Friday, 30 May 2025
NewsFeed

กาชาดชวนแบ่งปันความรัก ส่งความสุขวันวาเลนไทน์ ให้ใจฟู ด้วยการให้โลหิต

ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ชวนร่วมแบ่งปันความรัก ส่งความสุขวันวาเลน์ไทน์ ให้ใจฟู บริจาคโลหิตช่วยเหลือผู้ป่วยทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 14 -16 กุมภาพันธ์ 2567 ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ หน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ 7 แห่ง โรงพยาบาลสาขาบริการโลหิต 8 แห่งในกรุงเทพฯ และภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่ง ทั่วประเทศ

รองศาสตราจารย์แพทย์หญิงดุจใจ ชัยวานิชศิริ  ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย  เปิดเผยว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ มีเทศกาลวันวาเลนไทน์ หรือวันแห่งความรัก หลายคนมักใช้โอกาสนี้ แสดงความรัก ความห่วงใย และทำสิ่งดีๆ ให้กัน ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ

สภากาชาดไทย จึงได้จัดกิจกรรมเชิญชวนทุกคนร่วมแบ่งปันความรัก ส่งต่อความสุข ในเดือนแห่งความรัก ด้วยการเป็นผู้ให้โลหิต ภายใต้โครงการ “เติมความรัก เติมโลหิต ด้วยหัวใจ” ระหว่างวันที่ 14 – 16 กุมภาพันธ์ 2567 ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ถนนอังรีดูนังต์ หน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ 7 แห่ง (Fixed Station) โรงพยาบาลสาขาบริการโลหิต 8 แห่งในกรุงเทพฯ และภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่ง ทั่วประเทศถือเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการแสดงออกถึงความรักที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยการเป็น “ผู้ให้” ที่ยิ่งใหญ่ และได้มีโอกาสช่วยเหลือสังคมส่วนรวมอีกด้วย

ทั้งนี้ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย มีหน้าที่ในการจัดหาโลหิตให้ปริมาณที่เพียงพอ         มีคุณภาพและปลอดภัยสูงสุด เพื่อจ่ายให้แก่โรงพยาบาลทั่วประเทศ ตามมาตรฐานงานบริการโลหิต ต้องมีโลหิตสำรองคงคลังไม่ต่ำกว่า 3,000 ยูนิต ต่อวัน การจัดหาโลหิตจึงมีความจำเป็นต้องอาศัยผู้มีจิตศรัทธาเข้ามาบริจาคโลหิตอย่างต่อเนื่อง  ซึ่งการจัดโครงการและกิจกรรมรณรงค์บริจาคโลหิตอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นการกระตุ้นเตือนถึงความจำเป็นของการบริจาคโลหิต และกระตุ้นให้เกิดการบริจาคโลหิตเป็นประจำสม่ำเสมอทุก 3 เดือน ซึ่งจะทำให้มีปริมาณโลหิตอย่างเพียงพอสำหรับผู้ป่วยทั่วประเทศ 

พิเศษสำหรับผู้บริจาคโลหิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ถนนอังรีดูนังต์ จะได้ร่วมสนุกกับกิจกรรม Lucky Love  ลุ้นรับรางวัล “พวงกุญแจ Lucky Love” จำนวนจำกัดเพียง 300 ชิ้น จากบริษัท ล้ำยุค (มิลเลนเนี่ยม 2002) จำกัด หรือ PLAYBOY สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ ฝ่ายจัดหาผู้บริจาคโลหิตและสื่อสารองค์กร ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย โทร. 02 256 4300, 02 263 9600-99 ต่อ 1101, 1760, 1761
********************

ขอขอบคุณที่ท่านได้กรุณาเผยแพร่ข่าวนี้
ฝ่ายจัดหาโลหิตและสื่อสารองค์กร ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย
โทรศัพท์ 02 256 4300, 02 263 9600-99 ต่อ 1760, 1761

'ชาวบ้านกัมพูชา' เผาพื้นที่เกษตรติดต่อ 2 วัน ทำควันไฟดำ ลอยปกคลุมเมืองตราดอีกครั้ง

ยังไม่หยุด!! ชาวบ้านกัมพูชาเผาพื้นที่เกษตรติดต่อกัน 2 วัน ทำไฟลามเข้าแนวเทือกเขาบรรทัดอีกครั้ง ซ้ำยังลามเข้าฝั่งไทยลึกกว่า 1 กม. ส่งผลชาวบ้าน ต.ชำราก อ.เมืองตราด เดือดร้อนหนักจากควันไฟสีดำปกคลุมพื้นที่อย่างรุนแรง

เมื่อวานนี้ (11 ก.พ. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เกิดกลุ่มควันไฟปกคลุมพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน อ.เมืองตราด อีกครั้ง โดยเฉพาะใน ต.ชำราก อ.เมืองตราด ที่ถูกกลุ่มควันไฟสีดำที่พวยพุ่งขึ้นจากเทือกเขาบรรทัดลอยเข้าปกคลุมพื้นที่ และจากการขึ้นสำรวจบริเวณจุดชมวิวยุทธการชำรากเพื่อติดตามแหล่งที่มาของกลุ่มควันไฟพบว่าอยู่ในจุดที่มีกับระเบิดจึงไม่สามารถเดินทางเข้าดับไฟได้

ขณะเดียวกัน ยังได้ยินเสียงไฟไหม้ต้นหญ้าและเสียงระเบิดดังออกมาอย่างต่อเนื่อง และเมื่อประสานไปยังเจ้าหน้าที่ทหารพรานนาวิกโยธิน กองร้อย 535 บ้านชำราก ด้วยการเดินเท้าผ่านเส้นทางราบและเนินดินไปสันเขาบรรทัด พบว่า มีต้นหญ้าแห้ง ต้นไม้ถูกไฟเผาไหม้เป็นทางยาวขนานไปกับสันเขา ยาวประมาณ 2-3 กิโลเมตร ซึ่งระยะที่เกิดไฟไหม้ยังลึกเข้ามาในเขตชายแดนไทยประมาณ 1 กิโลเมตรด้วย

น.อ.นฤมิต ศุขสมิติ ผู้บังคับหน่วยนาวิกโยธินตราด (ผบ.ฉก.นย.ตราด) เผยว่า ไฟป่าตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาด้าน จ.ตราด และจันทบุรี เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำในช่วงหน้าแล้ง เนื่องจากชาวกัมพูชาที่ทำเกษตรกรรมได้ทำการเเผ้วถางป่าด้วยการเผาจึงทำให้เกิดกลุ่มควัน และเศษวัสดุที่เป็นเถ้าถ่านลอยมาฝั่งไทย และมีไฟไหม้ลุกลามเข้ามาฝั่งไทย

“ในส่วนของทหารนาวิกโยธินตราด ได้เข้าไปหารือและร่วมกันทำแนวกันไฟร่วมกับชาวบ้านใน ต.แหลมกลัด (เขาล้าน) ส่วนในพื้นที่อื่น ๆ ได้ประสานความร่วมมือในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ยังพบว่ามีไฟป่าลุกไหม้และลุกลามอย่างต่อเนื่อง” น.อ.นฤมิต กล่าว

