Wednesday, 1 May 2024
NewsFeed

‘EGCO Group’ มีมติแต่งตั้ง ‘จิราพร ศิริคำ’  นั่ง ‘กรรมการผู้จัดการใหญ่’ มีผล 1 พ.ค. 67

บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group ประกาศแต่งตั้ง ดร.จิราพร ศิริคำ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ กรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการชุดย่อย ได้แก่ กรรมการลงทุน กรรมการกำกับความเสี่ยง และกรรมการกำกับดูแลกิจการและความยั่งยืน แทนนายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ที่ไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป การแต่งตั้งดังกล่าวเป็นไปตามมติของคณะกรรมการบริษัท ในการประชุมครั้งที่ 5/2567 เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา

ดร.จิราพร ศิริคำ มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจไฟฟ้าและนวัตกรรมพลังงาน ตลอดจนการวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจมาอย่างยาวนาน เคยดำรงตำแหน่ง รักษาการผู้ว่าการ กฟผ. และได้ดำรงตำแหน่งกรรมการ EGCO Group มาตั้งแต่ปี 2565 ทำให้มีความพร้อมในการดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ ตลอดจนมีความเข้าใจในทิศทาง การดำเนินธุรกิจของ EGCO Group และเป็นผู้มีส่วนร่วมในโครงการเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ ซึ่งจะช่วยผลักดันการเติบโตของ EGCO Group อย่างต่อเนื่อง 

ดร.จิราพร จะสานต่อการดำเนินธุรกิจของ EGCO Group ตามทิศทาง ‘Cleaner, Smarter and Stronger to drive sustainable growth’ โดยมุ่งเน้นการลงทุนและเดินเครื่องโรงไฟฟ้าคุณภาพสูงที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งสนับสนุนเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานไปสู่การใช้พลังงานสะอาด รวมทั้งการขยาย Portfolio พลังงานหมุนเวียนให้เพิ่มขึ้นเป็น 30% ภายในปี 2573 โดยมีความได้เปรียบจากการมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งใน 8 ประเทศที่มีฐานทางธุรกิจอยู่แล้ว ตลอดจนการบริหารโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ในปัจจุบันกว่า 40 แห่ง รวมทั้งธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่องให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

ดร.จิราพร เคยดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าการธุรกิจเกี่ยวเนื่อง กฟผ. และก่อนหน้านั้น ดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ ทำหน้าที่โฆษก กฟผ. ดร.จิราพร สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก วิศวกรรมศาสตร์ (Industrial Engineering and Management) และปริญญาโท วิศวกรรมศาสตร์ (Energy Planning and Policy) จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (The Asian Institute of Technology - AIT) และปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตร์ (วิศวกรรมอุตสาหการ) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น รวมทั้งยังผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงจากสถาบันชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศมากมาย

‘บีโอไอ’ เผย!! ‘จีน’ สนใจลงทุนผลิตเซลล์แบตฯ อีวีในไทย คาด!! ปลายปี 67 ตอบรับ 2 ราย เงินลงทุนกว่า 3 หมื่น ลบ.

เมื่อไม่นานมานี้ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า จากการนำคณะเดินทางไปพบกับผู้บริหารของบริษัทผลิตแบตเตอรี่ชั้นนำระดับโลกจากจีน 7 ราย ได้แก่ CATL, CALB, IBT, Eve Energy, Gotion High-tech, Sunwoda และ SVOLT Energy Technology ระหว่างวันที่ 7-10 เมษายน 2567 ณ มณฑลฝูเจี้ยน และมณฑลกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน พบว่า ทุกบริษัทมองเห็นโอกาสทางธุรกิจในไทย และให้ความสนใจอย่างมากต่อ ‘มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงาน’ ที่บีโอไอเพิ่งออกมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ เพื่อดึงให้ผู้ผลิตระดับโลกเข้ามาตั้งฐานผลิตเซลล์แบตเตอรี่ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำที่ใช้เทคโนโลยีและองค์ความรู้ ด้านเคมีและวัสดุศาสตร์ขั้นสูง ใช้เงินลงทุนสูง และเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า

โดยมาตรการนี้จะให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ลงทุนหลายด้านที่สำคัญต่อการตัดสินใจลงทุน ทั้งการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล การยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบ และเงินสนับสนุนจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถ ในการแข่งขันฯ เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายบางส่วนในการลงทุน การวิจัยและพัฒนา และการพัฒนาบุคลากร  

ผู้ผลิตแบตเตอรี่ทั้ง 7 ราย มองว่าประเทศไทยมีจุดแข็งหลายด้าน โดยเฉพาะการที่รัฐบาล
มีนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่ชัดเจนและต่อเนื่อง จะทำให้มีความต้องการใช้เซลล์แบตเตอรี่จำนวนมากในอนาคต จะเห็นได้จากตลาดยานยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ทั้งรถยนต์ BEV, PHEV และ HEV อีกทั้งภาครัฐมีมาตรการสนับสนุนครอบคลุมยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์นั่งรถกระบะ ไปจนถึงรถบัส รถบรรทุก และเรือไฟฟ้า ซึ่งจำเป็นต้องใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่เป็นส่วนประกอบ 

นอกจากนี้ อุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียนที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ความต้องการใช้แบตเตอรี่สำหรับระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System: ESS) เพิ่มสูงขึ้นมากในอนาคต ประกอบกับประเทศไทยมีความพร้อมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน พื้นที่รองรับการลงทุน บุคลากร และมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ ผู้ผลิตแบตเตอรี่จึงมองเห็นโอกาสที่จะเข้ามาผลิตเซลล์แบตเตอรี่ในประเทศไทย และบางรายจะผลิตต่อเนื่องไปถึงขั้นปลายคือ โมดูลและแพ็ค 

