Saturday, 24 May 2025
NewsFeed

ILINK เผยผลงานทั้งปี 66 พลิกบวก โกยรายได้ 4 ไตรมาสเกือบ 7 พันล้าน ลุ้น!! โปรเจกต์ใหญ่เกาะสมุย ช่วยดันรายได้ทั้งปี 67 ทะลุ 7 พันล้านตามเป้า

ILINK ฟอร์มดี ปิดงบปีไตรมาส 4/66 สวย!! กวาดรายได้รวม 6,965.19 ล้านบาท ตอบรับทำกำไรโตเพิ่ม 170.23 ล้านบาท ฟื้นตัวต่อเนื่อง 31.41% ประกาศปันผล 0.39 บาทต่อหุ้น (พาร์ 1 บาท) ผลงานเป็นที่ประจักษ์ขานรับรายได้โดดเด่น เกินที่คาดการณ์ แน่วแน่ปักธงชัยดันรายได้ปี 67 ตั้งเป้าแตะ 7,002 ล้านบาท ลุยวางแผนเติม Backlog แน่น หนุนเต็มสูบลุ้นคว้างานประมูลใหญ่สายเคเบิลใต้น้ำเกาะสมุย มุ่งดันทุกกลุ่มธุรกิจในเครือให้สำเร็จตามเป้าหมาย ทำรายได้ สร้างกำไรเพิ่มเป็นเท่าตัวอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืน แบบมีคุณภาพ เน้นทำกำไร New High ต่อเนื่อง และปันผลเพื่อยืนยันการเป็นหุ้นปันผล 

(28 ก.พ.67) บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK เผยตัวเลขผลประกอบการ โดยทำรายได้รวมจาก 3 กลุ่มธุรกิจในเครือ ได้แก่ ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ ธุรกิจวิศวกรรมโครงการ และธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ อยู่ที่ 6,965.19 ล้านบาท ปิดงบปี 2566 ไตรมาสที่ 4 นี้ พร้อมกำไรสำหรับงวดรวม 712.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 170.24 ล้านบาท พุ่งแรง 31.41% ตามยุทธศาสตร์ที่ตั้งเป้า 'จะเติบโตแบบมีคุณภาพ ทั้งรายได้ และกำไรสุทธิ' 

โดยมีภาพรวมที่แสดงให้เห็นถึงการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และยั่งยืนที่เด่นชัด ตอกย้ำการเป็นบริษัทฯ ที่ประกอบธุรกิจด้านเทคโนโลยี ตามอุดมการณ์ที่จะนำเทคโนโลยีมาพัฒนาประเทศไทย พร้อมประกาศย้ำชัดปี 2567 ปักธงดันยอดขายในกลุ่มธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ ผลิตภัณฑ์ LINK AMERICAN มั่นใจมีแนวโน้มกอบโกยรายได้เพิ่มขึ้น ทำกำไรบวก รวมถึงเร่งผลักดันทุกธุรกิจในเครือของกลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ให้เดินหน้า ปรับตัวพร้อมพัฒนาก้าวให้ทันเทรนด์เทคโนโลยีโลกแห่งยุค ซึ่งจะหนุนให้ทั้งปี 2567 เติบโตโดดเด่น

สำหรับรายได้ของกลุ่มธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Distribution Business) สร้างผลงานทำรายได้ทั้งปี 2566 รวมมูลค่า 2,881.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 366.27 ล้านบาท หรือ 14.56% โดยทำกำไรสุทธิรวม 309.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105.76 ล้านบาท หรือเติบโต 51.82% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลประกอบการที่ดี ซึ่งเติบโตหลัก ๆ เพิ่มขึ้นมาจากรายได้ที่ดีขึ้นของสินค้าในหมวดของสาย LAN 

ส่วนในหมวดของสาย Solar ซึ่งประเทศไทยมีโครงการสนับสนุนโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) และเทรนด์ของโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำ (Floating Solar) รวมทั้งผลิตภัณฑ์ LINK AMERICAN ที่ ILINK เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในอาเซียน ยังถูกจัดเป็นแบรนด์ชั้นนำอันดับต้น ๆ ของโลกอีกด้วย และ ILINK ยังเป็นผู้นำตลาดของระบบสายสัญญาณ โดยเป็นผู้ชี้นำตลาดของประเทศไทยและอาเซียนที่มีการขยายตัวอย่างมากอีกด้วย 

ทั้งนี้คาดการณ์รายได้ในไตรมาส 1/67 ของกลุ่มธุรกิจนี้ จะยังคงมีรายได้ ทำกำไรเติบโตต่อเนื่อง ผลสืบเนื่องจากยอดขายสินค้า ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ ที่ได้เปิดตัวไปอย่างยิ่งใหญ่ในกลุ่มของ Super S Series ได้แก่ UTP CAT 6A และ FTTR (Fiber Optic To The Room Solution) โดยคิดค้นพัฒนามาเพื่อตอบโจทย์แก่เทคโนโลยีแห่งยุค จึงมั่นใจว่าทิศทางของผลประกอบการเมื่อเปรียบเทียบคุณภาพกับราคาแล้ว ผลิตภัณฑ์ LINK AMERICAN และ GERMAN RACK ในไตรมาสถัดไป จะสามารถผลักดันยอดขายให้สอดรับกับการเติบโตของตลาดธุรกิจโลกที่เปิดกว้างมากขึ้น และจะเป็นผลตอกย้ำให้กลุ่มธุรกิจประสบความสำเร็จตามเป้าประสงค์ พร้อมทำกำไรฟื้นตัวตามที่คาดการณ์

