Tuesday, 21 May 2024
NewsFeed

ชาวเน็ตแห่ชื่นชม ‘พีระพันธุ์’ ป้องกันกลุ่มทุนค้ากำไรเกินควร หลังประกาศให้ ‘ผู้ค้าน้ำมัน’ ต้องแจ้งต้นทุนธุรกิจเป็นครั้งแรก

ชื่นชมคนทำงานจริง!! ชาวเน็ตแห่ให้กำลังใจ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ ที่กล้าทำเพื่อประชาชน ป้องกันกลุ่มทุนค้ากำไรเกินควร หลังประกาศให้ ‘ผู้ค้าน้ำมัน’ ต้องแจ้งต้นทุนน้ำมันทั้งนำเข้า - ส่งออก เป็นครั้งแรก 

จากกรณี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ออกประกาศกระทรวงให้ผู้ค้าน้ำมันหรือโรงกลั่นน้ำมัน ต้องแจ้งข้อมูลต้นทุนน้ำมัน เพื่อป้องกันการค้ากำไรเกินควร โดยได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา

โดยสาระสำคัญของประกาศฉบับดังกล่าว ได้กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 รายงานข้อมูลรายละเอียดราคาและต้นทุนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการนำเข้าและการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงต่ออธิบดีกรมธุรกิจพลังงานทราบ ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่มีการบันทึกบัญชีรายวัน พร้อมทั้งแจ้งราคาต้นทุนเฉลี่ยและหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการคำนวณต้นทุนเฉลี่ยของน้ำมันเชื้อเพลิงในทุกไตรมาส และกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันปรับปรุงการบันทึกบัญชี หรือเปลี่ยนแปลงข้อมูล จะต้องแจ้งให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานทราบภายใน 7 วัน โดยข้อมูลที่ได้รับมาจะถือเป็นข้อมูลลับของทางราชการและมีการเก็บรักษาเป็นความลับอย่างที่สุด

แน่นอนว่า ภายหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้แล้ว เท่ากับว่า วันที่ 15 เมษายน นี้ ผู้ค้าน้ำมันจะต้องส่งรายงานต้นทุนน้ำมันให้กับทางภาครัฐเป็นครั้งแรก ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา ภาครัฐไม่เคยทราบข้อมูลในส่วนนี้มาก่อนเลย ดังนั้น การที่ได้ทราบต้นทุนที่แท้จริง จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน และการกำหนดโครงสร้างราคาที่เป็นธรรมกับทุกฝ่ายในอนาคต

ทั้งนี้ ภายหลังจากกฎหมายมีผลบังคับใช้ ปรากฏว่า มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนมาก ได้แสดงความชื่นชมและให้กำลังใจ นายพีระพันธุ์ ผ่านสื่อโซเชียลในแพลตฟอร์มต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า นายพีระพันธุ์ ถือว่ามีความกล้าหาญ และตั้งใจทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง โดยไม่เกรงใจกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่แต่อย่างใด เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานคนใดกล้าแตะเรื่องเหล่านี้เลย 

สำหรับตัวอย่างความคิดเห็นของชาวเน็ต ที่ส่งถึงนายพีระพันธุ์ เช่น...

“ขอบคุณลุงพีมากค่ะ ท่านเป็นรัฐมนตรีเพียงคนเดียวในรัฐบาลชุดนี้ทำงานเพื่อคนไทยอย่างจริงจัง”
“มีคนดีๆแบบนี้ควรสนับสนุน เป็นคนดีและเก่งอีกคนที่หายากมากครับ”
“ขอบคุณท่านพีระพันธุ์ครับ ประชาชนรอความหวังอยู่ครับ”
“ดีต่อใจ ขอให้ท่านพีระพันธุ์มีความสุข และกระทำการใดๆ ก็สำเร็จ”
“ขอให้ทำได้จริงเพื่อคนไทยนะครับ”
“ขอให้ท่านพีระพันธุ์ทำให้ได้ ประชาชนมองท่านอยู่”
“มันต้องแบบนี้พี่พี ทำเพื่อประชาชนโดยแท้”
“เกลือจิ้มเกลือ เฉียบขาดมันต้องอย่างนี้ ขอบคุณครับ ท่านพีระพันธุ์”
“คุณพีนี่แหละที่สมควรจะเป็นนายกมากกว่าใคร”
“ทำแล้ว ทำต่อให้เห็น พวกเราต้องช่วยท่านไปด้วยกัน”
“คิดดีทำดีทำได้เลยครับ ประชาชนจะสนับสนุนท่านเองตามผลงานที่ปรากฎ”
“ท่านทำงานแบบไม่ออกสื่อ ไม่เอาหน้า แต่ทำเพื่อประชาชน”
“ต้องแบบนี้สิถึงเรียกว่า พูดจริงทำจริง จะรอดูผลงานครับ”
“เยี่ยมครับท่านพี ทำดีทำต่อไปครับผม เป็นกำลังใจให้ท่านครับ”
“คนนี้แหละที่ชาติต้องการ”
“ไปถามดีๆ ไม่ยอมบอกก็ออกกฎซะเลย เก่งมากครับท่านพี”
“ขอสนับสนุนท่านและรอความหวังการแก้ปัญหาราคาพลังงานแพง”
“ขอให้ท่านทำได้จริงครับ ชาวบ้านจะได้มีกินมีใช้บ้าง”
“คนทำจริง แม้จะยากเย็น แต่ตั้งใจแก้ปัญหาให้ประชาชน คนจริงที่หายากในยุคนี้”
“ขอเป็น 1 กำลังใจให้ท่านพีระพันธุ์ มุ่งทำงานล้างระบบพลังงาน เพื่อประโยชน์ของประชาชน ชาวไทยทุกคนต้องรวมพลังเป็นกำลังหนุนให้สำเร็จให้ได้ครับ”

อย่างไรก็ตาม นายพีระพันธุ์ ระบุว่า การกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันแจ้งต้นทุนในครั้งนี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การปฏิวัติโครงสร้างราคาพลังงานครั้งใหญ่ของประเทศ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในระยะยาว และ ภายหลังจากนี้ จะเริ่มมีมาตรการต่างๆ ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง ตามนโยบาย ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’ ที่ได้ประกาศเอาไว้ก่อนหน้านี้

