน เพื่อนำความเห็นที่แตกต่างไปหาทางออกสำหรับข้อกังวลของสังคมเกี่ยวกับ Sex Creator และ Sex Toys…

“5.หลายท่านอาจมองว่ามี Sex Creator อีกหลายท่านที่ควรเชิญมาแทน แต่สำหรับ ตัวแทนกมธ.คิดว่าหากเชิญคนที่ไม่มีปัญหาก็อาจได้มุมมองที่คล้ายๆกัน แต่คนที่มีปัญหาอาจได้ข้อมูลที่แตกต่าง เพื่อใช้เป็นข้อมูลที่อาจมองข้ามหรือไม่เป็นที่สนใจ เพื่อใช้ในการออกแบบกฎหมายในอนาคต…

“6.การทำงานทางความคิดเกี่ยวกับเรื่อง Sex Creator และ Sex Toys ในประเทศไทย ยังต้องใช้เวลาและความเข้าใจเป็นอย่างมาก แม้หลายประเทศที่เจริญกว่าเราจะอนุญาตให้ทำและมีกฎหมายรองรับ แต่ก็อาจมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกันกับสังคมไทย ที่เราจำเป็นต้องเคารพและรับฟังผู้ที่เป็นกังวลและเห็นต่าง ไม่ว่าทุกท่านที่อ่านมาจนถึงตรงนี้จะมีความเห็นอย่างไร ทางพรรคประชาชนยินดีรับฟังและน้อมรับคำแนะเพื่อให้กฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นประโยชน์มากที่สุด เหมาะสมกับยุคสมัยและความรู้สึกของคนไทยไม่ว่าจะเป็นคนหัวก้าวหน้าหรืออนุรักษ์นิยม…

“#พรรคประชาชน”

ทั้งนี้ก็มีผู้เข้ามาสนับสนุนพรรคประชาชน และผู้ไม่เห็นด้วย เข้ามาแสดงความเห็นต่าง ๆ เช่น...

- เยี่ยม ฟอกขาวให้อาชญากรอีก สนับสนุนให้เยาวชนขายตัวและถ่ายหนังโป๊ และยังช่วยกันปกป้องผู้กระทำผิดอีกด้วย จะชั่วไปถึงไหน???

- เรามองว่า ไม่ใช่เรื่องด่วนหรือจำเป็นต้องทำ และคิดว่าคนทำผิดกฎหมาย พรรคก้าวไกล กลับเชิญมาเป็นวิทยากร ยิ่งแย่มาก

- Sex Toy ทำไปเลยเพราะมันอยู่ในที่ลับ แต่ Sex Creator ขอคัดค้าน เพราะมันจะกลายเป็นตราบาปให้กับเด็กผู้หญิง ที่อาจตัดสินใจทำไปเพราะหลงผิดหรือคาดไม่ถึง แต่มันจะกลายเป็นตราบาปที่ล้างไม่ออกตลอดไปของพวกเธอ จะกลายเป็นปัญหาสังคมในภายภาคหน้า ให้มันอยู่ในมุมมืด ๆ ดีแล้ว

- คุณเพชรโพสต์แบบนี้ดีครับ รู้สึกเป็นงานเป็นการ ฝ่ายตรงข้ามที่จ้องหาช่องเอาไปปั่นเรื่องต่อก็ทำยากขึ้นครับ 

- ให้กำลังใจครับ ดูจากเมนต์ คงต้องทำงานทางความคิดเพิ่มอีกเยอะครับ

- ไม่แปลกใจ ในอดีต พรรคคุณยังมีสมาชิกที่ไปล่วงละเมิดทีมงานเลย อุดมการณ์เรื่องแบบนี้แรงกล้ามาก

- ก่อนทำ Content ทุกครั้ง ถ้าเขาขอตรวจสอบหลักฐานเรื่องอายุ เขาจะไม่ถูกหลอก ซึ่งตรวจสอบไม่ยาก ประเด็นนี้คือคนทำ Content ไม่ตรวจสอบให้ดีก่อน ทำไมไม่ตรวจสอบทั้งที่สุ่มเสี่ยงจะทำผิดร้ายแรง

