Friday, 23 May 2025
NewsFeed

โฆษกเกษตรเผย ”ไชยา“ สั่งลุย ! ฝนหลวงบินลดฝุ่น Pm2.5 ตามนโยบายนายกเศรษฐา

นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ฝ่ายการเมือง) กล่าวถึงสถานการณ์ค่าฝุ่นละออง PM 2.5 (เกินค่ามาตรฐาน) จากการตรวจสอบพบว่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาหลายพื้นที่มีค่าฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐานอยู่ในระดับเริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน (สีส้ม) โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และโดยเฉพาะบริเวณกรุงเทพฯ และปริมณฑล นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะกำกับดูแลได้สั่งการให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตรปฏิบัติการฝนหลวงบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ขึ้นบินปฏิบัติการดัดแปรสภาพอากาศเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง กรุงเทพฯ และปริมณฑล และเฝ้าติดตามสถานการณ์และสภาพอากาศเป็นประจำทุกวัน โดยได้ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2566 เพื่อบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ส่งผลให้ค่าฝุ่นละอองในหลายพื้นที่ลดลงตามนโยบายของรัฐบาล นายกเศรษฐา ทวีสิน ที่มีความตั้งใจจะยกระดับวิถีชีวิตประชาชนในทุกมิติรวมถึงสิทธิขั้นพื้นฐานอากาศสะอาด โดย PM 2.5 เป็นปัญหาที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง 

ซึ่งในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 กรมฝนหลวงและการบินเกษตร จะเริ่ม Kick Off ปฏิบัติการทำฝนหลวงประจำปี 2567 เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรพื้นที่ภาคการเกษตรที่ประสบปัญหาภัยแล้ง ตลอดจนเติมน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำและเขื่อนต่างๆ และการสร้างความชุ่มชื้นให้กับผืนป่าเพื่อป้องกันการเกิดไฟป่า และการบรรเทาปัญหาหมอกควัน และค่าฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐาน ซึ่งถือว่าเป็นภัยพิบัติของประเทศ ดังนั้นการปฏิบัติการครั้งนี้ จึงเป็นการบรรเทาปัญหาความรุนแรง และเป็นการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร เพื่อเก็บกักน้ำไว้ให้รองรับกับความต้องการของประชาชนในการอุปโภคบริโภคและทำการเกษตรอีกด้วย

‘รัดเกล้า’ เผย ‘กม.สมรสเท่าเทียม’ พิจารณาครบถ้วนแล้ว พร้อมเตรียมดันเข้าระเบียบวาระสภาฯ 20 มีนาคมนี้

(29 ก.พ.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี โฆษกประจำคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ …) พ.ศ. … หรือ ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม เปิดเผยว่า วานนี้ (28 ก.พ.67) ที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯ ได้มีการพิจารณาร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ครบถ้วนทุกมาตราทั้ง 68 มาตราแล้ว และได้มีการทบทวนการพิจารณาแก้ไขรายมาตราทุกมาตราเรียบร้อยแล้ว พร้อมมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการนำมติที่ประชุมไปจัดทำร่างรายงานนำเสนอคณะกรรมาธิการเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ในวันพุธที่ 13 มีนาคม 2567

ซึ่งภายหลังจากคณะกรรมาธิการมีมติเห็นชอบแล้ว จะนำเสนอบรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบในวาระ 3 โดยตั้งเป้าหมายให้ทันวันพุธที่ 20 มีนาคม 2567 ซึ่งหากสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบ ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมก็จะสามารถเดินหน้าเข้าสู่ขั้นตอนการนำเสนอวุฒิสภาเพื่อพิจารณาต่อไป

“คณะกรรมาธิการทุกท่านให้ความสำคัญและทุ่มเทให้กับการพิจารณาร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมกันเป็นอย่างมาก การพิจารณากฎหมายได้ดำเนินการไปด้วยความเข้มข้น ละเอียด และถี่ถ้วน เพราะเนื้อหาในร่างกฎหมายนี้เป็นประเด็นที่มีความละเอียดอ่อนสูงในหลากหลายมิติ

นอกเหนือจากความปิติยินดีในภารกิจพิจารณาร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมกันที่ได้เสร็จสิ้นไปแล้วนั้น สมาชิกหลายคนในคณะกรรมาธิการเดินหน้าจัดงานแถลงข่าวการจัดกิจกรรม ‘บางกอกไพรด์ เฟสติวัล 2024 (Bangkok Pride Festival 2024)’ ที่จะจัดขึ้นภายใต้ธีม ‘Celebration of Love’ ซึ่งเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของการนับถอยหลังสู่การฉลองสมรสเท่าเทียมกันในประเทศไทย โดยงานแถลงข่าวดังกล่าวจะมีขึ้น ณ หอศิลปวัฒนธรรม แห่งกรุงเทพมหานคร วันนี้ (พฤหัสบดีที่ 29 ก.พ. 2567) เวลา 13:00 - 15:00 น.” นางรัดเกล้า กล่าว

