Friday, 23 May 2025
NewsFeed

‘หนุ่มอังกฤษ’ ใจงาม!! ออกวิ่งจาก ‘อ.แม่สาย’ สู่ ‘อ.เบตง’ ระดมเงิน 1.4 แสนบาท ช่วยเหลือเด็กกำพร้า-ยากไร้ในไทย

‘Chris Russell’ หนุ่มชาวอังกฤษออกวิ่งจากอำเภอแม่สายมาถึงอำเภอเบตงภายในระยะเวลา 50 วัน เพื่อระดมเงินให้เด็กกำพร้าและโรงเรียนยากไร้ในไทย ซึ่งขณะนี้วิ่งถึงที่หมายแล้ว พร้อมยอดบริจาคล่าสุดประมาณ 140,000 บาท

เมื่อวานนี้ (29 ก.พ. 67) Mr.Chris Russell นักวิ่งชาวอังกฤษที่ได้ออกวิ่งจาก อ.แม่สาย จ.เชียงราย มาถึง อ.เบตง จ.ยะลา ภายในระยะเวลา 50 วัน ใช้ชื่อว่า Run Thailand 2,100 KM. เพื่อหาเงินบริจาคให้เด็กกำพร้าและโรงเรียนยากไร้ในประเทศไทย ซึ่งล่าสุดได้รับบริจาคกว่า 3,962 ปอนด์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 140,000 กว่าบาท โดย Chris Russell นักวิ่งชาวอังกฤษได้วิ่งเข้าเขตอำเภอเบตง จังหวัดยะลาแล้ว

Mr.Chris Russell นักวิ่งชาวอังกฤษ บอกว่า ตลอดเส้นทางที่วิ่งผ่านมามีประชาชนคอยให้กำลังใจมาตลอดทาง และในแต่ละวันเมื่อถึงเวลาค่ำถึงที่ไหนจะพักที่นั่นเลย ล่าสุดก่อนถึงอำเภอเบตง ได้เข้าพักที่เชิงเขารีสอร์ตอัยเยอร์เวง โดยเจ้าของรีสอร์ตให้นอนพักได้โดยไม่คิดเงิน ทำให้ซาบซึ้งในน้ำใจของคนไทยจริงๆ

ซึ่งตนได้เริ่มวิ่งตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค.67 โดยตนได้บอกกับเพื่อนชาวอังกฤษว่าตนเดินทางมาวิ่งตามความยาวของประเทศไทย โดยได้เริ่มที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ซึ่งเป็นจุดเหนือสุดของประเทศไทยซึ่งติดกับประเทศพม่า และไปสิ้นสุดที่ อ.เบตง จ.ยะลา ซึ่งเป็นทางใต้สุดของประเทศไทย รวมระยะทางกว่า 2,100 กม. และมีแผนจะเสร็จสิ้นภายใน 50 วัน และเมื่อถึงอำเภอเบตงแล้วจะเดินทางต่อไปประเทศมาเลเซีย เพื่อท่องเที่ยวและอาจจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ จากสนามบินในประเทศมาเลเซีย

Chris Russell นักวิ่งชาวอังกฤษบอกทิ้งท้ายอีกว่า Run Thailand คือการระดมทุนจากมวลชนเพื่อเป็นการระดมเงินจำนวนหนึ่งเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ในประเทศไทย เงินที่ได้จากการระดมทุนทั้งหมดจะมอบให้โรงเรียนและสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในประเทศไทย ซึ่งการรับบริจาคเงินเพื่อหาเงินบริจาคให้เด็กกำพร้าและโรงเรียนยากไร้ในประเทศไทย ตนได้ลงในเว็บไซต์ของตัวเองที่ชื่อว่า https://www.justgiving.com/crowdfunding/runacrossthailand โดยได้รับบริจาคจากเพื่อน ๆ ในอังกฤษและคนไทยตามเส้นทางที่วิ่งผ่าน นอกจากได้ระดมทุนเพื่อให้เด็กกำพร้าและโรงเรียนยากไร้ ยังได้ชมวิวสวย ๆ ข้างทางอีกด้วย

‘อินฟลูฯ ดังสิงคโปร์’ โดน ‘ไต้หวัน’ ลงดาบ!! ห้ามเข้าประเทศ 5 ปี หลังจัดฉากสร้างคอนเทนต์ ‘ถูกปาไข่ใส่’ ทำภาพลักษณ์เสื่อมเสีย

(1 มี.ค.67) สเตรตส์ไทมส์ รายงานว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ไต้หวันประกาศห้ามอินฟลูเอนเซอร์สาวชาวสิงคโปร์เข้าไต้หวัน หลังกุเรื่องสร้างความปั่นป่วนเพียงเพื่อทำคอนเทนต์