ส่วนกลุ่มธุรกิจวิศวกรรมโครงการ (Turnkey Engineering Business) ก้าวกระโดดจากการเร่งส่งมอบงานเกาะเต่าในไตรมาส 4/66 ทำให้มีรายได้รวมทั้งปี 2566 จากธุรกิจอยู่ที่ 1,329.18 ล้านบาท เติบโต 178.96 ล้านบาท หรือ 15.56% และทำกำไรสุทธิรวม 106.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.96 ล้านบาท หรือ 70.45% 

ขณะที่ในปัจจุบันมี Backlog ในมือราว 1.14 พันล้านบาท กว่า 80% ที่รอรับรู้รายได้ภายในปี 2567 ขณะที่การประมูลงานของปี 2567 นี้เน้นไปที่งาน Submarine เกาะสมุยของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ที่เป็นลูกค้าหลักรายใหญ่ในมือ และเป็นสิ่งที่กลุ่มธุรกิจมีความเชี่ยวชาญ และความชำนาญโดดเด่น รวมถึงคาดการณ์ยังมีงานที่อยู่ระหว่างจ่อรอเซ็นสัญญา พร้อมเร่งรุกเตรียมลุยเข้าประมูลงานโครงการของภาครัฐ และภาคเอกชนที่สำคัญ ๆ เพิ่ม หนุนเติม Backlog ให้แน่น เพื่อทำกำไร และมีรายได้โตขึ้นไม่น้อยกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้

ด้านธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ (Telecom & Data Center Business) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายไฟเบอร์ออฟติก ที่มีความเสถียรภาพสูงสุดทั่วประเทศไทย หรือ ITEL มีรายได้รวม 4 ไตรมาส ประจำปี 2566 อยู่ที่ 2,754.94 ล้านบาท ทำกำไรสุทธิรวม 295.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 16.75 ล้านบาท หรือ 6% โดยในอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 10.74% ของรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 32%และตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไปมีแผนดันขยายกิจการเพิ่มเติมสู้ Health Tech หลังเข้าลงทุนใน 'Global Lithotripsy Services Company Limited' เสริมพื้นฐานแข็งแกร่งตรงตามกลยุทธ์ New S-Curve ต่อยอดธุรกิจ 

โดยคาดว่าปี 2567 จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากการเสนองานใหม่เพิ่ม และแผนรุกธุรกิจ Data Center ควบคู่การขับเคลื่อนธุรกิจสู่ Digital Transformation ที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง ตั้งเป้ารายได้ปี 2567 ที่ 3,500 ล้านบาท จากล่าสุดมี Backlog รวม 2,769 ล้านบาท พร้อมนำ บมจ.บลู โซลูชั่น 'BLUE' เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ในปี 2567 นี้แน่นอน รวมถึงบริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นรักษาฐานลูกค้าเก่า และสร้างฐานลูกค้าใหม่ ด้วยประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญที่มีมาอย่างยาวนาน ประกอบกับเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ มาสนับสนุนภาคธุรกิจในการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี Digital Transformation ด้วยการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะมายกระดับการดำเนินงานขององค์กรต่าง ๆ ให้สามารถทำงานได้รวดเร็ว มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สอดคล้องกับเทรนด์เทคโนโลยี ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

‘อ.เจษฎา’ โต้ ‘น้าแอ๊ด’ ปมอุเทนฯ-จุฬาฯ เสมือนพี่น้องกัน ชี้!! อยู่ในรั้วจุฬาฯ มา 30 ปี ไม่เคยรู้สึกแบบนั้นสักนิด

(28 ก.พ. 67) จากกรณี นายยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว ศิลปินเพลงเพื่อชีวิตชื่อดัง วงคาราบาว ศิษย์เก่า สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตอุเทนถวาย โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กหนุนศิษย์เก่าและนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก (มทร.) วิทยาเขตอุเทนถวาย คัดค้านการย้ายที่ตั้งสถาบันไปยังพื้นที่อื่น 

โดยระบุตอนหนึ่งว่า อุเทนถวายกับจุฬาลงกรณ์ เป็นเสมือนพี่น้องกันที่ในหลวงรัชกาลที่ 6 ทรงพระราชทานแผ่นดินคนละผืน (อุเทนฯ ผืนเล็ก จุฬาฯ ผืนใหญ่) เพื่อมุ่งหวังให้ช่วยกันสร้างบ้านแปลงเมืองให้รุ่งเรืองมาตราบจนทุกวันนี้ 

ล่าสุด ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงเรื่องดังกล่าวว่า

"อุเทนถวายกับจุฬาลงกรณ์ เป็นเสมือนพี่น้องกัน"

“ผมอยู่ในรั้วจุฬาฯ มาตั้งแต่เด็กประถม จนถึงทำงานตอนนี้ ก็ร่วมจะ 30 กว่าปีแล้ว ไม่เคยรู้สึกสักนิดเลยครับ ว่าเป็นพี่น้องกับเค้า หึๆๆ”

“รอดูต่อไป ว่า #กฎหมู่จะอยู่เหนือกฎหมาย หรือเปล่า”