'อรรถวิชช์' เตรียมรับมือสร้างคอนโดสูงหน้า 'รร.บดินทรเดชา' พบที่จอดรถโครงการน้อย โอกาสเบียดแย่งที่จอดในละแวกมีสูง

(29 ก.พ.67) นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีตรองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ได้เปิดเผยถึงโครงการคอนโดที่มีจำนวนยูนิตมากกว่า 500 กำลังจะก่อสร้างขึ้นบริเวณตรงข้ามโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) วังทองหลาง ซึ่งอาจสร้างปัญหาด้านการจราจรในอนาคต เนื่องจากโครงการมีจำนวนที่จอดรถน้อยจนเกินไป ว่า...

“ผมมาเตรียมรับมือการสร้างคอนโดสูงในซอยแคบหน้าโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ซึ่งโครงการนี้ไม่ธรรมดามีถึง 11 อาคาร และแต่ละอาคารจะมี 8 ชั้น แล้วที่สําคัญห้องพักมีถึง 512 ห้อง แต่ในขณะที่ที่จอดรถมีเพียงแค่ 206 คัน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนแค่ 40% เท่านั้น ไม่ใช่ 1 ต่อ 1 และยังไม่รวมว่าถ้าเกิดมีญาติมาเยี่ยมหรือใครมาเยี่ยมอีก ซึ่งจะจอดรถกันตรงไหน”

“คราวนี้มาดูที่ถนนหน้าซอย ซึ่งเป็นถนนไปกลับสองเลน ไปเลนนึงและกลับเลนนึง ถ้ามีใครจอดรถเข้าสักคันนึง ทีนี้รถติดก็จะติดกันยาวเพราะว่าต้องเบี่ยงเข้าอีกเลนเพื่อแซงกันขึ้นมา”

จากนั้น นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ได้ทำการวัดขนาดถนนหน้าโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) แล้วพบว่ามีขนาดกว้างทั้งสิ้น 6.90 เมตร

“ซึ่งขณะนี้ผมก็เลยไปรับฟังความคิดเห็นของพี่น้องประชาชนที่อยู่บริเวณในซอยนี้ เขาก็ให้ความเห็นกันมาเป็นทิศทางเดียวกันเลยว่าติดตอนเช้าและตอนเย็นช่วงที่รับเด็กนักเรียน แต่ก็จะรู้สึกไม่โอเคถ้าหากมีคอนโดแห่งนี้เกิดขึ้นแล้วมีที่จอดรถไม่เพียงพอ หากถ้าตอนเช้าคนจากคอนโดมาจอดรถไว้แล้วไม่ยอมเอากลับไป ก็เท่ากับรถติดเป็นอัมพาตกันทั้งซอยเลยทีเดียว”

“ซึ่งเรื่องนี้เป็นปัญหาสําคัญเลยทีเดียวสำหรับในซอยที่โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ตั้งอยู่ ดังนั้นก็หวังว่าการสร้างคอนโดจะทําไปด้วยความระมัดระวังมากกว่านี้ในเรื่องของที่จอดรถต้องเตรียมให้มีความพร้อมมิฉะนั้นแล้วก็จะเป็นที่เดือดร้อนของพี่น้องประชาชนได้” นายอรรถวิชช์ กล่าว

'ดร.หิมาลัย' ฉายภาพจริงในถิ่นมะกัน แค่วันหาเสียงของ 'ไบเดน' ยังต้องปิดถนน สะท้อน 'จนท.-ปชช.' ให้เกียรติ 'คนสำคัญ' หากไม่ทำใครชาติไหนจะให้เกียรติตาม

(29 ก.พ.67) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ คณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี/ประธานที่ปรึกษามูลนิธิพระราหู ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ในหัวข้อ 'การให้เกียรติผู้นำประเทศ' ระบุว่า...

มาหาลูกชายที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ลูกชายเป็นแพทย์ฝึกหัดอยู่ที่นี่ กำลังเดินอยู่บนถนน เห็นรถติดกับมีตำรวจเดินตรวจมากผิดปกติ ลูกชายเปิดมือถือดู ถึงรู้ว่าท่านประธานาธิบดีเดินหาเสียงอยู่ที่ถนนใกล้เคียง ซึ่งเป็นอีกถนนหนึ่ง มีการปิดถนนในช่วงที่ท่านหาเสียง 

ย้ำนะครับ!! ปิดถนนช่วงที่หาเสียง และเนื่องจากถนนที่เราเดินอยู่ใกล้เคียง รถเลยติดต่อเนื่องมาด้วย 

