Friday, 23 May 2025
NewsFeed

กระบี่-ทกจ.กระบี่ จับมือกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เดินหน้าขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยวเข้มแข็ง Strong Tourism Community (S.T.C.) กำหนดพื้นที่ 'อ่าวนาวแลนด์มาร์ก' เป็นชุมชนนำร่อง

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 ณ ห้องประชุม อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ นายสมชาย หาญภักดีปฏิมา ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ มอบหมายให้ นายสมปราชญ์ ปราบสงคราม รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ เป็นประธานเปิดโครงการชุมชนท่องเที่ยวเข้มแข็ง Strong Tourism Community (S.T.C.)โดยมี 

นายสุรัตน์ จรณโยธิน ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกระบี่ พร้อมด้วยว่าที่ พ.ต.ท.สราวุฒิ เกาะกลาง สว.ส.ทท.3 กก.2 บก.ทท.3 และภาคีเครือข่ายด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดกระบี่ เข้าร่วมอบรม

ตามที่รัฐบาลมีนโยบายเร่งด่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ  เร่งรัดสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว โดยการฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวประเทศจีนและประเทศคาซัคสถาน เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายโครงการชุมชนท่องเที่ยวเข้มแข็ง Strong Tourism Community (S.T.C.) เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและส่งเสริมมาตรการดูแลความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวและบริหารจัดการแบบบูรณาการอย่างองค์รวม

สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกระบี่ ได้บูรณาการร่วมกับสถานีตำรวจท่องเที่ยวกระบี่ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ร่วมกันจัดทำโครงการขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยวเข้มแข็ง Strong Tourism Community (S.T.C.) โดยได้กำหนดพื้นที่ “อ่าวนางแลนด์มาร์ก” ต.อ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่ เป็นพื้นที่ชุมชนท่องเที่ยวเข้มแข็ง ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางจุดนัดพบของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ให้เป็นชุมชนนำร่องในการดำเนินโครงการ และดำเนินการจัดอบรมอาสาสมัครตำรวจท่องเที่ยวในโครงการชุมชนท่องเที่ยวเข้มแข็ง  Strong Tourism Community (S.T.C.) ทั้งชาวไทยและชาวต่าวชาติ ประกอบด้วย พนักงานร้านสะดวกซื้อ (7-11) , พนักงานโรงแรม , พนักงานรักษาความปลอดภัย อ่าวนางแลนด์มาร์ค , และภาคีเครือข่ายด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดกระบี่ จำนวน  67 คน เข้าร่วมอบรม โดยมีวัตถุประสงค์  เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมกันสร้างเครือข่ายในการขับเคลื่อนนโยบายด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาล, สร้างความเชื่อมั่นในการรักษาความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่การท่องเที่ยวในพื้นที่ อีกทั้งเพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้ ความเข้าใจในแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ ข้อมูลท้องถิ่น การช่วยเหลือนักท่องเที่ยวในกรณีประสบเหตุ 

'หมอวรงค์' วิเคราะห์ 3 ต้นสายปลายเหตุ 'ก้าวไกล' ทิ้งซักฟอก 'ฮ่องกงมิตติ้ง-ย้อนศรล้มล้างปากปกครอง-ไร้น้ำยา'

(29 ก.พ.67) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘ทำไมพรรคก้าวไกลไม่ซักฟอกรัฐบาล’ ระบุว่า เมื่อปลายเดือนมกราคม 2567ที่ผ่านมา นายพิธาเองเป็นผู้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเศรษฐา ช่วงเดือนเมษายนนี้ก่อนปิดสมัยประชุมสภา ในประเด็นทุจริต บริหารล้มเหลว ทำงานล่าช้า

แต่กลายเป็นว่าปลายเดือนกุมภาพันธ์ล่าสุดนี้เอง ประธานวิปฝ่ายค้าน แถลงกลับลำเฉยว่า จะยังไม่เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในสมัยประชุมนี้ เพราะรัฐบาลเพิ่งเข้ามาบริหาร ยังไม่ได้ใช้งบ

พรรคก้าวไกลแน่ใจหรือว่า รัฐบาลนี้เข้ามาบริหาร แล้วไม่มีประเด็นที่ประชาชน อยากให้ฝ่ายค้านตรวจสอบ ซึ่งในความเป็นจริงมีหลายประเด็นมากที่ประชาชนสงสัย เช่น

การใช้อภิสิทธิ์ของนักโทษชายทักษิณ ซึ่งฝ่ายค้านตรวจสอบเรื่องนี้น้อยมาก ทั้งๆ ที่หลักฐานข้อมูล เอกสารต่างๆ ชัดเจนมาก

โครงการแจกเงินดิจิทัล 10000บาท สรุปแล้วจะได้หรือไม่ แล้วที่สัญญาว่าจะไม่กู้ยังจะกู้ไหม

ปัญหายาบ้า 5 เม็ด ที่นำไปสู่ การค้าบ้าเสรีสำหรับรายย่อย

ปัญหาเกาะกูด ที่ประชาชนหวาดระแวง ที่จะนำไปสู่การเสียดินแดน ทั้งๆ ที่สัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสในปี 2449 ระบุชัดเจนว่าเกาะกูดเป็นของไทย

