Friday, 23 May 2025
NewsFeed

‘แบรนด์สมาร์ตโฟนจีน’ อวดเทคโนโลยีสุดล้ำ!! ใช้ ‘สายตา’ บังคับรถ อาศัยแอปฯ จับการเคลื่อนไหวสายตาในมือถือ แทนการจับพวงมาลัย

(29 ก.พ.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ปกติแล้วเมื่อนึกถึงการขับขี่รถยนต์ ผู้คนย่อมนึกภาพการควบคุมรถโดยการใช้สองมือคอยจับหมุนพวงมาลัย ทว่าเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วไม่เพียงแต่ทำให้คนขับสามารถปล่อยมือจากพวงมาลัยตอนขับรถ แต่ยังสามารถใช้ ‘สายตา’ เป็นตัวควบคุมได้ด้วย

ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวซินหัวพาชมวิธีการควบคุมรถด้วยเทคโนโลยีติดตามสายตาผู้ใช้ (eye tracking) ซึ่งพัฒนาโดยออเนอร์ (HONOR) ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนจีน และถูกนำมาอวดโฉมระหว่างงานโมบายล์ เวิลด์ คองเกรส (MWC) ประจำปี 2024 ที่จัดขึ้นในเมืองบาร์เซโลนาของสเปน

ออเนอร์ติดตั้งเทคโนโลยีติดตามสายตาผู้ใช้ลงบนสมาร์ตโฟน และใช้เซนเซอร์จับภาพด้านหน้าของมือถือตรวจจับการเคลื่อนที่ของสายตา ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถออกคำสั่งให้รถสตาร์ตหรือดับเครื่องยนต์ รวมถึงออกคำสั่งให้รถเดินหน้าหรือถอยหลังได้อีกด้วย

สตม.จับนายหน้ารถตู้ขนแรงงานต่างด้าวหลบหนีหมายจับนาน 5 ปี นำส่งชายแดนไทย-พม่า โดยฝ่าฝืนกฎหมาย พร้อมก่อเหตุลักทรัพย์นายจ้างกว่า 200,000 บาท 

กก.4 บก.สส.สตม. จับกุม นายอ่อง (นามสมมติ) อายุ 33 ปี สัญชาติเมียนมา ผู้ต้องหาตามหมายจับ     ศาลจังหวัดระนอง ที่ จ.136/2564 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 ต้องหากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ ให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามพระราชบัญญัติควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558 นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ปากจั่น จว.ระนอง ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุมบริเวณบ้านพักริมคลองบางบอน แขวงบางบอน เขตบางบอน กรุงเทพฯ

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2564  เวลาประมาณ 05.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ทหาร ได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ขับขี่รถพยาบาล 2 ราย โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันช่วยเหลือ ซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆ ให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม, และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558” พร้อมจับกุมตัวแรงงานชาวเมียนมาจำนวน 10 คน โดยกล่าวหาว่า “เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของ เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558”

จากการสอบถามผู้ขับขี่ ให้การรับสารภาพว่าเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2564  ได้รับจ้างขนแรงงานชาวเมียนมา ให้กับนายอ่อง โดยได้ขับรถไปรับนายอ่องในพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อไปรับแรงงานต่างด้าวในพื้นที่จังหวัดระนอง บริเวณ ปากซอยก่อนถึงโรงแรมแห่งหนึ่ง ประมาณ 100 เมตร และได้ร่วมเดินทางกลับพร้อมแรงงานต่างด้าว เมื่อมาถึงสี่แยกไฟแดง อ.กระบุรี จว.ระนอง นายอ่องขอลงรถอ้างว่าจะกลับไปบ้านที่ย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา และได้หลบหนีไป ต่อมาศาลจังหวัดระนองได้อนุมัติหมายจับ ที่ จ.136/2564 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 ให้จับนายอ่องในความผิดฐาน “ร่วมกันช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ ให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของ เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามพระราชบัญญัติควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558”

จากการสืบสวนของ กก.4 บก.สส.สตม. สืบทราบว่านายอ่อง ได้เข้ามาในประเทศไทยและได้มาพักอาศัยอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ จึงได้ทำการสืบสวนจนทราบว่านายอ่อง ได้พักอาศัยอยู่ที่ห้องเช่าแห่งหนึ่งย่านบางบอน จึงได้ทำการเฝ้าติดตามจนกระทั่งพบตัวนายอ่อง จึงได้ทำการจับกุมตามหมายจับดังกล่าว ในเบื้องต้นนายอ่องได้รับสารภาพว่าในช่วงที่ประเทศไทยมีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตนได้ทำหน้าที่เป็นนายหน้า ในการนำแรงงานชาวเมียนมาเข้ามายังประเทศไทย ผ่านชายแดนจังหวัดระนอง และจัดหารถตู้วิ่งรับและนำแรงงานชาวเมียนมาเข้ามาในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและกรุงเทพฯ ได้ค่าจ้าง ประมาณ 10,000 บาท/คน ซึ่งรายได้ค่อนข้างดี จึงได้เป็นนายหน้าในการหาคนเข้ามาทำงานเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป  

บก.สส.สตม. ได้ทำการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่านายอ่องได้ก่อเหตุลักทรัพย์นายจ้าง เหตุเกิดในพื้นที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ ไปจำนวนหลายครั้ง ความเสียหายกว่า 2 แสนบาท จึงได้ประสาน สน.ทุ่งมหาเมฆ เพื่อทำการอายัดตัวผู้ต้องหารายดังกล่าวต่อไป