คุ้มค่าหรือ? ‘รัฐบาล’ ทุ่ม 5 แสนล้านดัน ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ‘นโยบายประชานิยม’ จะพาเศรษฐกิจไทยฟื้นหรือดิ่งเหว

ต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ กับการแถลงข่าวเงินดิจิทัลวอลเล็ต โดยเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2567 มีการ ‘ประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet (ดิจิทัลวอลเล็ต) ครั้งที่ 3/2567’ ที่ทำเนียบรัฐบาล ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เป็นประธานการประชุม

ประเด็นที่น่าสนใจคงไม่พ้น ‘แหล่งที่มาของงบประมาณ’ ในโครงการ โดยนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงแหล่งเงินของโครงการฯ 500,000 ล้านบาท สามารถบริหารจัดการผ่านกระบวนการงบประมาณได้ทั้งหมด โดยจะใช้เงินจากงบประมาณจาก 3 ส่วน ได้แก่

1. เงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 152,700 ล้านบาท ซึ่งได้ขยายกรอบวงเงินงบประมาณในปี 2568 เรียบร้อยแล้ว

2. การดำเนินโครงการผ่านหน่วยงานของรัฐ จำนวน 172,300 ล้านบาท โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดูแลกลุ่มประชาชนที่เป็นเกษตรกร จำนวน 17 ล้านคนเศษ ผ่านกลไกมาตรา 28 ของงบประมาณปี 2568

3. การบริหารจัดการเงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ของรัฐบาล จำนวน 175,000 ล้านบาท ซึ่งงบประมาณปี 2567 เพิ่งเริ่มใช้ จึงมีเวลาที่รัฐบาลจะพิจารณาว่ารายการใดที่จะสามารถปรับเปลี่ยนได้ รวมถึงงบกลาง ก็อาจนำมาใช้เพิ่มเติมในส่วนนี้ถ้าวงเงินไม่เพียงพอ รวมวงเงินส่วนที่ 1-3 เป็นวงเงิน 500,000 ล้านบาท

นโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทย ที่นายกฯ เศรษฐา ได้เคยแถลงเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2566 ยืนยันว่านโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ทำได้แน่นอน และไม่มีการกู้เงินมาแจก ในวันนี้ได้เห็นแหล่งที่มาของการใช้เงินแล้ว คงพอรับรู้ได้ว่า เป็นการ ‘กู้เงิน’ หรือไม่ ?

การเดินหน้าโครงการนี้ จะกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้มากน้อยแค่ไหน ก็คงตัดสินกันในตอนนี้ไม่ได้ ถึงแม้นักวิชาการหลายท่าน รวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย ก็เคยให้ความเห็นติติงกันมาพอควรมาแล้ว

ทีนี้ มาลองดูโครงการใหญ่ ๆ จาก 3 ประเทศ ในเอเชีย ที่ใช้งบประมาณหลายแสนล้านบาท ในช่วงนี้ มีเป้าหมายใช้งบประมาณในด้านใดบ้าง

เริ่มจาก ‘เกาหลีใต้’ ทุ่ม 2.5 แสนล้านเกาะกระแส AI หวังสร้างตำนานบทใหม่ สู่การเป็นมหาอำนาจเซมิคอนดักเตอร์ ประธานาธิบดี ยุน ซุก ยอล ของเกาหลีใต้ เปิดเผยเมื่อวันที่ 9 เม.ย. ว่ารัฐบาลจะลงทุน 9.4 ล้านล้านวอน (2.5 แสนล้านบาท) ในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ 1.4 ล้านล้านวอน (3.8 หมื่นล้านบาท) สำหรับส่งเสริมบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ด้าน AI ภายในปี 2027 เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำระดับโลกในด้านชิปเซมิคอนดักเตอร์ล้ำสมัย

โดยรัฐบาลเกาหลีใต้วางแผนที่จะขยายการวิจัยและพัฒนาชิป AI เช่น หน่วยประมวลผลประสาทเทียม (NPU) และชิปหน่วยความจำแบนด์วิธสูงรุ่นต่อไป นอกจากนี้ ยังจะส่งเสริมการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (AGI) และเทคโนโลยีความปลอดภัยแห่งอนาคตที่เหนือกว่ารุ่นที่มีอยู่ และตั้งเป้าที่จะทำให้เกาหลีใต้กลายเป็นหนึ่งในสามประเทศชั้นนำในด้านเทคโนโลยี AI รวมถึงชิป และครองส่วนแบ่งในตลาด system semiconductor ทั่วโลกให้ได้ 10% หรือมากกว่าภายในปี 2030

ถัดมา ‘เวียดนาม’ ทุ่มลงทุน 9.6 แสนล้าน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม ฝั่ม มิญ จิ๊ญ นายกฯเวียดนาม เปิดเผยเมื่อวันที่ 16 ก.พ. ว่า เวียดนามเตรียมจัดสรรเม็ดเงินลงทุนภาครัฐราว 657 ล้านล้านดอง (กว่า 9.6 แสนล้านบาท) ในปี 2567 โดยมุ่งเน้นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมเป็นส่วนใหญ่ พร้อมเน้นย้ำว่า เมื่อโครงการด้านการคมนาคมเริ่มดำเนินการแล้ว จะช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์และยกระดับศักยภาพด้านการแข่งขันให้กับองค์กรต่าง ๆ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการพัฒนาด้านอุตสาหกรรม การบริการ และชุมชนเมือง

และอีก 1 ประเทศ ที่มีการลงทุนหลักแสนล้าน ‘มาเลเซีย’ ทุ่มเกือบ 3 แสนล้านขยายท่าเรือใหญ่สุดในประเทศ สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า เวสต์พอร์ทส์ โฮลดิงส์ ผู้ให้บริการท่าเรือรายใหญ่สุดของมาเลเซียกำลังมองหานักลงทุนจากภายนอกเพื่อระดมเงินลงทุนขยายท่าเรือ 8,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 299,539 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ศักยภาพของท่าเรือขยายเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าในอีกหลายสิบปีข้างหน้า