อย่างไรก็ตาม ไฟป่าที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุดผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า เกิดจากการเผาป่าในประเทศกัมพูชา ที่ยาวนานติดต่อกันมาถึง 2 วันแล้ว จนส่งผลกระทบต่อประชาชนชาวไทยตามแนวชายแดน ซึ่งในวันนี้ถือว่ามีควันไฟลอยเข้าปกคลุมรุนแรงมากที่สุด

ขณะที่ นายพีระ เอี่ยมสุนทร รองผู้ว่าราชการจังหวัดตราด เผยว่าเรื่องของไฟป่า ผู้ว่าราชการจังหวัดตราดได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก และที่ผ่านมาได้มีการประสานไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อขอความร่วมมือจากประชาชนทั้ง 2 ประเทศ ไม่ให้ไม่เผาเศษวัสดุต่าง ๆ รวมทั้งยังเน้นย้ำให้ใช้กฎหมายเพื่อเอาผิดกับผู้ไม่ปฏิบัติตามประกาศจังหวัดในการห้ามเผาป่า หรือเผาวัสดุอื่น ๆ อีกด้วย

‘ปักกิ่ง’ เตรียมเป็นเจ้าภาพ ‘แข่งว่ายน้ำชิงแชมป์โลก’ ปี 72 ส่วนกำหนดการที่แน่ชัด จะประกาศให้ทราบภายหลัง

(12 ก.พ. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เวิลด์ อควาติกส์ (World Aquatics) องค์กรกีฬาทางน้ำระดับโลก ยืนยันว่ากรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน จะเป็นเมืองเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาทางน้ำชิงแชมป์โลกในปี 2029

ด้าน ฮุสเซน อัล มุซัลลัม ประธานองค์กรฯ ระบุว่าปักกิ่งจัดกิจกรรมการแข่งขันทางน้ำที่สำคัญมาแล้วหลายครั้ง และมีการจัดเตรียมที่ดีเยี่ยมซึ่งทำให้นักกีฬาของเราแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มความสามารถ ซึ่งเรารู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนการแข่งขันเวิลด์ อควาติกส์ มาสเตอร์ส แชมเปียนชิป (World Aquatics Masters Championships) ประจำปี 2029 จะจัดขึ้นที่ปักกิ่งเช่นกัน โดยกำหนดการที่แน่ชัดของการแข่งขันทั้งสองรายการจะมีประกาศให้ทราบภายหลัง

อนึ่ง ปักกิ่ง เป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งจัดการแข่งขันกีฬาทางน้ำ โดยมีประวัติเป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรมทางน้ำที่มีชื่อเสียงหลายรายการ

โจวจี้หง ประธานสมาคมกีฬาว่ายน้ำแห่งชาติจีน เปิดเผยว่าจีนมีความหลงใหลในกีฬาทางน้ำอย่างลึกซึ้ง และมีประวัติศาสตร์ที่น่าภาคภูมิใจในการต้อนรับนักกีฬาทางน้ำฝีมือยอดเยี่ยม

หลังเสร็จสิ้นการแข่งขันกีฬาทางน้ำชิงแชมป์โลก ที่กำลังดำเนินอยู่ในกรุงโดฮาของกาตาร์ สิงคโปร์และบูดาเปสต์จะรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันดังกล่าวต่อในปี 2025 และ 2027 ตามลำดับ

4 ข้อเตือนใจนักเดินทางด้วยเครื่องบิน ก่อนตกเป็นเหยื่อสลัดอากาศกลางเวหา

ทางการสิงคโปร์ออกโรงเตือนนักเดินทาง ที่โดยสารเครื่องบินเป็นประจำว่า โจรในคราบนักท่องเที่ยวในสมัยนี้มีเยอะกว่าที่คุณคิด หลังเกิดเหตุผู้โดยสารชายชาวจีนคนหนึ่ง แอบฉกสิ่งของของผู้โดยสารบนเครื่องคนอื่นถึง 3 คน บนเที่ยวบินของสายการบิน Scoot เมื่อช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา และได้ทรัพย์สินติดมือมูลค่าสูงถึง $31,000  (ประมาณ 8.27 แสนบาท) 

นาย จาง ซิวเฉียง สัญชาติจีน วัย 52 ปี ถูกจับกุมด้วยข้อหาลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2566 เมื่อเขาได้ขึ้นเครื่องบินของสายการบิน Scoot เที่ยวบิน TR305 จาก นครโฮจิมินห์ มุ่งหน้าไปยังท่าอากาศยานชางฮีในสิงคโปร์ โดยเขาได้แอบขโมยเงินสด และ ทรัพย์สินของผู้โดยสารบนเครื่องถึง 3 รายขณะเดินทาง

คดีการลักทรัพย์บนเครื่องบิน เข้าข่ายการกระทำความผิดตามข้อกฎหมายที่มีระบุอยู่ในอนุสัญญาโตเกียว ที่ว่าด้วยเรื่องการปราบปรามการกระทําความผิดทางอาญาทุกประเภทที่เกิดขึ้นบนอากาศยานขณะกำลังบิน อย่างเช่น กรณีของ นาย จาง ซิวเฉียง ที่อาจต้องโทษจำคุกสูงสุดได้ถึง 3 ปี หรือทั้งจำ ทั้งปรับ 

เราอาจได้ยินข่าวคดีลักทรัพย์บนเครื่องบินไม่บ่อยเท่ากับคดีเหล่านี้ที่เกิดขึ้นทุกวันตามท้องถนน แต่ทางการสิงคโปร์ในวันนี้ ได้ออกมาเตือนนักเดินทางว่า กลุ่มโจรกลางเวหา ที่แฝงตัวมาในคราบนักท่องเที่ยว อาจมีจำนวนมากกว่าที่เราคิด และทำเป็นขบวนการ โดยพิจารณาจากคดีความเรื่องการลักทรัพย์บนเที่ยวบินที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด หลายเท่าตัวภายในเวลาไม่กี่ปี

South China Morning Post สื่อฮ่องกงรายงานว่าในช่วงเพียง 9 เดือนแรกของปี 2023 คดีลักทรัพย์บนเครื่องมากถึง 13 คดี เมื่อเทียบกับปี 2022 และ 2021 ที่ผ่านมา มีเพียง 1-2 คดีเท่านั้น

หลายคนเข้าใจว่า การเลือกเดินทางด้วยสายการบินราคาประหยัดมีความเสี่ยงที่จะเจอโจรเวหามากกว่าสายการบินแบบฟูลเซอร์วิส ซึ่งก็ไม่จริงเสมอไป เพราะบ่อยครั้งที่พบคดีลักขโมยในเที่ยวบินระดับพรีเมี่ยมเช่นกัน อย่างกรณีของคดีทีเกิดขึ้นบนเครื่องบินของ American Airlines ระหว่างเดินทางจากกรุงบูเอโนส ไอเรส ไปยัง ไมอามี เมื่อราว ๆ เดือนกรกฎาคม 2022 ที่จับกุมหัวขโมยที่แอบมาฉกเงินจากกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารบนเครื่อง 2 รายไปได้กว่า 10,000 ดอลลาร์ 