ปัญหาปากท้องประชาชน จนตลาดเงียบเป็นป่าช้า

หรือแม้แต่ปัญหาที่ดิน ส.ป.ก. ที่เมื่อเปลี่ยนเป็นโฉนดเพื่อการเกษตรแต่กลายเป็นเอื้อนายทุนฮุบที่ป่าได้เป็นทางการ

คำถามที่ต้องถามกลับไปยังพรรคก้าวไกล ทำไมพวกท่านไม่กล้าซักฟอกรัฐบาล หรือว่า

1.การที่นายธนาธรไปพบนายทักษิณที่ฮ่องกง เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2566 ทำให้พรรคไม่กล้าซักฟอกนายทักษิณ

2.หรือพรรคก้าวไกลกลัวถูกย้อนศร กรณีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเรื่องล้มล้างการปกครองฯ ในทำนองเองก็ชั่ว ข้าก็เลว

3.หรือว่าพรรคก้าวไกลไร้น้ำยาจริงๆ มีแต่จะยกเลิก ม.112 ระวังถ้าเป็นแบบนี้สักวันหนึ่งจะโดนโห่ไล่ลงเวที

‘อดีตอาจารย์’ บริจาคเงิน 3.5 หมื่นลบ. ให้วิทยาลัยการแพทย์ในนิวยอร์ก นักศึกษาแพทย์ทุกคนจะได้เรียนฟรีจนจบหลักสูตร ไม่ต้องกู้ยืม-เป็นหนี้

เมื่อไม่นานมานี้ เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานเรื่องราวที่กำลังเป็นที่ฮือฮาบนโลกโซเชียลของสหรัฐ เมื่อนาง รูธ กอตส์แมน วัย 93 ปี ได้ทิ้งมรดกหุ้นจากบริษัทโฮลดิงข้ามชาติยักษ์ใหญ่ของสามี บริจาคเงินให้วิทยาลัยการแพทย์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เป็นจำนวนเงินกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท เรียนฟรีตลอดการศึกษา พร้อมระบุว่า ไม่อยากให้เป็นหนี้

ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น เผยว่า นางรูธ กอตส์แมน ได้ประกาศมอบเงินบริจาคก้อนใหญ่เป็นประวัติศาสตร์ถึง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 3.5 หมื่นล้านบาทให้กับวิทยาลัยแพทยศาสตร์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ในเขตบรองซ์ นครนิวยอร์ก

โดยเงินบริจาคทั้งหมดนี้นางกอตส์แมนให้กับนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4 ของวิทยาลัย จะได้รับเงินค่าเล่าเรียนคืนสำหรับภาคการศึกษาฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ และเมื่อถึงเดือน ส.ค. 2567 นักเรียนแพทย์ทั้งรุ่นปัจจุบันและที่กำลังจะสมัครเข้ามา จะได้เรียนฟรีทุกคน และไม่ต้องต้องจ่ายค่าเล่าเรียนอีกต่อไป

สำหรับ นางกอตส์แมน ระบุว่า เงินบริจาคของเธอจะช่วยให้แพทย์จบใหม่สามารถเริ่มต้นประกอบวิชาชีพได้โดยไม่ต้องมีภาระหนี้สินจากค่าเล่าเรียนทางการแพทย์ ซึ่งเธอยังหวังว่า ทุนการศึกษานี้จะเปิดโอกาสการเรียนแพทย์ให้กว้างขึ้น โดยรวมถึงผู้ที่ไม่สามารถจ่ายค่าเล่าเรียนที่สูงลิ่วได้

อย่างไรก็ตาม เศรษฐีนีใจบุญรายนี้ มีประวัติการทำงานยาวนานที่วิทยาลัยแพทย์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ซึ่งเป็นสถาบันทางการแพทย์ที่มีชื่อเสียง โดยเริ่มงานในปี 2511 ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายจิตวิทยาการศึกษา อีกทั้ง เธอยังเป็นสมาชิกคณะกรรมการอำนวยการของไอน์สไตน์มาอย่างยาวนาน และดำรงตำแหน่งประธานคนปัจจุบัน

ขณะเดียวกันทางด้านนายเดวิด กอตส์แมน ผู้เป็นสามีเป็นนักลงทุนรุ่นแรก ๆ ของบริษัทเบิร์กเชอร์ แฮทอะเวย์ หนึ่งในบริษัทโฮลดิงที่ บัฟเฟตต์ เป็นเจ้าของที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในยุคทศวรรษที่ 1960 โดยเขายังเป็นเพื่อนกับ วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีระดับโลกผู้ร่ำรวยจากการลงทุนและเทรดหุ้นอีกด้วย

ทั้งนี้ สำหรับค่าเล่าเรียนของวิทยาลัยการแพทย์แห่งนี้ เริ่มต้นที่ 59,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือราว 2.11 ล้านบาทต่อคน ทำให้นักเรียนแพทย์จำนวนมาก ต้องกู้ยืมเงินเพื่อมาจ่ายค่าเล่าเรียน

โดยมีการประเมินว่า หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้ว นักเรียนแพทย์บางคนจะเป็นหนี้ทางการศึกษาไม่ต่ำกว่า 200,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือราว 7.18 ล้านบาทเลยทีเดียว