จากนั้น ดร.เจษฎา โพสต์อีกว่า “อยากถามทั้งศิษย์เก่าจุฬาฯ และอุเทน ว่าเคยรู้สึกเป็น "พี่น้อง" กันมั้ยครับ ผมไม่เคยนะ หึๆ (แล้วใครเป็นพี่ ใครเป็นน้องเนี่ย)”

'ท๊อป จิรายุส' ชี้!! บิทคอยน์ New High ก่อน Halving ไม่เคยมีมาก่อน ส่วน 'ก.ล.ต.สหรัฐฯ' ไฟเขียว Bitcoin ETF 'ซื้อ-ขาย' ถูกต้อง สร้างความเชื่อมั่น

เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 67 บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ผู้ให้บริการ ‘Bitkub Exchange’ ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำของไทย และบริษัท บิทคับ แล็บส์ จำกัด ผู้ให้บริการ ‘Bitkub Academy’ ศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล ร่วมจัดงานเสวนา ‘Digital Assets Navigator เจาะลึกวงในทิศทางสินทรัพย์ดิจิทัล (by Bitkub’s Crypto Theses)’ เพื่อนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับเทรนด์สินทรัพย์ดิจิทัลในแง่มุมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2567 และเหตุการณ์ Bitcoin ETF และ Bitcoin Halving ที่จะส่งผลต่อการเติบโตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล โดยมี นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด, นายณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท อุ๊คบี จำกัด, นายโดม เจริญยศ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Tokenine, นายภาณุ ชลหาญ เจ้าของเพจ Nookfree God Defi, นายณัฎฐ์ จิตตมัย ผู้ก่อตั้ง GM Learning Club Pudgy Thailand Community Leader และนายกันตณัฐ วุฒิธร Digital Asset Analyst Supervisor บริษัท บิทคับ แล็บส์ จำกัด ร่วมแลกเปลี่ยนในครั้งนี้  ณ ทรู ดิจิทัล พาร์ค 101 กรุงเทพฯ

นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา กล่าวตอนหนึ่งภายในงานว่า “ปีนี้เป็นปีที่วงการสินทรัพย์ดิจิทัลมีความคึกคักและน่าจับตามอง เพราะมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นถึง 2 เรื่อง คือ การประกาศอนุมัติให้ Bitcoin Spot ETF สามารถเปิดซื้อขายได้อย่างถูกกฎหมายของ ก.ล.ต. สหรัฐฯ เมื่อมกราคมที่ผ่านมา โดยวงการคริปโทเคอร์เรนซีในปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับกองทุนระดับโลกต่าง ๆ เช่น BlackRock, Vanguard ฯลฯ ที่มีมูลค่าประมาณ 130 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งมูลค่าของวงการคริปโทเคอร์เรนซีก็ยังนับว่าน้อยอยู่มาก แต่หากกองทุนที่เพิ่งได้อนุมัติ Bitcoin Spot ETF มีการซื้อขายบิทคอยน์เพียงแค่ 5% ของมูลค่ากองทุน จะทำให้เงินสถาบันจำนวนมหาศาลไหลเข้าสู่ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีมากยิ่งกว่ามูลค่าของตลาดทั้งหมดเสียอีก

นอกจากนี้ ปีนี้ยังเป็นปีที่จะเกิดปรากฏการณ์ Bitcoin Halving ขึ้นเป็นรอบที่ 4 ในช่วงเมษายนนี้ ซึ่งตามสถิติในแต่ละรอบที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีรอบไหนที่บิทคอยน์ทำ New High ก่อน Halving แบบรอบนี้ นักลงทุนจึงควรระมัดระวังและคอยจับตาอย่างใกล้ชิด แต่อย่างน้อย Bitcoin Spot ETF ก็ยังทำให้รู้สึกปลอดภัยได้ว่ายังมีเงินสถาบันที่จะไหลเข้ามาเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในรอบนี้เพิ่มอีกด้วย โดยเมื่อดูตามสถิติต่าง ๆ และตัวเลขแล้วเชื่อว่าวงการคริปโทเคอร์เรนซียังมีโอกาสเติบโตได้อีก”

ทั้งนี้ นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ฝากคำแนะนำให้นักลงทุนหน้าใหม่และผู้ที่สนใจลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลว่า “ขอให้ศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนให้ดี เพราะสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง แต่ละคนมีความพร้อม เงินทุน และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ไม่เหมือนกัน นึกถึงคำที่ ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ เคยบอกว่า คุณไม่จำเป็นต้องสวิงไม้เบสบอลทุกครั้งที่เขาขว้างลูกมา แต่ให้ดูความพร้อมของตัวเองและรอจังหวะที่คุณพร้อม ดังนั้น ทุกคนควรทำความเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองจะลงทุนให้ดีทุกครั้ง”

‘เอกชัย ศรีวิชัย’ โพสต์เดือด!! พร้อมอิโมจิรูปเท้า “หากลูกเขาตายใครรับผิดชอบ? มึงบอกให้ลูกมึงกินข้าว จบ”