แถมหลายครั้งยังพบโจรในคราบผู้โดยสารทำงานเป็นทีม และเลือกไฟลท์เดินทางระยะไกล ที่สามารถลักทรัพย์สินในช่วงที่ผู้โดยสารหลับ ดังนั้น ยิ่งเป็นเที่ยวบินแบบฟูลเซอร์วิส ที่บินนานข้ามวัน กลับยิ่งไม่ปลอดภัย เพราะผู้โดยสารสายการบินชั้นดีมักมีฐานะ พกทรัพย์สิน เงินสดติดตัวระหว่างไปเที่ยวแดนไกลมากกว่า ผู้โดยสารเที่ยวบินแบบประหยัดที่เดินทางระยะใกล้นั่นเอง 

ตำรวจสิงคโปร์จึงได้ออกมาแนะนำวิธีการป้องกันทรัพย์สินของตนระหว่างเดินทางบนเครื่องบิน เพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวอย่างเรากลายเป็นผู้ประสบภัย เพราะถูกฉกทรัพย์สินมีค่าระหว่างเดินทาง

1. เงินสด กระเป๋าเงิน และ เครื่องประดับ ทรัพย์สินมีค่าต้องเก็บไว้กับตัวเท่านั้น อย่าใส่ลงในกระเป๋าเดินทางที่เก็บไว้บนช่องใส่สัมภาระเหนือศีรษะ เพราะเราไม่สามารถจับตาดูกระเป๋าเดินทางของเราได้ตลอดเวลา แต่หากไม่สะดวกถือกระเป๋าเงินติดตัวตลอดเวลา ให้แยกใส่กระเป๋าใบเล็กแล้ววางไว้ใต้ที่นั่งด้านหน้าของเรา เพราะอยู่ในตำแหน่งที่เรามองเห็น และยากที่คนแปลกหน้าจะแอบมาหยิบฉวยไปได้

2. หากจำเป็นต้องวางกระเป๋าเดินทางติดตัวไว้ในช่องสัมภาระเหนือศีรษะ ควรเลือกใส่ช่องฝั่งตรงข้ามที่นั่งของเรา เพราะเราสามารถมองเห็นได้ แทนที่จะใส่ตรงช่องเหนือศีรษะของเราพอดี และควรใส่ของมีค่าไว้ด้านในสุดของกระเป๋า พร้อมล็อกกระเป๋าให้เรียบร้อย และควรวางกระเป๋าด้วยการหันซิป เข้าด้านใน เป็นการเพิ่มความยากให้โจรในการแอบมาเปิดกระเป๋าคุ้ยข้าวของในกระเป๋าของเรา

3. ลองพิจารณาแพ็กเกจประกันการเดินทางขอคุณว่าครอบคลุมถึงกรณีการโจรกรรมทรัพย์สินระหว่างเดินทาง ที่อาจมีชดเชยให้บ้างตั้งแต่ 300 - 500 เหรียญ สำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉิน แต่มักไม่คุ้มค่ากับของที่สูญหายไป ดังนั้นจึงไม่ควรพกเงินสดเดินทางเป็นจำนวนมาก ๆ แล้วเปลี่ยนมาใช้เป็นบัตรกดเงินสดระหว่างประเทศแทน ที่เราสามารถนำไปจับจ่าย ซื้อของ หรือกดเงินสดได้เมื่อเราเดินทางไปถึงที่หมายจะปลอดภัยกว่า 

4. สุดท้าย พยายามสังเกตพฤติกรรมของผู้โดยสารแปลกหน้า ที่มาเปิดค้นสัมภาระต่าง ๆ ในยามวิกาล หรือมีพฤติกรรมน่าสงสัย ควรรีบแจ้งพนักงานต้อนรับบนเครื่องในทันที

หลังจากที่ยุคความวิตก หวาดกลัวภัยโรคระบาด Covid-19 ผ่านพ้นไป การเดินทางท่องเที่ยวก็กลับมาคึกคัก เช่นเดียวกับโจรที่แฝงมาในเที่ยวบินเช่นกัน ดังนั้น 4 ข้อแนะนำของตำรวจสิงคโปร์ ที่ตกผลึกจากคดีลักทรัพย์กลางอากาศมาแล้วหลายครั้ง น่าจะเป็นประโยชน์กับนักเดินทางในยามขึ้นเครื่องไม่มากก็น้อย 

'สส.รังสิมันต์' ยอมรับ!! สังคมไม่เห็นด้วยปม 'ตะวัน' ป่วนขบวนเสด็จฯ ยัน!! ก้าวไกลไม่ได้อยู่เบื้องหลังใครและไม่มีใครอยู่เบื้องหลังพรรคได้

(12 ก.พ. 67) ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่มีการหาว่าพรรคก้าวไกล เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง กลุ่มทะลุวังที่มีการบีบแตรใส่ขบวนเสด็จฯ ว่า ความคิดที่บอกว่ากลุ่มต่าง ๆ มีพรรคการเมืองอยู่เบื้องหลัง ไม่ใช่เรื่องใหม่เกิดขึ้นแล้วหลายครั้ง ซึ่งไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาสังคม รวมถึงปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น หลายครั้งที่พรรคก้าวไกลถูกปรักปรำในลักษณะนี้ อะไรคือหลักฐานว่าเราอยู่เบื้องหลัง และในช่วงเวลาที่ผ่านมาที่เราอยู่ท่ามกลางวิกฤตทางการเมือง 

ในอดีตเราหลายคนอาจจะไปประกันตัว อาจจะไปเป็นนายประกันให้ แต่การทำในลักษณะนั้นต้องแยกออกจากการที่เขาขับเคลื่อน ซึ่งเหตุผลที่เราไปเป็นนายประกันให้คือสามารถทำได้ตามกฎหมาย รวมถึงให้สิทธิ์เขาในการต่อสู้คดี ไม่ได้หมายความว่าคนที่ไปประกันตัวจะเห็นด้วยกับการกระทำ ไม่เช่นนั้นการประกันตัวที่เกิดขึ้นเต็มไปหมดในเรื่องต่างๆ เท่ากับคนที่ไปประกันตัวจะต้องไปเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย หากคิดอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา ถือว่าเป็นการคิดที่ผิด

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า การเชื่อมโยงกลุ่มต่างๆกับพรรคก้าวไกลมีเหตุผลคืออาจจะเป็นกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มทะลุวัง และต้องการสร้างความชอบธรรมหรือการดิสเครดิตกลุ่มทะลุวัง และต้องการทำลายพรรคก้าวไกลเช่นเดียวกัน ซึ่งไม่ควรจะไปมองแบบนั้น