รมว.พิพัฒน์ ลุยเพิ่มการจ้างงาน วัยเรียน แรงงานอิสระ กระตุ้นเศรษฐกิจ พัทลุง ผู้สนใจกว่า 3 หมื่นคน ในงาน 'สร้างงาน เส้นทางสู่อาชีพ@พัทลุง'

วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดงานสร้างงาน และเส้นทางสู่อาชีพ ณ จังหวัดพัทลุง โดยมี นายภุชงค์ วรศรี ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน  นายภูมิพัฒน์ เหมือนจันทร์ โฆษกกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน ร่วมเป็นเกียรติในพิธี นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวรายงาน นางนิศากร วิศิษฏ์สรอรรถ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง นางกัญจนา สุขมาก นักวิชาการแรงงานชำนาญการพิเศษ รักษาราชการแทน จัดหางานจังหวัดพัทลุง พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดพัทลุง ให้การต้อนรับ ณ โรงแรมร้อยทองรีสอร์ท อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จังหวัดพัทลุงเป็นเมืองรองที่มีศักยภาพโดดเด่นด้วยความเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อภาคใต้ตอนบนและภาคใต้ตอนล่าง เป็นเส้นทางหลักที่จะผ่านไปยังจังหวัดต่างๆ และพร้อมก้าวสู่การเป็นเมืองแห่งความยั่งยืน ด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางานจึงจัดงาน “สร้างงานและเส้นทางสู่อาชีพ จังหวัดพัทลุง” ขึ้นที่นี่ เพื่อพัฒนาศักยภาพกำลังแรงงานภายในจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียงให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อรองรับความเจริญเติบโต และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทุกภาคส่วนของจังหวัด ด้วยการจัดกิจกรรมส่งเสริมให้คนหางาน และสถานประกอบการที่มีตำแหน่งงานว่าง มีโอกาสมาพบกัน เพิ่มโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงบริการของรัฐ เข้าถึงข้อมูลอาชีพ - การศึกษา รู้สภาวะและแนวโน้มตลาดแรงงาน เปิดโลกทัศน์ สร้างสรรค์และจุดประกายไอเดียการประกอบอาชีพและเห็นทิศทางของอาชีพยุคใหม่ ตลอดจนรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เพื่อสามารถพัฒนาทักษะและปรับตัวเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างเหมาะสม บรรลุเป้าหมายการจ้างงาน 1 ล้านอัตรา ภายในปี 2567 

ด้าน นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ การรับสมัครและสัมภาษณ์งานโดยตรงกับนายจ้าง สถานประกอบการในจังหวัดพัทลุง และจังหวัดใกล้เคียง จำนวน 33 แห่ง มีตำแหน่งงานว่าง 681 อัตรา อาทิ พนักงานขายสินค้า พนักงานบริการลูกค้า พนักงานธุรการ ช่างเทคนิค ฯลฯ การรับสมัครงานกลุ่มคนพิเศษ ค้นหาตำแหน่งงานว่างทั่วประเทศจากรถบริการจัดหางานเคลื่อนที่ Mobile Unit การสาธิตอาชีพและฝึกปฏิบัติอาชีพอิสระ 6 อาชีพ ได้แก่ บาริสต้า การทำขนมชั้น การทำเบเกอรี่ การทำแกงไตปลาแห้ง การพิมพ์ลายผ้าจากใบไม้ การติดตั้งระบบโซล่าเซลล์ นิทรรศการแนะแนวการศึกษาต่อสำหรับนักเรียนนักศึกษาที่ใกล้เรียนจบ บริการแนะแนวอาชีพ การทดสอบความพร้อมทางอาชีพและทดสอบภาษาอังกฤษเพื่อการสมัครงาน นิทรรศการโลกของอาชีพและการเรียนรู้เสมือนจริง การให้คำปรึกษาแหล่งเงินทุนในการประกอบอาชีพ การให้คำปรึกษาและรับลงทะเบียนผู้สนใจไปทำงานต่างประเทศ และการให้บริการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน การจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าของผู้รับงานไปทำที่บ้าน และผลิตภัณฑ์ของผู้พิการ รวมทั้งหาไอเดียการทำธุรกิจ Food Truck & Franchise น่าลงทุน โดยมีผู้ให้ความสนใจการจัดงานครั้งนี้ จำนวน 32,586 คน 

ทั้งนี้ กระทรวงแรงงาน ขอเชิญชวนคนหางาน นักเรียน นักศึกษา และประชาชน ที่สนใจหางาน ต้องการพัฒนาทักษะฝีมือ และหาไอเดียในการประกอบอาชีพเสริม มาพบกันในงาน "สร้างงาน และเส้นทางสู่อาชีพ @พัทลุง” ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 ตั้งแต่เวลา 09.00 - 16.00 น. หรือหากไม่สามารถมาร่วมงานในวันนี้ได้ ยังสามารถเข้าร่วมงาน ณ จังหวัดนครศรีธรรมราช ในวันที่ 1-2 มีนาคม 2567 โดยลงทะเบียนสมัครงานเพื่อความสะดวกได้ที่เว็บไซต์กรมการจัดหางาน e-Service.doe.go.th “ไทยมีงานทำ” หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดพัทลุง โทร 0 7461 4141 ต่อ 18