- สนับสนุน Sex Creator ให้มีหนทางทำกิน ก็เหมาะสมกับพรรคนี้ดีนะครับ ลูกสาวบ้านใครก็ทำไปเหอะ แต่ไม่ใช่บ้านกู ใช่ไหมครับ อนาถใจกับข่าวพ่อข่มขืนลูกสาว 14 ปี ถ่าย OLF มาก

- เว็บเถื่อนสีดำ แชตส่วนตัว แชตลับ วิดีโอคอล ต่อให้มี กม.ควบคุม เยาวชนที่ฟุ้งเฟ้ออยากมีอยากได้อยากสบายอยากรวยทางลัด มันก็ยังทำอยู่ดี ยิ่งมีการสนับสนุนอาชีพนี้เท่ากับส่งเสริมทางอ้อมว่ามันเหมือนไม่ใช่ความผิดทางกม.มันมีแค่คำว่าอายุมากำหนด ทุกวันนี้เด็กประถมก็แอบทำคลิปหรือคอลกันแล้ว

- แค่ตั้งข้อสงสัยว่า 'ถูกผู้เยาว์หลอก' แค่นี้ก็บ่งบอกถึงคุณภาพ และแนวคิดของ สส. คุณภาพครับ เปลืองภาษีพวกกูจริง ๆ

- ตลกอะ ที่คุณพูดถึงเรื่องนี้ในกรณีที่ Sex Creator เป็นฝ่ายถูกหลอก แล้วก็เข้าข้างเขาในสภาการณ์นี้ ตรรกะมันจะวิบัติและเสื่อมไปได้ถึงขนาดนี้แล้วหรอ คุณก้อง

- แปลได้ว่า พรรคสนับสนุนคนแบบนี้ให้มีที่ยืนในสังคม ซึ่งก็ไม่แปลกใจอะไร

‘ผอ.สวนสัตว์ฯ’ แจงปมติ๊กต็อกเกอร์กล่าวหา ‘กักขังหมูเด้ง’ ยัน!! มีพี่เลี้ยงดูแล-ทีมแพทย์เช็กสุขภาพประจำทุกวัน

(20 ก.ย. 67) ที่บริเวณส่วนแสดงฮิปโปโปเตมัส สวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี นายณรงวิทย์ ชดช้อย ผู้อำนวยการสวนสัตว์เปิดเขาเขียว เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีกระแสข่าวติ๊กต็อกเกอร์ต่างชาติ โพสต์คลิปรณรงค์ห้ามแชร์คลิป ‘น้องหมูเด้ง’ พร้อมแฉความมืดของสวนสัตว์ว่า การที่ทำกับน้องหมูเด้ง ตัวตึง ของสวนสัตว์เปิดเขาเขียวนั้น เป็นการกักขังสัตว์ป่า จนสัตว์นั้นลืมสัญชาตญาณความเป็นสัตว์ป่าไปแล้ว ทั้งการว่ายน้ำ หรือการหากินอาหาร อีกทั้งการที่สวนสัตว์ทำเช่นนี้ เป็นการหากินกับสัตว์

นายณรงวิทย์ กล่าวต่อว่า ทางสวนสัตว์มีภารกิจหลัก ๆ 4 ด้าน คือ การอนุรักษ์ วิจัยสัตว์ ให้การศึกษา และพักผ่อนหย่อนใจ ซึ่งในส่วนของเรื่องการอนุรักษ์ วิจัยสัตว์นั้น เรามีภารกิจในเรื่องของการเพาะพันธุ์สัตว์ป่าทั้งในเขตและนอกเขตอาศัยด้วย เพื่อนำกลับไปปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ทั้งในส่วนของสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ก็มีผลงานโดยการปล่อยนกกระเรียน วัวแดง คืนสู่ธรรมชาติ หรือแม้แต่นกกระสาคอขาว ที่ปล่อยคืนสู่ธรรมชาติที่ จ.บุรีรัมย์ และล่าสุดก็ทราบข่าวว่านกชุดที่ปล่อยไปนั้นออกลูกตามธรรมชาติได้แล้ว