ภายในปีนี้ คาดว่าผู้ผลิตรายใหญ่อย่างน้อย 2 ราย จะมีความชัดเจนในการเข้ามาลงทุนผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ในไทย โดยแต่ละรายจะมีขนาดกำลังการผลิตในเฟสแรกประมาณ 6-10 GWh มูลค่าเงินลงทุนเฟสแรกรวมกันกว่า 30,000 ล้านบาท 

สำหรับรายอื่น ๆ บางส่วนกำลังเจรจาธุรกิจกับผู้ร่วมทุนฝั่งไทย และบางรายอยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม เนื่องจากเดิมวางแผนลงทุนผลิตเฉพาะโมดูลและแพ็ค แต่เมื่อทราบว่าประเทศไทยออกมาตรการพิเศษเพื่อส่งเสริมการผลิตเซลล์ จึงให้ความสนใจและจะพิจารณาแผนการลงทุนใหม่ ซึ่งบีโอไอจะติดตามอย่างใกล้ชิด

“ที่ผ่านมาประเทศไทยประสบความสำเร็จในการดึงการลงทุนจากบริษัทผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้าให้เข้ามาสร้างฐานการผลิตในประเทศ แต่การผลักดันให้ไทยเป็นฐานยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร แบตเตอรี่ถือเป็นหัวใจสำคัญ โดยเฉพาะเซลล์ซึ่งเป็นวัตถุดิบต้นน้ำของแบตเตอรี่ และเป็นตัวกำหนดประสิทธิภาพและระยะทางวิ่งของรถยนต์ไฟฟ้า จากการตอบรับอย่างดีของผู้ผลิตเซลล์แบตเตอรี่ครั้งนี้ เชื่อว่าภายใน 2 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีโรงงานผลิตเซลล์แบตเตอรี่ขนาดใหญ่เกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะช่วยเติมเต็มซัพพลายเชนและทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในไทยมีฐานที่มั่นคงในระยะยาว” นายนฤตม์กล่าว 

ปัจจุบันประเทศจีนเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ของโลก ผู้ผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์จากจีนมีส่วนแบ่งตลาดรวมกันกว่าร้อยละ 60 โดย CATL มีส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่ง ด้วยสัดส่วนถึงร้อยละ 37 บริษัทเหล่านี้มิได้ผลิตแบตเตอรี่ป้อนให้กับค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจีนเท่านั้น แต่ล้วนมีเครือข่ายระดับโลก และผลิตป้อนให้กับค่ายรถยนต์ชั้นนำทั่วโลกด้วย เช่น CATL ผลิตแบตเตอรี่ให้กับ Tesla, Ford, BMW, Mercedes-Benz, Volkswagen, Kia และเป็นพันธมิตรกับ Toyota 

ขณะที่ Gotion มี Volkswagen เข้าไปถือหุ้นใหญ่ เพื่อร่วมกันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ในอนาคต ส่วน EVE Energy ผลิตป้อนให้กับ BMW และ SVOLT มีลูกค้าเป็นแบรนด์รถยนต์ชั้นนำ เช่น BMW และ Stellantis สำหรับ Sunwoda ก็ผลิตแบตเตอรี่ให้กับแบรนด์ชั้นนำจากหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น Renault, Nissan, Volkswagen, Volvo

บริษัทเหล่านี้อยู่ในห้วงเวลาที่กำลังพิจารณาขยายฐานการผลิตออกนอกประเทศจีน เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากทั่วโลก รวมทั้งลดความเสี่ยงจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างขั้วมหาอำนาจที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ซึ่งผู้ผลิตบางส่วนได้เริ่มลงทุนสร้างโรงงานแบตเตอรี่ในโซนยุโรป และสหรัฐอเมริกาแล้ว เป้าหมายต่อไปคือ ภูมิภาคอาเซียน ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องเร่งดึงการลงทุนและสร้างความร่วมมือกับบริษัทกลุ่มนี้โดยเร็วที่สุด 

‘ผู้บริโภคจีน’ เปิดหลากปัจจัยทำไม 'ทุเรียนไทย' ครองใจในตลาดจีน เหตุ ‘คุณภาพเยี่ยม-ห่วงโซ่อุปทานได้เปรียบ-ความสัมพันธ์ฉันท์มิตรสองประเทศ’

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ยามฤดูเก็บเกี่ยวและจำหน่าย ‘ราชาแห่งผลไม้’ อย่างทุเรียนเวียนมาถึง ทุเรียนจากกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะทยอยเข้าสู่ตลาดจีนอย่างต่อเนื่อง โดยรสชาติที่อร่อยและกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ทุเรียนเป็นที่รู้จักและชื่นชอบของผู้บริโภคชาวจีนเพิ่มขึ้น กลายเป็นหนึ่งในผลไม้ตัวเลือกของหลายครอบครัวชาวจีน

‘ไทย’ ถือเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตและส่งออกทุเรียนแห่งสำคัญของโลก แต่ละปีส่งออกทุเรียนสู่จีนเป็นปริมาณมาก โดยปริมาณการส่งออกทุเรียนของไทยสู่จีนในปี 2023 เพิ่มขึ้นร้อยละ 81.7 เมื่อเทียบปีต่อปี และทุเรียนที่ส่งออกสู่จีนคิดเป็นร้อยละ 70 ของการส่งออกทุเรียนทั้งหมดของไทย ขณะความนิยมทุเรียนในจีนเพิ่มขึ้นไม่หยุดและความต้องการของตลาดยังคงแข็งแกร่งในปี 2024

"ทุเรียนไทยอร่อยและมีกลิ่นหอมมาก แต่ละปีครอบครัวต้องซื้อทุเรียนหมอนทองของไทยมารับประทานกัน โดยตอนนี้นอกจากทุเรียนไทยแล้วยังมีทุเรียนเวียดนามให้เลือกซื้อ นี่เป็นเหมือนโบนัสของคนรักทุเรียน" หวังอวิ๋นเจวียน ผู้บริโภคในนครหนานหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีนกล่าว