‘ชายชาวต่างชาติ’ คู่กรณี ‘แพทย์หญิง’ อ้าง!! ไม่ได้เตะ แค่สะดุดล้ม ยัน!! มีหลักฐานมอบให้ตร.แล้ว หลังถูกแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกาย

(29 ก.พ.67) จากกรณีเกิดเหตุแพทย์หญิงของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตได้ร้อง กรณี ถูกชายชาวต่างชาติ เจ้าของพูลวิลล่าหรูริมหาดอ่าวยามู ต.ป่าคลอก อ.ถลาง เตะเข้าที่บริเวณหลังได้รับบาดเจ็บ ขณะนั่งชมพระจันทร์ในคืนวันมาฆบูชา กับเพื่อนที่บริเวณบันได พูลวิลล่า ซึ่งคิดว่าอยู่ในพื้นที่ชายหาดสาธารณะ และถูกภรรยาชาวไทย ของชายชาวต่างชาติ ต่อว่าด่าทอหยาบคายต่างๆ นานา อ้างมีลูกชายเป็นตำรวจ และ รู้จักกับนายตำรวจใหญ่ของ จ.ภูเก็ต

อย่างไรก็ตามหลังมีการนำเสนอข่าวตามสื่อต่างๆ ปรากฏว่า มีกระแสวิจารณ์เกิดขึ้น จำนวนมาก ต่างก็ให้กำลังใจหมอ ที่ปนะสบเหตุการณ์ดังกล่าว ขณะที่หมอได้เข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรถลางแล้ว

ขณะที่ชายชาวต่างชาติ นายเดวิด (นามสมมุติ) คู่กรณี ได้เดินทางไปที่ สภ.ถลาง จ.ภูเก็ต พร้อมทนายความ พร้อมหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ เข้าชี้แจงกับ พ.ต.ท.ปฎิวัติ ยอดขวัญ รองผกก.สอบสวนสภ.ถลาง หลังแพทย์หญิง คู่กรณีเข้าแจ้งในข้อหาทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บ โดยได้มอบคลิปที่นายเดวิด อ้างถ่ายจากโทรศัพท์มือถือของตนเอง ขณะเดินเข้าไปด้านหลังแพทย์หญิง แล้วลื่น ทำให้เท้าไปถูกด้านหลังของแพทย์หญิงคนดังกล่าว

โดยนายเดวิด เปิดเผยถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ผ่านทนายความ ว่า นายเดวิดไม่ได้เตะคู่กรณี แต่เป็นการสะดุด แล้ว เท้าไปถูกหลัง และไม่มีเจตนาที่จะไปเตะ ซึ่งตนเองอยากจะแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอยากที่จะขอโทษที่เท้าของตัวเองหรือตัวไปถูกคู่กรณี และ ขอยืนยันว่าเป็นการสะดุดล้ม

ขณะที่ทนายความระบุ ว่า ได้มีการพูดคุยข้อเท็จจริงกับ นายเดวิด มาพอสมควรและได้เห็นพยานหลักฐานต่างๆ ซึ่งนายเดวิดก็มีหลักฐานที่สามารถชี้แจงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและในส่วนที่เกี่ยวข้อง ถ้าจะมีการดำเนินคดี เราก็เตรียมหลักฐานในส่วนนี้ไว้แล้ว ซึ่งตนในฐานะทนายความก็ต้องทำไปตามพยานหลักฐานว่าไม่ใช่การเตะ ซึ่งตนเองในฐานะทนายความคิดว่าทั้งสองฝ่ายน่าจะรู้กันดีว่าเหตุการณ์มันคืออะไร

ความจริงแล้วมันมีที่มาที่ไปก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องราวขึ้น คือ ก่อนหน้านี้เคยมีเหตุการณ์ คนอื่นเข้ามาบริเวณดังกล่าว ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ทำให้เป็นการบุกรุก และนายเดวิดเคยให้บุคคลในวันนั้นออกไปจากบริเวณดังกล่าว ส่วนกรณีที่ภรรยานายเดวิดต่อว่าแพทย์หญิงและเพื่อน นายเดวิด และทนายความไม่ได้ตอบ เรื่องนี้

ขณะที่ นายเกษม จันทร์ดำ พ่อของแพทย์หญิง กล่าวว่า หลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจรับเป็นคดีแล้ว ทางลูกสาวยืนยันว่าจะดำเนินคดีข้อหาถูกทำร้ายร่างกาย และจะต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรี ที่ถูกเหยียดหยามเรื่องเพศสภาพหญิงไทย รวมทั้งไม่อยากให้คนไทยที่มาอยู่ภูเก็ต หรือคนภูเก็ตเจอเหตุการณ์แบบเดียวกับเธอในขณะที่เดินอยู่บริเวณชายหาดสาธารณะ

และต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนการดูแลคนไทยในภูเก็ต แม้กระแสการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจดีขึ้น แต่ไม่ควรจะละเลยคนไทย เหตุที่ต้องดำเนินการเช่นนี้ เนื่องจากคำพูดที่ว่า คนไทยขอโทษต่างชาติได้ แต่ฝรั่งจะไม่ขอโทษคนไทย จึงทำให้ลูกสาวรู้สึกว่า จะต้องต่อสู้ให้ถึงที่สุด