สตม.รวบหนุ่มปากีสถานอัปโหลดภาพเปลือยสาวหลังมีความสัมพันธ์ลงแอปพลิเคชัน

กก.4 บก.สส.สตม. จับกุมนายซาบาส (นามสมมติ) อายุ 32 ปี สัญชาติปากีสถาน ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ 835/2566 ลงวันที่ 12 กันยายน 2566 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม หน้าหอพักในซอยรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ

การจับกุมผู้ต้องหารายนี้สืบเนื่อง บก.สส.สตม. ได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจากหญิงไทยรายหนึ่งว่า ได้ถูกอดีตสามีซึ่งเป็นชาวปากีสถานแอบถ่ายภาพโป้เปลือยกายของตนแล้วนำไปโพสต์ลงบน Facebook และ Instagram จนได้รับความอับอายและเสียหาย จึงได้สั่งการให้ กก.4 บก.สส.สตม. ทำการสืบสวนกรณีดังกล่าว จากการสืบสวนทราบว่าชาวปากีสถานดังกล่าวคือ นายชาบาส (นามสมมติ) อายุ 32 ปี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ 835/2566 ลงวันที่ 12 กันยายน 2566 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ โดยนายชาบาส ได้หลบซ่อนตัวอยู่ในห้องพักแห่งหนึ่งย่านรามคำแหง จึงได้ไปเฝ้าติดตามจนกระทั่งพบนายชาบาส จึงได้ทำการจับกุม  ตามหมายจับดังกล่าว จากการสอบถามนายซาบาส ในชั้นจับกุมให้การว่าได้ทำการสร้างเฟซบุ๊กอวตาร (เฟซบุ๊กปลอม) และอินสตาแกรมอวตาร (ปลอม) จากนั้นได้นำภาพถ่ายโป๊เปลือยกายของอดีตภรรยาที่ได้แอบถ่ายไว้ไปโพสต์ลงบนโซเชียลดังกล่าวจริง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้นำตัวนายชาบาส ส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป 

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิด ในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th  จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

‘เจ๊ไฝ’ โวย!! เจอลูกค้าอ้างเป็น ‘สารวัตร’ บอกกำลังอยู่ในหน้าที่ แสดงพฤติกรรมแซงคิว แถมตีเนียนกินฟรี ชิ่ง!! ไม่จ่ายเงิน

(29 ก.พ.67) กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา เมื่อ ‘เจ๊ไฝ’ หรือ สุภินยา จันสุตะ เจ้าของตำนานสตรีตฟู้ดระดับมิชลิน 7 ปีซ้อน โพสต์สตอรี่อินสตาแกรมภายใต้บัญชี @jayfaibangkok เป็นข้อความที่โดนลูกค้าไม่ยอมต่อคิว อ้างเป็นตำรวจมาขอนั่งกิน สุดท้ายไม่จ่ายเงินด้วย

โดยโพสต์สตอรี่ของเจ๊ไฝระบุว่า “วันนี้มีลูกค้าไม่ยอมต่อคิว อ้างตัวเป็นสารวัตรนอกเครื่องแบบกำลังอยู่ในหน้าที่ ขอโต๊ะเลยทานข้าว สั่งห่อ แล้วไม่จ่ายเงิน”

หลังจากโพสต์สตอรี่ดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ไป ก็กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ทั้งในพฤติกรรมที่มาแซงคิว มาทำทีของกินฟรี และไม่จ่ายเงินด้วย

สำหรับร้านเจ๊ไฝ เป็นร้านสืบทอดกิจการมาจากรุ่นพ่อ อายุได้ 70 ปี เจ้าของร้านคนปัจจุบันคือ สุภิญญา จันสุตะ หรือเปีย อายุ 72 ปี เป็นเจ้าของร้านดังกล่าวมากว่า 35 ปี

โดยเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 แล้วไปเรียนต่อด้านการตัดเสื้อ แต่หลังจบก็ไม่ประสบความสำเร็จ ต่อมาจึงช่วยครอบครัวทำร้านก๋วยเตี๋ยวและหันมาเปิดร้านอาหารของตนเองตามลำดับ ปัจจุบันยังเป็นแม่ครัวในร้านของตัวเองอยู่

‘แคว้นทรานส์นีสเตรีย’ ขอความคุ้มครองจาก ‘รัสเซีย’ อ้าง!! ถูก ‘รบ.มอลโดวา’ กดดันทางเศรษฐกิจอย่างหนัก

เมื่อวานนี้ (28 ก.พ. 67) รัฐบาลท้องถิ่นแคว้นทรานส์นีสเตรีย หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐมอลเดเวียพรีดเนสโตรวี มีมติยื่นคำร้องถึงรัฐบาลมอสโก เพื่อขอความคุ้มครองพิเศษจากรัสเซีย อ้างเหตุหวั่นตกเป็นพื้นที่พิพาทแห่งใหม่จากการสู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ประกอบกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจจากรัฐบาลมอลโดวา

‘ทรานส์นีสเตรีย’ เป็นแคว้นที่ประกาศแยกตัวออกจากประเทศมอลโดวา แต่ยังไม่มีการรับรองอย่างเป็นทางการในระดับสากล ภูมิประเทศเป็นพื้นที่แคบยาวตลอดแนวแม่น้ำนีสเตอร์ และมีชายแดนติดกับยูเครน มีรัฐบาลท้องถิ่นปกครองตนเองซึ่งส่วนใหญ่มีแนวคิดสนับสนุนรัสเซียมาตั้งแต่ยุคหลังสหภาพโซเวียต