ท่าเรือแห่งนี้เป็นท่าเรือใหญ่อันดับ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การขยับขยายท่าเรือจะเพิ่มศักยภาพเป็น 27 ล้านตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุต จากปัจจุบันอยู่ที่ 14 ล้าน ตลอดอายุสัมปทานซึ่งจะอยู่จนถึงปี 2082

การขยายท่าเรือเวสต์พอร์ทส์สะท้อนความพยายามในการขยายท่าเรือของประเทศเพื่อนบ้านตามแนวช่องแคบมะละกา ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินเรือที่พลุกพล่านที่สุดในโลก

การลงทุนเพื่อให้เกิดการจ้างงาน ดึงต่างชาติมาลงทุน เพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของ 3 ประเทศข้างต้น เปรียบเทียบกับงบประมาณที่รัฐบาลไทย จะทุ่ม 500,000 ล้านบาท ตามนโยบายประชานิยมที่เคยหาเสียงไว้ คุ้มค่าหรือไม่? บางทีอาจเป็นคำถามที่ไม่ต้องการผลลัพธ์เพื่อตอบคำถามนี้ 

เรื่อง: The PALM

'พีระพันธุ์' สร้างระบบน้ำมันสำรอง ช่วย 'ราคาพลังงานไทย' ไม่ผันผวน

(15 เม.ย.67) ผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก 'Kookkai Kookkai' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

สงครามตะวันออกกลาง ประเทศไทยกระทบเต็มๆ

เมื่อวานดูข่าวสถานการณ์ในตะวันออกกลาง จากช่อง อัลจาซีรา ของประเทศกาตาร์ เจอข่าว อิหร่าน ยิงขีปนาวุธ และโดรนติดหัวรบ ใส่อิสราเอล ตอบโต้อิสราเอล

ความก่อนหน้านี้ อิสราเอล ก็เล่นถล่มสถานทูตอิหร่านในอิสราเอล ในประเทศซีเรีย ก่อนนี่นา

แต่ที่วิตกแทน คือ วันนี้เปิดตลาดซื้อขายน้ำมัน นักวิเคราะห์คาดว่า ราคาน้ำมันโลกพุ่งแน่นอน แต่จะไปตกราคาเท่าไรอยู่ที่สถานการณ์

เดาว่าดังนี้...

1.ถ้าอิสราเอล วิเคราะห์ว่าไปถล่มอิหร่านก่อน อิหร่านเอาคืนสมควรแล้ว หยุดตอบโต้ ราคาน้ำมันก็ไม่พุ่ง

2.ถ้าอิสราเอล ตอบโต้อิหร่านคืน รับรองว่าอิหร่าน คงให้กองกำลังใต้ดิน ถล่มอิสราเองยืดเยื้อ ราคาน้ำมันพุ่งกระฉูดแน่นอน

ประเทศไทยเป็นประเทศที่นำเข้าน้ำมัน และก๊าซ คงหนีราคาพุ่งไม่ได้ ประชาชนเดือดร้อน ไม่รอดแน่นอน

ย้อนมานึกถึง นโยบาย รมว.พลังงาน และรองนายก คนปัจจุบัน คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เคยบอกว่าจะทำนโยบาย ยุทธศาสตร์สำรองน้ำมัน เออ!! น่าสนใจดี เพราะดูแล้ว มันก็ไม่ยากอะไร แต่ถ้าทำจริงน่าจะยากหน่อย

หลักคิดของ รมว.พลังงาน เท่าที่ทราบ คือ...

1.เราเป็นผู้นำเข้า ยังไงต้องซื้อราคาที่ผู้ผลิตขาย ข้อนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้

2.ทำยังไงราคาอย่าขึ้นลงผันผวนแบบตลาดหุ้น

3.ยามวิกฤติสงคราม คนไทยต้องมีสำรองใช้อย่างน้อย 90 วัน

4.ประเทศต้องไม่ขาดแคลนน้ำมัน ทั้งเอกชน รัฐ ประชาชน รวมถึงเจ้าหน้าที่ความมั่นคง ทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่สังกัด กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอื่น

วิธีคิดและทำ ของรมว.พลังงาน น่าติดตามทีเดียว ถ้าทำได้ ประเทศรอดจากวิกฤติแน่นอน

วิธีแก้ไขของท่าน คือ...

1.ประเทศไทย ต้องมีน้ำมัน และก๊าซสำรอง เป็นของรัฐเอง อย่างน้อย 90 วัน

2.ปัจจุบัน มีสำรองแล้วจริง แต่เป็นของเอกชนทั้งหมด ประมาณ 25 วัน แต่รัฐไม่มีกฏหมายบังคับใช้ สรุปคือเป็นของเอกชน

3.ปัจจุบัน เวลาขนน้ำมันมาขาย ต้นทุนคือ 30 วันที่แล้ว แต่เวลาขายจริง เป็นไปตามตลาดสิงคโปร์ หรือ เอกชนอยากขาย ไม่ใช่ราคาที่ซื้อมา 30 วันที่แล้ว  ประชาชนเสียเปรียบ แบบโดนมัดมือชก

4. อ้างจากข้อ 3 รมว.พลังงาน จะทำให้ราคาที่ขายให้ประชาชน คือราคาที่ซื้อมาจริง ไม่ขึ้นราคาตามใจชอบ แบบวันต่อวัน แบบตลาดหุ้น

5.แนวคิดท่าน ทำ SPR หรือ Strategic Petroleum Reserve หรือการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ จะมีผลดี คือ ราคาน้ำมันไม่ผันผวน เอกชนเอาเปรียบขึ้นราคาไม่ได้แน่นอน และยามมีภัยสงคราม ประเทศไทยมีน้ำมันสำรองยามฉุกเฉินได้ทันที 3 เดือนเต็ม ซึ่งเป็นระดับเดียวกับมหาอำนาจ อย่าง ญี่ปุ่น, จีน, เกาหลีใต้, รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา เลยทีเดียว

อ้าว!! แบบนี้ น่าเชียร์ การเมืองเอาออกไปก่อน สลิ่ม, แดง, ส้ม, เหลือง ได้ประโยชน์ทุกคน จริงมั้ย?

ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล ประจำวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2567

✨ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล ประจำวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2567

รางวัลที่ 1 : 943598

เลขหน้า 3 ตัว : 729 / 727

เลขท้าย 3 ตัว : 154 / 200

เลขท้าย 2 ตัว : 79

รางวัลข้างเคียงรางวัลที่ 1 : 943597 / 943599

รางวัลที่ 2 : 062259 / 100755 / 297933 / 448213 / 282285

รางวัลที่ 3 : 788457 / 147563 / 018772 / 773313 / 734269 / 454577 / 720144 / 267940 / 595074 / 665998

รางวัลที่ 4 : 133343 / 863195 / 727091 / 194615 / 972561 / 040459 / 514761 / 745069 / 924865 / 101738 / 261565 / 879972 / 666284 / 256511 / 299820 / 882048 / 985476 / 740276 / 911165 / 145541 / 876132 / 397217 / 001228 / 311765 / 095714 / 449523 / 465845 / 971568 / 651025 / 131029 / 300839 / 775119 / 998458 / 419267 / 236113 / 033439 / 579570 / 385255 / 408301 / 719958 / 599692 / 161787 / 721757 / 071875 / 976687 / 705082 / 068452 / 842015 / 616783 / 475389

รางวัลที่ 5 : 646104 / 53413 / 996997 / 556347 / 653726 / 322555 / 236948 / 234248 / 536503 / 616068 / 531320 / 092288 / 692070 / 383482 / 616761 / 019836 / 650707 / 175313 / 081630 / 106078 / 772486 / 936704 / 263801 / 631424 / 549465 / 744261 / 175392 / 209708 / 614633 / 906751 / 008649 / 560631 / 314231 / 271470 / 172715 / 197190 / 769576 / 433446 / 680808 / 299159 / 306461 / 751072 / 182425 / 088983 / 996353 / 411758 / 179497 / 752050 / 277674 / 756546 / 803498 / 129309 / 562888 / 644959 / 193111 / 862993 / 898212 / 598986 / 120489 / 104180 / 116314 / 893211 / 442322 / 106160 /040197 / 087920 / 182825 / 869716 / 454174 / 549714 / 079611 / 732916 / 323067 / 147982 / 063690 / 215548/ 341167 / 949675 / 061659 / 381378 / 957591 / 100329 / 218351 / 737012 / 876637 / 070320 / 622334 / 237941 / 657266 / 342931 / 464986 / 960034 / 851456 / 972601 / 424276 / 045170/ 814109 / 964814 / 690806 / 487179

‘หนุ่มร่วมชาติ’ อายแทนพฤติกรรม 2 สาวจีน หลังกินแล้วหนี เดินทางไปร้านอาหารชื่อดัง รับผิดชอบ!! ขอจ่ายเงินเอง

เมื่อไม่นานมานี้ จากกรณี หญิงสาวชาวจีน 2 คน มากินอาหารร้านดังย่านประชาชื่น กินเสร็จแล้วหนีไม่ยอมจ่ายเงิน โดยเรื่องดังกล่าวมีการพูดถึงอย่างแพร่หลายในโซเชียล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโซเชียลประเทศจีน ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ในพฤติกรรมของ 2 สาวนี้อย่างมากนั้น

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 เม.ย.67 เฟซบุ๊ก About Beef Lava Grill บุฟเฟต์ ปิ้งย่าง เนื้อพรีเมียม ซีฟู๊ด อาหารญี่ปุ่น โดยแอดมินเพจของร้าน ได้โพสต์ข้อความว่า มีพลเมืองดีชาวจีน ได้เดินทางมาที่ร้านแล้ว ขอจ่ายเงินแทน 2 สาว โดยมีเนื้อหาต่อไปนี้

จากเหตุสาวจีน 2 ท่านหนีบิล ไม่ได้ชำระเงินค่าบริการเมื่อวันที่ 12/4/67 เป็นจำนวนเงิน 2,696 บ. ได้มีพลเมืองดีชาวจีนเดินทางมาที่ร้านเพื่อชำระเงินแทน 2 ท่านนั้น

พี่ท่านนี้สามารถพูดไทยได้นิดหน่อย ได้กล่าวว่าเหตุการณ์นี้ได้โด่งดังไปทั่วในโซเชียลของประเทศจีน และเปิดให้ทางร้านได้ดูมีการกล่าวถึงและวิพากษ์วิจารณ์ในพฤติกรรมนี้ เขากล่าวว่า รู้สึกเสียใจและอับอายกับพฤติกรรมที่นักท่องเที่ยว 2 ท่านนั้นได้ทำและเห็นใจทางร้าน #จึงขออาสาชำระค่าใช้จ่ายให้

กราบขอบพระคุณ ชาวโซเชียลทุกท่าน และสื่อต่าง ๆ ที่ได้ให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
จึงทำให้เรื่องนี้เป็นที่พูดถึงในโซเชียลที่จีน

ทางร้านหวังว่านักท่องเที่ยวส่วนน้อยที่มีพฤติกรรมแบบนี้ จะคิดถึงผลกระทบที่เขาจะได้รับ
จากชาวโซเชียลที่ช่วยกันตีแผ่เรื่องนี้และไม่กล้าทำอีกหวังว่าเพื่อนผู้ประกอบการที่หาเช้ากินค่ำ
ก็จะไม่ต้องมาเจอแบบนี้กันอีก ขอบพระคุณทุกท่านมาก ๆ ครับ

ปล. ในรูปนี่ไอ้แว่นนะ เจ้าของร้าน
แอดจะหล่อกว่านี้หน่อย ไม่อยากจะโม้

'รมว.ปุ้ย' ยัน!! ต้องขนย้ายกากแคดเมียมให้จบภายใน 36 วัน เคาะดีเดย์ 7 พ.ค. พร้อมกำชับ!! ต้องปลอดภัยทุกขั้นตอน

เมื่อไม่นานมานี้ นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รายงานถึงผลการประชุมของ คณะกรรมการอำนวยการขนย้ายกากแคดเมียมและกากสังกะสี ว่าได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาแผนการขนย้ายกากแคดเมียมของบริษัท เบาด์ แอนด์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ที่ได้ปรับปรุงมาใหม่ โดยบริษัทฯ ตอบรับการเพิ่มจำนวนรถบรรทุกจาก 10 คัน เป็น 30 คัน ตามที่คณะกรรมการฯ แจ้ง เพื่อให้สามารถขนย้ายกากแคดเมียมได้ถึง 450 ตันต่อวัน และลดระยะเวลาในการขนย้ายทั้งหมดจากเดิมที่ใช้เวลา 92 วัน ลงเหลือ 36 วัน โดยจะเริ่มทำการเคลื่อนย้ายกากจากพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร กรุงเทพฯ และชลบุรี ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2567 หลังจากที่ทำการเตรียมความพร้อมของบ่อฝังกลบ และทำความเข้าใจให้ประชาชนรอบโรงงานที่จังหวัดตาก เรียบร้อยแล้ว

นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าวว่า สำหรับการเตรียมความพร้อมบ่อฝังกลบ กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ จะส่งทีมเจ้าหน้าที่ลงตรวจสอบความแข็งแรงปลอดภัยของบ่อร่วมกับโยธาธิการจังหวัดและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในวันนี้ (17 เม.ย.) โดยจะตรวจสอบพื้นบ่อที่ปูด้วยแผ่นพลาสติก HDPE หนา 1.5 มม. จำนวน 2 ชั้น ว่าอยู่ในสภาพที่ดีไม่มีการฉีกขาด สามารถป้องกันการรั่วไหลของกากได้ รวมทั้งตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของพื้นปูนและขอบบ่อในภาพรวม หากไม่มั่นคงแข็งแรง ก็จะสั่งการให้มีการปรับปรุงให้เรียบร้อยโดยเร็ว  

ทั้งนี้ ในระหว่างการฝังกลบกากแคดเมียม จะต้องมีการสเปรย์น้ำที่บ่อฝังกลบระหว่างเคลื่อนย้ายกากลงหลุมเพื่อกันการแพร่กระจายของฝุ่นผง และการปรับเสถียรในบ่อฝังกลบ เมื่อทำการนำกากลงบ่อจนหมดแล้ว จะทำการเกลี่ยกากในบ่อให้เรียบแล้วทำการเททราย จากนั้นปูทับด้วยพลาสติก HDPE อีกชั้น ก่อนที่จะเทคอนกรีตเสริมเหล็กปิดบ่อเป็นขั้นตอนสุดท้าย

นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ได้ขอให้บริษัทฯ เพิ่มมาตรการป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมในการขนส่งตั้งแต่ ต้นทาง ระหว่างทาง และปลายทาง การจัดหาถุง Big Bag เพื่อทำการสวมทับถุงเดิมอีกชั้นหนึ่ง (Double Bag) ก่อนการขนส่งเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีการรั่วหรือฟุ้งกระจายของกากในระหว่างการขนส่ง รวมถึงขอให้เพิ่มกระบวนการตรวจสอบผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหลังเสร็จสิ้นการปิดหลุมฝังกลบแล้ว โดยตรวจติดตามคุณสมบัติน้ำใต้ดินจากบ่อสังเกตการณ์ (Monitoring Well) รอบพื้นที่ทุก ๆ 3 เดือน เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการรั่วไหลของกากแคดเมียมหรือมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมภายหลังเสร็จสิ้นการดำเนินการอย่างแท้จริง โดยหลังจากบริษัทฯ ได้ส่งแผนฉบับแก้ไขมาให้กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะทำงานชุดใหญ่แล้ว กระทรวงจะร่วมกับบริษัทฯ ในการทำความเข้าใจกับประชาชนโดยรอบโรงงาน ถึงวิธีการขนย้าย และมาตรการความปลอดภัยทั้งหมด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับชุมชน 

รมว.อุตสาหกรรม เผยว่า ทางคณะกรรมการฯ ได้มีการชี้แจงแผนการขนย้ายกากแคดเมียมให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั้ง 3 พื้นที่ (สมุทรสาคร, ตาก และ ชลบุรี) รวมถึงประเด็นการปรับปรุงคำสั่งทางปกครองของอุตสาหกรรมจังหวัดที่จะต้องสอดคล้องกับแผนการขนย้าย และการประสานกับ บก.ปทส. ในเรื่องการโอนของกลาง (กากแคดเมียมที่ได้ยัดอายัด และทำการตรวจนับแล้ว) ให้กระทรวงอุตสาหกรรม ดำเนินการต่อไป

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มอบฝ่ายเลขาจัดเตรียมข้อมูลทั้งหมด เพื่อนำเสนอต่อคณะทำงานชุดใหญ่ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจาก 6 กระทรวง โดยมีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน 

‘อ.เดชา’ บอก!! ต้องเกาะติดละคร VVIP ‘ทักษิณ-เศรษฐา-บิ๊กแดง’ ส่อใกล้จะจบ

(17 เม.ย.67) นายเดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ เจ้าของสูตรน้ำมันกัญชา (ตำรับหมอเดชา) โพสต์ภาพ พร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ดังนี้...

คนที่ได้เห็น​ภาพที่มีผู้โพสต์​วันนี้​ (นำมาลงให้ดูด้านล่างนี้แล้ว​ ทั้งสองภาพ)​ คงรู้สึกสับสน

ภาพด้านล่างซ้าย​ เป็นภาพนายกรัฐมนตรี​ (เศรษฐา​ ทวีสิน)​ กับคุณ​ทักษิณ​ ชินวัตร

ถ้าผมจำไม่ผิด​ คุณ​ทักษิณ​ ชินวัตร​ ยังเป็นนักโทษ​ชาย​ ที่อยู่ระหว่างการพักโทษ​อยู่ แต่นายกรัฐมนตรี (ตามกฎหมาย)​ กลับเข้าไปกราบขอพร​ และเรียกว่า​ “ท่านนายกฯ”

ยิ่งกว่านั้น​ ยังนำมาโพสต์​อย่างเป็นทางการ​ ในชื่อตนเอง​ อย่างเปิดเผยเสียอีกด้วย ทำให้เกิดความสงสัยว่า​ ในทาง ‘พฤตินัย’ นั้น​ ประเทศไทย​ปัจจุบัน​ ใครคือนายกรัฐมนตรี

เพราะในทาง​ ‘นิตินัย’ นั้น​ รู้อยู่แล้วว่าชื่อ​ นายเศรษฐา​ ทวีสิน​ ที่เข้าไปกราบขอพรในภาพ