ยามเดินเข้าตลาดค้าส่งผลไม้ไห่จี๋ซิงในนครหนานหนิงจะพบพ่อค้าแม่ค้ามากมายที่จำหน่าย ‘ทุเรียนไทย’ โดยกวนฉ่ายเสีย ผู้ดูแลร้านผลไม้แห่งหนึ่ง บอกว่าทุเรียนหมอนทองของไทยมักวางตลาดช่วงปลายเดือนเมษายนหรือต้นเดือนพฤษภาคม และเป็นทุเรียนที่มีฐาน ‘แฟนคลับ’ ในจีน ถึงขั้นที่ผู้บริโภคบางส่วนมาสั่งจองล่วงหน้ากันแล้ว

ด้านคนวงในอุตสาหกรรมวิเคราะห์ว่า ผู้บริโภคชาวจีนสนใจวัฒนธรรมและสินค้าพื้นเมืองของไทย ด้วยอานิสงส์จากการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการค้าระหว่างจีนและไทยที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทำให้ยอดจำหน่ายทุเรียนไทยในตลาดจีนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะเดียวกันตลาดจีนมีทุเรียนเวียดนามเข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยจุดเด่นด้านราคา คุณภาพ และการขนส่ง
ด้วยเหตุนี้ คนวงในอุตสาหกรรมมองว่าทุเรียนไทยอาจเผชิญการแข่งขันในอนาคต แม้ความต้องการทุเรียนไทยในตลาดจีนยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง

หูเชา อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยชนชาติกว่างซี เผยว่า หลายปีที่ผ่านมา จีนนำเข้าทุเรียนจากไทยเป็นสัดส่วนสูงสุด แต่เวียดนามกำลังชิงส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยทุเรียนไทยและทุเรียนเวียดนามต่างแข่งขันและเกื้อกูลกัน ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกชนิดพันธุ์และราคาเพิ่มขึ้น ส่วนสายพันธุ์ที่ต่างกันของสองประเทศได้แก้ปัญหาขาดแคลนสินค้าเมื่อสิ้นฤดู 

การเข้าสู่ตลาดของทุเรียนไทยและทุเรียนเวียดนามในเวลาที่แตกต่างกันไป  ช่วยให้ผู้บริโภคจีนสามารถซื้อทุเรียนสดได้ในระยะเวลาที่ยาวนานมากขึ้น ขณะความชอบทุเรียนสายพันธุ์ต่าง ๆ ที่ไม่เหมือนกันอาจทำให้ทุเรียนบางสายพันธุ์ขาดตลาดในระยะสั้น ซึ่งจุดนี้ทุเรียนอีกสายพันธุ์จะเข้ามาทดแทนเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด โดย หูเชา ชี้ว่าตราบเท่าที่คุณภาพดี ราคาดี และรสชาติดี ย่อมเป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภคชาวจีน

ปัจจุบันการพัฒนาอันรวดเร็วของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและระบบโลจิสติกส์ได้สนับสนุนความนิยมทุเรียนในตลาดจีนอย่างมาก ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อทุเรียนจากกลุ่มประเทศอาเซียนผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่างสะดวกสบาย โดยเผิงเสวี่ยเยี่ยน ผู้จัดการบริษัทจำหน่ายสินค้าต่างประเทศแห่งหนึ่ง เผยว่า ทุเรียนเป็นของขวัญชั้นดีและเป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภคชาวจีนเสมอ
บริษัทของเผิงได้ติดต่อสื่อสารและร่วมมือกับผู้ประกอบการไทยอย่างแข็งขัน เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ทุเรียนที่มีคุณภาพสูงเข้าสู่ตลาดจีนเพิ่มขึ้น โดยการพัฒนาและยกระดับทางเทคโนโลยีโลจิสติกส์ห่วงโซ่ความเย็นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทุเรียนไทยสามารถรักษาความสดใหม่ได้ดีขึ้นระหว่างการขนส่ง ซึ่งช่วยรับประกันคุณภาพและรสชาติ

หลิวหมินคุน รองคณบดีคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยกว่างซี เสริมว่า ความนิยมทุเรียนไทยในตลาดจีนเป็นผลจากหลายปัจจัย ทั้งคุณภาพยอดเยี่ยม ข้อได้เปรียบด้านห่วงโซ่อุปทาน ความสัมพันธ์ฉันท์มิตรระหว่างสองประเทศ และการพัฒนาอันรวดเร็วของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและระบบโลจิสติกส์

ช่วงไม่กี่ปีมานี้ การค้าจีน-อาเซียนเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องด้วยโอกาสที่เกิดจากระเบียงการค้าทางบก-ทางทะเลระหว่างประเทศใหม่และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) กอปรกับระบบโลจิสติกส์ข้ามพรมแดนที่พัฒนาดีขึ้น ช่องทางการขนส่งทุเรียนอาเซียนสู่ตลาดจีนจึงมีประสิทธิภาพและสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

‘ประธาน กมธ.อุตฯ’ เร่งล่าตัวคนผิด กรณีขนย้ายกากแคดเมียม ลั่น!! ไม่ยอมให้เอาชีวิตของพี่น้องประชาชนเป็นตัวประกัน

เมื่อไม่นานมานี้ นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร ระบุว่า ในวันนี้ (17 เม.ย.) เวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา กมธ.อุตสาหกรรมได้เชิญหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ 6 หน่วยงานหลักที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ดำเนินการกับกากแร่แคดเมียม มาประชุมที่สภาฯเพื่อติดตามความคืบหน้าของการดำเนินการ โดยเฉพาะการขนย้ายกากแคดเมียม

เนื่องจากประชาชนกังวลใจว่า จะขนย้ายอย่างไรให้ปลอดภัยที่สุด การประชุมในวันพรุ่งนี้จะมีแผนงานที่ชัดเจนออกมาแจ้งให้ประชาชนทราบว่า หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐจะดำเนินการอย่างไรบ้าง