รายงานระบุว่าเมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา น.ส.เฉิง เหว่ง อี้ หรือชื่อในวงการอินฟลูเอนเซอร์บนสื่อสังคมออนไลน์ว่า ‘เคียราคิตตี้’ (KiaraaKitty) กำลังไลฟ์วิดีโอผ่านแพลตฟอร์มทวิตช์ระหว่างเที่ยวเมืองเกาสง ทางตอนใต้ของไต้หวัน อยู่ๆ ก็มีคนปาไข่ใส่ โดยคนที่ลงมือทำร้าย น.ส.เฉิง สวมชุดกระโปรง และตะโกนเป็นภาษาจีนกลางด่าทอ น.ส.เฉิง ว่าอ่อยสามีของตน

น.ส.เฉิงกล่าวว่าถูกทำร้ายเพราะทำคอนเทนต์สำหรับผู้ใหญ่ซึ่งต้องสมัครเป็นสมาชิกจึงจะเข้าชมภาพวาบหวิวในแพลตฟอร์ม ‘โอนลีแฟนส์’ ได้ อินฟลูเอนเซอร์สาวให้สัมภาษณ์สื่อไต้หวันด้วยว่าไม่รู้จักคนที่ปาไข่ใส่และจะแจ้งความกับตำรวจ แต่ตำรวจเมืองเกาสงยืนยันเมื่อวันที่ 11 ก.พ. ว่า น.ส.เฉิงไม่เคยเข้าแจ้งความ

ด้านหนังสือพิมพ์ไทเปไทมส์รายงานว่า ตำรวจสอบสวนพบว่าคนที่ปาไข่จริงๆ แล้วเป็นผู้ช่วยของ น.ส.เฉิง เป็นชายชาวสิงคโปร์วัย 32 ปี นามสกุลสเว่ ทั้งน.ส.เฉิงและนายสเว่ทำผิดกฎหมายรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมจากการแพร่กระจายข่าวปลอม และคดีนี้ส่งถึงศาลแขวงเกาสงแล้วนอกจากนี้ตำรวจยังขอให้น.ส.เฉิงขอโทษต่อสาธารณชนที่กุเรื่องขึ้นมาด้วย

ต่อมาเมื่อวันที่ 24 ก.พ. น.ส.เฉิงไลฟ์สดพร้อมกับร้องไห้น้ำตานองหน้าและยอมรับว่าเป็นเรื่องแต่งขึ้นทั้งหมด จากนั้นเมื่อวันที่ 27 ก.พ. สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไต้หวันกล่าวว่า น.ส.เฉิงและนายสเว่ออกจากไต้หวันไปแล้ว

ก่อนศาลแขวงเกาสงตัดสินคดีและลงโทษห้ามเดินทางเข้าไต้หวัน 5 ปี พร้อมยืนยันว่าไต้หวันยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคน แต่จะไม่ยอมรับการกระทำที่ผิดกฎหมาย บั่นทอนความสมานฉันท์ และความมั่นคงในสังคม

สำหรับน.ส.เฉิงนั้นเกิดในฮ่องกงเมื่อปี 2545 แต่ย้ายไปอยู่สิงคโปร์ และขึ้นชื่อเป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่สร้างรายได้จากการขายสินค้าแปลกแหวกแนว เช่น น้ำที่ใช้อาบแล้วหรือชุดชั้นในใช้แล้วและโหลใส่ผายลมราคาหลายร้อยดอลลาร์สหรัฐ

'สกลธี' เสียดาย!! กทม.โอนภารกิจลงทุนรถไฟฟ้าใหม่ 3 เส้นคืนให้คมนาคม พร้อมวิเคราะห์ 4 ข้อ 'ถูก-ผิด' ที่อยากให้ กทม.ลองนำไปพิจารณาใหม่

(1 มี.ค.67) นายสกลธี ภัททิยกุล อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

เห็นข่าวที่ผู้บริหาร กทม.จะโอนภารกิจลงทุนรถไฟฟ้าใหม่ 3 เส้นทางประกอบด้วย สายสีเทา ระยะที่ 1 (วัชรพล - ทองหล่อ) สายสีเงิน (บางนา - สุวรรณภูมิ) และสายสีฟ้า (ดินแดง - สาทร) คืนกลับให้กระทรวงคมนาคมแล้วบอกตรงๆ ว่าเสียดายครับ

ทั้ง 3 เส้นทางเป็นโครงการที่อยู่ในภารกิจของ กทม. และได้ทำการศึกษามานาน แต่ยังไม่ได้ลงมือทำเพราะใช้งบประมาณเยอะพอสมควร ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่ทางผู้บริหาร กทม. ได้ให้ข่าวกับทางสื่อสารมวลชน ประกอบกับให้เหตุผลว่าการโอนภารกิจกลับคืนกระทรวงคมนาคมจะได้ประสานคิดค่าตั๋วร่วมกับรถไฟฟ้าสายสีอื่นภายใต้กระทรวงคมนาคมง่ายกว่าไม่มีค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน ประโยชน์จะได้เกิดกับประชาชนสูงสุด