ก่อนหน้านี้ นายเอกชัย ศรีวิชัย นักร้อง นักแสดง ผู้กำกับหนัง และผู้เคยแสดงจุดยืนเชียร์พรรคก้าวไกล ได้ออกมาเคลื่อนไหวกรณี ‘กลุ่มทะลุวัง’ บีบแตรและขับรถแซงขบวนเสด็จฯ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในขณะที่ขบวนกำลังแล่นผ่านทางด่วน พร้อมระบุว่า เป็นการกระทำที่ทำร้ายความรู้สึกของคนไทย และทำลายศรัทธาที่เคยมีต่อกลุ่มการเมืองหนึ่งจนหมดสิ้น

ล่าสุด เมื่อวานนี้ (27 ก.พ. 67) เอกชัย ศรีวิชัยก็ได้ออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้งหนึ่ง โดยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘บุญรอบ ศรีวิชัย’ ระบุข้อความว่า “หากลูกเขาตายใครรับผิดชอบ? มึงบอกให้ลูกมึงกินข้าว จบ👣”

ภายหลังจากโพสต์ข้อความไปแล้ว แฟนคลับและผู้ติดตามต่างเข้ามาคอมเมนต์ตอบโต้มากมาย และแม้จะไม่ได้ระบุว่าเป็นเรื่องอะไร แต่คอมเมนต์ก็ไปในทิศทางเดียวกัน เช่น ถูก, จริง, ชอบกินตรีนทำยังไงล่ะครับ, จริงค่ะพี่เอกมึงต้องกินข้าวจะได้ไม่ตาย ฯลฯ

‘ฮ่องกง’ ผุดสถาบัน ‘ปราบปรามทุจริต’ หวังดันประเทศเป็นศูนย์กลางระดับสากล

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คณะกรรมาธิการอิสระปราบปรามการทุจริตประจำเขตบริหารพิเศษฮ่องกงทางตอนใต้ของจีน จัดพิธีการก่อตั้งสถาบันปราบปรามการทุจริตระหว่างประเทศแห่งฮ่องกง ซึ่งมุ่งชี้นำแผนริเริ่มการฝึกอบรมปราบปรามการทุจริตทั้งระดับท้องถิ่นและระดับโลก ส่งเสริมการแบ่งปันประสบการณ์ และเสริมสร้างสถานะของฮ่องกงในการเป็นศูนย์กลางปราบปรามการทุจริตในระดับสากล

จอห์น ลี ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง กล่าวว่าความซื่อสัตย์เป็นหัวใจสำคัญในการรักษาความเจริญรุ่งเรืองและเสถียรภาพของฮ่องกง รวมถึงการมีส่วนส่งเสริมการพัฒนาระดับชาติของฮ่องกง โดยสถาบันฯ จะสนับสนุนสถานะของฮ่องกงในการเป็นศูนย์กลางปราบปรามการทุจริต พร้อมส่งเสริมสังคมฮ่องกงที่โปร่งใส ความมั่นคงทางสังคม และคุณค่าที่ฮ่องกงให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์และหลักนิติธรรม

หูอิงหมิง สมาชิกคณะกรรมาธิการฯ บ่งชี้การตระหนักถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศในงานปราบปรามการทุจริต โดยสถาบันฯ จะจัดการฝึกอบรมแก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปรามการทุจริตทั่วโลกอย่างเป็นระบบและมืออาชีพ รวมถึงรวบรวมนักวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศมาแบ่งปันประสบการณ์ปราบปรามการทุจริตด้วย

ทั้งนี้ สถาบันฯ ได้ร่วมมือกับสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ร่วมกันเปิดหลักสูตรแรกของสถาบันฯ ได้แก่ ‘โครงการพัฒนาวิชาชีพว่าด้วยการสืบสวนทางการเงินและการกู้คืนสินทรัพย์’ (Professional Development Program on Financial Investigation and Asset Recovery) ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปรามการทุจริตจากหน่วยงานตุลาการราว 20 แห่ง เข้าร่วม 35 คน

นอกจากนั้นสถาบันฯ ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) กับมหาวิทยาลัยชั้นนำบนแผ่นดินใหญ่ มาเก๊า และฮ่องกง จำนวน 5 แห่ง เพื่อขับเคลื่อนการวิจัยการปราบปรามการทุจริตและส่งเสริมการแลกเปลี่ยนผู้มีความรู้ความสามารถด้วย

'สาวจีน' เซ็ง!! เล่นร่มร่อนที่ภูเก็ต 'ขาหัก-กระดูกโผล่' แต่คู่กรณีหาว่าสำออย ร้องเตือนชาวจีน "ผู้ประกอบการไม่เห็นความสำคัญของชีวิตพวกเรา"

(28 ก.พ. 67) บนโซเชียลฯ แชร์โพสต์จาก เพจ ‘ลุยจีน’ เป็นเรื่องราวของนักท่องเที่ยวชาวจีนรายหนึ่งนามว่า น่าต๋าหาน 娜达韩 เล่าให้ฟังผ่านแพลตฟอร์ม Douyin ว่าประสบอุบัติเหตุเล่นพาราไกลดิ้ง หรือร่มร่อนชายหาด แล้วเกิดอุบัติเหตุที่หาดกะรน อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา แต่กลับพบว่าผู้ประกอบการร่มร่อนชายหาดรับผิดชอบเพียงแค่ 5 หมื่นบาท