กมธ.ได้รับการร้องเรียนว่า กากแคดเมียมที่อายัดไว้ทำไมปล่อยทิ้งไว้ตามจุดต่าง ๆ ไม่หาตู้คอนเทนเนอร์มาบรรจุกากแคดเมียม กมธ.มีความห่วงใยในสถานการณ์ดังกล่าวจึงจะไปเร่งรัดให้เกิดความรวดเร็วยิ่งขึ้น ส่วนการขนย้ายจะเข้าไปดูรายละเอียดว่าขนย้ายอย่างไร โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงว่า ขนอย่างไรให้เกิดความปลอดภัยมากที่สุด เพราะประชาชนเป็นห่วงมาก และขอบอกประชาชนว่า ไม่ต้องเป็นห่วง กมธ.จะตรวจสอบการขนกากแคดเมียมของหน่วยงานภาครัฐอย่างเข้มข้นเพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับประชาชนมากที่สุด ตั้งแต่ต้นทาง ระหว่างทางจนถึงปลายทาง

นอกจากนี้ จะได้สอบถาม กระทรวงสาธารณสุข และกรมควบคุมมลพิษว่าได้ติดตามดำเนินการกรณีนี้ที่เป็นผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนและสิ่งแวดล้อมว่าได้ดำเนินการไปถึงไหนและมีผลการดำเนินการเป็นอย่างไรแล้วบ้าง

สำหรับ การสอบสวนหาตัวผู้กระทำความผิด กมธ.จะติดตามสอบถามกับบก.ปทส.ว่า สอบสวนถึงไหนแล้ว การขนย้ายกากแคดเมียมเป็นหน้าที่ของกระทรวงอุตสาหกรรม ส่วนการสอบสวนดำเนินคดีเป็นหน้าที่ของบก.ปทส. ในเบื้องต้นยืนยันได้ว่า มีเจ้าหน้าที่ของรัฐรับผลประโยชน์ในเรื่องนี้แน่นอนจึงสามารถขนย้ายกากแร่อันตรายจากจังหวัดตากมาเก็บไว้ที่จังหวัดสมุทรสาครแล้วกระจายไปยังจุดต่าง ๆ ทั้งชลบุรีและกรุงเทพมหานครได้ ทาง กมธ.อุตสาหกรรมมีข้อมูลเชิงลึกแล้ว

นายอัครเดช ขอยืนยันว่า จะติดตามตรวจสอบเอาคนทำความผิดที่รับผลประโยชน์และทำผิดกฎหมายมาลงโทษให้ได้กมธ.จะไม่ยอมให้เอาชีวิตของพี่น้องประชาชนเป็นตัวประกัน จะติดตามหน่วยงานเกี่ยวข้องให้ดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดและรวดเร็ว เพื่อให้ประชาชนสบายใจ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาไม่ได้เงียบ กมธ.ยังคงติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด แล้วจะรายงานผลให้ประชาชนทราบเป็นระยะ เพราะถือเป็นเรื่องสำคัญจะไม่ปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก

ล่าสุด (17 เม.ย. 67) ที่รัฐสภา นายอัครเดช วงศ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ที่ประชุมกมธ. ได้เชิญ 6 หน่วยงาน เพื่อพิจารณาแก้ปัญหากากแร่แคดเมียม โดยให้ทางกระทรวงอุตสาหกรรมมาบูรณาการหลักร่วมกับ 5 หน่วยงาน โดยนายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม มาชี้แจง ซึ่งคงจะได้ทราบข้อเท็จจริง 

อย่างไรก็ตามได้รับทราบจากข่าวว่าจะมีการเริ่มเคลื่อนย้ายกากแร่แคดเมียมในวันที่ 7 พ.ค. ทำให้สังคมตั้งคำถามว่าทำไมถึงช้า เพราะอะไร ดังนั้นตนจะได้สอบถามในที่ประชุมว่าจะเลื่อนการเคลื่อนย้ายให้เร็วกว่าวันที่ 7 พ.ค. ได้หรือไม่ รวมทั้งเรื่องการจัดการกากแร่แคดเมียมที่ตรวจพบทั้งที่จังหวัดสมุทรสาคร ชลบุรี และจ.ตาก จะดำเนินการอย่างไร

นายอัครเดช กล่าวต่อว่า ถ้ามีขนย้ายควรจะมีตู้คอนเทนเนอร์มาบรรจุเพื่อไม่ให้เกิดการฟุ้งกระจายระหว่างขนย้ายของแคดเมียมได้อย่างไร เพื่อจะได้ป้องกันปัญหา และผลกระทบที่จะเกิดกับพี่น้องประชาชนที่อาศัยบริเวณโดยรอบ ได้ดำเนินการไปอย่างไรแล้วบ้าง โดยจะมีการเสนอให้ซีลสองรอบ และใส่ไปในตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแล้วค่อยขนย้ายไป จ.ตาก โดยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นถ้าผู้ประกอบการไม่สามารถดำเนินการได้รัฐก็ต้องนำงบประมาณไปดำเนินการก่อน ส่วนขั้นตอนการฟ้องร้องค่าใช้จ่ายต้องให้รัฐไปฟ้องร้องกับผู้ประกอบการออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด เพราะหากจะรอให้ผู้ประกอบการพร้อม ตนคิดว่าไม่ทันและจะเป็นอันตรายต่อพี่น้องประชาชน 

เมื่อถามว่าทางกมธ.ได้รับเสียงสะท้อนจากประชาชนในพื้นที่อย่างไรบ้าง นายอัครเดช กล่าวว่า ในส่วนของกมธ.ได้มีการสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ยังไม่ได้ลงพื้นที่จริง แต่เรามีแผนที่จะลงไปติดตามการฝังกลบแคดเมียมที่ จ.ตาก ซึ่งเดิมวางไว้ประมาณต้นพ.ค. แต่เนื่องจากมีการเลื่อนการกำหนดการขนย้ายในวันที่ 7 พ.ค. ก็ต้องมาหารือในที่ประชุมกมธ.กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าจริง ๆ แล้วจะสามารถขนย้ายได้เมื่อไหร่แน่ เพราะเดิมทราบจากรมว.อุตสาหกรรมการว่าจะเริ่มมีการขนย้ายประมาณวันที่ 17 เม.ย. จึงต้องสอบถามเหตุผลจากปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมที่มาชี้แจงว่าทำไมจึงเลื่อนเป็นวันที่ 7 พ.ค.