ส่วนที่คู่กรณีออกมาบอกว่า ไม่ได้เตะแต่เป็นการล้มใส่ ซึ่งประเด็นนี้ ตั้งข้อสังเกต ว่าหากเป็นการล้มใส่ ของคนที่ตัวโตน้ำหนักเกือบ 100 กิโลกรัม น่าจะไม่ใช่แค่จุก น่าจะล้มไปทั้งตัว หากล้มใส่จริง มีเหตุผลอะไรที่ต้องไปด่าลูกสาวของตนและเพื่อนที่ไปด้วยกัน ส่วนของสภาพจริงของลูกสาวแม้ว่าจะมีความระแวงและกังวล แต่เธอก็ยืนยันว่าจะดำเนินการให้ถึงที่สุด ซึ่งทางครอบครัวก็เคารพสิทธิและการตัดสินใจของเธอ

ทางด้าน พ.ต.อ.นิกร ชูทอง ผกก.สภ.ถลาง จ.ภูเก็ต กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่า ได้รับรายงานจากพนักงานสอบสวนแล้ว เบื้องต้น พญ.ผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับมีการตรวจร่างกายจากแพทย์ เนื่องจากผู้เสียหายระบุถูกทำร้ายร่างกาย ซึ่งอยู่ระหว่างการสอบปากคำเพิ่มเติม ส่วนคู่กรณีที่ถูกระบุว่าเป็นชายชาวต่างชาติเจ้าของวิลล่าหรูริม อ่าวยามู ต.ป่าคลอก อ.ถลาง นั้น ยังไม่ได้เข้ามาแจ้งความกรณีที่ พญ.บุกรุกตามที่มีการกล่าวอ้างในวันเกิดเหตุ

สำหรับเหตุการณ์นี้ ทางตำรวจจะให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ส่วนกรณีภรรยาชาวต่างชาติอ้างว่ารู้จักกับนายตำรวจใหญ่ หรือ มีลูกเป็นตำรวจนั้น ใครๆ ก็พูดได้ ส่วนข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร ไม่เกี่ยวกับรูปคดี ผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก ตำรวจมีหน้าที่รักษากฎหมาย

'ก้าวไกล' ยันไม่ทิ้งซักฟอกรัฐบาล แค่ยังไม่สรุปว่าจะเปิดอภิปรายแบบใด

(29 ก.พ.67) ภคมน หนุนอนันต์ รองโฆษกพรรคก้าวไกล แสดงความเห็นกรณีมีกระแสข่าวที่ตั้งข้อสังเกตว่าพรรคก้าวไกลจะไม่ซักฟอกรัฐบาลผ่านการอภิปรายแบบไม่ลงมติหรือการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่าความจริงแล้วพรรคก้าวไกลยังไม่สรุปว่าจะเปิดอภิปรายแบบใด อย่างที่ประชาชนเห็นการทำงานของเรา การอภิปรายต้องคำนึงถึงข้อมูลที่มากพอ ต้องนำไปสู่การซักฟอกที่เกิดประโยชน์สูงสุดกับสังคมจริง ๆ ไม่ใช่แค่เปิดอภิปรายเมื่อถึงวาระ 

อีกทั้งปีนี้การพิจารณางบประมาณ 2567 และงบประมาณ 2568 มีระยะเวลาใกล้กันมาก ประมาณเดือนมิถุนายนปีนี้ ก็จะเป็นช่วงการพิจารณางบประมาณ 2568 ซึ่งเป็นงบที่จัดโดยรัฐบาลชุดนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เราจะได้เห็นหน้าตางบประมาณของรัฐบาลเศรษฐา 1 จึงถือเป็นอีกโอกาสที่พรรคก้าวไกลและพรรคร่วมฝ่ายค้านจะได้ตรวจสอบรัฐบาลผ่านงบประมาณด้วย 

“ยืนยันว่าพรรคก้าวไกล ทำหน้าที่ซักฟอกและตรวจสอบรัฐบาลมาโดยตลอด ผ่านกลไกกระทู้ทั่วไป กระทู้ถามสด หรือกรรมาธิการ ดังนั้นหากจะมาตั้งข้อสังเกตว่าเราไม่ตรวจสอบรัฐบาล คงเป็นการกล่าวหากันมากไป ไม่อยู่บนข้อเท็จจริง และการอภิปรายซักฟอกนั้นต้องคำนึงถึงข้อมูลที่มี ก่อนจะพิจารณาอีกทีว่าจะเป็นอภิปรายทั่วไปหรืออภิปรายไม่ไว้วางใจ” ภคมนกล่าว

รองโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวต่อว่า เชื่อว่าพี่น้องประชาชนและสังคมเห็นการทำงานของพรรคก้าวไกลมาโดยตลอด ว่าเราทำหน้าที่ฝ่านค้านเชิงรุกอย่างเต็มที่ ใช้ทุกโอกาสในการตรวจสอบรัฐบาล ดังนั้นสำหรับคนที่พยายามกล่าวหาพรรคก้าวไกล แล้วใช้วิธีเชื่อมโยงแบบมั่วๆ เหมือนที่เคยทำมา ขอให้รู้ว่าพรรคก้าวไกลทำงานการเมืองแบบมีเป้าหมายและทำงานด้วยข้อมูล หากจะวิเคราะห์วิจารณ์กันเราก็รับฟัง แต่ขอให้ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริง อยากเชิญชวนให้ทำงานกันแบบนี้ จะเป็นประโยชน์กับประชาชน ยกระดับการเมืองไทยให้ดีกว่าที่เคยเป็น