อันนี้ผมว่ามีทั้งส่วนถูกและไม่ถูกครับ

1. เรื่องการลงทุนมีส่วนถูกคือถ้าให้ กทม. ลงทุนเพียงฝ่ายเดียวก็คงเกิดยากและกระทบกับงบประมาณในส่วนอื่นที่ต้องดูแลพี่น้องชาวกรุงเทพฯ แต่โครงการใหญ่แบบนี้โดยเฉพาะทั้ง 3 เส้นทางที่มีผู้อยู่อาศัยและศักยภาพในการใช้บริการจำนวนมากย่อมดึงดูดเอกชนให้มาร่วมทุนได้อย่างแน่นอน รวมถึงยังสามารถบริหารจัดการสินทรัพย์โดยรอบสถานีในรูปของการเช่า การโฆษณาหรือการเชื่อมต่อสถานีกับอาคารต่างๆ กลับคืนมาได้ไม่มากก็น้อย 

2. หรือถ้าหาเอกชนร่วมทุนไม่ได้จริงๆ (ซึ่งกรณีนี้ผมว่ามีโอกาส แต่ยากมาก เพราะทั้ง 3 เส้นทางมีศักยภาพในการดึงดูดเอกชนมาลงทุน) ด้วยสายสัมพันธ์ของท่านผู้ว่าฯ กับรัฐบาลน่าจะแบ่งงบประมาณ มาลงทุนในโครงการเหล่านี้ได้ไม่มากก็น้อย

3. เรื่องค่าแรกเข้าซ้ำซ้อนอันนี้ถูกครับว่าไม่ควรเก็บ แต่การโอนทั้ง 3 เส้นทางไปให้กระทรวงคมนาคม สมมติว่าก่อสร้างเสร็จทั้ง 3 เส้นทาง ส่วนใหญ่ก็ต้องมาเชื่อมกับสายสีเขียว (ของ กทม.) ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของกรุงเทพฯ อยู่ดี ความซ้ำซ้อนก็ยังคงมีอยู่ ทางที่ถูกควรจะนั่งเจรจากันระหว่าง กทม. กับรัฐบาลแก้ปัญหาเรื่องการเก็บค่าแรกเข้าซ้ำซ้อนและใช้ตั๋วร่วมใบเดียวให้เกิดให้ได้ซักที เหมือน Octopus card ของฮ่องกง ที่ใช้ได้เกือบทุกการคมนาคมขนส่งและร้านสะดวกซื้อ

4. ถึงที่สุดถ้าเลือกโอนไปให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงคมนาคมรับขึ้นมา ก็ใช่ว่าโครงการจะเกิดได้เร็ว เนื่องจากในส่วนของทางกระทรวงคมนาคมก็มีโครงการอีกมากมายของตัวเองที่ต้องผลักดันทั่วประเทศ รวมถึงรถไฟในกรุงเทพฯ อีกหลายเส้นทางที่อยู่ภายใต้กระทรวงคมนาคมก็ยังไม่เกิด ยิ่งโครงการเรือธงของกระทรวงอยากจะทำเรื่อง Land Bridge ซึ่งใช้งบประมาณเป็นล้านๆ บาท ความเร่งด่วนของรถไฟฟ้าทั้ง 3 สายในกรุงเทพฯ น่าจะไม่อยู่ในสายตาของทางกระทรวงแน่นอนครับ

ที่กล่าวมาทั้งหมดก็อยากจะหวังเห็นทีมผู้บริหาร  กทม. ชุดนี้ใช้ความพยายามสูงสุดทุกทางในการที่จะให้โครงการเกิดเสียก่อน ถ้าเดินแล้วมันไม่ได้หรือติดจริงๆ จะยกโอนให้กระทรวงคมนาคมผมว่าคนกรุงเทพฯ ก็คงไม่ติดใจครับ

เอาไว้วันหลังมีโอกาสจะมาแบ่งปันสิ่งดีๆ ที่อยากให้เกิดในกรุงเทพฯ ของเราเพื่อให้เมืองของเราอยู่สบายและมีความสุขเหมือนเมืองใหญ่ๆ ทั่วโลกครับ

ป.ล. อีกสิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้เกิดมากและเยอะๆ คือขนส่งสาธารณะสายรองหรือ Feeder ที่จะพาคนเข้าขนส่งขนาดใหญ่ได้สะดวกขึ้น เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะมีบ้านหรือคอนโดอยู่ในระยะเดินถึงสถานีรถไฟฟ้าได้ครับ 