ต่อข้อถามว่ามองการทำงานของรมว.อุตสาหกรรม ซึ่งอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติด้วยกันอย่างไร นายอัครเดช กล่าวว่า ในส่วนของรมว.อุตสาหกรรมเป็นฝ่ายบริหารท่านก็ทำหน้าที่ของท่าน ในฐานะที่เป็นรัฐบาล ส่วนตนในฐานะประธานกมธ.อุตสาหกรรมเราก็ทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งฝ่ายนิติบัญญัติมีหน้าที่ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินเพราะเป็นอำนาจตามรัฐธรรมนูญเราก็ทำงานคู่ขนานกันไป ถึงแม้เราจะมาจากพรรคเดียวกัน แต่บทบาทหน้าที่ก็ต้องทำ เพื่อให้ประชาชนและประเทศชาติได้ประโยชน์สูงสุด ซึ่งเรื่องนี้ทั้งตนและน.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม ก็ได้พูดคุยกันเป็นระยะอยู่แล้ว เพื่อหาทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งรัฐมนตรีก็ไม่ได้นิ่งเฉย และลงพื้นที่ติดตามปัญหาจนได้คืนกากแคดเมียมเกือบครบแล้ว 

เมื่อถามว่ายืนยันได้หรือไม่ที่ทางกมธ.ระบุว่ามีข้อมูลเชิงลึกในเรื่องเจ้าหน้าที่รัฐรับผลประโยชน์ว่าได้ข้อมูลมาทางไหน นายอัครเดช กล่าวว่า เราทราบเหตุการณ์นี้เพราะมีคนมาร้องเรียนว่าเจ้าหน้าที่รัฐรับผลประโยชน์ในเรื่องของการย้ายกากแร่แคดเมียม ซึ่งเป็นหน่วยงานภายที่ร้องมา ทางกมธ.จึงได้มีการตรวจสอบประมาณเดือนม.ค. เรายังไม่รู้ว่าเป็นกากแร่อะไร จนรับทราบเบื้องต้นว่าต้นทางอยู่ที่ จ.ตาก จนมีการสอบสวนหาข้อเท็จจริง โดยกมธ.ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวช้องมาสอบ ซึ่งครั้งแรกเราพุ่งเป้าไปที่ อ.แม่สอด จ.ตาก เป็นพื้นที่เหมืองแร่สังกะสีเก่า แต่ได้ข้อมูลไม่ชัดเจน จนการประชุมนัดที่ 4 เราถึงทราบและแถลงข่าวให้รัฐบาลไปดำเนินการ และให้รปะชาชนเฝ้าระวัง 

“ถือเป็นโชคดีของคนไทยที่เราเจอเร็ว ไม่ใช่ว่าต้องให้พี่น้องประชาชนล้มป่วยก่อนเหมือนในต่างประเทศ แล้วเราค่อยมาสืบหากันว่าพี่น้องประชาชนล้มป่วย เสียชีวิตเพราะอะไร” นายอัครเดช กล่าว

เมื่อถามว่าเจ้าหน้ารัฐที่ถูกต้องเรียนเป็นระดับท้องที่ต้นทาง ปลายทาง หรือกำกับดูแลใบอนุญาต นายอัครเดช กล่าวว่า ในเอกสารที่มีการส่งมาร้องเรียนเบื้องต้นมีทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องที่มาจากระทรวงอุตสาหกรรม ส่วนจะเป็นต้นทาง ปลายทาง หรือระดับไหนขอรอให้เกิดความชัดเจนอีกครั้ง ดังนั้นในที่ประชุมกมธ.ก็จะมีการติดตามการดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำความผิด ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้ประกอบการต้นทาง ปลายทาง หรือส่วนที่จะเตรียมการส่งออก ละเมิดกฎหมายและผิดกฎหมายข้อไหน และหน่วยงานไหน จะดำเนินคดีอย่างไร

เมื่อถามว่าการขนย้ายไปฝังกลบที่จ.ตาก มีความเสี่ยงระหว่างขนย้าย รวมทั้งผลกระทบกับพื้นที่ที่อยู่ใกล้เคียงจะดำเนินการอย่างไร นายอัครเดช กล่าวว่า ในอีไอเอผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมระบุชัดเจนที่เป็นส่วนหนึ่งที่อนุญาตคือ จ.ตาก ประกอบการทำเหมืองแร่ และถลุงแร่สังกะสี และกากแร่แคดเมียม ซึ่งในใบอนุญาตมีอีไอเอ ที่ระบุไว้ว่าจะต้องมีการฝังกลบที่จ.ตาก ฉะนั้นเมื่อมีการละเมิดอีไอเอ เอาออกมานอกพื้นที่ ซึ่งขั้นตอนเจ้าหน้าที่รัฐได้มีคำสั่งทางปกครองไปแล้วว่าให้ขนกลับไปเก็บที่เดิมภายใน 7 วัน ซึ่งเป็นมาตรการทางกฎหมาย ฉะนั้นต้องขนกลับไปเก็บที่เดิมก่อน 

ส่วนอนาคตจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร จะย้ายที่ฝังกลบหรือจะดำเนินการอย่างไรกับกากแร่แคดเมียม ซึ่งวันนี้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจก็ต้องไปทำอีไอเอเพิ่ม และต้องศึกษากฎหมายด้วยว่าอนุญาตให้ทำอย่างไร และต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ใช่ว่านักวิชาการหรือใครอยากให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้มันทำไม่ได้ เพราะต้องปฏิบัติตามกฎหมายก่อน และถ้าไม่เปิดช่องให้ในอนาคตมีความจำเป็นต้องดำเนินการ เราในฐานะ สส. ที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งมีหน้าที่แก้กฎหมายเราก็พร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็น เพื่อแก้กฎหมายดังกล่าวเพื่อให้ประเทศชาติและประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด 