จนท.ตำรวจ มีการวางกำลังตรวจดูความเรียบร้อยในถนนรอบๆ ใกล้เคียงถนนที่หาเสียง สังเกตดู ไม่เห็นมีใครโวยวายหรือต่อว่า จนท.สักคน แล้วเขาก็ส่งแจ้งเตือนเข้ามือถือคนที่เดินอยู่ใกล้ๆ บริเวณหาเสียงว่าการจราจรติดขัดเพราะอะไร ที่สำคัญเขารถติดเป็นชั่วโมงเลยครับ

ผมมานึกถึงบางประเทศที่คนบางคนไม่เคยให้เกียรติผู้นำหรือบุคคลสำคัญของประเทศเลย ไม่มีใครใหญ่หรือสำคัญไปกว่ากู ชอบอ้างสิทธิเสรีภาพที่กูไม่ยอมเสียให้ใคร แต่พร้อมละเมิดคนอื่นเขาตลอดเวลา 

ถ้าเราไม่ให้เกียรติผู้นำหรือบุคคลสำคัญของประเทศ ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของประเทศแล้ว ใครเขาจะมาให้เกียรติเรา ยิ่งบางทีพอมีคนต่างชาติต่างภาษามาด่าว่าผู้นำหรือบุคคลสำคัญของเรา กลับไปแสดงความชื่นชม นิยมชมชอบ เหมือนคนอยู่ในบ้าน พ่อแม่เลี้ยงดูมา พี่น้องอยู่กันมา พอโตหน่อย ออกไปข้างนอกบ้าน เขาพูดชมเชยยกยอปอปั้น ให้เศษเงินนิดหน่อย ก็หันกลับมาด่าพ่อแม่พี่น้องตัวเอง 

ลองปรับความคิดใหม่ซิครับ เรื่องในบ้านเราก็เป็นเรื่องภายใน มีปัญหาอะไรก็ค่อยๆ แก้ไขกันไป ใครขึ้นมาเป็นผู้นำ เราก็ควรให้เกียรติ การต่อสู้ทางความคิดก็ทำไป คนในบ้านทะเลาะกัน ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ที่บ้านไหนก็เป็น แต่คนนอกบ้านไม่ควรมาเสือก เป็นเรื่องของคนในบ้านเขาจะใช้สิทธิใช้เสียงแก้ไขกันเอง

พูดไปไกลเลยครับ จริงๆ อยากให้เห็นขบวนหาเสียงของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประเทศต้นแบบประชาธิปไตย เขาอยู่บนความจริง ไม่ดัดจริต การรักษาความปลอดภัยผู้นำ การใช้กำลัง จนท.รัฐ ก็ใช้เหมือนเดิมเพราะถือว่ายังเป็นประธานาธิบดีอยู่ 

ตอนผมเจอวันจันทร์ (26 ก.พ.) เวลาประมาณบ่ายๆ ยังเป็นเวลาทำการอยู่ การจัดขบวนรักษาความปลอดภัยก็จัดเหมือนเดิม แต่ลดขนาดลง พอถาม จนท.เขาบอกว่า ถ้าเป็นงานตามกำหนดการราชการ รถขบวนจะเต็มถนน มีการปิดถนน เคลียร์ถนนรอบๆ เหมือนที่เราเห็นในข่าวเลยครับ จะไม่มีให้รถมาวิ่งร่วมขบวน เขาให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญอย่างมาก ไม่ต้องถึงประธานาธิบดีหรอกครับ กำหนดการงานของนายกเทศมนตรี เขาบอกว่าก็มีรถนำขบวน ปิดถนนเหมือนกัน 

เลยขอให้ลูก Copy คลิปที่เขาส่งเข้ามือถือมาให้ กับถ่ายรูปผมที่ริมถนนส่งมาให้ดูเป็นหลักฐานว่ามาจริง ไม่ได้โม้ครับ 

ฝากไว้นิดครับ ความเห็นต่าง ขัดแย้งกันไม่ใช่เรื่องผิดครับ แต่การให้เกียรติและมีมารยาทที่ดีต่อกัน ก็เป็นเรื่องที่ควรทำครับ สังคมเราก็จะน่าอยู่ยิ่งๆ ขึ้นไปครับ

'เอวา' พาชม 'งานพระบรมสารีริกธาตุ' ที่คุณพ่อเป็น 'ผู้ร่วมจัด-ประสานงานหลัก' งานประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญที่รวมใจชาวพุทธมากกว่า 4 แสนคน

(29 ก.พ.67) จากงานพิธีอัญเชิญ พระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุ จากอินเดีย มาที่สนามหลวง ซึ่งเปิดสักการะ 24 ก.พ.-3 มี.ค. 67 ด้านน้องเอวา หรือ เอวา ปวรวรรณ ได้โพสต์คลิปวิดีโอผ่านช่องติ๊กต็อก @sunflowava พาชมงานพระบรมสารีริกธาตุที่มีคุณพ่อซึ่งก็คือ นายสุภชัย วีระภุชงค์ เป็นผู้ร่วมจัดและประสานงานทั้งหมด โดยระบุว่า…