สงสัยว่า ‘พร’ ที่เข้าไปขอนั้น​ คือขอให้ได้อยู่ในตำแหน่งนายกฯ (นิตินัย) ​ต่อไปอีก​ ใช่หรือไม่

ส่วนภาพด้านล่างขวา เป็นท่าทีของ ‘บิ๊ก​แดง’ (พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์)​ ที่มีต่อคุณ​ทักษิณ ซึ่งอาจตรงกับใจคนไทยหลายคน​ คือ ต้องการให้คุณ​ทักษิณ​ฯ​ ออกไปจากประเทศไทย

ปัญหา​ก็คือ​ ขณะนี้​ คุณ​ทักษิณ​ฯ​ ยังมีฐานะเป็นนักโทษ ​(ที่อยู่ระหว่างการพักโทษ)​ อยู่ การจะเดินทางไปไหน​ ต้องขออนุญาต​กรมราชทัณฑ์​ เสียก่อน​ (ทั้งในและต่างประเทศ) เรื่องนี้คงต้องรอดูสักพัก​ ว่าจะดำเนินต่อไปอย่างไร​ ซึ่งคงใช้เวลาไม่นานนัก ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่​อย่างพวกเรา​ ก็คงทำได้แค่เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวต่อไป

ก็ให้คิดว่า​ กำลังดูละครที่สนุกสนาน​ เนื้อเรื่องซับซ้อน​ซ่อนเงื่อน​ มีตัวแสดงนำ​ ระดับ​ VVIP

ที่สำคัญ​คือ​ ได้ดูฟรีต่อเนื่องมาหลายเดือนแล้ว​ ยังไม่ถึงตอนจบง่าย ๆ​ เดาตอนจบยังไม่ได้ ก็ขอให้ทนดูกันอีกสักพัก​ เพราะคงจะเริ่มเห็นเค้าลางบางอย่างขึ้นมาบ้างแล้ว​ ว่าใกล้จะจบ

แต่จะจบอย่างไร​ ก็ต้องรอดูจนถึงตอนนั้น... เพราะถ้ารู้เรื่องตอนจบก่อน...คงหมดสนุก

'เศรษฐา' เปิดทำเนียบฯ ต้อนรับนายกฯ นิวซีแลนด์ หารือ 8 ข้อตกลง  ตั้งเป้าหมายเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันเป็นสามเท่าภายในปี 2588

(17 เม.ย.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้การต้อนรับนายคริสโตเฟอร์ ลักซอน นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล ที่ทำเนียบรัฐบาล

โดยทันทีที่มาถึงนายกรัฐมนตรีได้นำนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ ตรวจแถวกองทหารเกียรติยศผสม ณ บริเวณสนามหญ้า หน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ก่อนที่นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ ลงนามในสมุดเยี่ยมและชมของที่ระลึกที่ด้านนอกห้องสีงาช้าง จากนั้นมีการหารือข้อราชการด้านในห้องสีงาช้าง 

จากนั้นนายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ หารือร่วมภาครัฐ-เอกชน ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล ก่อนที่จะเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความตกลง และแลกเปลี่ยนบันทึกความเข้าใจ พร้อมทั้งแถลงข่าวร่วม ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) และเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ 

โดยประเด็นสำคัญภายใต้ร่างถ้อยแถลงร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ ได้แก่...

1. การประกาศเป้าหมายการยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกันในปี 2569
2. การประกาศความคืบหน้า ของแผนความร่วมมือกลาโหมนิวซีแลนด์-ไทย 
3. การประกาศเป้าหมายเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันเป็นสามเท่าภายในปี 2588 
4. การส่งเสริมความร่วมมือ ด้านพลังงานหมุนเวียนเพื่อลดการใช้พลังงานฟอสซิลและรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  
5. เร่งรัดการหารือความตกลงด้านความร่วมมือด้านวัฒนธรรม 
6. ความร่วมมือด้านการศึกษาและการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกันเพื่อเพิ่มพูนความสัมพันธ์ระดับประชาชน
7. ความร่วมมือในระดับภูมิภาคโดยเฉพาะในกรอบอาเซียน รวมทั้งในลุ่มแม่น้ำโขงผ่านสถาบันความร่วมมือ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง และกรอบยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง 
8. การหารือเกี่ยวกับประเด็นในภูมิภาคและระหว่างประเทศต่าง ๆ อาทิ สถานการณ์ในเมียนมา ความขัดแย้งยูเครน-รัสเซีย ความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์ และข้อพิพาทในทะเลจีนใต้

เมื่อการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่าง 'อินโดนีเซีย' กับ 'อิสราเอล' อาจจะเป็น 'การฆ่าตัวตายทางการเมือง' ของรัฐบาลจาการ์ตาในบัดดล

"ประเทศสมาชิก ASEAN 3 ชาติได้แก่ อินโดนีเซีย, มาเลเซีย และบรูไน ซึ่งมีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามล้วน แต่ไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอลเลย ขณะที่อินโดนีเซียได้ออกมาปฏิเสธรายงานที่ว่า รัฐบาลอินโดนีเซียต้องการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอลเพื่อสิทธิในการเข้าเป็นชาติสมาชิกขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ Organization for Economic Co-operation and Development (OECD) นั่นก็เพราะการกระทำเช่นนี้ในระหว่างสงครามอันโหดร้ายในฉนวนกาซา จะทำให้เกิด 'ความวุ่นวายและคลื่นแห่งความไม่เห็นด้วย' ในประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลก" ผู้สังเกตการณ์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศรายหนึ่งระบุพร้อมเผยอีกว่า…

หากมีการเคลื่อนไหวดังกล่าวจริงจะถือเป็น ‘การฆ่าตัวตายทางการเมือง’ แม้ข้อตกลงที่อินโดนีเซียต้องรับรู้และสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอลอย่างเป็นทางการ ก่อนการลงมติให้อินโดนีเซียเข้าเป็นสมาชิกขององค์การแห่งนี้ ซึ่งมีสมาชิก 38 ประเทศรวมทั้งอิสราเอล จะได้รับการเผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วโดยเว็บไซต์ข่าว Ynet ของอิสราเอล