ต่อข้อถามว่ามีข้อมูลทุนจีนเทาเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ด้วยหรือไม่ ประธานกมธ.อุตสาหกรรม กล่าวว่า ในการข่าวทราบว่าผู้ประกอบการต่างประเทศที่เป็นคนจีน เตรียมส่งออก และมีการจับกุมดำเนินคดีไปแล้ว มีความเชื่อมโยงกันหมดในตัวละคร ตั้งแต่ต้นทางที่จ.สมุทรสาคร ก็เป็นคนจีน จะมีการขนย้ายไปที่อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี และเตรียมส่งออกก็เป็นคนจีน เจ้าของโรงงานที่ไปตรวจพบกากแร่แคดเมืยม ที่ต.คลองกิ่ว อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี และเป็นผู้ประกอบการคนจีนที่กมธ.อุตสาหกรรมเคยทำเรื่องนี้ พบว่าโรงงานทำผิดกฎหมายและให้เจ้าหน้าที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ไปจับกุมดำเนินคดีมาแล้ว 

จะเห็นได้ว่าตัวละครที่เป็นคนจีนมีทั้งหมด 3 ตัวละคร ตัวละครสุดท้ายต้นทางที่จ.สมุทรสาครที่เป็นโรงหลอม ก็มีผู้ประกอบการคนจีนที่สวมสิทธิ์หลบเลี่ยงภาษี ซึ่งเป็นเรื่องที่กมธ.กำลังจะสอบว่าจริง ๆ แล้วมีการกระทำความผิดตามที่ประกอบการโรงหลอมคนไทยร้องเรียนมาหรือไม่ จึงจะเห็นได้ว่ามีทั้งหมด 4 ตัวละครที่เป็นคนจีน ซึ่งเชื่อมโยงกันหมดเป็นเครือข่าย 

“ผมจึงเรียกร้องให้นายกฯ หยิบยกเรื่องนี้มาเป็นวาระแห่งชาติในการดำเนินการกับนักลงทุนจีนสีเทาทางด้านอุตสาหกรรมที่ละเมิดกฎหมาย เพราะ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ทุนจีนก็กระทำความผิดซ้ำซาก ทำให้เกิดผลกระทบกับพี่น้องชาวชลบุรีอย่างต่อเนื่องรุนแรง ซึ่งทางกมธ.เคยสอบสวนและให้เจ้าหน้าที่ไปดำเนินคดีมาแล้ว” นายอัครเดช กล่าว

เมื่อถามถึงผลตรวจปัสสาวะประชาชนที่อยู่โดยรอบพื้นที่ จ.สมุทรสาคร จะต้องสอบหรือไม่ว่าแคดเมียมได้มีการรั่วไหลออกไปแล้วหรือไม่ นายอัครเดช กล่าวว่า ที่ จ.สมุทรสาครได้รับทราบจากจังหวัดว่ามีการตรวจพบคนในโรงงานมีค่าแคดเมียมเกิน ส่วนนอกโรงงานก็มีค่าแคดเมียมเกินเหมือนกัน ในที่ประชุมกมธ. วันนี้จะได้รับทราบจากจังหวัดสมุทรสาครอย่างเป็นทางการว่าค่าแคดเมียมเกินไปเท่าไหร่และจะดำเนินอย่างไร เพราะเป็นเรื่องที่รัฐจะต้องไปดูแล และผู้ประกอบการที่กระทำความผิดจะต้องรับผิดชอบด้วย และอีกส่วนที่สำคัญคือสารที่ตกค้างไม่ว่าในดิน อากาศ น้ำ จะดำเนินการตรวจสอบอย่างไรให้ประชาชนมีความอุ่นใจ เพราะ จ.สมุทรสาคร เป็นแหล่งอุตสาหกรรม จะต้องทำอย่างไรให้ประชาชนเกิดความปลอดภัย

เทียบฟอร์ม 'คนละครึ่ง-ดิจิทัลวอลเล็ต' โครงการไหนตอบโจทย์ ไม่ซับซ้อน

(17 เม.ย.67) จากเพจ 'เชียร์ลุง' ได้โพสต์ภาพกราฟิกพร้อมเนื้อหาในหัวข้อ 'เทียบกันชัด ๆ คนละครึ่ง กับ ดิจิทัลวอลเล็ต คุณชอบโครงการไหนครับ' ไว้ดังนี้...

>> คนละครึ่ง
- รัฐออกให้ครึ่งนึง ใช้งบประมาณครั้งละ 3-4 หมื่นล้านบาท
- ใช้ได้ทุกที่
- ป้องกันทุนใหญ่
- ใช้แอปฯ เป๋าตัง ใช้ง่าย สะดวก
- ช่วยค่าใช้จ่ายปากท้อง เพิ่มปริมาณการใช้จ่ายให้มากขึ้น
- ถูกกฎหมายทำได้ทันที

>> ดิจิทัลวอลเล็ต
- รัฐออกให้ทั้งหมด ใช้งบประมาณกว่า 5 แสนล้านบาท
- จำกัดระยะทาง
- ไม่ป้องกันทุนใหญ่
- ลงทุนสร้างแอปฯ ใหม่ เงื่อนไขซับซ้อน
- หวังกระตุ้น GDP
- รอตีความทางกฎหมาย มีผู้คัดค้านมากมาย

ศาล รธน.ให้ 15 วัน ‘ก้าวไกล’ ยื่นแจงปมถูกร้องยุบพรรค นับตั้งแต่ 18 เม.ย.67 ครบกำหนดชี้แจงข้อกล่าวหา 3 พ.ค.67 