“ผมยืนยันว่าเราไม่ได้ไปอยู่เบื้องหลังใครและใครก็ไม่มาอยู่เบื้องหลังเรา พรรคก้าวไกลก็คือพรรคก้าวไกล ที่ทำหน้าที่โดยมีจุดยืนในเรื่องของสิทธิมนุษยชน เราเชื่อในศักยภาพในการแสดงออก ส่วนเมื่อเขาแสดงออกไปแล้ว จะมีคนเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็เป็นสิทธิ์ของทุกคนที่จะแสดงความคิดเห็นได้ แต่จุดยืนของพรรคก้าวไกลคือเราไม่เห็นด้วยกับความรุนแรง ในการแสดงออกแบบนั้นคือการสร้างสังคมแห่งความหวาดกลัว เรามีบทเรียนมาแล้ว และไม่ได้ทำให้สังคมไทยดีขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย” นายรังสิมันต์ กล่าว

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า การกระทำของน.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือตะวัน กลุ่มทะลุวัง สร้างเสียงวิจารณ์อยู่แล้ว ซึ่งสรุปยากว่าท้ายที่สุดสังคมจะเห็นไปในทิศทางไหน ต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่ามีสังคมไม่เห็นด้วยกับการที่น.ส.ทานตะวัน แสดงออกและอาจจะมีคนเห็นด้วย ซึ่งแน่นอนในเรื่องของการอารักขาบุคคลสำคัญ ต้องมีมาตรการทั้งหมดก็นำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ แต่จุดยืนสำคัญที่พรรคก้าวไกลแสดงคือไม่เห็นด้วยกับความรุนแรง ส่วนที่มีการมุ่งเป้าไปที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล และพรรคก้าวไกล ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น

“สิ่งที่เราพยายามทำคือให้สติทุกคน ในการที่เราไปเป็นนายประกัน หรือการเคยเป็นนายประกันในอดีต เท่ากับเราอยู่เบื้องหลังเลยหรือ คุณเชื่อขนาดนั้นจริงๆหรือ สุดท้ายคนที่แสดงออกทางการเมืองในทุกรูปแบบ เขาก็เป็นตัวของเขา เขาก็มีจุดยืนของเขา เราเห็นด้วยหรือไม่ก็ต้องแยกเป็นกรณีไป ซึ่งถึงที่สุด เขาก็มีสิทธิ์ต่อสู้คดีในศาล สุดท้ายกลไกกฎหมาย ก็ต้องว่ากันไปตามแต่ที่มันควรจะเป็น ซึ่งก็ต้องได้สัดส่วนที่ควรจะเป็นด้วย สังคมของเราอยู่กันแบบนั้น อย่าไปสร้างสังคมแห่งความ หวาดกลัว อย่าให้เราต้องสร้างปีศาจตนใหม่ สร้างผีตนใหม่ขึ้นมา ซึ่งเหตุการณ์เดือนตุลาเคยสร้างบทเรียนให้เราแล้ว อย่าทำซ้ำอีกเลย มันไม่คุ้มกัน” นายรังสิมันต์ กล่าว

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า เราควรใช้เวทีของสภาฯ ใช้พื้นที่ทางการเมืองในการคลี่คลายหาทางออก และเข้าใจว่านายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ พยายามจะพูดเรื่องนี้ ซึ่งตนมองว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่สภาฯ จะพิจารณาพูดคุยหาทางออก และการที่ปล่อยให้ไปคุยกันตามท้องถนนถ้านำไปสู่การสร้างพื้นที่ที่อันตรายก็ไม่คุ้ม ทางหนึ่งที่ตนคิดว่าเป็นทางออกคือกฎหมายนิรโทษกรรม

เมื่อถามว่ามีหลายฝ่ายมองว่าควรนำเรื่องเกี่ยวกับผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 ออกจากร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เราเคยหาเสียงเอาไว้ เมื่อเราได้รับการเลือกตั้งมาก็พยายามทำหน้าที่อย่างดีที่สุด ซึ่งเราไม่ได้มีนโยบายแก้มาตรา 112 เท่านั้น ทางสว. อาจจะมีความคิดว่าเราไม่ควรทำแบบนั้น แต่ในจุดยืนของเราต้องกลับมาตั้งต้นว่าวันนี้ปัญหาของประเทศชาติคืออะไร เราต้องยอมรับว่ามีคนถูกดำเนินคดีในเรื่องมาตรา 112 จะมีหนทางแก้ไขอย่างไร

"ออฟชั่นเรามีอะไรบ้าง เอาเขาเข้าไปขัง ปล่อยพวกเขา นิรโทษกรรมให้พวกเขาหรืออะไร ถ้าเอากันแบบสุดโต่งเลยคือการเอาไปขัง ต้องถามว่าช่วยให้บ้านเมืองดีขึ้นอย่างไร ถึงที่สุดคนเหล่านี้ก็มีญาติพี่น้องและเขารู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ความคิดเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กลุ่มนิสิตนักศึกษาหรือคนรุ่นใหม่เท่านั้น มิตรประเทศที่เขามองมายังประเทศไทยรู้สึกไม่สบายใจกับการดำเนินคดีที่มีความรุนแรง และไม่ได้ส่งผลกระทบแค่สิทธิเสรีภาพ

มีการตั้งคำถามในเชิงภาคธุรกิจ ความมั่นใจว่าหากมีการดำเนินคดีในลักษณะนี้จะเกิดขึ้นกับคดีอื่นได้หรือไม่ สิ่งเหล่านี้เป็นความมั่นใจทั้งหมดที่สามารถส่งผลกระทบต่อประเทศได้ ถ้าเราตั้งโจทย์ว่ามีปัญหาเกิดขึ้นเราก็ควรเริ่มต้นเปิดประตูให้กว้าง ถ้าเราบอกว่าการนิรโทษกรรมไม่รวมมาตรา 112 ถ้าเริ่มจากตรงนี้ จะแก้ปัญหาการเมืองได้จริงหรือไม่ ไม่มีประโยชน์ถ้าแก้ปัญหาไม่ได้ การนิรโทษกรรมก็ไม่มีประโยชน์"นายรังสิมันต์ กล่าว

‘ปู่ไบเดน’ ตัดสินใจเปิดบัญชี ‘TikTok’ เดินหน้าหาเสียง เจาะกลุ่มวัยรุ่น

(12 ก.พ.67) ผู้นำโลกต่างร่วมวง ‘ติ๊กต็อก’ แพลตฟอร์มมาแรงในหมู่วัยรุ่น และล่าสุดคือ ประธานาธิบดี ไบเดน

โดยเมื่อวันอาทิตย์ (11 ก.พ.67) ตามเวลาท้องถิ่น ประธานาธิบดี วัย 81 ปี จากพรรคเดโมแครต โพสต์คลิปประเดิมบนบัญชี @bidenhq พูดคุยสบายๆ ในหลายๆ เรื่อง ตั้งแต่การเมืองไปจนถึงเกมนัดชิง NFL

ความเคลื่อนไหวของไบเดนสวนทางกับท่าทีของทางการ ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐไม่ว่าจากพรรครีพับลิกันหรือเดโมแครตล้วนวิพากษ์วิจารณ์ เพราะเป็นของบริษัทจีน ‘ไบต์แดนซ์’ ซึ่งนักการเมืองสหรัฐกล่าวหาว่า ถูกรัฐบาลปักกิ่งใช้เป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ แต่ ‘ไบต์แดนซ์’ ปฏิเสธมาโดยตลอด