“วันนี้จะมารีวิวงานพระบรมสารีริกธาตุที่คุณพ่อเป็นคนจัด ซึ่งต้องบอกก่อนว่างานนี้เป็นประวัติศาสตร์ของประเทศไทยเราเลยก็ว่าได้ โดยที่คุณพ่อนั้นเป็นผู้ประสานงานทั้งหมด เริ่มจากอย่างแรกก็จะมีการสวดพุทธมนต์ไหว้พระกัน โดยทางพี่เนสก็เริ่มสวดได้แล้วและเอวาก็สวดได้แบบไม่ต้องดูหนังสือเลยเช่นกัน ซึ่งพี่เนสก็มาช่วยดูแลงานของคุณพ่อด้วย…

แต่จะบอกว่าคนจํานวนเยอะมาก ๆ อย่างวันนี้ที่มาก็มีผู้เข้าไปร่วมสักการะแล้วทั้งหมด 400,000 คน โดยอย่างแรกก็จะมีการเวียนเทียนรอบโบสถ์ที่มีพระบรมสารีริกธาตุ แล้วคุณพ่อเอวาท่านก็สนิทกับพระหลาย ๆ รูปมากเลย เอวาก็มีบุญเราโชคดีมาก ๆ ที่ได้ขึ้นไปกราบไหว้กับคุณพ่อถึงข้างบน และคุณพ่อเอวาท่านก็ได้คุยกับพระอินเดียด้วย ซึ่งก็เป็นองค์ที่ทําให้งานนี้เกิดขึ้นได้ แล้วคุณพ่อก็เป็นคนประสานงานทั้งหมด โชคดีมาก ๆ ที่พระหลายรูปท่านเอ็นดูแล้วก็รักคุณพ่อเอวา

สำหรับใครที่อยากร่วมสักการะตอนนี้มีถึงวันที่ 3 มีนาคม อยากเชิญชวนทุกคนมากันเยอะ ๆ ส่วนใครที่ดูคลิปนี้ก็อนุโมทนาสาธุร่วมกันกับบุญใหญ่ของเอวาและครอบครัว”

'สุริยะ' สั่งเพิ่มเที่ยวบินช่วงสงกรานต์ แก้ปัญหาตั๋วเครื่องบินแพงช่วงเทศกาล พร้อมถก 6 สายการบินในประเทศ ร่วมอัดโปรฯ ตั๋วราคาพิเศษ

'คมนาคม' เปิดมาตรการระยะสั้น แก้ปัญหาตั๋วเครื่องบินแพง สั่งเพิ่มเที่ยวบินช่วงสงกรานต์ 2567 รวม 38 เที่ยวบิน มีที่นั่งเพิ่ม 13,000 ที่นั่ง ด้าน '6 สายการบินในประเทศ' เตรียมอัดโปรฯ ตั๋วราคาพิเศษ ครอบคลุมเส้นทางทุกภูมิภาค สนองความต้องการเดินทางของผู้โดยสาร เน้นย้ำ 'สะดวก - รวดเร็ว - ปลอดภัย - ราคาสมเหตุสมผล'

(29 ก.พ.67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่ได้สั่งการให้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หน่วยงานบริหารและกำกับดูแลสนามบิน สายการบินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในภาคการขนส่งทางอากาศและการท่องเที่ยวไปพิจารณาร่วมหาแนวทางแก้ไขปัญหาราคาค่าโดยสารทางอากาศที่มีราคาสูงและแผนรองรับการท่องเที่ยวช่วงเทศกาล เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติตามนโยบายของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ซึ่งได้ประชุมนัดแรกไปแล้วเมื่อวันที่ 20 ก.พ.67 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ เมื่อวาน (28 ก.พ.67) ทาง กพท. ได้ประชุมร่วมกับ 6 สายการบินที่ให้บริการในเส้นทางการบินภายในประเทศอีกครั้ง ได้แก่ สายการบินไทย, สายการบินไทยแอร์เอเชีย, สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส, สายการบินไทยไลอ้อนแอร์, สายการบินนกแอร์ และสายการบินไทยเวียตเจ็ท เพื่อสรุปมาตรการลดผลกระทบจากราคาค่าโดยสารที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงแผนการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินให้เพียงพอต่อความต้องการช่วงเทศกาล โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 ที่จะถึงนี้

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า การประชุมในครั้งนี้ ได้มีการตรวจสอบความพร้อมและความสามารถในการทำการบินจริงของแต่ละสายการบิน พร้อมทั้งมีเป้าหมายเพิ่มจำนวนเที่ยวบินในช่วงเทศกาลให้มากที่สุด ซึ่งในเบื้องต้นจะเป็นการเพิ่มเที่ยวบินเข้าสู่ระบบทั้งก่อนและหลังเวลาปฏิบัติการบินปกติในสนามบินที่มีความต้องการเดินทางสูง สอดคล้องกับมติของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่กำหนดให้มีวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2567 รวมระยะเวลา 6 วัน หรือระหว่างวันที่ 12 - 17 เมษายน 2567