(17 เม.ย. 67) ศาลรัฐธรรมนูญ แจ้งว่า กรณีคำร้องที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยนายทะเบียนพรรคการเมืองขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยสั่งยุบพรรคก้าวไกล ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 92 (1) (2) เนื่องจากมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า พรรคก้าวไกลมีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเข้าลักษณะการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และขอให้เพิกถอนสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่จดทะเบียนขึ้นใหม่ด้วยเป็นระยะเวลา 10 ปีนั้น

พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ถูกร้องได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่น คำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญออกไปอีก 30 วัน ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นควรให้ขยายระยะเวลาออกไปอีก 15 วัน นับแต่วันที่ 18 เม.ย.67 ซึ่งจะครบกำหนดยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 3 พ.ค. 67

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการยื่นขอขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของพรรคก้าวไกลในครั้งนี้ เป็นการยื่นขอขยายครั้งที่ 1 หลังจากเมื่อวันที่ 3 เม.ย.67 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องดังกล่าวของกกต. ไว้พิจารณาวินิจฉัยตามพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีการการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญปี 2561 มาตรา 7 (13) ศาลรัฐธรรมนูญ ประกอบมาตรา 92 วรรคหนึ่งพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 และจะแจ้งนายทะเบียนพรรคการเมืองทราบพร้อมส่งสำเนาคำร้องให้กับพรรคก้าวไกลยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วันนับตั้งแต่วันได้รับสำเนาคำร้อง

'เพจดัง' ชี้!! ค่าไฟแพงพออยู่แล้ว หลังคนกระหน่ำใช้ 'กลางวัน-กลางคืน' ฉะนั้น!! หากไปยุแยงพม่าแตก ระวังคนไทยอาจเดือดร้อนกว่านี้

(17 เม.ย. 67) จากเพจ 'สานต่อเจตนารมณ์ อาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

เปิดเทอมหลังสงกรานต์วันแรก มีบิลค่าไฟมาหย่อนตู้ไปรษณีย์แต่เช้า เห็นค่าไฟแล้วจะเป็นลม 

มีรายงานข่าวมาว่าช่วงนี้คนไทยกระหน่ำเปิดแอร์ตอนกลางวัน ส่วนกลางคืนก็ยังเปิดแอร์แล้วยังมีชาร์จไฟรถเพิ่มขึ้นมา

จึงอยากเตือนนักการเมืองและนักวิชาการที่นำเสนอแนวทางและท่าทีของประเทศไทยต่อเหตุการณ์ในประเทศเมียนมา ว่าอย่าใช้อุดมการณ์นำให้มาก 

ให้เน้นความมั่นคงทางพลังงานของประเทศไทยเป็นหลัก 

คนไทยไม่ต้องการมีปัญหาขาดแก๊ซ ไม่ต้องการจ่ายค่าไฟแพง ถ้าขาดแก๊ซเมียนมา มันจะแพงได้กว่านี้อีกเยอะ เพราะ ปตท. ต้องไปไล่ซื้อ LNG จากตลาด Spot มาทดแทนเพิ่มเข้าไปอีก

นี่เขียนจากใจและตัวเลขค่าไฟฟ้าเดือนนี้ล้วน ๆ

ส่วนเรื่องในเมียนมา เป็นเรื่องของมหาอำนาจผลักดันให้เกิด ไม่ใช่เรื่องที่เกิดเองตามธรรมชาติ คนที่รับเงินต่างชาติมา จะผลักดันให้ประเทศไทยรับลูกใคร ให้ไปทำอะไร ให้ไปหนุนหลังใครก็คิดดี ๆ

‘ลิซ่า’ ซื้อบ้านใหม่ที่อเมริกา มูลค่ากว่า 140 ลบ. คาด!! เตรียมตัวเดินหน้าลุยตลาดอินเตอร์เต็มตัว

(17 เม.ย.67) แมนชัน โกลบอล (Mansion Global) นายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์หรูระดับโลก รายงานว่า ‘ลิซ่า’ ลลิษา มโนบาล เพิ่งซื้อบ้านหรูในย่านเบเวอร์ลี ฮิลส์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา มูลค่า 3.95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 144 ล้านบาท

ทั้งนี้ รายงานอ้างข้อมูลจากเอกสารการทำธุรกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งระบุว่า ลิซ่าปิดดีลซื้อบ้านหลังนี้ไปตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยบ้านหลังนี้เพิ่งได้รับการรีโนเวทเสร็จเรียบร้อย

ลอรี ฮาร์ริส จากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ Keller Williams Los Feliz ซึ่งเป็นคนนำบ้านหลังนี้ออกขายให้ข้อมูลว่า ถึงแม้บ้านของลิซ่าจะได้รับการรีโนเวทให้มีความทันสมัย แต่ตัวบ้านที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1924 ยังคงให้ความรู้สึกแบบโลกเก่า ประกอบกับอาณาบริเวณที่มากถึง 1.3 เอเคอร์ (ประมาณ 3.3 ไร่) จึงทำให้บ้านที่ตั้งอยู่บนเนินเขา Coldwater Canyon หลังนี้มีความเป็นส่วนตัว แถมยังล้อมรอบด้วยเนินเขา และทัศนียภาพอันสวยงาม

รายงานระบุว่า House of Rolison ซึ่งเป็นบริษัทออกแบบชื่อดังในลอสแองเจลีส ซื้อบ้านหลังนี้มาในปี 2023 ก่อนจะรีโนเวทบ้านที่มีอายุเก่าแก่ถึง 100 ปีให้ออกมาในสไตล์คฤหาสน์ขุนนางแถบชนบทของอังกฤษ โดยตัวบ้านมีเถาองุ่นปกคลุมเป็นบริเวณกว้างถึง 3,387 ตารางฟุต มี 4 ห้องนอน หลังคามุงกระเบื้องดินเผา พื้นปูด้วยหิน มีเพดานทรงโค้งทำจากไม้

