Friday, 30 May 2025
NewsFeed

‘ผบ.ตร.’ ไม่เฉย!! จ่อแจ้งข้อหา ‘ทะลุวัง’ ป่วนขบวนเสด็จฯ ยัน!! เข้าใจสังคมเร่งรัด แต่บอกแนวทางหมดคงไม่เป็นผลดี

(12 ก.พ. 67) ที่ทําเนียบรัฐบาล พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กลุ่มทะลุวัง ก่อความวุ่นวายต่อขบวนเสด็จว่า นายกรัฐมนตรีได้เรียกไปพบ เพื่อพูดคุยเรื่องการถวายความปลอดภัยในขบวนเสด็จ ซึ่งนายกฯ มีความเป็นห่วงในเรื่องช่องโหว่ แต่ยืนยันว่าเราวางระบบไว้ค่อนข้างดี อย่างไรก็ตาม คงบอกผู้สื่อข่าวไม่ได้ เพราะคนก็จะรู้ว่าระบบเป็นอย่างไร 

ทั้งนี้ ยืนยันกับนายกฯ ไปแล้วว่า มีการวางระบบรักษาความปลอดภัยองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ ไว้เป็นอย่างดี การที่มีกลุ่มเห็นต่างมาแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอย่างนี้ ตนได้กำชับไปตั้งแต่แรกแล้ว ว่าเราจะดำเนินคดีตามพยานหลักฐานที่มี จะไม่ออกมาบอกว่าทำอะไรอยู่ เข้าใจดีว่าสื่อมวลชนและประชาชน อยากรู้ว่าตำรวจทำอะไรบ้างกับเรื่องนี้ แต่ถ้าบอกหมดก็จะไม่เป็นผลดี 

อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าที่กลุ่มทะลุวังออกมาเคลื่อนไหวแสดงพฤติกรรมแบบนี้ เขาไม่ได้ออกมาเอง แต่มีขบวนการที่อยู่เบื้องหลัง ขอรวบรวมพยานหลักฐานให้ชัดเจนก่อน และวันที่เราทำคดีให้ถึงที่สุด จะเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานละเอียด นอกจากนี้ ได้พูดกับทีมงานว่า อย่าไปเร่งทํา เพราะอาจผิดพลาดเหมือนกับที่ผ่านมา ดังนั้นขอเวลาอีก 2 วัน จะได้เห็นว่าตำรวจแจ้งข้อกล่าวหา และจะมีหมายจับต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า มั่นใจใช่หรือไม่ว่าจะมีการจับกุมแน่นอน? พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า “ใช่ครับ แน่นอน ผมขอยืนยัน” ซึ่งวันที่ตนไปพบผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ท่านก็กำลังรวบรวมหลักฐาน และทราบว่าได้มีการเร่งรัดสอบสวนเรื่องนี้ให้ละเอียด เพื่อตอบข้อสงสัย ปิดข้อครหา และทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายเกิดความยุติธรรม 

ทั้งนี้ ตนไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นประเด็นมาโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่มีการสั่งการใดๆ ทั้งสิ้น เป็นการทำตามพยานหลักฐาน ดังนั้นขอให้เชื่อมั่นในตำรวจ โดยเฉพาะตน ในการถวายความปลอดภัย ขอบอกกับประชาชนว่า พวกเราดูแลพระองค์ท่านด้วยชีวิต 

เมื่อถามว่า กลุ่มทะลุวังยังมีคดีที่รอลงอาญาอยู่อีกหรือไม่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า มีอยู่ แต่ขอเวลา 2 วัน ให้พนักงานสอบสวนรวบรวมหลักฐานคดีใหม่ และจะแจ้งข้อกล่าวหา หากเรียบร้อย ก็จะแถลงข่าวให้สาธารณะชนรับทราบ และจะมีการพิจารณาขอถอนประกัน

เมื่อถามว่า นอกจากกลุ่มทะลุวังแล้ว จะมีการออกหมายจับบุคคลอื่นที่อยู่เบื้องหลังหรือไม่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า เบื้องต้นเอาเรื่องนี้ก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน แต่ได้รายงานนายกฯ ไปหมดแล้ว ว่ามีอะไรในเรื่องนี้บ้าง ขอรอให้เรื่องนี้สมบูรณ์ขึ้นอีกหน่อย

เมื่อถามว่า ในช่วงที่รอถอนประกันกลุ่มทะลุวัง หากกลุ่มนี้เคลื่อนไหวแสดงพฤติกรรมแบบนี้อีก จะดำเนินการอย่างไร? พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า ตำรวจพยายามติดตามดูแลตลอด อย่างเหตุการณ์ที่ทะเลาะวิวาทกับกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) ก็เป็นคนละที่กันกับที่มีหมายเสด็จฯ ตำรวจก็ตามมาดูแล ซึ่งการแสดงพฤติกรรมดังกล่าว จะเห็นว่ามีการเตรียมการ โดยจะไม่แสดงพฤติกรรมบางอย่างที่เขาเห็นว่าผิดกฎหมายบางข้อ และตนเชื่อว่ามีคนให้คำแนะนำ 