‘รมว.พีระพันธุ์’ รุดดูงานแท่นขุดเจาะก๊าซแหล่งเอราวัณ อ่าวไทย หวังขุดเจาะก๊าซให้ได้ตามเป้า ช่วยคงราคาค่าไฟให้ถูกลง

เมื่อวานนี้ (28 ก.พ. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมคณะได้ร่วมกันเดินทางไปยังแท่นขุดเจาะก๊าซแหล่งเอราวัณ กลางอ่าวไทย โดยเดินทางไปที่แท่นหลักที่เป็นศูนย์รวมก๊าซที่ขุดได้จากทุกแท่นในแหล่งเอราวัณเพื่อส่งมายังโรงแยกก๊าซที่ระยอง ซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งถึง 400 กว่ากิโลเมตร

นายพีระพันธุ์ เปิดเผยว่า “ผมพยายามลดภาระค่าไฟฟ้าให้ประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง โดยหลังสุดสามารถยันราคาค่าไฟฟ้าให้ประชาชนทั่วไปไว้ได้ที่ 4.18 บาท ต่อหน่วย สำหรับงวดเดือนมกราคมถึงเมษายน 2567 เพิ่มขึ้นจากเดิมเพียงเล็กน้อย ทั้ง ๆ ที่มีการคาดการณ์ว่าอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับงวดดังกล่าวจะอยู่ที่ 4.68 บาท เพราะในช่วงเวลาที่ว่านี้มีปัจจัยลบที่มีผลกระทบต่ออัตราค่าไฟฟ้าหลายตัว โดยเฉพาะปัญหาเรื่องการขุดเจาะก๊าซจากอ่าวไทยที่แหล่งเอราวัณขาดหายไปวันละ 800 ล้าน ลูกบาศก์ฟุต (ลบ.ฟ.) ทำให้ต้องสั่งก๊าซจากต่างประเทศที่มีราคาสูงมาชดเชยและมีผลต่อราคาค่าไฟฟ้าโดยตรง”

นายพีระพันธุ์ ระบุต่อว่า “แม้จะยังมีเวลาเหลืออีกสองเดือนกว่าจะครบกำหนดการปรับค่าไฟฟ้าตามวงรอบ 4 เดือน ในเดือนเมษายน 2567 แต่ผมไม่นิ่งนอนใจ เพราะหากยังคงขาดก๊าซจากอ่าวไทยวันละ 800 ล้าน ลบ.ฟ. อยู่ ก็จะมีผลต่ออัตราค่าไฟฟ้างวดเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม 2567 นี้แน่นอน ทั้งนี้ ทั้งผม ทั้งปลัดกระทรวงพลังงาน (นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ) ทั้งประธานที่ปรึกษา (นายณอคุณ สิทธิพงษ์) และคณะกรรมการ กกพ. ได้เตรียมการแก้ไขปัญหากันทุกวัน แต่สำคัญที่สุดคือต้องขุดก๊าซจากอ่าวไทยในปริมาณที่ขาดหายไปวันละ 800 ล้าน ลบ.ฟ. ขึ้นมาให้ได้ตามเดิม ซึ่งเป็นหน้าที่ของ ปตท.สผ.”

“ในช่วงที่ผ่านมาเราได้ประสานงานและขอคำยืนยันจาก ปตท. และ ปตท. สผ. ตลอดมาว่าจะสามารถนำก๊าซจากอ่าวไทยที่แหล่งเอราวัณขึ้นมาในปริมาณที่ขาดหายไป 800 ล้าน ลบ.ฟ. ต่อวัน ได้หรือไม่ ซึ่ง ปตท. และ ปตท.สผ. ยืนยันตลอดมาว่าสามารถทำได้แน่นอน แต่เพื่อให้เกิดความมั่นใจแทนพี่น้องประชาชน ผมจึงต้องไปให้เห็นกับตาและได้ยินกับหูจากผู้ปฏิบัติงานจริงที่แท่นขุดเจาะว่าจะสามารถทำได้แน่นอน” นายพีระพันธุ์ กล่าว

นายพีระพันธุ์ ได้กล่าวถึงสาเหตุที่ก๊าซจากอ่าวไทยขาดหายไป 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตว่า “คำตอบคือ เดิมผู้ที่ได้รับสัมปทานผลิตส่วนนี้คือบริษัทต่างชาติบริษัทหนึ่ง แต่แพ้ประมูลต่ออายุสัมปทานให้ ปตท.สผ. ซึ่งการประมูลนี้ต้องทำล่วงหน้าเป็นปีก่อนหมดสัมปทานเดิม บริษัทดังกล่าวเลยหยุดขุดเจาะก๊าซเพิ่มเติมไปเฉย ๆ ปริมาณก๊าซจากอ่าวไทยในส่วนนี้จึงค่อย ๆ หายไป ขณะที่ ปตท.สผ. ก็ยังเข้าดำเนินการในช่วงนั้นไม่ได้เพราะสัมปทานเดิมยังไม่หมดอายุ สุดท้ายเมื่อเข้าดำเนินการได้เมื่อประมาณธันวาคม 2564 ปตท.สผ. จึงเร่งเตรียมการและดำเนินการต่อมาจนกำลังจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายตามที่เล่ามาครับ”