ส่วนมาตรการในการดูแลน้องหมูเด้งนั้น ในทุก ๆ วันทางสวนสัตว์ก็จะมีทีมแพทย์เข้ามาตรวจเช็กสุขภาพประจำทุกวันอยู่แล้ว โดยจะทำงานร่วมกับพี่เลี้ยง เพื่อตรวจเช็กการเจริญเติบโตของน้องหมูเด้ง โดยถึงขณะนี้น้องมีสุขภาพแข็งแรง แต่ยังกินอาหารที่แข็งมากไปไม่ได้ ซึ่งคาดว่าเมื่อน้องอายุครบ 3 เดือน ก็น่าจะสามารถทานอาหารแข็งได้

‘ผู้ว่าแบงก์ชาติ’ ชี้!! ถึงเฟดปรับลดดอกเบี้ย ก็ไม่ใช่ว่าไทยต้องลดตาม แจง!! การลดดอกเบี้ยของไทยควรขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก

(20 ก.ย. 67) นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.50% ว่า กรณีเฟดไม่ใช่ว่าเฟดลดแล้วเราต้องลด การที่เฟดลดดอกเบี้ยมีผลกระทบต่อปัจจัยหลายด้าน ซึ่งเป็นตัวแปรที่เราต้องตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ย

การดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท. ยังคงเน้นจากปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก ใน 3 ปัจจัย กล่าวคือ แนวโน้มเศรษฐกิจว่าสามารถเติบโตได้ถึงศักยภาพหรือไม่ อัตราเงินเฟ้อ จะเข้ากรอบเป้าหมายหรือไม่ และเสถียรภาพด้านการเงิน แต่การพิจารณาจากสิ่งเหล่านี้ ก็หนีไม่พ้นต้องคำนึงถึงภาพรวมด้วย

ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ การปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของธนาคารกลางรายใหญ่ของโลกควบคู่กันด้วย เพราะการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางในประเทศขนาดใหญ่ ย่อมมีผลกระทบในภาพรวม ที่ต้องคำนึงถึงผ่าน 3 ปัจจัยนี้

อย่างไรก็ดี สำหรับการตัดสินใจต่อนโยบายดอกเบี้ยของไทยจาก 3 ปัจจัยดังกล่าว ในปัจจุบัน ยังไม่เห็นสิ่งที่ทำให้ภาพการประเมินเศรษฐกิจต่างไปจากที่ ธปท.ได้เคยประเมินไว้ โดยยังคง Outlook Dependent ซึ่งเชื่อว่าเป็นกรอบการตัดสินใจที่เหมาะสม ถูกต้อง

นอกเหนือจากนี้ต้องคำนึงว่าการลดดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงแค่ไหน ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างภาระหนี้เดิม กับสินเชื่อใหม่ที่จะเกิดขึ้น และอยากฝากว่า การลดดอกเบี้ยนั้น ผลที่จะส่งต่อไปยังการลดภาระหนี้อาจจะไม่ได้เต็มที่ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง การปรับลดดอกเบี้ย ผลที่จะได้รับอาจไม่มากเท่ากับการปรับโครงสร้างหนี้ และจะคาดหวังว่าดอกเบี้ยลงแล้ว ภาระหนี้จะลดลงทันที คงไม่ใช่

'พล.ต.ท.ประจวบฯ' ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบสิ่งของบำรุงขวัญตำรวจในพื้นที่ประสบอุทกภัยจังหวัดพะเยา กำชับระวังป้องกันอาชญากรรมซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน และมอบหมวกนิรภัยขับเคลื่อนโครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย ประจำปี 2567