สำหรับ OECD เป็นองค์กรระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว และยอมรับระบอบประชาธิปไตยและเศรษฐกิจการค้าเสรีในการร่วมกันและพัฒนาเศรษฐกิจของภูมิภาคยุโรปและโลก 

แต่เดิมองค์กรนี้ได้ถูกก่อตั้งขึ้นในนาม องค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจของยุโรป หรือ โออีอีซี (Organization for European Economic Co-operation: OEEC) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 16 เมษายน 1948 ในช่วงสมัยสงครามเย็น วัตถุประสงค์คือ เพื่อร่วมมือกันฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจของประเทศยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้กลับคืนมาและคงไว้อย่างมั่นคงตามแนวทางเศรษฐกิจทุนนิยมโดยแผนการมาร์แชลล์ 

โดยบทบาทหลักของ OECD คือการปรับปรุงเศรษฐกิจโลกและส่งเสริมการค้าโลก เป็นทางออกสำหรับรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ในการทำงานร่วมกันเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน ซึ่งรวมถึงการทำงานร่วมกับประเทศประชาธิปไตยที่มีความมุ่งมั่นร่วมกันในการปรับปรุงเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ที่ดีของประชากร

อย่างไรก็ตาม การ 'พูดถึง' การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอล ไม่ว่าจะจากรัฐหรือนักการเมืองอินโดนีเซียคนใดก็ตาม "จะเป็นการฆ่าตัวตายทางการเมืองทันที" ซึ่งนี่ก็เป็นคำกล่าวของ Dina Sulaiman นักวิชาการผู้ก่อตั้งศูนย์ศึกษาตะวันออกกลางของอินโดนีเซียที่มองว่า “ประชาชนชาวอินโดนีเซียส่วนใหญ่ยังคงให้การสนับสนุนชาวปาเลสไตน์” ระหว่างที่เธอบอกกับ This Week in Asia

แน่นอนว่า หากประเทศใดต้องการเข้าร่วมเป็นชาติสมาชิกของ OECD ประเทศผู้สมัครจะต้องได้รับการอนุมัติจากชาติสมาชิกปัจจุบันทั้งหมด ซึ่งนั่นก็รวมถึงชาติอย่างอิสราเอลด้วย 

"ประเทศผู้สมัครที่จะได้รับการยอมรับต้องแสดงให้เห็นถึง ความคิดที่เหมือนกันทั้งคำพูดและการปฏิบัติในความสัมพันธ์กับองค์กรและชาติสมาชิกตามแผนงานเพื่อเข้าสู่การเป็นสมาชิกขององค์กรแห่งนี้" นี่คือรายงานของ Ynet ซึ่งอ้างถึงจดหมายที่ Mathias Cormann เลขาธิการ OECD ระบุไว้เมื่อเดือนที่แล้วถึง Israel Katz รัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอล โดยเผยว่า "OECD ตัดสินใจยึดหลักการขององค์กรในการเห็นพ้องอย่างเป็นทางการต่อเงื่อนไขเบื้องต้นที่ชัดเจนและปฏิบัติตาม ซึ่งอินโดนีเซียจะต้องสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศสมาชิก OECD ทั้งหมด ก่อนที่จะมีการตัดสินใจใดๆ ที่จะยอมรับการสมัครเป็นชาติสมาชิกของ OECD”

รายงานยังอ้างถึงจดหมายที่ระบุว่า Katz ได้ส่งถึง Cormann โดนเผยอีกว่า "เขาคาดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก จาก 'นโยบายที่ไม่เป็นมิตร' ของอินโดนีเซียต่ออิสราเอล เพื่อที่ทั้งสองจะได้กระชับความสัมพันธ์" 

รายงานอ้างสิทธิ์ด้วยว่า อินโดนีเซียจะเข้าร่วม OECD ได้นานถึง 3 ปี หากยอมรับในความสัมพันธ์ดังกล่าวกับอิสราเอล แต่อินโดนีเซียก็ปฏิเสธรายงานดังกล่าว โดย Lalu Muhammad Iqbal โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า "เราไม่มีแผนที่จะเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอล โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังความโหดร้ายของอิสราเอลในฉนวนกาซา"

Lalu ระบุว่า "จุดยืนของอินโดนีเซียไม่เปลี่ยนแปลง และเรายังคงสนับสนุนเอกราชของปาเลสไตน์อย่างมั่นคงภายใต้กรอบของการแก้ปัญหาสองรัฐ อินโดนีเซียจะมีความสม่ำเสมอและอยู่ในแนวหน้าในการปกป้องสิทธิของชาวปาเลสไตน์เสมอ" 

Lalu กล่าวอีกว่า "อินโดนีเซียอาจต้องใช้เวลา 'ค่อนข้างนาน' ในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ OECD" แต่ทั้งนึ้ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่า จาการ์ตาวางแผนที่จะปรับ Roadmap การเข้าเป็นสมาชิกขององค์กรแห่งนี้ภายในเดือนหน้าเช่นกัน

ทั้งนี้ หากย้อนไปในการประชุมเอกอัครรัฐทูต OECD เมื่อเดือนมกราคม มีรายงานว่าอิสราเอลคัดค้านอินโดนีเซียที่เข้าร่วมองค์กร เนื่องจากไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ และ รัฐบาลจาร์ตารู้ดีว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสถาปนาความสัมพันธ์ความสัมพันธ์ปกติกับอิสราเอลในขณะนี้ เมื่อพิจารณาจากความรู้สึกของสาธารณชนท่ามกลางสงครามนองเลือดในฉนวนกาซา ที่มีรายงานชาวปาเลสไตน์มากกว่า 33,000 คนเสียชีวิต

"ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ความรู้สึกของสาธารณชนชาวอินโดฯ กลับมาสนับสนุนชาวปาเลสไตน์อย่างมาก เนื่องจากผู้คนมีความกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซา" สุไลมาน แห่งศูนย์ศึกษาตะวันออกกลางแห่งอินโดนีเซียกล่าว

การทำข้อตกลง Abraham ที่สหรัฐฯ เป็นตัวกลางให้อิสราเอลกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และบาห์เรน 
ในปี 2020