แต่ในปัจจุบันสภาแห่งยุโรปยังถือว่าทรานส์นีสเตรีย เป็นส่วนหนึ่งของประเทศมอลโดวา เพียงแต่อยู่ภายใต้การยึดครองโดยกองทัพรัสเซีย ในขณะที่รัฐบาลมอลโดวา กำหนดให้ดินแดนแห่งนี้เป็นหน่วยปกครองดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำนีสเตอร์

แต่เมื่อวันพุธที่ผ่านมา สมาชิกสภาคองเกรซแห่งทรานส์นีสเตรียได้ลงมติเรียกร้องให้สภาดูมาแห่งรัสเซียพิจารณามาตรการป้องกันให้แก่ทรานส์นีสเตรีย อันเนื่องจากในทรานส์นีสเตรียมีพลเมืองรัสเซียอาศัยอยู่มากกว่า 2.2 แสนคน ที่ควรได้รับการคุ้มครองจากแรงภาวะสงครามในยูเครน และ แรงกดดันจากนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลมอลโดวา 

ข้อพิพาทครั้งล่าสุดระหว่างมอลโดวา และ ทรานส์นีสเตรีย มาจากนโยบายเก็บภาษีใหม่ โดยได้กำหนดให้บริษัทเอกชนในทรานส์นีสเตรียต้องเสียภาษีศุลกากรสินค้าให้กับรัฐบาลกลางมอลโดวา มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมเป็นต้นมา 

ในขณะที่ วาดิม ครานโนสเซลสกี้ ผู้นำของทรานส์นีสเตรีย ได้ออกมาทักท้วงว่าทรานส์นีสเตรียควรได้รับสิทธิ์ยกเว้นภาษีจากข้อตกลงการค้าเสรีมอลโดวา ที่ได้เซ็นไว้ในที่ประชุมสหภาพยุโรปในปี 2013 

แต่ทั้งนี้ มอลโดวากำลังได้รับการพิจารณาเป็นประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรป โดยไม่รวมเขตปกครองทรานส์นีสเตรียในข้อตกลงด้วย จึงทำให้รัฐบาลมอลโดวาจำเป็นต้องยกเลิกการผ่อนปรนภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าจากทรานส์นิสเตรียน ทำให้เจ้าของกิจการทรานส์นีสเตรีย มีภาระด้านภาษีเพิ่มขึ้นเพราะต้องจ่ายภาษีให้กับทั้งทรานส์นิสเตรียและมอลโดวา

อีกทั้งสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ทำให้รัฐบาลยูเครนต้องปิดชายแดนทางฝั่งทรานส์นิสเตรีย จึงส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจของทรานส์นิสเตรีย ที่ถูกกดดันทั้งจากสถานการณ์ในยูเครน และ จากรัฐบาลมอลโดวา อันเป็นเหตุให้สภาท้องถิ่นทรานส์นิสเตรีย มีมติขอความคุ้มครองจากรัฐบาลรัสเซียในวันนี้ 

สื่อรัสเซียได้อ้างอิง คำให้สัมภาษณ์ของรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียว่าได้ตอบรับข้อเรียกร้องของทรานส์นิสเตรียแล้ว โดยได้กล่าวว่า การปกป้องดินแดนสีเงิน (ชื่อที่รัสเซียใช้เรียกทรานส์นิสเตรีย) เป็นสิ่งที่รัสเซียให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ท่ามกลางกระแสข่าวลือว่ารัสเซียอาจมีแผนในการผนวนดินแดนทรานส์นิสเตรียเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียในอนาคต

ในขณะเดียวกัน โอเลก เซเรเบรียน รองนายกรัฐมนตรีของมอลโดวา ออกมาปฏิเสธคำแถลงของรัฐบาลทรานส์นิสเตรีย ว่าเป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อ ไม่มีสถานการณ์อันตรายใด ๆ ในภูมิภาคทรานส์นิสเตรียนที่ต้องขอการคุ้มครองพิเศษ เป็นแค่เพียงการปั่นกระแสเพื่อสร้างความตื่นตระหนกเท่านั้น

โดนัลด์ ทัสค์ นายกรัฐมนตรีโปแลนด์ ก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า ความตึงเครียดในทรานส์นิสเตรียเป็นอันตรายต่อภูมิภาคก็จริง แต่ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ การยั่วยุ และคุกคามจากรัสเซียนั้นมีมานานแล้ว โดยผู้นำโปแลนด์ได้ยกตัวอย่างกองกำลังแบ่งแยกดินแดนที่อยู่ทางภาคตะวันออกของยูเครน ที่ได้ขอการคุ้มครองพิเศษจากรัสเซียเมื่อปี 2022 เพื่อป้องกันการโจมตีจากกองทัพยูเครนเช่นกัน และต่อมาทางรัสเซียก็ได้ผนวกเอาดินแดนทางฝั่งยูเครนตะวันออกส่วนนั้นไปแล้ว

เช่นเดียวกับทางสหรัฐอเมริกา แมทธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า สหรัฐฯ จะสนับสนุนอธิปไตย และการอ้างสิทธิ์ในดินแดนที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลของมอลโดวาอย่างเต็มที่ และจะจับตาดูความเคลื่อนไหวของรัสเซียในทรานส์นิสเตรียอย่างใกล้ชิด ที่อาจมีเป้าหมายเชิงรุกในการทำลายเสถียรภาพและความมั่นคงของชาติสมาชิกในยุโรป

เพราะคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ หากรัสเซียจะเดินกลยุทธ์ ผนวกดินแดนทรานส์นิสเตรียเป็นของตนถาวร และจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันทั้งฝั่งยูเครน และ มอลโดวา ว่าภัยคุกคามจากรัสเซียสามารถแทรกซึมได้ไวกว่าที่คิด 

สะเทือน!! ‘MONO’ ปรับโครงสร้าง สั่ง ‘ปลดพนักงาน’ ทุกหน่วย ช่วยลดรายจ่ายต่อเดือนถึง 11 ลบ. พร้อมเตรียมใช้ AI อ่านข่าวแทน

(29 ก.พ.67) นายปฐมพงศ์ สิรชัยรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โมโน เน็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MONO รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ปี 2566 บริษัทมีรายได้รวม 1,895.4 ล้านบาท ลดลง 9.4% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) มีผลขาดทุนสุทธิ 255.1 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 324.4 ล้านบาท เมื่อเทียบจากปี 2565

โดยในปี 2567 ทาง MONO ได้ปรับโครงสร้างองค์กร โดยการปรับลดจำนวนพนักงานในทุกส่วนงานให้มีขนาดที่เหมาะสม ปรับลดขนาดธุรกิจในส่วนที่ไม่ทำกำไร ลดหน่วยงานที่ซ้ำซ้อน และมีการจ้างบริษัทภายนอก (Outsource) ที่มีความชำนาญเข้ามาทดแทน ส่งผลให้ในปี 2567 มีค่าใช้จ่ายพนักงานปรับลดลงประมาณ 11 ล้านบาทต่อเดือน หรือลดลงคิดเป็น 33% เมื่อเทียบกับก่อนการปรับโครงสร้าง

สำหรับธุรกิจทีวีดิจิทัล MONO เตรียมเผยแพร่ข่าวสั้นด้วยเสียงจาก AI (ต้นฉบับเสียงมาจากผู้ประกาศข่าวของ MONO29) ที่จะเริ่มออกอากาศเร็ว ๆ นี้ สำหรับธุรกิจออนไลน์พัฒนาระบบคำพยากรณ์จากหลากหลายศาสตร์ด้วย AI โดยร่วมมือกับเครือข่ายนักพยากรณ์ที่มีชื่อเสียงเพื่อให้บริการผ่านแอปพลิเคชั่น MTHAI

เปิดใจ ‘สมโภชน์ อาหุนัย’ หลังประกาศชิงเก้าอี้ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

เปิดใจ ‘สมโภชน์ อาหุนัย’ ประกาศชิงเก้าอี้ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ย้ำชัด “ประเทศรอไม่ได้” ขออาสาทำงานเพื่อทุกกลุ่มอุตสาหกรรมทั่วประเทศของไทย หวังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน

การเลือกตั้งกรรมการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) วาระปี 2567-2569 กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 25 มี.ค.2567 โดยกรรมการ ส.อ.ท.ที่ได้รับการเลือกตั้งดังกล่าว รวมกับกรรมการที่ได้รับการเลือกจากกลุ่มอุตสาหกรรม 46 กลุ่ม และสภาอุตสาหกรรมจังหวัด 76 จังหวัด จะมาทำหน้าที่ลงคะแนนเลือกตั้งประธาน ส.อ.ท.วาระปี 2567-2569 อีกครั้ง

การเลือกตั้งในครั้งนี้ เป็นที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง เมื่อ นายสมโภชน์ อาหุนัย รองประธาน ส.อ.ท.และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ได้เสนอตัวชิงเก้าอี้ด้วย ซึ่งปัจจุบันนายเกรียงไกร เธียรนุกูล เป็นประธาน ส.อ.ท.วาระ 2565-2567 ดำรงตำแหน่งในวาระที่ 1 ยังคงเสนอตัวเป็นประธาน ส.อ.ท.อีก 1 สมัย 

ทั้งนี้ นายสมโภชน์ ได้เปิดวิสัยทัศน์ และเปิดใจในการประกาศชิงเก้าอี้ประธาน ส.อ.ท.คนที่ 17 เอาไว้อย่างน่าสนใจ โดยระบุว่า การเสนอตัวชิงตำแหน่งในครั้งนี้ เป็นอุดมการณ์ที่มีมาตั้งนานแล้วคืออยากสร้างประโยชน์ให้สังคมและประเทศชาติ ต้องการรับใช้ชาติในฐานะภาคเอกชน โดยจะนำความรู้ ความสามารถและประสบการณ์การทำงานมาช่วยประเทศชาติในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา ทั้งในฐานะสมาชิกและรองประธาน ส.อ.ท. ได้ทำงานด้วยจิตอาสาโดยไม่ได้หวังผลตอบแทนหรือรับประโยชน์ใด ๆ ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่อยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น จึงขอเสนอตัวเข้ารับการคัดเลือกเป็นประธาน ส.อ.ท. เพื่อช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรมและเศรษฐกิจไทยเติบโต อีกทั้งสามารถยืนอยู่บนเวทีโลกได้อย่างแข็งแกร่ง