หลายรัฐในสหรัฐรวมถึงรัฐบาลกลางห้ามใช้แอปติ๊กต็อกบนเครื่องมือของราชการ แต่แม้รัฐบาลกลางไม่ไว้ใจก็ไม่ได้ห้ามหรือควบคุมการใช้แอปเพิ่มมากไปกว่านี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อการเลือกตั้งสหรัฐใกล้เข้ามา ติ๊กต็อกยิ่งเป็นช่องทางให้เข้าถึงวัยรุ่น ไบเดนจึงตัดสินใจใช้แพลตฟอร์มนี้ โดยคลิปเมื่อวันอาทิตย์จบลงที่ประธานาธิบดีตอบคำถามว่า เขาชอบใครระหว่างตนเองกับโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวเก็งจากพรรครีพับลิกัน

“ล้อเล่นหรือเปล่า ชอบไบเดนซิ” เจ้าตัวตอบพลางหัวเราะ

'นายพลดอลล่าร์' ฟาดแรง!! ถึงเวลาแล้วที่คนไทยจะยอมต่อไปไม่ได้

(12 ก.พ. 67) จากอินสตาแกรมของ พล.ต.พัชร รัตตกุล หรือ นายพลดอลล่าร์ สามี คุณหญิงแมงมุม ม.ร.ว.ศรีคำรุ้ง ยุคล ได้โพสต์ข้อความอย่างดุเดือด ระบุว่า…

“ความรักและความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ คือ Soft Power ตัวจริง ที่ทำให้ประเทศชาติอยู่รอดมาได้ และทำให้คนไทยทุกคน สามารถเผยอหน้าขึ้นมาสู้ชนชาติอื่น อย่างมีศักดิ์ศรีได้จนทุกวันนี้ อย่าปล่อยให้เสนียดสังคม ซึ่งไม่เคยทำประโยชนให้กับส่วนรวมแม้แต่น้อยนิด มาทำให้คนไทยต้องแตกแยกความสามัคคี”

พร้อมตามด้วยแคปชันว่า “ถึงเวลาแล้วที่คนไทยจะยอมต่อไปไม่ได้ #ชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ #อยู่อย่างจงรัก #ตายอย่างภักดี #เพื่อชาติและราชบัลลังก์ #ทนมากเกินพอ #ราชอาณาจักรไทย #ชื่อบอกอยู่แล้ว #อ่านออกไหม”

มสส.ร่วมเครือข่ายฯแถลงการณ์จดหมายเปิดผนึก จี้นายกฯเศรษฐาดันทบทวนขยายเวลาเปิดผับ

กรุงเทพฯ-มสส.ร่วมกับสสสย.จัดเวทีระดมความเห็น “ปัญหาจากนโยบายขยายเวลาจำหน่ายสุราหลังรัฐบาลเศรษฐาเปิดผับ บาร์สถานบันเทิงถึงตี4 อ้างกระตุ้นเศษฐกิจ ได้ออกแถลงการณ์เปิดจดหมายเปิดผนึกจี้นายกฯทบทวนขยายเวลาเปิดสถานบันเทิงถึงตี4 ชี้ระวังเกิดคลื่นสึนามิหรือพายุใหญ่น้ำเมาในประเทศไทย

วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2567 ณ ห้องปทุมวัน รร.เอเชีย ราชเทวี กรุงเทพฯ, มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) ร่วมกับ เครือข่ายสื่อมวลชนขับเคลื่อนสุขภาวะเพื่อสังคมไทยยั่งยืน (สสสย.) จัดเวทีระดมความเห็นว่าด้วย “ปัญหาจากนโยบายขยายเวลาจำหน่ายสุรา” หลังจาก “รัฐบาลเศรษฐา” ได้ขยายเวลาเปิดผับ บาร์ และสถานบันเทิงได้ถึงตี 4 ในพื้นที่นำร่อง 5 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ ภูเก็ต ชลบุรี เชียงใหม่ และเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2566 โดยมีเป้าหมายทางเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและช่วยเหลือผู้ประกอบการ โดยมีวิทยากรร่วนเสวนาประกอบด้วย นายชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ รศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์ แซ่โง้ว ผอ.สถาบันส่งเสริมการวิจัยและนวีตกรรมสู่ความเป็นเลิศ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ นายธีระ วัชรปราณี ที่ปรึกษาภาคีป้องกันและลดผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ภปค.) โดยมี นายศักดา แซ่เอียว ประธานเครือข่ายสื่อมวลชนขับเคลื่อนสุขภาวะเพื่อสังคมไทยยั่งยืน (สสสย.) หรือ “เซีย ไทยรัฐ” การ์ตูนนิสต์ชื่อดัง เป็นผู้ดำเนินรายการ 

ก่อนเข้าสู่การเสวนา ได้มีการ เปิดคลิปข่าวความสูญเสีย “น้องทู” ด.ช.วีรยุทธ จินดาแดง หรือ “เด็กชายจิตอาสา” สนับสนุนกู้ภัยมูลนิธิป่อเต็กตึ้ง วัย 13 ปี ที่ต้องจบชีวิตลง ขณะช่วยงานกู้ภัยเพราะคนเมาแล้วขับ จากนั้น ได้มีการยืนไว้อาลัยต่อการจากไปของ “น้องทู” เป็นเวลา 1 นาที 

โดยในวงเสวนา นายอภิวัชร์ เกตุทัต ประธานมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) กล่าวถึงวัตถุประสงค์การประชุมครั้งนี้ว่า…นโยบายขยายเวลาให้กับสถานบริการ ถือเป็นเรื่องที่ มสส.รู้สึกห่วงใยต่อผลกระทบที่จะมีตามมา โดยเฉพาะผลกระทบที่เกิดขึ้นจนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ หรือการทะเลาะวิวาทจากการดื่มสุรา รวมถึงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจและอาสาสมัครกู้ภัยต่างๆ ที่จะมีเพิ่มขึ้นและหนักขึ้น จำเป็นที่ทุกฝ่าย โดยเฉพาะสื่อมวลชนหลักจะต้องช่วยกันสะท้อนปัญหา พร้อมกับเสนอแนะและหาทางออกในเรื่องนี้ 

ด้าน นายชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ กล่าวว่า เหยื่อที่ได้รับผลกระทบจากปัญหา “เมาแล้วขับ” ส่วนใหญ่จะถูกกดทับจากผู้กระทำผิด ทั้งนี้ หากผู้กระทำผิดเป็นผู้มีอิทธิพล มีอำนาจเงินและเชื่อมต่อกับอำนาจรัฐ เหยื่อเหล่านั้นจะยิ่งถูกกดทับกันไปใหญ่ กรณีของ “น้องทู” พบว่า ผู้กระทำผิดจ่ายเงินเยียวยาให้กับครอบครัว “น้องทู” เพียงน้อยนิด และระหว่างงานสวดพระอภิธรรมฯ ไม่ปรากฏร่างของผู้กระทำผิดแต่อย่างใด ที่ผ่านมามีเพียงส่วนอดีตภรรยาที่เลิกรากันไป และลูกมาร่วมฟังสวดพระอภิธรรมเท่านั้น