ซึ่งน่าต๋าหาน เล่าว่า ระหว่างมาเที่ยวจังหวัดภูเก็ต เห็นร่มร่อนตรงหาดกะรน จึงไปทดลองเล่น ปรากฏว่าเกิดอุบัติเหตุตอนร่อนลง ร่มควบคุมไม่อยู่ ทำให้ขาลงกระแทกพื้นอย่างรุนแรง แข้งซ้ายหักครึ่งกระดูกโผล่ออกมา คนขายร่มร่อนปฐมพยาบาลขั้นต้น ก่อนเรียกรถพยาบาล แต่เนื่องจากการจราจรติดขัด ใช้เวลา 2 ชั่วโมง โรงพยาบาลแรกพบว่าเครื่องมือไม่พร้อม ผ่านไป 5-6 ชั่วโมงจึงส่งต่อไปยังโรงพยาบาลมิชชั่นภูเก็ต ผ่าแข้งที่หักแล้วใส่ดามเหล็กเข้าไป แผลเย็บยาว 15 เซนติเมตร ตั้งข้อสังเกตว่า มาตรการความปลอดภัยต่ำมาก จ่ายเงินเสร็จลากไปใส่เสื้อชูชีพแล้วมีคนให้บริการมาประกบหน้าหลังทันทีโดยไม่อธิบายใดๆ พูดแค่ "Hurry Hurry, Safe Safe" แล้วลากไปเล่นเลย

หลังเกิดอุบัติเหตุ ผ่าตัดใส่เหล็กดามเรียบร้อย คู่กรณีแสดงท่าทีฉุนเฉียว กล่าวหาว่าสำออยอยากได้เงิน พยายามทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ไม่เชื่อผล CT scan และคำบอกเล่าอาการจากแพทย์และพยาบาล กล่าวหาว่ากุเรื่องเพื่อจะเอาเงินอย่างเดียว ทั้งนี้ ค่ารักษาพยาบาลจากการผ่าตัด 150,000 บาท น่าต๋าหานเรียกร้องค่าเสียหายจากคู่กรณีเพียง 200,000 บาท เพราะไม่อยากให้ยืดเยื้อ อยากให้เรื่องจบเร็ว แต่คู่กรณีกลับตอบกลับมาว่ามีให้แค่ 50,000 บาทเท่านั้น และมีท่าทีแข็งกร้าวอย่างชัดเจนว่าไม่ยอมจ่ายเพิ่มใดๆ บอกห้ามแจ้งความ สุดท้าย น่าต๋าหานให้ทางโรงพยาบาลเปิดแผลให้คู่กรณีดูชัดๆ ถึงมีท่าทีอ่อนลง

พร้อมกันนี้ น่าต๋าหานเตือนชาวจีนว่าอย่าเล่นกีฬาผาดโผนในไทย เพราะมีความเสี่ยงต่อชีวิต สังเกตว่าไม่มีคนไทยในพื้นที่เล่น มีแต่ชาวต่างชาติรวมทั้งชาวจีนที่เป็นกลุ่มลูกค้าหลัก เห็นว่าผู้ประกอบการไม่เห็นความสำคัญของชีวิตพวกเรา เห็นคนต่างชาติแบบตนเป็นแค่แหล่งเงินเท่านั้น และจากที่สอบถามฝั่งที่ขายบริการร่มร่อน พบว่าทุกปีมีอุบัติเหตุแบบที่ประสบหลายเคส แต่ไม่เคยเป็นข่าว ยิ่งทำให้บริการแบบนี้น่ากลัวมากๆ เพราะหลังจากที่แข้งหักเข้าโรงพยาบาล คู่กรณีก็ยังคงขายบริการนี้ให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวจีนและชาวต่างชาติเหมือนเดิม เหมือนไม่เคยมีความผิดพลาดเกิดขึ้น

สวนนงนุชพัทยา จัดโปรโมชั่นสำหรับคนเกิดเดือนมีนาคมซื้อบัตรผ่านประตู ลดทันที 50 %

สวนนงนุชพัทยาโดยนายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ประกาศโปรโมชั่นสำหรับคนเกิดเดือนมีนาคม ซื้อบัตรผ่านประตูลดทันที 50 % เนื่องจากได้รับการตอบรับที่ดีของนักท่องเที่ยวในเดือนที่ผ่านมา และเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยวแบบไทยเที่ยวไทยจึงได้ขยายเพิ่มในเดือนมีนาคม ส่วนของโปรโมชันพิเศษอื่นๆ สำหรับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปเข้าฟรีทุกวันศุกร์ เด็กความสูงไม่เกิน 140 ซม.ที่มากับครอบครัว และผู้พิการพร้อมผู้ติดตามเข้าฟรีทุกวัน

ล่าสุดสวนนงนุชพัทยา ได้รับมอบประกาศนียบัตรจากอธิดีกรมอานามัยให้เป็นสถานที่ที่ได้ปฎิบัติตามมาตรฐานแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อม (GREEN Health Attraction) เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567 รางวัลนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจของสวนนงนุชพัทยาซึ่งเป็นนโยบายการพัฒนาที่ผ่านมา เน้นในเรื่องสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้มีบริการนั่งรถชมสวนสวยที่ติด 1ใน10 สวนที่สวยที่สุดในโลกโดยไม่ต้องเดิน สำหรับผู้ที่ต้องการชมการแสดงนงนุชโชว์และการแสดงช้างแสนรู้ มีวันละ 4 รอบ ผู้ที่ต้องการใช้โปรโมชั่นสำหรับคนเกิดเดือนมีนาคมเพียงยื่นหลักฐานที่ช่องจำหน่ายบัตร สวนนงนุชพัทยาเปิดบริการทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00 น. -18.00 น.