เมื่อถามว่า การถอนประกันสามารถทำได้เลยหรือไม่? หรือต้องรอศาล พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า ต้องรอศาล ซึ่งเรากำลังพิจารณาอยู่ 

เมื่อถามว่า คนที่อยู่เบื้องหลังเป็นนักการเมืองหรือไม่? พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า ยังไม่ยืนยัน ขอยังไม่ก้าวล่วง เมื่อถามย้ำว่า มีคนคอยช่วยเหลือแน่นอนใช่หรือไม่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า ในแนวทางสืบสวน พบว่ามีการให้คำปรึกษาและแนะแนวทางกับกลุ่มนี้ 

เมื่อถามว่า กลุ่มที่อยู่เบื้องหลัง เป็นขบวนการที่อยู่ในประเทศหรือต่างประเทศ? พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า เป็นขบวนการที่อยู่ในประเทศ เมื่อถามอีกว่า จะมีการเรียกผู้อยู่เบื้องหลังมาพูดคุยหรือไม่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า ได้รายงานให้นายกฯ ทราบแล้ว ซึ่งจะมีการพิจารณาต่อไป

เมื่อถามว่า จะเอาผิดกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังได้มากน้อยแค่ไหน? พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า เราพยายามรวบรวมหลักฐาน และสอบสวนให้ครอบคลุมมากที่สุด ไม่รีบทํา เพราะหากรีบทำ เมื่อถึงชั้นอัยการและอัยการสั่งไม่ฟ้อง ก็จะเสียกระบวนการยุติธรรม

เมื่อถามว่า ที่ผ่านมามีการมองว่าตำรวจไม่ดำเนินการจริงจังหรือนิ่งเฉย? พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า “อย่างพี่น่ะหรอไม่เอาจริงเอาจังเรื่องถวายความปลอดภัย น้องก็รู้ว่าพี่ดูแลเรื่องนี้มานานมาก ไม่ต้องห่วง ข้าราชการทุกคนเป็นข้าราชการในพระองค์ ที่เราจะดูแลความปลอดภัย ถือเป็นพันธกิจข้อแรกของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่าพี่จะทำให้ไม่มีข้อครหากับทุกฝ่าย และจะไม่มีการแจ้งข้อหาแบบหว่าน แต่จะทำในรูปแบบคณะกรรมการ มีการตรวจสอบชัดเจน

เมื่อถามยํ้าว่า กรณีขบวนเสด็จที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เป็นการกระทำซึ่งหน้า แต่ตำรวจก็ยังนิ่งเฉย? พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า ตนได้กำชับให้พนักงานสืบสวนตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุการณ์จนถึงหลังเหตุการณ์ เราไม่ได้ดูแค่ซึ่งหน้า 

เมื่อถามว่า นายกฯ กำชับเรื่องนี้อย่างไรบ้าง? พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า นายกฯ แสดงความเป็นห่วงเหมือนประชาชนทุกคน ว่าทำไมตำรวจไม่ออกมาดำเนินการอะไร แต่ได้ย้ำไปว่า กำลังดำเนินการอยู่ ยืนยันว่าการทํางานของตน ไม่ใช่คนหิวแสง แต่อยากทำงานให้ละเอียด

‘รมว.ปุ้ย’ สั่ง ‘สมอ.’ เร่งแก้ไข-ปรับปรุง ‘สุราพื้นบ้าน’ เน้นคุณภาพให้ได้มาตรฐาน หนุนเป็น Soft Power

(12 ก.พ.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย โดยให้ปรับโครงสร้างภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงสุราชุมชน เพื่อส่งเสริมให้คนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ใช้จ่ายและซื้อสินค้าภายในประเทศมากขึ้น ทั้งนี้ ได้มีการปรับอัตราภาษีสุราพื้นบ้าน เช่น กระแช่ สาโท สุราแช่พื้นบ้านอื่น ๆ และสุราแช่ที่ใช้วัตถุดิบเป็นข้าวที่มีแรงแอลกอฮอล์ไม่เกิน 7 ดีกรี เป็น 0 % รวมทั้งให้กรมสรรพสามิตทบทวนเรื่องกฎหมายที่ช่วยสนับสนุนสุราพื้นบ้านด้วย