(20 ก.ย.67) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. มอบหมายให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร. เดินทางไปตรวจเยี่ยมและมอบสิ่งของบำรุงขวัญให้กับข้าราชการตำรวจในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ จว.พะเยา ณ ภ.จว.พะเยา โดยมี พล.ต.ต.พิทักษ์ นาสมวาส ผบก.ภ.จว.พะเยา, พ.ต.อ.พรเทพ น้องการ รอง ผบก.ภ.จว.พะเยา, ผกก.ในสังกัด ภ.จว.พะเยา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รอรับการตรวจเยี่ยม และรับมอบสิ่งของบำรุงขวัญและหมวกนิรภัย 

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า จังหวัดพะเยาได้เกิดเหตุอุทกภัยน้ำท่วมฉับพลัน มีข้าราชการตำรวจในสังกัดได้รับผลกระทบ บ้านเรือนและทรัพย์สินเสียหาย จำนวน 49 นาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใย จึงเดินทางมาตรวจเยี่ยมมอบสิ่งของบำรุงขวัญเพื่อเป็นกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจที่ได้รับผลกระทบให้พ้นวิกฤต และเป็นกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจที่ได้ร่วมแรงร่วมใจ ปฏิบัติหน้าที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย 

รวมทั้งกำชับให้เพิ่มความเข้มในการตรวจตราป้องกันเหตุอันเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย และรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อำนวยความสะดวกและจัดระบบการจราจรในพื้นที่ที่ประสบภัยและพื้นที่ใกล้เคียง ตลอดจนสนับสนุนกำลังเจ้าหน้าที่ เครื่องมือ อุปกรณ์ และยานพาหนะ เพื่อป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ดำเนินโครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย ประจำปี 2567 สรุปผลการดำเนินการประเภทหน่วยงาน ภ.จว.พะเยา ได้รับคัดเลือกเป็นอันดับที่ 1 ของตำรวจภูธรภาค 5 ประกอบกับ ภ.จว.พะเยา ร่วมกับจังหวัดพะเยา จัดทำโครงการ รณรงค์กวดขันมีวินัย สวมหมวกนิรภัย 100% เพื่อสร้างจิตสำนึกให้กับประชาชนได้รับความปลอดภัยในการสวมหมวกนิรภัยขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ ตลอดจนสร้างจิตสำนึกให้กับข้าราชการตำรวจและครอบครัว 

เพื่อเป็นต้นแบบในการปฏิบัติตามกฎหมายจราจร การสวมหมวกนิรภัยขณะขับขี่อย่างเคร่งครัด ได้มอบหมวกนิรภัยให้กับข้าราชการตำรวจ จำนวน 50 นาย เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดี พร้อมเน้นย้ำให้ดำเนินการขับเคลื่อนโครงการสุภาพบุรุษจราจรฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนตระหนักถึงความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน และลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอขอบคุณ เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายที่ได้ปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาลและ ตร. อย่างเต็มกำลังความสามารถตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และขอเป็นกำลังใจให้ทุกนายมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ ปฏิบัติภารกิจด้วยความระมัดระวัง และพึงระลึกเสมอว่าทุกคนนั้นคือกำลังสำคัญ ที่ปฏิบัติหน้าที่ขับเคลื่อนประเทศชาติต่อไป

'มาริษ' จับเข่าคุยทูตกลุ่มประเทศ ACMECS 5 ประเทศหารือแนวทางการร่วมแก้ปัญหาแม่น้ำโขงท่วม-น้ำแล้ง ยืนยันประเทศไทยพร้อมเป็นหัวหอกระดมกำลังเสริมสร้างความสามารถการบริหารจัดการแม่น้ำโขงร่วมกัน

'นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์' รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หารือร่วมกับเอกอัครราชทูตกลุ่มสมาชิกยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง: Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy หรือ ACMECS (แอ็กเม็กส์) จำนวน 5 ประเทศประจำประเทศไทย ประกอบด้วย กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย เพื่อริ่เริ่มความร่วมมือเพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยลุ่มน้ำโขง ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน ซึ่งนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ แสวงหาความร่วมมือกับกลุ่มประเทศ ที่ได้รับผลกระทบต่อแม่น้ำโขงโดยเร็วที่สุด 