'รทสช.' มีมติรับหลักการ 'ร่างพ.ร.บ.กลุ่มชาติพันธุ์' ที่เสนอโดย ครม. แต่ปัดตก 3 ร่างเสนอประกบ ที่มีเนื้อหาเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ

ไม่นานมานี้ ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นประธานการประชุม สส.ของพรรค โดยมี นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ประธาน สส. และเลขาธิการพรรค รวมทั้ง สส.ของพรรคเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง โดยหารือถึงประเด็นการพิจารณา ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ...ที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) เข้าพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 28 กุมภาพันธ์นี้

นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ แถลงภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมพรรคว่า ที่ประชุมพรรคได้พิจารณารายละเอียดในร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว ที่เสนอโดย ครม. รวมถึงร่าง พ.ร.บ.ในลักษณะเดียวกันที่เสนอโดยพรรคการเมืองและเสนอโดยภาคประชาชนอีก 3 ร่าง โดยที่ประชุมพรรค ได้อภิปรายเนื้อหากันอย่างกว้างขวาง และมีมติเป็นเอกฉันท์รับหลักการร่าง พ.ร.บ.ที่เสนอโดยครม. ส่วนอีก 3 ร่าง พรรคพิจารณาแล้วเห็นว่า เนื้อหาจะเป็นปัญหาด้านความมั่นคงต่อประเทศไทยในอนาคตแน่นอน จึงไม่เห็นด้วย

ทั้งนี้ เนื่องจากเนื้อหาในร่างพ.ร.บ.ของพรรคการเมืองและภาคประชาชนอีก 3 ร่างกำหนดให้มีสภาชนเผ่าพื้นเมือง จึงทำให้พรรคมีความห่วงใยในเรื่องภัยความมั่นคงของชาติในอนาคต เพราะการตั้งสภาชนเผ่าพื้นเมือง จะเป็นปัญหาในด้านการปกครองตนเองในอนาคตจึงเป็นประเด็นที่พรรคไม่เห็นด้วย

นายอัครเดช กล่าวย้ำว่า สาระสำคัญในร่างพ.ร.บ.ฉบับของคณะรัฐมนตรี ได้กำหนดให้สิทธิในด้านต่าง ๆ กับกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งมีกว่า 60 ชาติพันธุ์ครอบคลุมทุกกลุ่มชาติพันธุ์ ทั้งสิทธิที่ดินทำกิน สิทธิความเป็นคนไทย สิทธิในการศึกษา สิทธิในการรักษาพยาบาล รวมถึงสิทธิต่าง ๆ ทางกลุ่มจะได้รับเหมือนกับเป็นคนไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่กลุ่มชาติพันธุ์ได้เรียกร้องและต้องการ โดยสามารถตอบโจทย์ความต้องการของทุกกลุ่มชาติพันธุ์ได้

“พรรครวมไทยสร้างชาติ จึงมีมติเป็นเอกฉันท์รับหลักการเฉพาะในส่วนร่าง พ.ร.บ.ของรัฐบาล เพราะให้สิทธิทุกกลุ่มชาติพันธุ์ ส่วนอีก 3 ร่างพ.ร.บ.ที่เสนอให้สภาฯ พิจารณาโดยมองว่า จะกลายเป็นปัญหาด้านความมั่นคงในอนาคตแน่นอน เพราะจะมีการแบ่งแยกการปกครอง ขณะเดียวกันประเทศไทยเราได้เคยไปแถลงที่องค์การสหประชาชาติว่า ประเทศไทยไม่มีชนเผ่าพื้นเมือง ประเทศไทยมีแต่กลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งรัฐธรรมนูญมาตรา 70 ได้ให้ความคุ้มครองความเป็นคนไทย ความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ ไม่ว่าชาติพันธุ์ไหนจะได้รับความคุ้มครองจากรัฐธรรมนูญ” นายอัครเดช กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 28 ก.พ.67 สภาก็ได้มีมติรับร่างหลักการกฎหมายชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองทั้ง 5 ฉบับ ที่มาจาก สภาชนเผ่าฯ, กระทรวงวัฒนธรรม, พีมูฟ, พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล เพื่อนำไปสู่การเสนอชื่อกรรมาธิการต่อไป โดยทั้ง 5 ฉบับ ประกอบด้วย…

1.ร่าง พ.ร.บ.สภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย เสนอโดยสภาชนเผ่าฯ
2.ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ โดย ศมส. กระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งเป็นร่างของรัฐบาล
3.ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง โดย ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ พีมูฟ
4.ร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ โดยพรรคเพื่อไทย
5. ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ โดยพรรคก้าวไกล

โดยภายหลังจากที่ได้รับฟังการนำเสนอร่างกฎหมายทั้ง 5 ฉบับ ก็มีสมาชิกในที่ประชุมได้แสดงความประสงค์ร่วมอภิปรายทั้งสิ้น 25 คน ประกอบด้วย สส. ฝ่ายรัฐบาล 21 คน และพรรคฝ่ายค้านอีก 5 คน ถึงแม้ว่าในช่วงท้ายก่อนจะมีการลงมติ เกชา ศักดิ์สมบูรณ์ จากพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ยื่นญัตติขอให้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการลงมติจากเดิมที่จะลงมติรวมทั้ง 5 ฉบับ เป็นการลงมติรายฉบับ แต่ในท้ายที่สุดสภาก็มีเสียงส่วนใหญ่รับร่างหลักการทั้งหมด และนำไปสู่การเสนอชื่อกรรมาธิการต่อไป