‘รทสช.’ รับฟังปัญหา ‘สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย’ ให้คำมั่น!! พร้อมสนับสนุนการทำงานเพื่อสังคมให้เกิดผลสำเร็จ

(1 มี.ค. 67) ที่รัฐสภา น.ส.นดา บินร่อหีม ประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย ได้นำตัวแทนสภาเด็กฯ กว่า 20 คน เข้าพบสส.พรรครวมไทยสร้างชาติ นำโดย นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรค นายจุติ ไกรฤกษ์ สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค รศ.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ รองโฆษกพรรค เพื่อร่วมพูดคุยและรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากตัวแทนสภาเด็กฯ ที่มาขอให้พรรคช่วยสนับสนุนการทำงานให้ประสบผลสำเร็จ

โดย นายเอกนัฏ เสนอว่า การที่สภาเด็กฯ เข้าพบผู้แทนของพรรครวมไทยสร้างชาติในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่ดี อย่ากลัวฝ่ายการเมือง เพราะฝ่ายการเมืองไม่ได้น่ากลัว กฎหมายสภาเด็กฯ ก็ออกจากฝ่ายการเมือง ตนเชื่อว่า สส.ทุกคนยินดีให้การสนับสนุน เพื่อให้การทำงานของสภาฯ เด็กบรรลุจุดประสงค์

“ในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติ สิ่งไหนที่ช่วยเหลือได้ยินดีสานต่อ ไม่ใช่คุยแล้วจบแค่วันนี้ แต่จะต้องพูดคุยติดตามงานกันตลอด โดยมอบหมายให้ คุณพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ รองโฆษกพรรค เป็นผู้ประสานงานต่อ” นายเอกนัฏ กล่าว

ด้าน น.ส.นดา เปิดเผยภายหลังร่วมหารือว่า สส.ของพรรครวมไทยสร้างชาติได้รับข้อเสนอของสภาเด็กฯ เป็นอย่างดี นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ได้เสนอให้สภาเด็กฯ คัดเลือกตัวแทน เพื่อเข้ามามีส่วนร่วมในคณะกรรมาธิการ หรืออนุกรรมาธิการของสภาฯ ถือเป็นข้อเสนอที่ดีมาก และเป็นมิติใหม่ในการทำงาน หลังจากนี้ทางสภาเด็กฯ จะกลับไปคิดโครงการเพื่อมาขับเคลื่อนงานร่วมกับทางพรรครวมไทยสร้างชาติต่อไป

สำหรับ สิ่งที่สภาเด็กนำเสนอคือ ประเด็นการมีส่วนร่วมของเยาวชน ประเด็นสิ่งแวดล้อม ประเด็นเศรษฐกิจ ประเด็นความรุนแรง และประเด็นสุขภาพ 

“ทางพรรค ก็ตอบรับที่จะนำไปขับเคลื่อน แต่ในส่วนที่ขับเคลื่อนได้เลยคือ ประเด็นด้านเศรษฐกิจการมีงานทำ และประเด็นสิ่งแวดล้อม ซึ่งภาพรวมพอใจมากที่ได้พูดคุยกันในวันนี้ เพราะทางพรรครวมไทยสร้างชาติ รับปากจะสนับสนุนการทำงานของสภาเด็กฯ อย่างเต็มที่” น.ส.นดา กล่าว

เธอกล่าวต่อว่า สภาเด็กฯ เดินสายพบทุกพรรค ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล เพราะเราต้องการทำงานในเชิงรุก แต่ก็ต้องดูกันต่อไปว่าพรรคไหนเป็นพรรคที่ทำได้จริงตามที่รับปาก 

“จากการมาคุยกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็มีความหวัง จากการที่จะได้ฟังพี่สส.ให้คำแนะนำ จะกลับไปทำการบ้าน โดยเฉพาะการให้ตัวแทนเด็กและเยาวชนเข้าไปมีส่วนร่วมในชั้นกรรมาธิการ หรือคณะอนุกรรมาธิการของสภาฯ” น.ส.นดากล่าว

‘ดร.เอ๋ พรเทพ’ แชร์ประสบการณ์ถูกโจรล้วงกระเป๋าเงินในห้างดัง โชคดี!! ‘พี่ล้วง’ เอามาคืน คาด!! เพราะสงสารต้องอายัดบัตรหลายสิบใบ

(1 ก.พ. 67) เฟซบุ๊ก ‘กบ เหนือ เอ๋’ ของ ดร.พรเทพ เตชะไพบูลย์ สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม และอดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้โพสต์ข้อความเล่าถึง ‘พี่ล้วง’ หรือนักล้วงกระเป๋า โดยระบุว่า…