ทั้งนี้ หากได้รับเลือกเป็นประธาน ส.อ.ท. คนใหม่ นายสมโภชน์ ย้ำว่า ในอนาคตจะเห็น ส.อ.ท. ทำงานเชิงรุกด้วยยุทธศาสตร์ 4 ประการคือ 1.ทำงานเชิงรุกในการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจของประเทศให้สอดประสานระหว่างภาครัฐกับเอกชน 2.สร้างพลังและเพิ่มขีดความสามารถของสมาชิกสภาอุตสาหกรรมทั่วประเทศ 3.ประสานภาครัฐให้ช่วยส่งเสริมสนับสนุนเอสเอ็มอี ผู้ประกอบการรายย่อย-รายใหม่ในการผลิตสินค้าที่มีมูลค่า และ 4.นำเอาความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ที่มีมาบูรณาการในเชิงรุกและเชิงรับทุกมิติ

“ผมเคยเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจนกระทั่งปัจจุบันทำหน้าที่บริหารธุรกิจในกลุ่มพลังงานบริสุทธิ์ ต้องการนำเสนอไอเดียที่มีเพื่อให้เกิด Impact มากกว่าที่ทำอยู่ในปัจจุบัน เพราะเชื่อว่า ส.อ.ท. คือแกนหลักของประเทศ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจให้เติบโตขึ้น ในสถานการณ์ปัจจุบันเราไม่ควรอยู่ในสภาพตั้งรับควรอยู่ในเชิงรุก เนื่องจากโลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก แต่ละอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบแตกต่างกันออกไป มีทั้งที่ต้องการรับการส่งเสริมสนับสนุนหรือเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหา รวมถึงทำหน้าที่เป็นตัวแทนเชื่อมกับภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรมให้บรรลุผลสำเร็จและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์กับผู้ประกอบการแล้วยังตอบสนองภาครัฐให้บรรลุตามแผนยุทธศาสตร์ที่ตั้งไว้”

ส่วนเหตุผลที่มีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดจึงไม่รอรับไม้ต่อจากนายเกรียงไกร ที่จะนั่งในตำแหน่งนี้อีก 2 ปี ในวาระที่ 2 นายสมโภชน์ ได้ชี้แจงว่า โดยส่วนตัวมองว่าประเทศไทยรอไม่ได้ ภาระหนี้ครัวเรือน การลงทุนไม่เข้า ถ้ารออีก 2 ปี เปรียบเหมือนคนที่เป็นมะเร็งขั้นที่ 1 ก็อาจจะรอได้แต่ถ้าเป็นขั้นที่ 4 หากรอก็อาจจะแก้ไม่ได้แล้ว แม้ว่าในขณะนี้เศรษฐกิจไทยอาจจะยังไม่ถึงขั้นวิกฤต แต่ก็ถือว่าอยู่ในขั้นป่วย

นายสมโภชน์ ชี้ให้เห็นว่า ขณะนี้ บางอุตสาหกรรมเดิมแข่งขันไม่ได้ มีบางอุตสาหกรรมที่เป็นดาวรุ่ง จึงจะเป็นสะพานเชื่อมหลายอุตสาหกรรมมารวมกันใครเดือดร้อนต้องช่วยกัน เพื่อให้เป็นรูปธรรม เพิ่มขีดความสามารถอุตสาหกรรมกับประเทศ สร้างมูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรม คนไหนเดือดร้อนก็ช่วย คนไหนแข็งแรงก็ทำให้ดีขึ้นเพื่อให้ฝนตกทั่วฟ้า จึงต้องการเดินไปข้างหน้าด้วยนโยบายและมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน พร้อมผสานความเป็นปึกแผ่นเพื่อมองไปข้างหน้าด้วยกัน พร้อมทั้งทำงานกับทางรัฐบาลอย่างแนบแน่นเป็นทีมไทยแลนด์อย่างแท้จริง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

สำหรับประเด็นที่อาจจะมีคนมองว่า การลงสมัครเลือกตั้งเกิดจากความขัดแย้งนั้น นายสมโภชน์ ยืนยันว่า ไม่ได้มีความขัดแย้งแต่อย่างใด เพียงแต่ตนต้องการใช้โอกาสนี้เสนอไอเดียที่สร้างสรรค์ เพราะประเทศวันนี้รอไม่ได้ ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเศรษฐกิจไม่ดี จึงอยากเสนอตัวมาช่วยทำงาน โดยจะไม่ทำให้เกิดความแตกแยกทุกคนเป็นพี่น้องกันหมด และพร้อมจะซัปพอร์ตสมาชิกทุกคนทั้งที่เลือกและไม่เลือก ขณะเดียวกันก็ยังเคารพคุณเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. เหมือนเดิม

นายสมโภชน์ กล่าวอีกว่า หากได้รับเลือกตั้งเป็นประธาน ส.อ.ท. พร้อมจะเป็นแกนกลางในการประสานการทำงานระหว่างอุตสาหกรรมจังหวัด และกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อตกผนึกแนวคิดในการทำงาน และนำเสนอแผนยุทธศาสตร์ในอนาคตต่อภาครัฐ อุตสาหกรรมแต่ละประเภทจะต้องเตรียมแผนทรานส์ฟอร์มธุรกิจเพื่อรองรับการแข่งขันในเวทีโลกทุกมิติ อาทิ การปรับปรุงกฎหมายหรือกฎระเบียบเพื่อให้ทันกติการะดับสากล ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน (BCG & ESG) และการมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ซึ่งเป็นเทรนด์ของโลกในปัจจุบัน