สำหรับมาตรการระยะสั้นช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 มีแผนเพิ่มเที่ยวบินพิเศษจำนวน 38 เที่ยวบิน ในช่วงระหว่างวันที่ 11 - 12 เมษายน 2567 และวันที่ 15 - 16 เมษายน 2567 ในเส้นทางครอบคลุมทุกภูมิภาค เช่น เชียงใหม่, ภูเก็ต, กระบี่, อุดรธานี, ขอนแก่น และอุบลราชธานี เป็นต้น ซึ่งจากการเพิ่มเที่ยวบินดังกล่าว จะทำให้มีตั๋วโดยสารเครื่องบินเพิ่มขึ้นประมาณ 13,000 ที่นั่ง 

ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นการเพิ่มเที่ยวบินในรอบเช้าและรอบค่ำนอกช่วงเวลาเที่ยวบินที่มีอยู่ตามปกติ สายการบินจึงเตรียมจัดทำโปรโมชั่นราคาพิเศษ เพื่อให้มีราคาที่ถูกลง และให้สอดคล้องกับความต้องการในการเดินทางของผู้โดยสาร 

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า จากมาตรการดังกล่าว ได้มอบหมายให้กรมท่าอากาศยาน (ทย.), บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) และบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) เตรียมความพร้อมในการขยายเวลาดำเนินการตามที่สายการบินกำหนด โดยจะวางแผนการดำเนินการภายในหน่วยงาน เพื่อจัดทำแผนบุคลากรรองรับการให้บริการผู้โดยสารในห้วงเวลาดังกล่าว และกำหนดแนวทางการสนับสนุนการดำเนินการระหว่างกัน ทั้งนี้ จะเร่งเตรียมความพร้อม เพื่อให้ทันต่อการเดินทางของผู้โดยสาร และเพิ่มความคล่องตัวของระบบการขนส่งทางอากาศให้เกิดความสะดวกรวดเร็วมากขึ้นด้วย

กระทรวงคมนาคมและทุกหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงฯ มีความห่วงใยต่อประชาชนทุกภาคส่วน พร้อมที่จะอำนวยความสะดวกในการเดินทาง มีราคาสมเหตุสมผล มุ่งเน้นด้านความปลอดภัยและรวดเร็ว เพื่อให้ประชาชนสามารถเดินทางถึงจุดหมายปลายทางได้โดยสวัสดิภาพ

'ดร.อานนท์' งัดหลักฐาน ยัน!! ‘เกาะกูด’ เป็นของไทยทั้งเกาะ ลั่น!! ดินแดนของไทย จะสูญเสียไม่ได้แม้แต่ตารางนิ้วเดียว

(29 ก.พ. 67) ผศ.ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘เกาะกูด (Koh-Kut) ทั้งเกาะคือดินแดนของไทย เสียไปไม่ได้แม้แต่ตารางนิ้วเดียว’ โดยระบุข้อความว่า…

สยามยอมเสียเขมรอันเป็นประเทศราชของสยามไปเกือบค่อนประเทศคือพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ เพื่อแลกกับการที่สยามจะได้จังหวัดตราดไปจนถึงสุดชายแดนที่บ้านหาดเล็กและได้เกาะกูดกลับคืนมา โดยมิได้ปัจจันตคีรีเขตหรือเกาะกงกลับคืนมา

ให้อ่านข้อ 1 และ ข้อ 2 ของสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส เมื่อรัตนโกสินทร์ศก 125 หรือ คริสตศักราช 1907 มีสัญญาบ่งบอกไว้ชัดเจนว่าเกาะกูดเป็นของสยามอย่างแน่นอน

ส่วนในข้อ 5 นั้นสยามหรือไทย พยายามแก้ไขปัญหาสิทธิสภาพนอกอาณาเขตซึ่งคนในบังคับของฝรั่งเศสไม่ต้องขึ้นศาลไทยเลย ให้เป็นว่าคนในบังคับของฝรั่งเศสหรือซับเยกของฝรั่งเศสหลัง รัตนโกสินทร์ศก 122 (ค.ศ.1904) ต้องมาขึ้นศาลไทย แต่ไทยต้องแก้ไขกฎหมายให้เป็นสากลเสียก่อน 

ในคราวนั้น คศ. 1907-1908 ได้มีคณะกรรมการปักปันเขตแดนร่วมกันระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ได้ทำแผนที่อัตราส่วน 1:200,000 แสดงดินแดนของไทยที่จังหวัดตราด อันแคบขนานริมทะเลไปตามสันปันน้ำของเทือกเขาบรรทัดจนสุดชายแดนที่บ้านหาดเล็กดังรูปในแผนที่นี้ ตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญาตามข้อ 4