“เมื่อวานไปเดินพารากอน ถูกล้วงกระเป๋า มีตังค์อยู่ 2,000 กว่าบาท แต่เต็มไปด้วยบัตรเครดิต 10 กว่าใบ ทีแรกตกใจแทบแย่ ไปนั่งเศร้าอยู่ มีคนสะกิดว่ามีกระเป๋าอยู่ใต้เก้าอี้ ขอบคุณพี่ล้วงมาก ๆ ที่เอา กระเป๋า มาคืน คงสงสารเรา ที่ต้องไประงับบัตรหลายใบเรียกว่า ‘ล้วงแบบมีความรับผิดชอบ’ ขอให้รวย ขอให้รวยนะครับพี่ล้วง”

นราธิวาส - แม่ทัพภาคที่ 4 พบปะประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส เนื่องในโอกาสก่อนเข้าเดือนรอมฎอน ฮิจเราะห์ศักราช 1445

ที่คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4/ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 พร้อมด้วย พลโท ปราโมทย์ พรหมอินทร์ แม่ทัพน้อยที่ 4/ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจจังหวัดนราธิวาส และคณะ เข้าพบปะ นายซาฟีอี เจ๊ะเลาะ ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส เนื่องในโอกาสก่อนเข้าสู่เดือนรอมฎอน ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1445 พร้อมมอบสิ่งของอุปโภคบริโภค และอินทผาลัมให้กับผู้นำศาสนา เพื่อแจกจ่ายให้กับพี่น้องประชาชน ใช้ในการละศีลอด โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ ตลอดจนผู้นำศาสนาในพื้นที่ให้การต้อนรับ

พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 กล่าวว่า ใกล้จะถึงเดือนรอมฎอนอันประเสริฐยิ่ง เดือนแห่งความบริสุทธิ์ของพี่น้องมุสลิม ขอให้พี่น้องปฏิบัติศาสนกิจอย่างเต็มกำลังความสามารถ ปฏิบัติในสิ่งที่ดีที่ถูกต้อง ในส่วนกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พร้อมดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน จุดตรวจ จุดสกัดในห้วงเดือนรอมฎอนทุกจุด ก็จะปรับเปลี่ยนมาเป็นจุดบริการ คอยอำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่ใช้รถใช้ถนนในการประกอบศาสนกิจ และเดินทางกลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัว อย่างไรก็ตาม ความห่วงใยเรื่องการจุดพลุ ปะทัด ดอกไม้เพลิง เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย และอันตราย เพราะฉนั้น ขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนร่วมกันรณรงค์ ห้าม ซื้อขาย ปะทัด ดอกไม้เพลิงทุกชนิด หากเจ้าหน้าที่พบเห็นจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทันที และความพิเศษในห้วงเดือนรอมฎอนปีนี้ ยังต่อเนื่องกับช่วงเทศกาลสงกรานต์ประเพณีของพี่น้องชาวไทยพุทธ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ขอส่งมอบความสุข และความสันติสุขแก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในทุกๆเทศกาลและตลอดไป              

นายซาฟีอี เจ๊ะเลาะ ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส กล่าวอีกไม่กี่วันเราจะได้เจอกันในเดือนอันประเสิรฐ ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1445 อยากให้ทุกคนร่วมกันทำความดี ละเว้นความชั่ว ขอวิงวอนผู้นำศาสนา ผู้ปกครอง ดูแลบุตรหลานให้ดี ไม่จุดปะทัด ที่ถือเป็นสิ่งผิดกฏหมาย ผิดหลักศาสนา และไม่มีในประเพณีวัฒนธรรมของศาสนาอิสลาม ที่มุ่งให้พี่น้องชาวไทยมุสลิมได้ปฏิบัติศาสนกิจอย่างสงบสุข และ 10 วันสุดท้ายของเดือนรอมฎอน อยากให้เยาวชนในพื้นที่มาร่วมกันปฏิบัติศาสนกิจ เพื่อผลบุญทวีคูณ และขอให้ปีนี้เป็นเดือนรอมฎอนอันประเสริฐ สู่สันติสุขที่แท้จริงให้กับทุกคน

กสม. ผนึกกำลังภาคีเครือข่าย กะเทาะ '1 ปี พ.ร.บ. ซ้อมทรมานฯ ข้อท้าทายและความคาดหวัง'

วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ห้อง Conference Room สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ร่วมกับ สถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด มูลนิธิผสานวัฒนธรรม สมาคมเพื่อการป้องกันการทรมาน (APT) และสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) จัดการเสวนาเนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปี ของการบังคับใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 โครงการขับเคลื่อนนโยบาย กสม. ประเด็นสิทธิในกระบวนการยุติธรรม หัวข้อ “1 ปี พ.ร.บ. ซ้อมทรมานฯ ข้อท้าทายและความคาดหวัง” 