“หากผมได้รับการเลือกตั้ง สิ่งแรกที่จะทำก็คือการเซ็ตซีโร่ จะไม่มีการแบ่งกลุ่ม แต่จะชักชวนสมาชิกที่มีความรู้ความสามารถมาช่วยกันทำงาน เพื่อเพื่อนสมาชิกและพร้อมให้สมาชิกตรวจสอบการทำงานในทุกด้าน แต่ถ้าไม่ได้รับเลือก ก็ยังพร้อมที่จะทำงานเพื่อสมาชิกต่อไป ยิ่งไอเดียที่ผมได้เสนอไปมีคนนำไปสานต่อก็จะยินดีมาก เพราะชัยชนะสำหรับผมคือการที่แนวคิดของผมได้รับการยอมรับและถูกนำเอาไปทำ โดยที่ผมอาจจะไม่ต้องทำเองก็ได้ แต่สิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้นเกิดได้โดยที่ผมก็ไม่ต้องเหนื่อยด้วย หากเพื่อนสมาชิกเห็นว่าใครเหมาะสมกว่าที่พร้อมจะทำงานตรงนี้ ถึงจะไม่ใช่ผมแต่ผมก็พร้อมที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการทำงานเช่นเดิม”

นายสมโภชน์ ยังกล่าวด้วยว่า หากได้เข้ามารับตำแหน่งก็จะฟังจากสมาชิกก่อนและจัดลำดับความสำคัญของปัญหาว่าประเด็นใดเป็นประเด็นเร่งด่วนที่จะต้องการให้มีการแก้ไข ก่อนที่จะสรุปเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อขับเคลื่อนนำเสนอสู่ภาครัฐต่อไป โดยไม่เน้นเฉพาะเรื่องพลังงานเท่านั้น เพราะตอนนี้ไทยต้องเจอทั้งปัญหาเรื่องการลงทุนโดยตรงไม่เข้าประเทศและประเทศไทยติดกับดักรายได้ปานกลางมาเป็นระยะเวลายาวนาน 6 ปีที่ผ่านมา 

ในส่วนของนโยบายด้านพลังงาน ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาเร่งด่วน ที่จะช่วยสร้างความสามารถในการแข่งขันให้ภาคอุตสาหกรรม ที่ผ่านมาเราติดกับดักการสร้างโรงไฟฟ้าจำนวนมากจนมีกำลังไฟสำรองเกินความจำเป็น ทำให้ไม่สามารถที่จะไปลดต้นทุนที่เป็น Fixed cost ได้ ทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้าต้องแบกภาระค่าไฟเพิ่มขึ้น

แนวทางที่จะแก้ไขไม่ใช่เพียงการไปลดค่าไฟ เพราะนั่นก็จะไปกระทบกับผู้ผลิตไฟฟ้า แต่วิธีการเดียวก็คือการทำให้คนใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ซึ่งจะทำอย่างไรในเมื่ออุตสาหกรรมก็เท่าเดิมประชาชนก็ใช้เท่าเดิม คำตอบก็คือเราต้องหาคนใช้ไฟฟ้าใหม่ ลูกค้าใหม่ก็คือรถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV

“การที่เราเพิ่มจำนวนผู้ใช้รถ EV จะทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าใหม่ๆเพิ่มขึ้น และเรามีกำลังไฟฟ้าสำรองเพียงพอที่จะทำให้เราสามารถพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดและก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ ๆ ได้ทำให้มีราคาถูกลงและอุตสาหกรรมก็ไม่มีใครเสียหาย แน่นอนว่าแนวคิดนี้ เป็นหนึ่งในแนวทางในการแก้ปัญหาค่าไฟแพง แต่ยังมีอีกหลายปัญหาที่รอการแก้ไข ที่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมและนำพาเศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างยั่งยืน”

อย่างไรก็ตาม นายสมโภชน์ ยังบอกด้วยว่า คนอื่นๆที่มีวิสัยทัศน์และความสามารถก็สมัครตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมได้เช่นกัน เพื่อนำเสนอสิ่งดี ๆ ให้แก่ภาพรวมของอุตสาหกรรม และผู้ที่ได้รับเลือกเป็นประธานฯ ควรที่จะนำข้อเสนอไปขับเคลื่อนต่อให้เป็นรูปธรรม ที่สำคัญต้องสร้างความโปร่งใสในการทำงาน เป็นเวทีกลางที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน และกระจายอำนาจให้แต่ละกลุ่มมาช่วยกันทำงาน

สำหรับประวัติ ‘สมโภชน์ อาหุนัย’ จบการศึกษาปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ปริญญาโท บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต University of Pittsburgh สหรัฐอเมริกา, วิศวกรรมศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (วิศวกรรมพลังงานทดแทนสิ่งแวดล้อม) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลอีสาน

ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน), กรรมการบริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน), กรรมการบริษัท ทีเอสท์ โปรดักส์ จำกัด, กรรมการบริษัท อีเทอนิตี้ โฮลดิง จำกัด, คณะกรรมการบริหารศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ และคณะอนุกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ ด้านพัฒนาองค์กร

จากข้อมูลนิตยสาร ฟอบส์ ฉบับประเทศไทย พ.ศ. 2566 นายสมโภชน์ติดอยู่ในรายชื่อมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในประเทศไทยอันดับที่ 9 มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1.04 แสนล้านบาท (3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)