ขณะที่การสำรวจโดยสถาบัน ISEAS-Yusof Ishak ของสิงคโปร์ที่เผยแพร่เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ก็สำทับชัดมุมมองของ สุไลมาน โดยพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามชาวอินโดนีเซียร้อยละ 74.7 มองว่าสงครามอิสราเอล-กาซาเป็นปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์อันดับต้นๆ ของพวกเขา และเกือบร้อยละ 80 ของผู้ตอบแบบสอบถามกังวลว่า การโจมตีฉนวนกาซารุนแรงจนเกินไปแล้ว 

อย่างไรก็ตาม อิสราเอลยังมีแนวโน้มที่จะดำเนินการฟื้นฟูทางการทูตกับอินโดนีเซีย เพื่อสร้างมาตรฐานตามแนวทางในข้อตกลง Abraham ซึ่งเป็นข้อตกลงที่สหรัฐฯ เป็นตัวกลางแบบที่อิสราเอลได้ทำกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บาห์เรน และประเทศอาหรับอื่นๆ ตั้งแต่ปี 2020 ผ่านความสัมพันธ์ด้านอื่นๆ ที่ไม่เป็นทางการ เช่น เครื่องบินรบ A-4 Skyhawk ของกองทัพอากาศอินโดนีเซียที่ซื้อจากกองทัพอากาศอิสราเอลระหว่างปี 1979-1982 พร้อมทั้งมีการฝึกนักบินอินโดนีเซียที่ฐานทัพอากาศของอิสราเอลในช่วงเวลาเดียวกัน

เครื่องบินรบ A-4 Skyhawk ของกองทัพอากาศอินโดนีเซียที่ซื้อจากกองทัพอากาศอิสราเอล

สำหรับเป้าหมายของอิสราเอลที่ต้องการสถาปนาความสัมพันธ์กับอินโดฯ ในครั้งนี้ เชื่อว่าจะเป็นสะพานสำคัญในการขยายการทูตไปยังประเทศอื่นๆ ที่มีชาวมุสลิมส่วนใหญ่ในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย, ปากีสถาน และบังคลาเทศ ตามมุมมองของ Siti Mutiah Setiawati อาจารย์ด้านธรรมาภิบาลและการเมืองในตะวันออกกลาง และ OECD จะเป็นแม่เหล็กที่ทำให้อินโดนีเซียต้องตัดสินใจ แม้ใน

ทว่าในปัจจุบันก็ยังไม่มีประธานาธิบดีอินโดนีเซียคนใดกล้าเสนอให้เปิดความสัมพันธ์ทางการทูตตามปกติกับอิสราเอลเลย แม้แต่ Jokowi Widodo

สำหรับ ASEAN นั้น ยังไม่มีประเทศใดมีสถานภาพเป็นสมาชิกของ OECD เลย โดยอินโดนีเซียมีสถานภาพเป็นประเทศหุ้นส่วน/พันธมิตรที่เข้าร่วม (Participating Partners) และอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าเป็นสมาชิก (Negotiating Membership) 

ด้านประเทศไทยเองก็มีสถานภาพเป็นประเทศที่แสดงความสนใจที่จะเป็นสมาชิก (Expressed interest) 

ส่วนประเทศในทวีปเอเชียที่มีสถานะเป็นสมาชิกแล้วได้แก่ ญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ ขณะที่ อินเดีย และ จีน มีสถานภาพเป็นประเทศหุ้นส่วน/พันธมิตรที่เข้าร่วม (Participating Partners) เช่นเดียวกับ อินโดนีเซีย

ชื่นชม!! ‘จนท.ไทย’ รุดช่วยเหลือ ‘เด็กฝรั่ง’ พลัดหลงกับพ่อขณะเล่นน้ำ ด้านชาวเน็ต บอก!! นี่แหละ Soft Power ที่ยิ่งใหญ่ของไทยอย่างแท้จริง

(17 เม.ย.67) เป็นคลิปไวรัลช่วงสงกรานต์ที่ทำเอาใจฟูไปทั้งโซเชียล หลังหนูน้อยชาวต่างชาติพลัดหลงกับพ่อ และได้เดินร้องไห้มาที่จุดปฐมพยาบาล เหล่าเจ้าหน้าที่ไทยได้รีบช่วยเหลือ จนในที่สุดพ่อของหนูน้อยก็ตามมาเจอ พร้อมกับเอ่ยขอบคุณไม่หยุด และบอกว่า “เขารักเมืองไทยและซาบซึ้งกับน้ำใจของคนไทยมาก!”

โดยคลิปดังกล่าวถูกโพสต์จาก TikTok ช่อง @memustation ที่เป็นสมาชิกอาสาสมัครที่อยู่ในจุดปฐมพยาบาลวชิรพยาบาล (ฐาน 46-00) ร่วมกับศูนย์บรรเทาสาธารณภัยภูมินทร์ ที่ตั้งในงานสงกรานต์ที่สีลม

ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 เม.ย.67 ช่วงเวลาประมาณ 16.00 น. ได้มีเด็กสาวต่างชาติเดินร้องไห้และมีอาการหนาวสั่นมาคนเดียว จากการสอบถามทราบว่าหนูน้อยชื่อ ลอร่า อายุ 10 ขวบ เป็นชาวฝรั่งเศส พลัดหลงกับพ่อระหว่างเดินเล่นน้ำ

ทางเจ้าหน้าที่จึงนำมาห่มฟลอยด์มาห่มให้น้องคลายหนาว ก่อนจะช่วยกันประสานงานทางวิทยุทุกช่องทุกข่าย ส่งทุกกลุ่มไลน์ที่จะประสานได้

จนในที่สุดมีชายชาวต่างชาติวิ่งเข้ามาและตะโกนว่า “my daughter” และทั้งคู่ก็โผเข้ากอดกันแน่น และพ่อของเด็กก็รีบยกมือไหว้ขอบคุณ พร้อมบอกว่าเขารักเมืองไทย และขอขอบคุณที่ช่วยให้เขาเจอลูก เขาซึ้งใจในน้ำใจของคนไทย

ซึ่งคลิปนี้ทำเอาผู้ได้ชมใจฟูและยิ้มกว้างไปกับพวกเขาด้วย โดยชาวเน็ตต่างพากันชื่นชมการทำงานของเจ้าหน้าที่ และบอกว่า ”นี่แหละคือ soft power ของคนไทยที่แท้จริง!”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top