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างองค์กรภาคประชาสังคมและหน่วยงานของรัฐ ในการขับเคลื่อนการบังคับใช้ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย 

ในการนี้ นางสาวพรประไพ  กาญจนรินทร์ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุชาติ เศรษฐมาลินี นางสาวปิติกาญจน์ สิทธิเดช และนายวสันต์  ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พร้อมด้วยนายพิทักษ์พล  บุณยมาลิก เลขาธิการ กสม. นายชนินทร์  เกตุปราชญ์ รองเลขาธิการ กสม. ผู้บริหารสำนักงาน กสม. นักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรสิทธิมนุษยชนสำหรับนักบริหารระดับสูง (ปสม.) รุ่นที่ 1-2-3  สถาบันพระปกเกล้า ข้าราชการตำรวจ เข้าร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนความเห็นด้วย 

สำหรับกิจกรรมช่วงเช้า มีการกล่าวเปิดการเสวนาโดย ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และ หม่อมหลวงศุภกิตต์ จรูญโรจน์ เลขาธิการสถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด จากนั้น มีการเสวนาหัวข้อ “1 ปี กับการบังคับใช้ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมาน ฯ ” โดยวิทยากรประกอบด้วย (1) นายสุริยน ประภาสะวัต อัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 1 สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด (2) นายรัฐวิช จิตสุจริตวงศ์ ผู้อำนวยการส่วนการสอบสวนคดีอาญา กรมการปกครอง (3) พ.ต.อ.วีร์พล ใหญ่อรุณ รองผู้บังคับการกองคดีอาญา สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (4) นางสาวนรีลักษณ์  แพไชยภูมิ ผู้อำนวยการกองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม และ (5) นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินรายการโดย นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

ต่อมามีการเสวนาหัวข้อ “ข้อท้าทายและความคาดหวังต่อผู้บังคับใช้กฎหมาย” โดย (1) นายสมชาย หอมลออ ทนายความและผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิทธิมนุษยชน (2) นางสาวปิติกาญจน์ สิทธิเดช กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (3) หม่อมหลวงศุภกิตต์ จรูญโรจน์ เลขาธิการสถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด และ (4) นางสาวนริศราวัลถ์ แก้วนพรัตน์ (ผู้เสียหายจากคดีทรมาน กรณีพลทหารวิเชียร เผือกสม) ดำเนินรายการ โดย นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

ช่วงบ่าย มีการกล่าวสุนทรพจน์ภาคภาษาอังกฤษ โดยเยาวชนผู้ชนะการประกวดโครงการ Safe in Custody และการเสวนาวิชาการหัวข้อ “ก้าวต่อไปกับการป้องกันการทรมาน” ซึ่งเป็นการพูดคุยเกี่ยวกับ (1) สิ่งที่อยากเห็นและความคาดหวังต่อการป้องกันการทรมาน โดย นายอัรฟาน ดอเลาะ รองประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย (2) สะท้อนปัญหาการซ้อมทรมาน : สู่แนวทางการป้องกัน โดย นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ  มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (3) การเข้าเป็นภาคีพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (OPCAT) : ประโยชน์และข้อท้าทาย โดย ผศ.ดร. รณกรณ์ บุญมี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (4) กสม. กับงานด้านการตรวจเยี่ยมและทิศทางในอนาคต โดย นายชนินทร์ เกตุปราชญ์ รองเลขาธิการ กสม. ดำเนินรายการ โดย นายชนินทร์ เกตุปราชญ์ รองเลขาธิการ กสม.

'ด้อมส้มรักเจ้า' ประกาศกร้าว!! ก้าวไกลแลนด์สไลด์รอบหน้า ต้องยึด รธน. 60 คัดทิ้งผู้สมัครถ่อย ไม่ถอยให้คอร์รัปชัน ยึดมั่นใน 'ชาติ-ศาสน์-กษัตริย์'

(1 มี.ค.67) จากช่องติ๊กต็อก @dlyplmpud ด้อมส้มผู้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไปพร้อม ๆ กับสนับสนุนพรรคก้าวไกล ได้โพสต์คลิปวิดีโอเปิดใจต่อพรรคก้าวไกล แนะนำว่าควรปรับเปลี่ยนตัวพรรคอย่างไรบ้าง เพื่อแลนด์สไลด์ในภายภาคหน้า โดยระบุว่า…

สวัสดีครับผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลที่รักชาติ รักสถาบันทุกท่าน…ถึงแม้เราจะเลือกก้าวไกล แต่เราก็รักในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เหมือนกันกับทุกคน ดังนั้น ผมขอสนับสนุนให้พรรคก้าวไกลสมัยหน้าเราแลนด์สไลด์ และต้องคัดเลือกผู้สมัครที่มีประวัติสวยงาม ประวัติไม่ดีหรือเป็นอาชญากรตัดออกจากพรรคให้หมด พร้อมดําเนินการปราบปรามคอร์รัปชันอย่างเต็มรูปแบบ กล้าชนกับทุกคอร์รัปชัน โดยอิงตามรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งเป็นประชาธิปไตย เป็นรัฐธรรมนูญที่ประชาชนลงมติมา 16 ล้านเสียงให้เป็นรัฐธรรมนูญที่บังคับใช้ฉบับนี้ ดังนั้นขอสนับสนุนให้พรรคก้าวไกลดําเนินการตามรัฐธรรมนูญ 2560 ผู้ประกันรัฐธรรมนูญ 2560 มีโทษถึงประหารชีวิตสําหรับคนที่ทุจริตและคอร์รัปชัน

ซึ่งพรรคก้าวไกลต้องรักษารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไว้เพราะเราจะมาต่อต้านคอร์รัปชันอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมตัดคนที่โกหกออกจากพรรค เพราะคนที่โกหกไม่ทําชั่วไม่มี และกําจัดคนที่คิดล้มล้างสถาบันออกไปจากพรรคให้หมด อย่าให้การสนับสนุนใด ๆ กับคนพวกนี้ ซึ่งเป็นคนคิดชั่ว อย่าให้มาแปะเปื้อนกับพรรคที่สวยงามของเรา

สนับสนุนให้พรรคก้าวไกลคัดเลือกผู้สมัครที่มีคุณธรรมจริยธรรมสูงลงสมัครรับเลือกตั้ง อย่าเอาผู้สมัครที่แสดงพฤติกรรมเถื่อนถ่อยและนิสัยที่ไม่ดีทางโซเชียล ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลใด ๆ มาเป็นผู้แทน ซึ่งจะเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีของเยาวชน และสนับสนุนให้พรรคส่งเสริมและอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมที่ดีงามและมารยาทที่ดีงาม นําความสวยงามของความเป็นคนไทยไปสู่สากล นําไทยให้เป็นผู้นําสากล ไม่ใช่เอาสากลมาครอบงําประเทศไทย ขอสนับสนุนพรรคก้าวไกลทุกวิถีทางช่วยกันพี่น้อง…

ค่าแรงขั้นต่ำถูกกว่าจีน 2 เท่าครึ่ง ดัน 'เวียดนาม' ขึ้นแท่นโรงงานโลกแทนจีน แถมประสิทธิภาพการผลิตสูงสุดในอาเซียน ชนะสิงคโปร์ ทิ้งห่างไทย

(1 มี.ค.67) BTimes เผย เวียดนามกำลังขึ้นแท่นโรงงานโลกแทนจีน หลังค่าแรงขั้นต่ำถูกกว่าจีน 2 เท่าครึ่ง แถมประสิทธิภาพการผลิตเวียดนามแรงสูงสุดในอาเซียนชนะสิงคโปร์และทิ้งห่างไทย และในปีหน้าก็ตั้งเป้าพัฒนาแรงงานฝีมือดีให้ได้ถึง 30% เพื่อดันประสิทธิภาพการผลิตสูงต่อเนื่องอีกด้วย

สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ เปิดเผยว่าผลิตภาพ หรือผลผลิตต่อการผลิต หรือ Productivity ถือเป็นหัวใจสำคัญของการแข่งขันของทุกประเทศ ซึ่งการเพิ่มผลิตภาพไม่ใช่เพียงการทำให้ตัวเลขอย่าง GDP หรือ Output เพิ่มขึ้น แต่เป็นการดึงดูดการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ หรือเอฟดีไอ ให้ไหลเข้าในประเทศอย่างยั่งยืน

เวียดนามถือเป็นหนึ่งในประเทศที่น่าจับตามอง เนื่องจากมีการผลักดันการเพิ่มผลิตภาพอย่างจริงจังและชัดเจน ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผลิตภาพของประเทศเวียดนามมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานเฉลี่ยอยู่ที่ 5.1% ต่อปี ส่งผลสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคอาเซียน ที่สำคัญอยู่สูงกว่าสิงคโปร์และไทย 

ถึงแม้แต่ในช่วงปี 2564 ซึ่งเป็นปีที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เวียดนามยังคงมีอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานอยู่ที่ 4.7% ซึ่งสูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้เวียดนามมีอัตราการเติบโตของผลิตภาพสูง ได้แก่ แรงงานเวียดนามที่มีทักษะเพิ่มสูงขึ้น รัฐบาลเวียดนามเน้นการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับภาคอุตสาหกรรม โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนแรงงานมีฝีมือในประเทศเป็น 30% ภายในสิ้นปี 2568