ผบ.ตร.มอบโล่และรางวัลแก่ตำรวจ สภ.จอหอ จ.นครราชสีมา เกลี้ยกล่อมหนุ่มคลุ้มคลั่งใช้ปืนยิงประตู จับแฟนสาว แม่ และลูกค้าเป็นตัวประกัน ให้มอบตัวสำเร็จ และช่วยเหลือตัวประกันปลอดภัยทุกคน ยกเป็นแบบอย่างการปฏิบัติ

วานนี้ (27 ก.พ.67) พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบโล่ประกาศเกียรติคุณและรางวัลให้กับข้าราชการตำรวจ สภ.จอหอ จ.นครราชสีมา ที่สามารถเกลี้ยกล่อมชายหนุ่มที่ง้อแฟนไม่สำเร็จ ใช้อาวุธปืนยิงประตู 1 นัด จับแฟนสาวและแม่ รวมทั้งลูกค้าเป็นตัวประกัน ให้มอบตัวได้สำเร็จ และสามารถช่วยเหลือตัวประกันออกมาได้อย่างปลอดภัยทุกคน โดยมี พ.ต.อ.นธีร์ สุคุณา ผู้กำกับการ สภ.จอหอ เป็นผู้แทนรับมอบ

โดยเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เกิดเหตุชายมีอาการคลุ้มคลั่งเนื่องจากง้อแฟนไม่สำเร็จ จึงใช้อาวุธปืนยิงประตู 1 นัด และจับแฟนสาว รวมทั้งแม่ของแฟนสาว และลูกค้าที่กำลังมาติดต่องานเป็นตัวประกัน เหตุเกิดภายในบ้านหลังหนึ่งใน ต.ตลาด อ.เมือง จ.นครราชสีมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.จอหอ นำโดย พ.ต.อ.นธีร์ สุคุณา ผู้กำกับการ สภ.จอหอ นำกำลังรีบเข้าตรวจสอบและเกลี้ยกล่อมผู้ก่อเหตุ ช่วยเหลือตัวประกันทุกคนออกมาได้สำเร็จ ขณะที่การดำเนินการเกลี้ยกล่อมผู้ก่อเหตุใช้เวลา 5-6 ชั่วโมง จึงมีท่าทีที่อ่อนลงก่อนยอมมอบตัว จึงควบคุมไปสอบสวนที่ สภ.จอหอ 

ผบ.ตร. กล่าวว่า การเข้าช่วยเหลือและระงับเหตุครั้งนี้เป็นไปตามหลักยุทธวิธี สามารถเกลี้ยกล่อมผู้ก่อเหตุให้มอบตัวได้สำเร็จ และช่วยเหลือประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้อย่างปลอดภัย ถือเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติหน้าที่ที่มีประสิทธิภาพ ด้วยหัวใจความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ สมควรได้รับการยกย่องชื่นชม จึงมอบโล่ประกาศเกียรติคุณพร้อมรางวัลให้ข้าราชการตำรวจ สภ.จอหอ ที่เข้าปฏิบัติการครั้งนี้ทุกนาย เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป

“ตร.” ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเรื่องการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กที่มีอายุก่อนถึงเกณฑ์การรับโทษทางอาญาฯร่วมหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง

เพื่อเป็นแนวทางการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานในการกำหนดวิธีปฏิบัติต่อเด็กที่มีอายุก่อนถึงการรับโทษทางอาญา วันนี้ 29 ก.พ.67) เวลา 10.30 น.ที่ห้องประชุมชั้น 19 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พล.ต.ท.ธนายุตม์  วุฒิจรัสธำรงค์ ผู้ช่วย ผบ.ตร./คณะทำงาน ศพดส.ตร.เปิดเผยว่า ตามที่กรมกิจการเด็กและเยาวชนมีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ พม 0304/ว1926 ลง 21 ก.พ.67 ขอเรียนเชิญ ผบ.ตร. ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเรื่องการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กที่มีอายุก่อนถึงเกณฑ์การรับโทษทางอาญาระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานอัยการสูงสุด ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางกระทรวงยุติธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุขและ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเป็นแนวทางการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานในการกำหนดวิธีปฏิบัติต่อเด็กที่มีอายุก่อนถึงการรับโทษทางอาญา

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์  สุขวิมล ผบ.ตร.,พล.ต.อ.สุรเชษฐ์  หักพาล รอง ผบ.ตร.(มค)/ผอ.ศพดส.ตร.ได้มอบหมายให้ตนเป็นผู้แทน “เข้าร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเรื่องการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กที่มีอายุก่อนถึงเกณฑ์การรับโทษทางอาญา“ ระหว่าง 7 ส่วนราชการ ได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง กระทรวงยุติธรรม กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุข

พร้อมด้วยนายไพรัช พรสมบูรณ์ศิริ 
รองอัยการสูงสุด ผู้แทนอัยการสูงสุด
นายเผดิม เพ็ชรกุล อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง
นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
นายโกมล พรมเพ็ง รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
นายธนู ขวัญเดช รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการนายแพทย์พงศ์เกษม ไข่มุกด์ 
อธิบดีกรมสุขภาพจิต ผู้แทนปลัดกระทรวงสาธารณสุขและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมลงนามโดยมมีนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานในการลงนาม ”ผู้ช่วย ผบ.ตร.กล่าว“


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top