จากการที่ “เหยื่อ” ต้องมาเจอกับนโยบายรัฐบาลเช่นนี้ มันจึงไม่ต่างจากการถูกระทำซ้ำเติม เสมือนเป็นการเพิ่มแรงกดดันให้กับ “เหยื่อ” มากยิ่งขึ้น นับเป็นเรื่องที่สะเทือนใจมากๆ ส่วนตัวเชื่อว่า เรื่องความพยายามที่จะผลักดันให้มีการเปิดสุราเสรีไม่ใช่เรื่องใหม่ และมีความพยายามมาโดยตลอด โดยเฉพาะการใส่ชุดแนวคิดดังกล่าวไปให้น้องๆ เยาวชนที่ออกมาเคลื่อนไหวและเรียกร้องในเรื่องต่างๆ กระทั่ง ขยายผลไปถึงการเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายการเปิดเสรีสุรากันเลย อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมากลุ่มต่อต้านยังพอจะต้านทานอยู่ กระนั้น ก็มีความพยายามในการแตะมือระหว่างกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์กับกลุ่มผู้ประกอบการ ที่แม้จะมีจำนวนไม่มากนัก แต่ก็เป็นกลุ่มที่มีเสียงดัง 

ซึ่งความพยายามรอบใหม่ คนกลุ่มนี้เริ่มเป็นงาน มีการปรับตัวและดำเนินการเหมือนฝ่ายต่อต้านทุกอย่าง โดยมีกลุ่มธุรกิจสุราต่างประเทศอยู่เบื้องหลัง ถือเป็นการงานยากของฝ่ายต่อต้าน เนื่องจากพวกเขามีการสร้างเครือข่ายและความเคลื่อนไหวต่อเนื่องเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ พยายามสร้างเรื่องว่า “ขายเหล้าได้” โดยไม่สร้างผลกระทบใดๆ และเมื่อมีรัฐบาลชุดใหม่ ก็พยายามเข้าหา “เบอร์ 1” คือ นายกฯเศรษฐา ทวีสิน ที่มีมุมมองในเชิงเศรษฐกิจเป็นหลัก พอ “เบอร์ 1” ซื้อ เบอร์รองๆ ก็ต้องขยับตาม ตรงนี้ถือเป็นความสำเร็จของคนกลุ่มนี้แล้ว

รศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์ แซ่โง้ว ผอ.สถาบันส่งเสริมการวิจัยและนวีตกรรมสู่ความเป็นเลิศ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ กล่าวว่า จากงานวิจัยในต่างประเทศ พบบทเรียนที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะในประเทศออสเตรเลีย นอร์เวย์ หรือในฮอลแลนด์ ที่มักมีปัญหาคล้ายๆ กัน กล่าวคือ จากการขยายเวลาการจำหน่ายสุราเพียง 1 ชั่วโมง พบว่าเกิดปัญหาตามมา ไม่ว่าจะเป็นการทะเลาะวิวาทหรืออุบัติเหตุ ที่มีเพิ่มขึ้น 15-30% สำหรับ ในประเทศไทย หากมีการขยายเวลาการเปิดสถานบริการเป็นตี 4 เชื่อว่าจะส่งผลกระทบตามมาต่อผู้คนที่ใช้ชีวิตตามปกติในเช้าวันรุ่งขึ้น เนื่องจากข้อมูลสถิติพบว่า มักจะเกิดอุบัติหลังจากหยุดดื่มสุราในอีก 3 ชั่วโมงต่อมา ซึ่งจะกลายเป็นความเสี่ยงต่อผู้คนที่เดินทางไปทำงาน  เด็กๆ ไปโรงเรียน พ่อค้าแม่ค้าที่ค้าขาย

“ปัจจุบันที่มีการห้ามจำหน่ายสุราในช่วงเวลา 14.00 – 17.00 น. เพราะหากปล่อยให้มีการจำหน่ายและดื่มสุราในช่วงเวลาดังกล่าว ก็อาจส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของผู้คนที่ไม่ต่างจากช่วงเช้า กระนั้น ก็มีความพยายามที่จะยกเลิกคำสั่งห้ามจำหน่ายสุราในช่วงนี้” รศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์ ระบุ
ขณะที่ นายธีระ วัชรปราณี ที่ปรึกษาภาคีป้องกันและลดผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ภปค.) กล่าวถึงการแก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ระหว่างฝ่ายรณรงค์กับฝ่ายสุราเสรี ว่า นับตั้งแต่ พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฯ ประกาศใช้ 16 ปี พบว่าสถิติอุบัติเหตุนับตั้งแต่ปี 2551ถึง2565 ที่เกี่ยวกับแอลกอฮอล์ ช่วงเทศกาลปีใหม่ ลดลง 12.2% ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ลดลง 9.5% นับเป็นมาตรการควบคุมฯ ที่พิสูจน์ว่าได้ผลจริงในการลดปัญหาจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

“ในวันที่ 9 มี.ค.นี้ จะมีการนำเสนอร่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฯ ระหว่างฝ่ายที่ต้องการให้เปิดสุราเสรีกับฝ่ายของเราที่ต้องการรณรงค์ต่อต้านการผลิตและจำหน่ายแบบเสรี เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วาระ 1 ซึ่งเรายอมรับว่าหนักใจ หาก สส.ในสภาฯ เลือกที่จะรับร่างกฎหมายของฝ่ายที่ต้องการเปิดเสรี ซึ่งจะถือเป็นปัญหาที่หนักมาก 

อย่างไรก็ตาม เรายังมีความหวังว่า สส.จะมองเห็นมหันตภัยหากปล่อยให้มีการผลิตและขายสุรากันอย่างเสรี แม้กระทั่งหลายประเทศในยุโรปเขาก็ไม่ได้เปิดให้ขายอย่างเสรีแบบที่บางฝ่ายอยากทำ ยกตัวอย่าง นอร์เวย์ ห้ามขายวันอาทิตย์ เท่ากับปีหนึ่งต้องหยุดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 52 วัน ขณะที่บ้านเราห้ามขายเฉพาะวันสำคัญทางศาสนา (5 วันใน 1 ปี) เท่านั้น ซึ่งหากกฎหมายเสรีผ่านการพิจารณาบังคับใช้ นอกจากจะซื้อสุราได้เกือบตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว เขายังต้องการให้ยกเลิกห้ามขายวันพระใหญ่อีกด้วย รวมถึงมีความพยายามจะให้ขายผ่านระบบออนไลน์ เจตนาของเราให้การปรับปรุง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 เพื่อปรับแก้ให้เหมาะสมกับสภาพสังคมในปัจจุบัน ไม่สุดโต่งจนเกินไป และไม่เอื้อให้กับนายทุนขนาดใหญ่ ซึ่งเราก็หวังว่ารัฐบาลจะเข้าใจในเจตนารมณ์ของเรา” นายธีระ ย้ำ

นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ สื่อมวลชนอาวุโส กล่าวสรุปในการเสวนาครั้งนี้ ว่า มีหลายเรื่องในเวทีเสวนานี้ที่จะเป็นคำถามส่งต่อไปยังรัฐบาล โดยเฉพาะข้อมูลและความคิดเห็นของวิทยากรทุกคน ไม่ว่าจะเป็นประโยค “ก้าวไกลคิด เพื่อไทยทำ” ของ รศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์ หรือ “พายุลูกใหญ่” ของ นายจิระ ห้องสำเริง สื่อมวลชนอาวุโส สำหรับ บทบาทของ สสสย. นั้น จากวงเสวนาข้างต้นถือเป็นโจทย์สำคัญไม่เฉพาะกับ สสสย. แต่ยังรวมถึง มสส. ที่จะต้องหาทางรับมือกับปรากฏการณ์เหล่านี้ โดยสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มสื่อมวลชนแกนหลักในการนำเสนอข่าวสารข้อมูลและข้อเท็จจริงในประเด็นเหล่านี้ รวมถึงการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องเป็นการเฉพาะ ซึ่ง สสสย. อาจเข้ามาช่วยเสริมในส่วนนี้ได้

ขณะที่ นายศักดา แซ่เอียว ประธานเครือข่ายสื่อมวลชนขับเคลื่อนสุขภาวะเพื่อสังคมไทยยั่งยืน (สสสย.) กล่าวขอขอบคุณวิทยากรผู้ร่วมเสวนาและเพื่อนสื่อมวลชน พร้อมขอความร่วมมือกับสื่อมวลชนกลุ่มหลักให้ช่วยติดตามและนำเสนอข่าวสารเหล่านี้ พร้อมกันนั้น ได้ยื่นหนังสือเปิดผนึกถึง นายเศรษฐา ทวีสิน  นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ทบทวนการออกมาตรการ นโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวกับแอลกอฮอล์ (อ่านต่อข่าว... “สสสย.” ชงจม.เปิดผนึก เรียกร้องนายกฯเศรษฐา ทบทวนเปิดสถานบริการถึงตี 4)    

ผบช.ภ.4 เปิดอบรมหลักสูตรการสืบสวนคดียาเสพติดเฉพาะทาง “นักสืบ 5G P4+1” สร้างนักสืบปราบยาเสพติดภาค 4

เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 67 เวลาประมาณ 09.00 น. พล.ต.ท.สรายุทธ  สงวนโภคัย  ผบช.ภ.4 ได้เป็นประธาน   เปิดการฝึกอบรม โครงการฝึกอบรมหลักสูตรการสืบสวนคดียาเสพติดเฉพาะทาง “นักสืบ 5G P4+1” ณ โรงแรมอวานี ขอนแก่นโฮเทล แอนด์คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ จังหวัดขอนแก่น โดยมี พล.ต.ต.อรรคพงศ์ พิมลศิริ รอง ผบช.ภ.4, พล.ต.ต.ธนชาติ รอดคลองตัน รอง ผบช.ภ.4 และ พล.ต.ต.ณัฐนนท์ ประชุม รอง ผบช.ภ.4 ร่วมในพิธีเปิด
โครงการฝึกอบรมหลักสูตรการสืบสวนคดียาเสพติดเฉพาะทาง “นักสืบ 5G P4+1” เป็นการฝึกอบรมโดยได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกิจการยาเสพติดและการบังคับใช้กฏหมายระหว่างประเทศ สถานฑูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย (International Narcotics and Law Enforcement – INL) โดยมุ่งเน้นการเตรียมบุคลากรให้เท่าทันกับรูปแบบอาชญากรรมใหม่ ๆ โดยเฉพาะการสืบสวนแสวงหาข้อเท็จจริงและการรวบรวมพยานหลักฐานของการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งจะต้องมีการเรียนรู้แนวทางการสืบสวนที่ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน โดยมีผู้เข้ารับการอบรมจำนวน 100 นาย ประกอบด้วย หน่วยที่ปฏิบัติงานด้านการปราบปรามยาเสพติด ทั้งหน่วยปฏิบัติงานหลักในตำรวจภูธรภาค 4 จำนวน 90 นาย และ หน่วยปฏิบัติงานหลักภายนอกตำรวจภูธรภาค 4 คือ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) จำนวน 7 นาย นอกจากนี้ยังได้รับความสนใจจากหน่วยสนับสนุนคือ  สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ส่งผู้เข้าร่วมอบรม จำนวน 3 นาย ทำการอบรมตั้งแต่ 12 – 25 ก.พ.67 รวม 14 วัน

ในการฝึกอบรมผู้เข้ารับการอบรม จะได้เรียนรู้การสืบสวนสมัยใหม่ อาทิ การสืบสวนทางเทคโนโลยี  การสืบสวนจากเส้นทางการเงิน การสืบสวนติดตามทรัพย์ที่ได้จากการกระทำความผิด การสืบสวนทางดิจิตอล ซึ่งจะได้รับการถ่ายทอดจากวิทยากรที่มีความรู้ความสามารถ และเชี่ยวชาญเฉพาะทาง มาให้การถ่ายทอดทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เข้ารับการอบรมจะได้ฝึกทักษะการสืบสวนคดียาเสพติดที่เกิดขึ้นจริง รวมถึงการฝึกยุทธวิธีในการสืบสวนคดียาเสพติดต่าง ๆ เช่น การปิดล้อมตรวจค้น การจับกุม การขับรถไล่ล่ารถต้องสงสัย รถที่ผู้ต้องหาขับขี่ หลบหนี การสกัดจับหยุดรถต้องสงสัย การวางแผนล่อซื้อ จับกุม เป็นต้น  เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้ความเข้าใจและสามารถปฏิบัติหน้าที่ในการสืบสวนสอบสวนคดีได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างแท้จริง
นอกจากนี้โครงการยังมุ่งเน้นให้ผู้เข้ารับการอบรม รู้เท่าทันต่อสถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนจากการทำธุรกรรมแบบเดิมเป็นการทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือการใช้ระบบไอที เข้ามาอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน   มากขึ้น โดยเฉพาะปัญหายาเสพติด ฉะนั้น ผู้เข้ารับการอบรมจะต้องเชี่ยวชาญการใช้เครื่องมือพิเศษ และเทคโนโลยี    การสืบสวน ขยายผลถึงกระบวนการค้ายาเสพติด และพัฒนาทักษะ ความชำนาญในการปฏิบัติงาน ให้เป็นไปอย่าง        มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยหลักสูตรจะมีการถอดบทเรียนจากการจับกุมขบวนการค้ายาเสพติด ซึ่งเจ้าหน้าที่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บและสูญเสีย นำมาถ่ายทอดให้กับผู้เข้ารับการฝึกอบรม และสอนยุทธวิธีในการจัดการกับสถานการณ์ต่างๆ อีกด้วย

พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 กล่าวว่า โครงการนี้เป็นโครงการที่ตำรวจภาค 4 ได้จัดทำขึ้นเพื่อสนองนโยบายรัฐบาล ในเรื่องการปราบปรามและการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด ซึ่งทางรัฐบาลได้เลือกจังหวัดนครพนม เป็นพื้นที่ปกครองพิเศษ ที่จะต้องดำเนินการสกัดกั้นการลำเลียง เป็น Pilot Project 
ตำรวจภาค 4 จึงได้จัดการอบรมนักสืบ 5G P.4 + 1 เพื่อรองรับการสกัดกั้นยาเสพติดโดยเฉพาะ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และการพัฒนา สามารถนำไปใช้งานได้จริง และสามารถร่วมทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายทหาร ฝ่ายปกครอง ป.ป.ส. หรือ บช.ปส. 