ด้านค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่าคู่แข่งนั้น เวียดนามมีค่าจ้างแรงงานต่ำกว่าหลายประเทศ ปัจจุบันค่าแรงขั้นต่ำในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ เช่น ฮานอย, โฮจิมินห์ อยู่ที่ประมาณ 4,680,000 ด่งต่อเดือน หรือประมาณ 6,700 บาท ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำของจีนอยู่ที่ 1,420 หยวนต่อเดือน หรือประมาณ 17,000 บาท 

ปัจจัยต่อมา คือ นโยบายสนับสนุนการลงทุนจากต่างชาติ เวียดนามมีนโยบายที่เอื้อต่อการลงทุนจากต่างชาติ ทั้งการลดกฎระเบียบในการดำเนินธุรกิจและอุปสรรคจากการค้า การให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีและยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักร และวัตถุดิบ รวมถึงการเข้าร่วมเขตการค้าเสรีต่าง ๆ ซึ่งช่วยลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างประเทศ

ปัจจุบันบริษัทขนาดใหญ่จำนวนมาก อาทิ Adidas Nike IKEA Apple Foxconn Dell และ Samsung เป็นต้น ให้ความสนใจลงทุนและย้ายฐานการผลิตมาที่เวียดนามเพิ่มขึ้น จนอาจทำให้เวียดนามสามารถก้าวขึ้นมาเป็นโรงงานโลก (World Factory) แทนที่จีนซึ่งยังคงได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ากับสหรัฐอเมริกาที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อพิจารณาจากมูลค่าการนำเข้าของสหรัฐฯ ในปี 2565 เวียดนามได้ก้าวข้ามเกาหลีใต้ขึ้นมาเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ ในลำดับที่ 6 มูลค่าการนำเข้า 127.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนไทยอยู่ในลำดับที่ 14 มูลค่าการนำเข้า 58.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม การผลิตแรงงานทักษะสูงที่ไม่ทันต่อความต้องการ กระทรวงแรงงาน ผู้พิการ และสวัสดิการสังคมของเวียดนามในปี 2565 รายงานว่า มีแรงงานเพียง 26% เท่านั้นที่ได้รับการฝึกอบรมอย่างสมบูรณ์ ในขณะที่แรงงานที่เหลือยังขาดทักษะและไม่สามารถตอบสนองความต้องการขององค์กรได้ ซึ่งองค์กรในเวียดนามถึง 57% กำลังประสบปัญหาในการสรรหาแรงงานทักษะสูงและถึงแม้เวียดนามจะสามารถเพิ่มอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานได้อย่างต่อเนื่อง แต่ผลิตภาพแรงงานกลับยังคงต่ำกว่าหลายประเทศ 

ด้าน Productivity Databook 2023 โดย APO รายงานว่า ในปี 2564 เวียดนามมีมูลค่าผลิตภาพแรงงานต่อคนที่ 20,500 เหรียญสหรัฐ (738,000 บาท) ในขณะที่มาเลเซียอยู่ที่ 60,900 เหรียญสหรัฐ (2,192,400 บาท) ไทยอยู่ที่ 33,000 เหรียญสหรัฐ (1,188,000 บาท) อินโดนีเซีย 26,300 เหรียญสหรัฐ (946,800 บาท) และฟิลิปปินส์ 23,600 เหรียญสหรัฐ (849,600 บาท) ซึ่งสะท้อนว่า อัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานของเวียดนามมีความเสี่ยงที่จะถูกก้าวข้ามได้ในอนาคต หากประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอาเซียนมีนโยบายและมาตรการที่สามารถกระตุ้นอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงาน

สถานการณ์ที่ประเทศกำลังเผชิญส่งผลให้เวียดนามตัดสินใจผลักดันการเพิ่มผลิตภาพแรงงานเป็นแผนระดับชาติตามมตินายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2566 ซึ่งกำหนดเป้าหมายเป็น 1 ใน 3 ประเทศชั้นนำด้านอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานในภูมิภาคอาเซียนภายในปี 2573 โดยเพิ่มอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานเฉลี่ยต่อปีเป็น 6.5% แบ่งเป็นภาคอุตสาหกรรมแปรรูปและผลิต 6.5 - 7% ภาคเกษตรกรรม ป่าไม้ และประมง 7 - 7.5% และภาคบริการ 7 - 7.5% เพื่อมุ่งให้ผลิตภาพแรงงานกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญในการเติบโตอย่างยั่งยืน และทำให้เวียดนามสามารถใช้โอกาสจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top