เมื่อคุณลุง ศ.ดร. สมปอง สุจริตกุล ยังมีชีวิตอยู่ได้อธิบายว่าสัญญา รศ. 125 หรือ ค.ศ. 1907 นี้เป็นสัญญาประธาน ข้อตกลงความเข้าใจร่วมกัน (Memorandum of understanding: MOU) ข้ออ้างอิง (Term of reference: TOR) การสื่อสารร่วม (Joint Communique) หรือ การจัดเตรียมชั่วคราว (Provisional arrangement: PA) ใด ๆ ก็ตามย่อมไม่อาจจะขัดแย้งกับสัญญาประธานอันเป็นลายลักษณ์อักษรได้ 

ดังนั้นเกาะกูดจึงเป็นดินแดนของไทยทั้งเกาะ กัมพูชาไม่มีสิทธิ์ขีดเส้นบนแผนที่ลากเฉือนแบ่งเกาะกูดออกเป็นสองฝั่งยึดครองไปเป็นของกัมพูชาและอ้างอธิปไตยของดินแดนไทยเพื่อครอบครองพื้นที่ในทะเลอ่าวไทยว่าเป็นพื้นที่พัฒนาร่วม (Joint development area: JDA) หรือ พื้นที่ทับซ้อนใด ๆ ก็มิได้ทั้งสิ้น ขัดกับสัญญาประธาน ที่เคยทำไว้กับประเทศไทย

ดินแดนของไทย และบูรณภาพแห่งดินแดนจะสูญเสียไปไม่ได้แม้แต่ตารางนิ้วเดียว

‘แพทย์สาว’ ร้อง!! ถูก ‘เจ้าของศูนย์อนุรักษ์สัตว์ชื่อดัง’ ทำร้าย เหตุไม่พอใจนั่งหน้าบ้าน พร้อมขู่!! รู้จัก ตร.ยศใหญ่ ยิงตายก็ไม่ผิด

เมื่อวานนี้ (28 ก.พ.67) จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊ก Chaiyachot Uttamang โพสต์ข้อความและภาพว่า ลูกสาวที่เป็นหมออยู่ใน จ.ภูเก็ต ถูกชาวสวิสทำร้าย โดยมีข้อความว่า

“#เรื่องเล่า_จากแพทย์หญิงไทยถูกชายต่างชาติชาวสวิสทำร้ายบนผืนดินไทย
ลูกสาวของผมผู้เป็นหมออยู่ที่ภูเก็ต ซึ่งเป็นคนสุภาพและถ่อมตนเป็นปกติ เขียนข้อความออกมาจากร่างกายและจิตใจของเธอที่ถูกทำร้ายว่า…

สวัสดีค่ะ ขออนุญาตขอความช่วยเหลือเพื่อกระจายข่าวเพื่อความยุติธรรมด้วยค่ะ
เราถูกชาวต่างชาติที่เป็นเจ้าของศูนย์อนุรักษ์ช้างทำร้ายร่างกายค่ะ
โดยมีลำดับเหตุการณ์ ดังนี้

เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567 เวลาประมาณ 19.30 น. เราไปกินข้าวกับเพื่อนผู้หญิงที่เป็นหมอด้วยกัน ที่ร้าน Taste Yamu หลังกินเสร็จก็ชวนกันไปเที่ยวหาดสาธารณะแถวใกล้บ้านบริเวณ Cape Yamu คือ ปกติไปเดินเที่ยวบ่อยเนื่องจากเป็นหาดที่อยู่ใกล้บ้านที่สุด และค่อนข้างปลอดภัย

ตอนเราเดินไปที่หาดกับเพื่อนเจอพี่ยามคนนึง แกก็ถามว่าเรามาดูดวงจันทร์ใช่มั้ย เพราะมันเป็นวันมาฆบูชา (ฟูลมูน) เลยตอบไปว่า ใช่ค่ะ พี่ยามก็บอกว่า ครับ เอนจอย ครับ แล้วเดินจากเราไป เรากับเพื่อนเดินดูดวงจันทร์บนชายหาดกันสักพัก รู้สึกเมื่อยและอยากนั่งพัก จึงเดินไปนั่งตรงบันไดที่ปลูกลงมาบริเวณชายหาดที่ต่อลงมาจากวิลล่า หมายเลข 23 เพราะคิดว่าเป็นบันไดของชายหาด โดยที่เท้ายังจุ่มอยู่บนพื้นทราย

ในขณะที่เรานั่งอยู่รู้สึกเหมือนมีใครเดินมาข้างหลัง จึงหันไปพูดกับเพื่อนว่า รู้สึกเหมือนมีคนเดินมา จากนั้น พลันก็รู้สึกสะเทือนหนักหน่วงไปทั้งร่าง เมื่อได้สติก็ทำให้รู้ว่า เกิดจากหน้าแข้งที่กระหน่ำเตะลงมาที่กลางหลัง จากชายชาวต่างชาติตัวใหญ่น้ำหนักราว 100 กิโลกรัม ในสภาพหน้าแดง เหงื่อท่วม กำลังถือโทรศัพท์เพื่ออัดวิดีโอ และสบถด่าคำหยาบออกมาสารพัด เรากับเพื่อนเลยเดินไปหาพี่ยาม บนป้อมยามบนเนินข้างบน แล้วบอกว่า “พี่คะ หนูถูกทำร้ายร่างกาย” พี่ยามก็ตกใจและพาเราไปยังหน้าวิลล่า 23 ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ

ฝรั่งคนนั้นแสดงอาการโกรธสบถคำด่าออกมาสารพัด จากนั้นภรรยาชาวไทยพร้อมแผงสร้อยเพชรเม็ดโตก็เดินออกมา ตอนนั้นเรากับเพื่อนแอบดีใจเพราะคิดว่าจะเคลียร์กันได้ แต่ประโยคแรกที่ภรรยาชาวไทยพูดถึงกับทำให้เรากับเพื่อนสตันท์ไป เพราะเธอบอกว่า “นี่อีดอ* สองตัวนี้มานั่งอยู่หน้าบ้านกู พวกมึ* รู้ไหมต่อให้พวกกู ยิงพวกมึ*ตาย กูก็ไม่ผิด เพราะลูกกูเป็นตำรวจและรู้จักนายตำรวจใหญ่ของภูเก็ต กูจะเอาพวกมุ*เข้าคุกให้ได้ กูจะโทรหาท่านรองเดี๋ยวนี้” จากนั้นเธอก็โทรหาตำรวจยศใหญ่ของเธอว่าให้ส่งตำรวจมา

ผ่านไปประมาณ 15 นาที มีตำรวจ 2 คนเดินมา คนหนึ่งแต่งตัวนอกเครื่องแบบ ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นตำรวจในเครื่องแบบ ตำรวจหนุ่มทั้งสองพยายามมาเจรจาเคลียร์เรื่อง หลังจากที่ตำรวจมาคุยกับเรา เราก็บอกกับตำรวจว่า เราถูกทำร้ายร่างกาย ชายชาวต่างชาติก็มาพูดกับเราว่า “อ่อเป็นชนพื้นเมือง เป็นคนไทยเหรอ รู้ไหมชั้นไม่ได้จ่ายค่าเช่าวิลล่าเดือนละล้านบาท มาให้พวกมุ*นั่งหน้าบ้านกู”

เราก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร หลังจากนั้นตำรวจก็เดินมาพูดกับเราว่า ตอนนี้มันผิดกันทั้งสองฝ่าย ฝ่ายเราเป็นคนบุกรุกมีโทษหนักกว่าต้องติดคุก 4 ปี ฝ่ายเขาแค่ทำร้ายร่างกายจ่ายเงินก็จบ เราเลยช็อกไป ตำรวจนายหนึ่งบอกว่าต้องเคลียร์ให้ยอมความกันให้ได้ จะได้ไม่ต้องถึงโรงพัก

เราจึงเสนอให้ 3 ทางเลือก คือ 1. ต่างคนต่างขอโทษแล้วจบ 2. ต่างคนต่างไม่ขอโทษแล้วจบ 3. ไปคุยกันที่โรงพัก ฝั่งนู้นเขาบอกว่า “#เราขอโทษฝรั่งได้_แต่ฝรั่งจะไม่ขอโทษเรา #และเราจะต้องติดคุก”

หลังจากนั้นเราจึงไปแจ้งความที่ สภ.ถลาง หลังจากแจ้งความ เราได้ทราบชื่อของชาวต่างชาติคนนี้ซึ่งทำให้เราช็อกมาก เพราะชายคนนี้เป็นชาวสวิส ที่เป็นเจ้าของศูนย์อนุรักษ์สัตว์ดัง ที่เคลมว่าเขาจะปกป้องดูแลช้างและไม่ทำร้ายช้าง แต่เขาทำร้ายผู้หญิงค่ะ!

รบกวนขอความยุติธรรมกับเรื่องนี้ด้วยนะคะ เพราะอีกฝั่งเป็นชาวต่างชาติที่มีอิทธิพลในภูเก็ต มีข้อสังเกตว่ามีตำรวจยศใหญ่คอยช่วยเหลือดูแลอยู่เบื้องหลัง และเราคิดว่าเรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้น #ไม่สมควรมีคนไทยคนไหนโดนชาวต่างชาติทำร้ายร่างกาย #คนไทยผู้เป็นสุจริตชน #ผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินไทยค่ะ

จาก #ผู้หญิงไทยคนหนึ่งผู้ถูกชายชาวต่างชาติคนหนึ่งทำร้าย
(28 กุมภาพันธ์ 2024)”