ในเรื่องของความเป็นส่วนตัว มีพุ่มไม้สูงทำหน้าที่เปรียบเสมือนรั้วกั้นตัวบ้านออกจากถนน ส่วนด้านนอกตัวบ้านมีระเบียงไม้กว้างพร้อมเตาอบพิซซ่า และสระน้ำอีก 1 แห่ง

ทั้งนี้ การที่ลิซ่าตัดสินใจซื้อบ้านในย่านเบเวอร์ลี ฮิลส์ เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่านักร้องสาววัย 27 ปีน่าจะเดินหน้าลุยงานในฐานะศิลปินระดับโลกอย่างเต็มตัว หลังจากที่เธอไม่ต่อสัญญาเดี่ยวกับ วายจี เอ็นเตอร์เทนเมนต์ โดยหันมาเปิดบริษัท LLOUD เป็นของตัวเอง ตามมาด้วยการเซ็นสัญญากับค่ายเพลงระดับโลกอย่าง RCA Records

นอกเหนือจากการทำงานในแวดวงแฟชั่น และการทำเพลงแล้ว ลิซ่ายังหันไปจับงานด้านการแสดงเป็นครั้งแรกด้วย โดยล่าสุดเธอกำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำซีรีส์ยอดนิยมของ HBO เรื่อง The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งอยู่ระหว่างการถ่ายทำที่ประเทศไทยเป็นเวลานาน 6 เดือน

‘รพ.ราชพิพัฒน์’ เชิดชูเกียรติ ‘พว.นลินทิพย์ แซ่ลี้’  บริจาคอวัยวะ ช่วยต่อลมหายใจผู้ป่วยได้ 5 ชีวิต

(17 เม.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แฟนเพจเฟซบุ๊กของ ‘โรงพยาบาลราชพิพัฒน์’ โพสต์ภาพและข้อความผ่านเฟชบุ๊ก ‘โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ สำนักการแพทย์ กทม.’ ระบุข้อความว่า…

“โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ขอไว้อาลัยและเชิดชูเกียรติ แด่ พว.นลินทิพย์ แซ่ลี้ พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาลห้องตรวจโรคเฉพาะทาง โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ ตลอดระยะเวลาในการปฏิบัติหน้าที่ พว.นลินทิพย์ แซ่ลี้ ปฏิบัติหน้าที่อย่างดีเยี่ยม ด้วยความเสียสละและความรับผิดชอบ จนได้รับคำชื่นชมจากผู้รับบริการมาโดยตลอด”

นอกจากนี้ยังระบุเพิ่มว่า “การจากลาอย่างไม่มีวันกลับ แต่เจตนารมณ์เพื่อช่วยเหลือผู้คนยังคงอยู่ กุศลจากผู้ให้ สร้างชีวิตใหม่ให้แก่ผู้รับ โดยได้บริจาคหัวใจ, ไต 2 ข้าง, ม้าม และหลอดเลือดดำอุ้งเชิงกราน ต่อลมหายใจอีก 5 ชีวิต ในวันนี้ (15 เมษายน 2567) คณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร คณะผู้บริหารโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ บุคลากรโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ ร่วมไว้อาลัยและเชิดชูเกียรติ ขอกุศลแห่งบุญในครั้งนี้ ส่งดวงวิญญาณสู่สัมปรายภพ พวกเราระลึกถึงความดีงามและความเสียสละตลอดไป”

ปลื้มปริ่ม!! ‘เจ้าหน้าที่ตำรวจ’ อาสาพา ‘ตายาย’ ข้ามถนน ฟากคุณตาซึ้งใจ เป่าแคนเพื่อขอบคุณ ทำตำรวจถึงกับเต้นตาม

(17 เม.ย.67) ทำเอาชาวเน็ตยิ้มไปตาม ๆ กันเลยทีเดียว เมื่อผู้ใช้ติ๊กต็อกชื่อ superboy_191 ได้โพสต์คลิป พร้อมระบุข้อความว่า “เราต้องรู้จักอดทน อดกลั้น และหักห้ามใจตัวเองให้ได้ ไม่งั้นอาจจะเกิดเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดอย่างในคลิปที่เห็น!!”

ซึ่งในคลิปปรากฏเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังพาคุณตาซึ่งเป็นคนตาบอด และคุณยายที่มาด้วยกันข้ามถนน

ดูเผิน ๆ เหมือนจะเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ แต่ความพิเศษในสถานการณ์นี้คือ พอข้ามถนนมาอีกฝั่งได้ คุณตาก็เสนอเป่าแคนให้ฟัง เพื่อเป็นการขอบคุณที่ตำรวจพาข้ามถนน และที่ทำเอาชาวเน็ตยิ้มไม่หุบกว่าเดิมคือ คุณตาเป่าแคน คุณยายตบมือเข้าจังหวะ ส่วนคุณตำรวจกำลังยืนเต้นเข้าจังหวะกันอย่างไม่น่าเชื่อ

ทั้งนี้ คลิปดังกล่าวได้รับความสนใจและมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก ซึ่งท็อปคอมเมนต์ในคลิปได้เมนต์ว่า “ไม่มีใครที่จะปฏิเสธหมอลำได้”

นอกจากนี้ ยังมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นมากมาย ดังนี้

“ช่วงสงกรานต์มานี้เราเห็นมุมน่ารัก ๆ ของตำรวจเยอะมาก”
“‘เป็นน้ำใจเล็กน้อยของคุณตา”
“คนไทย = ตามน้ำไปได้เรื่อย ๆ 55555 ชอบบบบ”
“คูมตำหมวดบอกขอจักหน่อยแน ทำงานบ่ได้หยุดกะเขา” (ขอสักหน่อยได้ไหม ทำงานไม่ได้หยุดกับเขา)
“เรียบร้อย อารมณ์คงคิดฮอดบ้านแหละ อ้ายตำรวจ”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top