นายมาริษ ยืนยันว่า ประเทศไทย พร้อมเป็นหัวหอก ในการระดมสรรพกำลัง ความรู้ด้านการบริหารจัดการน้ำระหว่างประเทศ โดยจะใช้กรอบความร่วมมือของประเทศในอนุภูมิภาค ACMECS เป็นกลไกสำคัญ ในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้งของแม่น้ำโขงในระยะยาว รวมถึงใช้กลไกสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง หรือ Mekong Institute) และคณะกรรมการแม่น้ำโขง หรือ Mekong River Commission : MRC ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้ความรู้ด้านวิชาการ และเสริมสร้างขีดความสามารถในการบริหารจัดการแม่น้ำโขงร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า การขุดลอกแม่น้ำ การพัฒนาพื้นที่รับน้ำ และโครงสร้างพื้นฐานในการบริหารจัดการแม่น้ำโขงต่อไปในอนาคต

“ขอขอบคุณท่านเอกอัครราชทูตประเทศสมาชิก ACMECS ประจำประเทศไทย ได้แก่ กัมพูชา เมียนมา ลาว เวียดนาม ที่มาร่วมหารือพร้อมตอบรับข้อริเริ่มในการร่วมมือเพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยลุ่มน้ำโขงในวันนี้ เพราะความทุกข์ของพี่น้องประชาชนรอไม่ได้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จึงได้มอบหมายให้ผมแสวงหาความร่วมมือจากกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบจากแม่น้ำโขงโดยเร็วที่สุด” นายมาริษ กล่าว

ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง: Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy หรือ ACMECS ริเริ่มในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปี 2546 และเป็นกรอบความร่วมมือที่ประเทศไทย เป็นประเทศผู้ประสานงาน โดยกรอบความร่วมมือนี้มาจากแม่น้ำสำคัญ 3 สายในภูมิภาคที่ไหลผ่านประเทศสมาชิก ได้แก่ แม่น้ำอิรวดี ที่ไหลผ่านประเทศเมียนมา, แม่น้ำเจ้าพระยา ไหลผ่านประเทศไทย และแม่น้ำโขง ไหลผ่านประเทศไทย, สปป.ลาว, กัมพูชา และเวียดนาม มีเป้าหมายหลักเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ เช่น การค้าการลงทุน การท่องเที่ยว และการเกษตร โดยที่ประเทศไทย เห็นโอกาสในการสนับสนุนประเทศเพื่อนบ้าน พัฒนาประเทศได้ดีขึ้นตามนโยบาย 'prosper-thy-neighbour' หรือ การทำนุบำรุงเพื่อนบ้านให้เจริญ เพราะหากทุกคนมีความเป็นอยู่ที่ดี ก็จะเกื้อหนุนประโยชน์แก่ประชาชนร่วมกันได้มาก 

ความปลอดภัยไซเบอร์ไทย พัฒนาก้าวกระโดด ‘ประเสริฐ’ เผยผลการจัดอันดับ Global Cybersecurity Index 2024 โดย ITU ไทยขึ้นอันดับ 7 ของโลกด้าน Cyber Security จาก 194 ประเทศ  พุ่งจากอันดับ 44 ในการจัดอันดับครั้งที่ผ่านมา

เมื่อวานนี้ (19 ก.ย.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานแถลงข่าวความสำเร็จการพัฒนาด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งผลการจัดอันดับ Global Cybersecurity Index 2024 (GCI) โดย International Telecommunication Union (ITU) ในปี 2024 ซึ่งประเทศไทยก้าวขึ้นสู่อันดับที่ 7 จากผลการประเมินของ 194 ประเทศทั่วโลก ว่า จากนโยบายการดำเนินงานของกระทรวง ภายใต้แผนงาน ‘The Growth Engine of Thailand’ หรือเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศจะให้ความสำคัญใน 3 ด้าน ประกอบด้วย 

1. การเพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัลในการสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันของประเทศ (Thailand Competitiveness) 
2. การสร้างความมั่นคงและปลอดภัยของเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล (Safety & Security) และ 3. การเพิ่มศักยภาพทุนมนุษย์ด้านดิจิทัลของประเทศ (Human Capital) และความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่จะพัฒนารัฐบาลให้เป็นรัฐบาลดิจิทัล และนโยบายรัฐบาลประการที่ห้าที่รัฐบาลจะเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่น ควบคู่กับการเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ 

โดยการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งประเทศไทยได้รับการจัดอันดับด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ หรือ GCI ในปี 2024 ประเทศไทยได้คะแนนอยู่ที่ 99.22 คะแนน เป็นอันดับที่ 7 ของโลกจากจำนวน 194 ประเทศ ซึ่งก้าวกระโดดจากลำดับที่ 44 ในการจัดลำดับในครั้งที่ผ่านมา ทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นสู่ประเทศชั้นนำใน Tier 1 ซึ่งหมายถึงการเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็น role models ด้านไซเบอร์ของโลก จากรายงาน Global Cybersecurity Index (GCI) 2024 ของ ITU ที่วัดผลสัมฤทธิ์ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศต่าง ๆ ผ่าน 5 ด้าน ได้แก่ ด้านกฎหมาย (Legal) ด้านเทคนิค (Technical) ด้านหน่วยงาน/นโยบาย (Organizational) ด้านการพัฒนาศักยภาพ (Capacity Development) และด้านความร่วมมือ Cooperation) 

“ผลคะแนนในดัชนีนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการพัฒนาและเสริมสร้างมาตรการความปลอดภัยไซเบอร์ในหลาย ๆ ด้าน โดยผลคะแนนที่เกิดขึ้นนั้น เป็นความร่วมมือร่วมใจของหน่วยงานต่าง ๆ ทุกภาคส่วน ร่วมผลักดันงานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ทั้งในระดับบุคคล องค์กร ภาคส่วน และในระดับประเทศ ตลอดจนพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม รายงานอาจแสดงถึงจุดที่ประเทศไทยยังต้องพัฒนาเพิ่มเติม เช่น การปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ Child Online Protection หรือการเพิ่มขีดความสามารถด้านเทคนิคในการรับมือภัยคุกคามที่ทันสมัยขึ้นต่อไป” นายประเสริฐ กล่าว 

ขณะที่ พลอากาศตรีอมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) กล่าวเสริมว่า ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้มีการยกระดับด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์มาอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย 1.การยกระดับด้านกฎหมาย (Legal) ประเทศไทยมีการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับด้านดิจิทัลหลายฉบับเช่น การกระทำผิดเกี่ยวกับข้อมูลคอมพิวเตอร์  เช่น การเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการเผยแพร่ข้อมูลเท็จพระราชบัญญัติข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนและกำหนดหลักเกณฑ์ในการเก็บ ใช้ และเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึง พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ที่เน้นการสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ 

2.การยกระดับด้านเทคนิค (Technical) มีการจัดตั้งศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (ThaiCERT) และการจัดตั้งศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์สำหรับหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ หรือ Sectoral CERT รวมถึงยังมีการดำเนินการทางเทคนิคด้านอื่น ๆ ได้แก่ การขึ้นทะเบียน ThaiCERT กับองค์กร CERT ระดับสากล ได้แก่ First.org และ The Asia Pacific Computer Emergency Response Team (APCERT) การฝึกเพื่อทดสอบขีดความสามารถทางไซเบอร์ในระดับประเทศ (Thailand’s National Cyber Exercise) และระดับภาคส่วน การจัดตั้งระบบแพลตฟอร์มสำหรับการแบ่งปันข้อมูลภัยคุกคามทางไซเบอร์ (Malware Information Sharing Platform : MISP) และการแจ้งเตือนภัยคุกคามทางไซเบอร์และช่องโหว่ของระบบ
.
3. การยกระดับด้านหน่วยงาน/นโยบาย (Organizational) โดยมีการจัดทำนโยบายและแผนปฏิบัติการว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (พ.ศ. 2565 - 2570) เพื่อเป็นยุทธศาสตร์ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ โดยมี สกมช. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมีการจัดตั้งประชาคมไซเบอร์แห่งชาติ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และแนวคิดให้เกิดการปฏิบัติตามนโยบายและแผนปฏิบัติการฯ รวมถึงนโยบายการบริหารจัดการ ประมวลแนวทางปฏิบัติและกรอบมาตรฐานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์