'รมว.ปุ้ย' เร่งถก 'ปรับผังเมืองใหม่' สอดรับการขยายตัวของเมืองที่เปลี่ยนไป หวังรองรับการลงทุน 'ใน-นอก' แบบไม่กระทบ 'สิ่งแวดล้อม-ชุมชน'

(29 ก.พ.67) นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจากนางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เร่งดำเนินการตามนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ได้สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 ก.พ.67 ให้กระทรวงอุตสาหกรรม, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งแก้ไขและบูรณาการเร่งรัดจัดหาแนวทางการจัดทำผังเมืองใหม่ให้สอดคล้องกับการขยายตัวของเมืองที่เปลี่ยนไป รวมถึงการยกระดับเมืองรอง เพื่อเตรียมพร้อมรับการลงทุนจากทั้งภายในและนอกประเทศ 

โดยผังเมืองเก่าในประเทศที่จัดทำมานาน อาจไม่เหมาะกับยุคปัจจุบัน โดยได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI), สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC), กรมโยธาธิการและผังเมือง, กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางขจัดปัญหาและอุปสรรคในการปรับแก้ไขผังเมืองให้สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจและเป็นที่ยอมรับของชุมชน / การกำหนดพื้นที่และประเภทการประกอบกิจการอุตสาหกรรม / การพัฒนาและขยายอุตสาหกรรมให้มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม / เร่งรัดระยะเวลาในการจัดทำผังเมือง และรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนตามข้อกำหนดกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทั้ง EHIA และ EIA ที่มีข้อกำหนดแนบท้ายต่างๆ ให้สอดคล้องกับผังเมือง

“การแก้ไขปัญหาอุปสรรคในครั้งนี้ เน้นการดำเนินการแบบ Quick Win โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มีนิคมอุตสาหกรรม หรือ เขตประกอบการอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ จำนวน 20 แห่ง จากการไม่สอดคล้องระหว่างผังเมืองของ EEC กับผังเมืองใหม่ ขณะเดียวกันในส่วนของขั้นตอนการปรับแก้ผังเมืองในด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น สนามบิน จำเป็นต้องศึกษาความเป็นไปได้ของการก่อสร้างสนามบิน รวมถึง การประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ก่อนการปรับผังเมืองใหม่ด้วย” ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว

สำหรับการประชุมหารือในครั้งนี้ มีผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมเข้าร่วม ประกอบด้วย นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม, นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม, นายวิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย, นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, นายนฤชา ฤชุพันธ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานเลขาธิการส่งเสริมการลงทุน, นายก่อกิจ ด่านชัยวิจิตร รองเลขาธิการสายงานเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ และว่าที่ร้อยเอก ธีรพงศ์ ครุธดิลกานันท์ รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง เข้าร่วมประชุมด้วย

สมโภชน์ อาหุนัย ประกาศ!พร้อมนั่งประธาน ส.อ.ท.คนที่ 17 หวังเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ 

นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA 
ในฐานะเป็นสมาชิกและรองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่าจะลงสมัครตำแหน่งประธาน ส.อ.ท. คนที่ 17 ในวาระนี้ (ปี 2567-2569) ถือเป็นอุดมการณ์ที่ต้องการรับใช้ชาติในฐานะภาคเอกชน โดยจะนำความรู้ ความสามารถและประสบการณ์การทำงานมาช่วยประเทศชาติในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคตจะเห็นส.อ.ท.ทำงานเชิงรุกด้วยยุทธศาสตร์ 4 ประการคือ 1.ทำงานเชิงรุกในการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจของประเทศให้สอดประสานระหว่างภาครัฐกับเอกชน 2.สร้างพลังและเพิ่มขีดความสามารถของสมาชิกสภาอุตสาหกรรมทั่วประเทศ 3.ประสานภาครัฐให้ช่วยส่งเสริมสนับสนุนเอสเอ็มอี ผู้ประกอบการรายย่อย-รายใหม่ในการผลิตสินค้าที่มีมูลค่า และ 4.นำเอาความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ที่มีมาบูรณาการในเชิงรุกและเชิงรับทุกมิติ
"เรื่องนี้เป็นอุดมการณ์ที่ผมมีมาตั้งนานแล้วคืออยากสร้างประโยชน์ให้สังคมและประเทศชาติ ผมเคยเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจนกระทั่งปัจจุบันทำหน้าที่บริหารธุรกิจในกลุ่มพลังงานบริสุทธิ์ ต้องการนำเสนอไอเดียที่มีเพื่อให้เกิด Impact มากกว่าที่ทำอยู่ในปัจจุบัน เพราะเชื่อว่า ส.อ.ท.คือแกนหลักของประเทศ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจให้เติบโตขึ้น ในสถานการณ์ปัจจุบันเราไม่ควรอยู่ในสภาพตั้งรับควรอยู่ในเชิงรุก เนื่องจากโลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก แต่ละอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบแตกต่างกันออกไป มีทั้งที่ต้องการรับการส่งเสริมสนับสนุนหรือเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหา รวมถึงทำหน้าที่เป็นตัวแทนเชื่อมกับภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรมให้บรรลุผลสำเร็จและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์กับผู้ประกอบการแล้วยังตอบสนองภาครัฐให้บรรลุตามแผนยุทธศาสตร์ที่ตั้งไว้"  