'Mandala AI' จับมือ 'Torpenguin' เปิดตัว 'Galaxy' โซลูชันใหม่เพื่อโลกธุรกิจ ปฎิวัติการจัดการข้อมูล ช่วย 'ผู้ประกอบการ-นักการตลาด' ไม่หลงทิศ

เมื่อวานนี้ (27 ก.พ. 67) Mandala AI ร่วมมือกับเพจ Torpenguin เปิดตัว Galaxy โซลูชันใหม่ ที่พร้อมจะปฎิวัติการจัดการข้อมูลให้ง่ายขึ้น โดยออกแบบฟีเจอร์ที่ทันสมัย ทำให้การติดตามข้อมูลต่างๆ เป็นเรื่องง่ายทั้งนี้ระบบจะช่วยจัดระเบียบข้อมูลสำหรับการนำเสนอและจัดหมวดหมู่ข้อมูลตามอุตสาหกรรมที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ Galaxy ช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ ตัดสินใจด้วยข้อมูลเชิงลึกได้อย่างแม่นยำมากขึ้น พร้อมส่งมอบประสบการณ์ที่ดีกว่าเดิม ด้วยการใช้งานแพลตฟอร์มแบบไดนามิก

ดร.เอกลักษณ์ ยิ้มวิไล - CEO & Founder Ocean Sky Network (Mandala AI) กล่าวว่า “การทำการตลาดในยุคปัจจุบัน ข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลภายในองค์กรที่ผู้ประกอบการมีอยู่แล้ว ข้อมูลจากภายนอกที่มีการวิเคราะห์ทำเป็นรีพอร์ตจากหน่วยงานต่าง ๆ ข้อมูลความเคลื่อนไหวของคู่แข่ง รวมถึงข้อมูลจากโซเซียลมีเดียแพลตฟอร์มต่าง ๆ แต่หลาย ๆ ครั้ง ผู้ประกอบการหรือนักการตลาด เมื่อได้รับข้อมูลจำนวนมากจากหลายแหล่งข้อมูล อาจจะไม่มีเวลามากพอในการคัดสรรข้อมูลที่ตรงกับธุรกิจของตนเอง เพื่อนำไปวิเคราะห์ วางแผนกลยุทธ์ในการทำการตลาด ทาง Mandala AI จึงได้พัฒนา Galaxy โซลูชันใหม่ ที่รวบรวมข้อมูลอินไซด์ และความเคลื่อนไหวของแต่ละอุตสาหกรรม โดยผ่านการประมวลผลจาก AI เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับข้อมูลที่แม่นยำ อัปเดต และสามารถนำไปใช้ได้รวดเร็ว ตัวแพลตฟอร์มถูกออกแบบให้ใช้งานง่าย มีแดชบอร์ดที่แสดงผลการวิเคราะห์ในหลายมิติ เหมาะกับผู้ใช้งานทุกกลุ่ม

ในวันนี้ Mandala AI ได้ร่วมมือกับทางเพจ Torpenguin เปิดตัว Galaxy Food อย่างเป็นทางการ และนอกจากนี้ จะมีการทำคอนเทนต์ เวิร์คช็อปต่าง ๆ ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้ จะทำให้ผู้ประกอบการร้านอาหารได้เรียนรู้การใช้งาน Galaxy เพิ่มมุมมองการใช้ข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย และสามารถนำข้อมูลที่ได้ไปใช้วางแผนการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพได้จริง”

ด้าน ธนพงศ์ วงศ์ชินศรี เจ้าของเพจ Torpenguin สื่อผู้ให้บริการข้อมูลข่าวสารด้านการจัดการธุรกิจสำหรับร้านอาหาร กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการร่วมมือกับทาง Mandala AI ว่า “คนทำธุรกิจหลายๆ คน รวมไปถึงคนทำร้านอาหารด้วย เวลาเราจะตัดสินใจอะไรที่เกี่ยวข้องกับร้านของเรา ไม่ว่าจะเป็นการคิดเมนูใหม่ ทำโปรโมชั่น หรือว่าจะขยายสาขาไปที่ไหนดี เราอาจจะใช้ความรู้สึกหรือสัญชาตญาณในการตัดสินใจ ว่ามันต้องดีแน่ๆ เพราะนี่คือร้านของเราเรารู้ดี แต่การทำแบบนั้นมันก็ไม่ได้ถูกซะทีเดียว ร้านอาหารที่จะเติบโตได้ในตลาดทั้งหลายนั้น สิ่งที่เขาใช้ประกอบการตัดสินใจไม่ใช่ความรู้สึก แต่เป็นข้อมูล ต่างหาก และยิ่งเรามีข้อมูลมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งได้เปรียบกว่าใคร

ซึ่งการหาข้อมูลก็สามารถหาได้จากหลายทางไม่ว่าจะเป็นระบบ POS ของร้านเอง ตามโซเชียลมีเดียต่าง ๆ หรือการใช้เครื่องมือ Marketing Tool อย่าง Social Listening ที่จะทำให้เรารู้อินไซด์ เทรนด์ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว

เรียกได้ว่า Social Listening Tool คืออนาคตของ SME ไทยเลย เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้ก่อนคนอื่นว่ามีอะไรที่เกิดขึ้นมาในตลาดบ้าง และเทรนด์มันเป็นยังไง แต่เรื่องพวกนี้ SME ไทยกลับมีความรู้น้อยมาก ๆ

โดยทางเพจ Torpenguin เองก็จะมีการทำคอนเทนต์การใช้เครื่องมือ Galaxy กับทาง Mandala AI เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการร้านอาหารและธุรกิจอื่นๆ ว่าเราสามารถใช้เครื่องมือนี้ในการทำการตลาดให้เหมาะกับธุรกิจเราได้อย่างไร การร่วมมือกันครั้งนี้จึงถือเป็นการยกระดับการตลาดสำหรับธุรกิจร้านอาหารผ่านการใช้ศักยภาพและจุดแข็งที่มีร่วมกัน

Galaxy เครื่องมือล่าสุดที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ สามารถรวบรวม และจัดเรียงข้อมูลขนาดใหญ่ ได้อย่างง่ายดาย ด้วยฟีเจอร์ที่ใช้งานง่าย ระบบจะคอยแนะนำและตรวจสอบข้อมูล โดยการนำเสนอตัวเลือกที่เหนือชั้นกว่า การเลือกใช้งาน Galaxy จะช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ จัดระเบียบข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยที่ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องทำการตั้งค่าหรือสร้างแคมเปญเองให้ยุ่งยาก และสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกได้อย่างรวดเร็ว

‘สธ.’ เตือน!! ใช้ชีวิตบน ‘รถติดเครื่องยนต์กลางแจ้ง’ อันตรายถึงชีวิต เพิ่มความเสี่ยง ‘รับก๊าซพิษเข้าสู่ร่างกาย-โรคฮีทสโตรก’

(28 ก.พ.67) พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า โรคลมแดด หรือ Heat Stroke เป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถปรับตัวหรือควบคุมระดับความร้อนภายในร่างกายได้ ทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้นจากการเผชิญกับสภาพอากาศที่มีความร้อนสูง เช่น การออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมท่ามกลางอากาศร้อนจัดเป็นเวลานาน ซึ่งพบว่ามีอุบัติการณ์เพิ่มมากขึ้นในฤดูร้อน อาการจะเริ่มจากอุณหภูมิร่างกายค่อยๆ สูงขึ้น เมื่อเกิน 40 องศา ร่างกายจะไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้รู้สึกผิดปกติ ปวดศีรษะ หน้ามืด กระสับกระส่าย ซึม สับสน ชัก ไม่รู้สึกตัว ร่วมกับมีอาการคลื่นไส้อาเจียน หัวใจเต้นเร็ว หายใจหอบ ตัวแดง ถ้าปล่อยทิ้งไว้ให้มีอาการอาจส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อระบบสมอง หัวใจ ไต และกล้ามเนื้อ หากไม่ได้รับการรักษาอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน และทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ ทั้งนี้ เมื่อพบผู้ที่มีอาการจากโรคลมแดด ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดโดยเร็ว

นพ.ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวว่า โรคลมแดดสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน กลุ่มเสี่ยงของโรคลมแดด ได้แก่ ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้ที่มีโรคประจำตัวที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ ผู้ที่ออกกำลังกายหรือใช้กำลังมากเป็นเวลานาน รวมถึงประชาชนทั่วไป และผู้ป่วยระยะพักฟื้น สำหรับการป้องกันสามารถทำได้โดยหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมในสภาพอากาศที่ร้อนจัด หรือกลางแจ้งเป็นเวลานานๆ หากสามารถเลี่ยงได้ ควรเลือกเวลาที่ต้องการทำกิจกรรม เช่น ช่วงเช้ามืด หรือระหว่างพระอาทิตย์ตกดิน ผู้ที่ชอบออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่อุณหภูมิร้อนจัด ควรดื่มน้ำให้มากเพียงพอ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่ทำให้เกิดภาวะร่างกายขาดน้ำ เช่น เครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีน กาแฟ เหล้า เบียร์ เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้จะทำให้เสียน้ำทางปัสสาวะในปริมาณสูง หากไม่สามารถชดเชยน้ำได้มากพอ จะเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคลมแดดได้ หากจำเป็นต้องออกไปกลางแจ้งควรปกป้องตนเองจากแสงแดด โดยอุปกรณ์ป้องกันแสงแดด เช่น สวมใส่เสื้อผ้าที่มีคุณสมบัติระบายอากาศได้ดี หมวก ร่ม ถือเป็นหนึ่งอุปกรณ์ที่ควรพกติดตัวเมื่อต้องเผชิญกับสภาพอากาศร้อนจัด

“การอยู่ในรถที่ติดเครื่องยนต์กลางแจ้งซึ่งมีอันตรายมาก นอกจากต้องพบกับอากาศร้อนแล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงของการได้รับก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซพิษที่มีผลต่อระบบประสาท จึงควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน อย่างไรก็ตาม โรคลมแดดขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ซึ่งผู้ที่เกิดอาการต้องได้รับความช่วยเหลือในทันที ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อสมอง และอวัยวะที่สำคัญในร่างกาย” นพ.ธนินทร์ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top