ผู้สื่อข่าวมีโอกาสได้โทรศัพท์พูดคุยกับเจ้าของเฟซบุ๊กดังกล่าว ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ผู้เสียหายเป็นลูกสาวของตนเองประกอบอาชีพเป็นแพทย์อยู่ในโรงพยาบาล ที่จังหวัดภูเก็ต ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อดูแลครอบครัวให้ได้รับความเป็นธรรม มีกำหนดการเดินทางมาที่จังหวัดภูเก็ต ถึงในค่ำวันนี้เนื่องจากในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ พนักงานสอบสวน มีกำหนดการเรียกไปพบ เพื่อต้องการที่จะเอาเอกสารใบรับรองของแพทย์ที่ตรวจร่างกายไปให้ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และเท่าที่ทราบ พนักงานสอบสวนยังไม่ลงหมายเลขคดีแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ลูกสาวต้องการขอความเป็นธรรม ในคดีให้อายัดตัวนักธุรกิจรายนี้ อย่างไรก็ดีทราบว่า มีนายตำรวจ ระดับรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 มีกำหนดการว่าจะมาร่วมพบปะลูกสาว ที่ สภ.ถลางในวันพรุ่งนี้ด้วย (ภรรยาชาวสวิสอ้างว่า มีลูกชายเป็นตำรวจและรู้จักตำรวจระดับรองฯ) อย่างไรก็ดีเท่าที่ได้พูดคุยกับลูกสาว ลูกสาวยืนยันว่า จะต่อสู้ในเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แพทย์หญิงรายดังกล่าว ยังได้นำใบลงบันทึกประจำวัน โพสต์ลงในเฟซบุ๊กด้วย

ศรชล.ภาค 1/ทรภ.1 ส่งเรือช่วยเหลือลูกเรือประมง เชือกพันขาขาด กลางทะเล

เมื่อเวลา 21.30 น. วันที่ 27 ก.พ.67 ทัพเรือภาคที่ 1 และศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค 1 (ศรชล.ภาค 1 ) ได้รับแจ้งจากไต๋เรือ ส.ตะวัน 14 ว่ามีลูกเรือได้รับบาดเจ็บจากเชือกพันขาขาด บริเวณระยะ 29.6 ไมล์ทะเล จากแหลมปู่เจ้า ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี 

หลังรับแจ้ง ได้ส่งเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่ง 268 (ต.268) ให้การสนับสนุนขนย้ายผู้ป่วย ลูกเรือ ส.ตะวัน 14 กลับมายังท่าเรือ หน่วยสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ (นสร.กร.) เขาหมาจอ ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี และดำเนินการส่งต่อไปยัง รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ เพื่อรับการรักษาโดยเร่งด่วนต่อไป

โดยผู้บาดเจ็บ เป็นลูกเรือประมงที่ประสบอุบัติเหตุอาการสาหัสจากเชือกพันขาจนขาขวาขาด ดังกล่าว

การปฏิบัติการค้นหาและปลดวัตถุอันตรายเรือหลวงสุโขทัย วันที่ 7 สามารถถอดถอนแท่นยิงตอร์ปิโดกราบซ้าย 3 ท่อยิงขึ้น บนผิวน้ำได้สำเร็จ

วันที่ 28 ก.พ.67 ซึ่งเป็นการปฏิบัติการค้นหาและปลดวัตถุอันตรายเรือหลวงสุโขทัย วันที่ 7 โดยชุดปฏิบัติการร่วมของกองทัพเรือไทยและกองทัพเรือสหรัฐฯ บนเรือ Ocean Valor ที่จอดเรืออยู่บริเวณอ่าวไทยใกล้จุดที่เรือหลวงสุโขทัยอับปาง ในพื้นที่อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีการดำน้ำ จำนวน 4 เที่ยว โดยมีภารกิจในการค้นหาผู้สูญหาย และทำการสำรวจและถอดถอนท่อยิงตอร์ปิโด เพื่อทำลายขีดความสามารถของอาวุธ

โดยผลการปฏิบัติ ไม่พบผู้สูญหายบริเวณพื้นที่ที่สำรวจ และได้ทำการถอดถอนแท่นยิงตอร์ปิโดกราบซ้าย (3 ท่อยิง) ขึ้นบนเรือ Ocean Valor ได้สำเร็จ แต่เนื่องจากภาวะคลื่นลมแรง ความสูงคลื่น 1 – 1.5 เมตร ประกอบกับมีฝนฟ้าคะนองในพื้นที่ปฏิบัติการ เป็นอุปสรรคการปฏิบัติงาน โดยชุดปฏิบัติการจะปรับแผนการปฏิบัติในส่วนที่ไม่สามารถดำเนินการได้ไปปฏิบัติในวันต่อไป 

สำหรับการปฏิบัติการวันพรุ่งนี้ จะมีการปฏิบัติการดำน้ำร่วมกัน ในการค้นหาผู้สูญหาย สำรวจและถอดถอนท่อยิงตอร์ปิโดกราบขวา เพื่อทำลายขีดความสามารถ จำนวน 4 เที่ยว 

ทั้งนี้ กองทัพเรือ จะรายงานผลการปฏิบัติให้ทราบในโอกาสต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top