นายสมโภชน์กล่าวอีกว่าจะมีการนำเสนอแผนยุทธศาสตร์ในอนาคตต่อภาครัฐ อุตสาหกรรมแต่ละประเภทจะต้องเตรียมแผนทรานส์ฟอร์มธุรกิจเพื่อรองรับการแข่งขันในเวทีโลกทุกมิติ อาทิ การปรับปรุงกฎหมายหรือกฎระเบียบเพื่อให้ทันกติการะดับสากล  ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน (BCG & ESG)  และการมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)  ซึ่งเป็นเทรนด์ของโลกในปัจจุบัน  

“ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา ผมในฐานะสมาชิกและเป็นรองประธาน ส.อ.ท. ทำงานด้วยจิตอาสาโดยไม่ได้หวังผลตอบแทนหรือรับประโยชน์ใดๆ ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ผมอยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น จึงขอเสนอตัวเข้ารับการคัดเลือกเป็นประธาน ส.อ.ท. เพื่อช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรมและเศรษฐกิจไทยเติบโต อีกทั้งสามารถยืนอยู่บนเวทีโลกได้อย่างแข็งแกร่ง"  
นอกจากนี้ คนอื่นๆที่มีวิสัยทัศน์และความสามารถก็สมัครตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมได้ เพื่อนำเสนอสิ่งดีๆให้แก่ภาพรวมของอุตสาหกรรม และผู้ที่ได้รับเลือกเป็นประธานฯควรที่จะนำข้อเสนอไปขับเคลื่อนต่อให้เป็นรูปธรรม ที่สำคัญต้องสร้างความโปร่งใสในการทำงาน เป็นเวทีกลางที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน และกระจายอำนาจให้แต่ละกลุ่มมาช่วยกันทำงาน

'2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ' แอนิเมชันแห่งสยาม ระดมดาราดังพากย์เสียง เปิดรับชมฟรี 13 มี.ค.นี้

เมื่อวานนี้ (28 ก.พ.67) เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทางย้อนเวลากลับไปสัมผัสเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงการปกครองของสยาม ในรูปแบบแอนิเมชัน 2D สุดเข้มข้น กับ ‘2475 Dawn of Revolution รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ ที่พร้อมให้คุณรับชมฟรีทางออนไลน์ โดยมีศิลปินนักแสดงชื่อดังมาร่วมพากย์เสียง ได้แก่ ฉัตรชัย เปล่งพานิช, สินจัย เปล่งพานิช, จิราวัฒน์ วชิรศรัณย์ภัทร, สุเมธ องอาจ และ กิตติ เชี่ยววงศ์กุล หรือ เกลือ เป็นต่อ

‘2475 Dawn of Revolution’ ถักทอเรื่องราวจากหนังสือประวัติศาสตร์หลายเล่ม พาคุณย้อนกลับไปสู่จุดกำเนิดของประชาธิปไตย เปิดเผยเรื่องราวการต่อสู้ทางอุดมการณ์และความคิดของบุคคลสำคัญในเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ผ่านมุมมองที่สดใหม่

‘2475 Dawn of Revolution’ เป็นผลงานจาก ‘NAKRA STUDIO’ เป็นทีมแอนิเมชันรุ่นใหม่ ที่มีความมุ่งมั่นอยากถ่ายทอดเรื่องราวประวัติศาสตร์ ผ่านรูปแบบแอนิเมชันที่สนุกสนาน เข้าใจง่าย เต็มไปด้วยเนื้อหาที่เข้มข้น อัดแน่นไปด้วยอารมณ์ เพื่อให้ผู้ชมเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาอันสำคัญของประวัติศาสตร์ชาติไทย

แอนิเมชันเรื่องนี้ ยังแฝงไปด้วยประเด็นร่วมสมัยที่กระตุ้นให้ผู้ชมฉุกคิด ตั้งคำถาม ตั้งข้อสงสัย และค้นหาคำตอบไปร่วมกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้เหมาะสำหรับผู้ชมทุกเพศทุกวัย ที่ต้องการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ และชวนคุณค้นหาทางออกว่าคนไทยจะเรียนรู้จากอดีตเพื่อก้าวต่อไปในอนาคตร่วมกันได้อย่างไร

‘2475 Dawn of Revolution’ จะจัดฉายพิเศษเป็นการเปิดตัวรอบปฐมทัศน์ในโรงภาพยนตร์เซนจูรี สุขุมวิท ในวันเสาร์ที่ 9 มีนาคม 2567 นี้ และจะเผยแพร่ทางออนไลน์ให้รับชมฟรี ตั้งแต่วันพุธที่ 13 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป

เราขอส่งมอบแอนิเมชัน 2475 Dawn of Revolution ที่พวกเราตั้งใจสร้างขึ้นมา ให้ทุกคนได้รับชม โดยหวังว่า แอนิเมชันเรื่องนี้ จะช่วยจุดประกายให้ผู้ชมสนใจสืบค้นเรื่องราวประวัติศาสตร์ และช่วยเป็นข้อมูลพื้นฐานในการศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ครับ” ทีมงานนาคราสตูดิโอ กล่าว

>> ตัวอย่างภาพยนตร์:
Teaser 1 https://www.youtube.com/watch?v=gcC3ICn2uTM  
Teaser 2 https://www.youtube.com/watch?v=MMxWRbLz4EM
Teaser 3 https://www.youtube.com/watch?v=AOpCWYYMdqc 
Teaser 4 https://www.youtube.com/watch?v=NWZw7533GiY

กำหนดฉาย: 13 มีนาคม 2567
เว็บไซต์: https://www.facebook.com/2475animation

‘สมโภชน์ อาหุนัย’ ประกาศ!! พร้อมนั่งประธาน ส.อ.ท. คนที่ 17 หวังเป็นแกนนำหลักขับเคลื่อนอุตสาหกรรม-เศรษฐกิจของไทย

(29 ก.พ. 67) นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ในฐานะเป็นสมาชิกและรองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่าจะลงสมัครตำแหน่งประธาน ส.อ.ท. คนที่ 17 ในวาระนี้ (ปี 2567-2569) ถือเป็นอุดมการณ์ที่ต้องการรับใช้ชาติในฐานะภาคเอกชน โดยจะนำความรู้ ความสามารถและประสบการณ์การทำงานมาช่วยประเทศชาติในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ในอนาคตจะเห็นส.อ.ท.ทำงานเชิงรุกด้วยยุทธศาสตร์ 4 ประการ ได้แก่

1.ทำงานเชิงรุกในการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจของประเทศให้สอดประสานระหว่างภาครัฐกับเอกชน 

2.สร้างพลังและเพิ่มขีดความสามารถของสมาชิกสภาอุตสาหกรรมทั่วประเทศ 

3.ประสานภาครัฐให้ช่วยส่งเสริมสนับสนุนเอสเอ็มอี ผู้ประกอบการรายย่อย-รายใหม่ในการผลิตสินค้าที่มีมูลค่า 

และ 4.นำเอาความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ที่มีมาบูรณาการในเชิงรุกและเชิงรับทุกมิติ

"เรื่องนี้เป็นอุดมการณ์ที่ผมมีมาตั้งนานแล้วคืออยากสร้างประโยชน์ให้สังคมและประเทศชาติ ผมเคยเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จนกระทั่งปัจจุบันทำหน้าที่บริหารธุรกิจในกลุ่มพลังงานบริสุทธิ์ ต้องการนำเสนอไอเดียที่มีเพื่อให้เกิด Impact มากกว่าที่ทำอยู่ในปัจจุบัน เพราะเชื่อว่า ส.อ.ท. คือแกนหลักของประเทศ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจให้เติบโตขึ้น ในสถานการณ์ปัจจุบันเราไม่ควรอยู่ในสภาพตั้งรับควรอยู่ในเชิงรุก เนื่องจากโลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก แต่ละอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบแตกต่างกันออกไป มีทั้งที่ต้องการรับการส่งเสริมสนับสนุนหรือเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหา รวมถึงทำหน้าที่เป็นตัวแทนเชื่อมกับภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรมให้บรรลุผลสำเร็จและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์กับผู้ประกอบการแล้วยังตอบสนองภาครัฐให้บรรลุตามแผนยุทธศาสตร์ที่ตั้งไว้"

นายสมโภชน์กล่าวอีกว่าจะมีการนำเสนอแผนยุทธศาสตร์ในอนาคตต่อภาครัฐ อุตสาหกรรมแต่ละประเภทจะต้องเตรียมแผนทรานส์ฟอร์มธุรกิจเพื่อรองรับการแข่งขันในเวทีโลกทุกมิติ อาทิ การปรับปรุงกฎหมายหรือกฎระเบียบเพื่อให้ทันกติการะดับสากล ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน (BCG & ESG) และการมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ซึ่งเป็นเทรนด์ของโลกในปัจจุบัน

“ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา ผมในฐานะสมาชิกและเป็นรองประธาน ส.อ.ท. ทำงานด้วยจิตอาสาโดยไม่ได้หวังผลตอบแทนหรือรับประโยชน์ใด ๆ ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ผมอยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น จึงขอเสนอตัวเข้ารับการคัดเลือกเป็นประธาน ส.อ.ท. เพื่อช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรมและเศรษฐกิจไทยเติบโต อีกทั้งสามารถยืนอยู่บนเวทีโลกได้อย่างแข็งแกร่ง"

นอกจากนี้ คนอื่น ๆ ที่มีวิสัยทัศน์และความสามารถก็สมัครตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมได้ เพื่อนำเสนอสิ่งดี ๆ ให้แก่ภาพรวมของอุตสาหกรรม และผู้ที่ได้รับเลือกเป็นประธานฯ ควรที่จะนำข้อเสนอไปขับเคลื่อนต่อให้เป็นรูปธรรม ที่สำคัญต้องสร้างความโปร่งใสในการทำงาน เป็นเวทีกลางที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน และกระจายอำนาจให้แต่ละกลุ่มมาช่วยกันทำงาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top