4.การยกระดับด้านการพัฒนาศักยภาพ (Capacity Development) สกมช. ได้ดำเนินโครงการเร่งรัดการพัฒนาบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Intensive Cybersecurity Capacity Building Program) ระยะที่ 1 โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ทั้งนี้ สามารถพัฒนาบุคลากรได้มากกว่า 5,000 คน การจัดกิจกรรม Thailand Cyber Top Talent เป็นประจำทุกปี ตั้งแต่ปี 2021 - 2023 ซึ่งเป็นการแข่งขันด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ มีนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ที่เข้าร่วมการแข่งขัน มากกว่า 6,000 คน  การจัดกิจกรรม Thailand National Cyber Week เป็นประจำทุกปี ตั้งแต่ปี 2021 - 2023 การจัดตั้งสถาบันวิชาการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ตลอดจนประชาชนทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย โดยที่ผ่านมาได้มีการสร้างการตระหนักรู้ ให้ประชาชนไปแล้วมากว่า 1,000,000 คน

5. การยกระดับด้านความร่วมมือ (Cooperation) สกมช. มีการทำ MOU กับหน่วยงานทั้งภายในและต่างประเทศ ร่วมแล้วมากกว่า 34 ฉบับ เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน อิสราเอล Microsoft Fortinet Huawei Gogolook AIS กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสถิติแห่งชาติ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย กรมส่งเสริมสุขภาพจิต สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย เป็นต้น การขับเคลื่อน ASEAN-Japan Cybersecurity Capacity Building Centre ร่วมกับประเทศญี่ปุ่น มาตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี พ.ศ. 2561 ถึงปัจจุบัน เพื่อพัฒนาบุคลากรในอาเซียน ตลอดจนการริเริ่มแคมเปญเพื่อสร้างความตระหนักรู้ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์กลุ่มเด็กหรือเยาวชน ในการผลักดันการปกป้องเด็กบนโลกออนไลน์ (Child Online Protection) โดยออกมารูปแบบของโครงการมากมาย

นอกจากนี้ การเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมอาเซียน ส่งผลให้ประเทศไทยได้มีส่วนร่วมในความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ระดับนานาชาติอย่างสม่ำเสมอ เช่น ASEAN Cyber Coordinating Committee (ASEAN Cyber – CC) และ ASEAN-EU Statement on Cybersecurity Cooperation เป็นต้น

รัฐช่วยบ้านเสียหายเกิน 70% จากอุทกภัย เคาะ!! ได้รับเงินหลังละ 2.3 แสนบาท

(20 ก.ย. 67) จากที่มีข้อมูลออกมาเกี่ยวกับรัฐบาลเยียวยาบ้านที่เสียหายเกิน 70% จากอุทกภัย หลังละ 2.3 แสนบาท ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น ‘เป็นข้อมูลจริง’

โดยในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กำชับเรื่องการลดขั้นตอนทางเอกสาร ที่สมัยก่อนต้องเอาเอกสารไปเสนอ แต่ตอนนี้จะให้ส่วนราชการทั้งกระทรวงมหาดไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ลงไปดูและสรุปให้รวดเร็วที่สุด ถ้าบ้านเรือนไหนที่เสียหายเกิน 70% จะได้รับเงินเยียวยาหลังละ 2.3 แสนบาท

ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากกรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.prd.go.th หรือ โทร. 02-618-2323


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top