หลักสูตรนี้ เป็นการหล่อหลอม ประสบการณ์ของนักสืบรุ่นเก่า นำมาถ่ายทอดบทเรียนที่ผ่านมา ประกอบกับการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการสืบสวนสอบสวนทางอากาศ อีกส่วนหนึ่งคือเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย โดยจับกุมผู้ต้องหาและปราบปรามให้สิ้นซาก นอกจากนี้ ยังเป็นการรวบรวมนักสืบรุ่นใหม่ ทั้ง 12 จังหวัด และ บก.สส. เข้ามาหล่อหลอมให้เกิดการทำงานร่วมกัน เพื่อเกิดเป็นมิติใหม่ของตำรวจภาค 4 ซึ่งมิตินี้ได้ขาดหายไป จึงได้ให้ บก.สส.ภ.4 ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการ จัดทำโครงการขึ้นมา เพื่อระดมนักสืบภาค 4 ทั้งหมดเพื่อมาปราบปรามและการสกัดการลำเลียงยาเสพติ

 ผบช.ภ.4 กล่าวในที่สุด
 

“อลงกรณ์”วิพากษ์พรรคประชาธิปัตย์ในมุมที่มองไม่เห็น(Unseen Democrat Party)กับปัญหาภัยคุกคามของโลกและโอกาสของไทย

วันนี้(13 ก.พ.) นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตเลขาธิการCALDได้โพสต์ข้อเขียนวิพากษ์พรรคประชาธิปัตย์กับปัญหาภัยคุกคามของโลกและโอกาสของไทยในหัวข้อเรื่อง “พรรคประชาธิปัตย์ :มุมที่มองไม่เห็น Unseen Democrat Party”ในเฟสบุ๊คซึ่งเป็นเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับบทบาทระหว่างประเทศของพรรคประชาธิปัตย์ที่ควรค่าต่อการรับรู้ของสังคมไทยในฐานะพรรคการเมืองเก่าแก่ของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนายอลงกรณ์เขียนข้อความดังต่อไปนี้

“พรรคประชาธิปัตย์ :มุมที่มองไม่เห็น Unseen Democrat Party”

พรรคประชาธิปัตย์มีหลายมุมที่มองเห็นและมีหลายมุมที่มองไม่เห็นหรือหลายคนไม่เคยรู้

ความเป็นพรรคการเมืองเก่าแก่ที่สุดของประเทศมีอายุกว่าเจ็ดทศวรรษเป็นสถาบันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยในฐานะพรรคการเมืองของประเทศไทยได้มีบทบาทในความร่วมมือกับองค์กรทางการเมืองระหว่างประเทศหลายองค์กร

ตัวอย่างเช่นการเป็นพรรคการเมืองที่ร่วมก่อตั้งและเป็นสมาชิกของสภาพรรคการเมืองเสรีนิยมและประชาธิปไตยแห่งเอเชีย (CALD) หรือการเป็นสมาชิกขององค์กรเสรีนิยมนานาชาติ(LI: Liberal international) โดยพรรคประชาธิปัตย์มีบทบาทอย่างสำคัญในการสนับสนุนและส่งเสริมอุดมการณ์ประชาธิปไตยในแนวทางเสรีนิยมทั้งในมิติของอุดมการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจรวมถึงประเด็นความท้าทายใหม่ๆของโลกเช่น ปัญหาภาวะโลกร้อนปัญหาความมั่นคงทางอาหารปัญหาความยากจน ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่ทุกประเทศจะต้องร่วมมือกันในการรับมือและร่วมกันแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะในระดับนโยบายทางการเมืองซึ่งแต่ละพรรคการเมืองในภูมิภาคต่างๆทั่วโลก ล้วนแล้วแต่มีหน้าที่ไม่ว่าในฐานะรัฐบาลหรือฝ่ายค้านในการตอบโจทย์ประเด็นสำคัญๆเหล่านี้ 
สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ยังมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้นำขององค์กรพรรคการเมืองระหว่างประเทศในฐานะประธานและเลขาธิการCALD เช่นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ นาย อลงกรณ์พลบุตร นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ และนายเกียรติ สิทธิอมร รองประธานองค์กรเสรีนิยมนานาชาติ เป็นต้น

ดังนั้นความร่วมมือภายใต้องค์กรทางการเมืองนานาชาติจะช่วยให้เกิดพลังอย่างมีพลวัตมากขึ้นโดยเฉพาะในช่วง 30 กว่าปีที่ผ่านมา คนของพรรคประชาธิปัตย์ทั้งคนรุ่นใหม่และรุ่นใหญ่ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ในระดับนโยบายผ่านกิจกรรมต่างๆกับพรรคการเมืองในทวีปอเมริกาทวีปยุโรปและทวีปเอเชียทั้งที่มีแนวคิดและปรัชญาทางการเมืองสอดคล้องกันและแตกต่างกันอย่างไร้พรมแดน

โลกวันนี้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า จากปัญหาสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยี รวมทั้งปัญหาประชากรที่เพิ่มขึ้น ปัญหาความขัดแย้งและสงครามในภูมิภาคต่างๆรวมถึงภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและโรคระบาดที่เกิดขึ้นเช่น โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อทุกชีวิตและทุกประเทศ

ดังนั้นความร่วมมือไม่ว่าในระดับรัฐต่อรัฐ ประชาชนต่อประชาชนและพรรคการเมืองต่อพรรคการเมืองจึงเป็นแพลตฟอร์มที่พรรคประชาธิปัตย์ ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องกว่า 30 ปีที่ผ่านมาโดยส่งผ่านภารกิจจากหัวหน้าพรรค นายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นาย จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์จนถึงนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ด้วยความเชื่อมั่นว่า พรรคประชาธิปัตย์ต้องมีบทบาทสำคัญและความรับผิดชอบต่อการแก้ไขปัญหาและรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ที่เป็นทั้งภัยคุกคามและโอกาสประการสำคัญคือ เราไม่สามารถอยู่อย่างโดดเดี่ยวและเราไม่อาจที่จะละทิ้งความรับผิดชอบที่มีต่อประเทศและโลกของเรา ทั้งรุ่นนี้และรุ่นต่อไปในอนาคต.

อลงกรณ์ พลบุตร
อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
อดีตเลขาธิการCALD
จาการ์ตา , อินโดนีเซีย
13 กุมภาพันธ์ 2567
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top