“นโยบายดังกล่าวถือเป็นการสร้างโอกาสในการขายสินค้าและสร้างรายได้ให้แก่อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็ก และผู้ผลิตชุมชนที่ผลิตสุราพื้นบ้าน ดิฉันจึงได้สั่งการให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เร่งแก้ไขปรับปรุงมาตรฐานสุราพื้นบ้าน เพื่อยกระดับสินค้าชุมชนให้มีคุณภาพได้มาตรฐาน และมีความปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว สอดคล้องตามนโยบายรัฐบาลในการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ผลิตชุมชน พร้อมทั้งผลักดันให้ผลิตภัณฑ์สุรากลั่นชุมชนและสุราแช่พื้นบ้านเป็นซอฟท์พาวเวอร์ เพื่อเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์การเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยว หรือเป็นศูนย์กลางด้านร้านอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและชาวไทย เกิดการกระจายรายได้ และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจในระดับชุมชนอีกด้วย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน สมอ. มีมาตรฐานสุรากลั่นชุมชนและสุราแช่พื้นบ้าน ที่เป็นมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) จำนวน 6 มาตรฐาน ได้แก่ สุรากลั่นชุมชน สาโท ไวน์ผลไม้ ไวน์สมุนไพร อุ และ เมรัย โดยมีผู้ผลิตชุมชนได้รับการรับรองมาตรฐาน มผช. แล้ว จำนวน 66 ราย กระจายอยู่ในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ แต่เนื่องจากมาตรฐานดังกล่าวได้ประกาศใช้มาระยะหนึ่งแล้ว สมอ. จึงต้องดำเนินการทบทวนและปรับปรุงให้ทันสมัยสอดคล้องกับเทคโนโลยีการผลิตในปัจจุบัน และสอดคล้องตามประกาศของกรมสรรพสามิต รวมทั้งตามมาตรฐาน มอก. สุรากลั่นและสุราแช่ ที่ปรับแก้ไขมาตรฐานไปก่อนหน้านี้ด้วย โดยมีสาระสำคัญของการแก้ไขมาตรฐาน เช่น  มาตรฐานสุรากลั่นชุมชน แก้ไขข้อกำหนดวัตถุเจือปนอาหาร กรดเบนโซอิก ซึ่งเป็นวัตถุกันเสีย จากเดิม ‘ไม่เกิน 250 มิลลิกรัมต่อลิตร’ แก้เป็น ‘ไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อลิตร’ มาตรฐานไวน์สมุนไพร แก้ไขข้อกำหนดสารปนเปื้อน ตะกั่ว จากเดิม ‘ไม่เกิน 0.2 ไมโครกรัมต่อลิตร’ แก้เป็น ‘ไม่เกิน 0.1 ไมโครกรัมต่อลิตร’ มาตรฐานเมรัย แก้ไขเกณฑ์ข้อกำหนดสารเอทิลคาร์บาเมต (กรณีผสมสุรากลั่น) จากเดิม ‘ไม่เกิน 400 ไมโครกรัมต่อลิตร’ แก้เป็น ‘ไม่เกิน 200 ไมโครกรัมต่อลิตร’ เนื่องจากสารดังกล่าวหากมีมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ เป็นต้น

นอกจากนี้ สมอ. ยังได้แก้ไขข้อกำหนดในด้านอื่น ๆ ด้วย เพื่อให้ประชาชนสามารถบริโภคสุรากลั่นชุมชนและสุราแช่พื้นบ้านได้อย่างปลอดภัย โดยทั้ง 6 มาตรฐานได้แก้ไขแล้วเสร็จ พร้อมประกาศใช้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 นี้ เพื่อให้ผู้ผลิตชุมชนที่ผลิตสุรากลั่นชุมชนและสุราแช่พื้นบ้าน สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการผลิต เพื่อยกระดับคุณภาพสินค้าให้มีความปลอดภัยได้มาตรฐาน สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคได้ต่อไป เลขาธิการ สมอ. กล่าว

‘ผบ.ทร.’ ขอ ‘คนไทย’ เข้าใจเรื่องขบวนเสด็จฯ พร้อมย้ำเรามีวันนี้ได้เพราะ ‘สถาบันพระมหากษัตริย์’

(12 ก.พ.67) พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ให้สัมภาษณ์กรณีการใช้เสรีภาพแสดงออก ภายหลังเกิดกรณีนักเคลื่อนไหวการเมืองบีบแตรและพยายามขับรถแทรกระหว่างขบวนเสด็จ ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นสถาบันที่อยู่คู่บ้านเมือง และนำพาประเทศชาติ รอดมาถึงทุกวันนี้ ถ้าทุกท่านได้ศึกษาประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะรัชกาลใด ได้นำพาประเทศให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศ รวมทั้งแก้ปัญหาในคราวที่ชาวต่างชาติจะมายึดครองประเทศไทย วันนี้ดูเป็นเรื่องง่าย เพราะเป็นโลกของการสื่อสาร การตัดสินใจมีคณะกรรมการมากมาย แต่สมัยก่อนการตัดสินใจ ในการนำพาประเทศชาติ อยู่ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์เดียว ท่านได้นำพาประเทศชาติมาจนถึงทุกวันนี้ ขอให้คนไทยทุกระลึกและนึกอยู่เสมอว่าเรามีวันนี้ได้เพราะพระองค์ท่าน

“การที่ท่านสัญจรไปไหนมาไหน ความรักในท่าน อยากให้เราทำการจราจรให้เรียบร้อย รถที่ติดนั้น พระองค์ท่านจะต้องไปปฏิบัติภารกิจมากมาย ก็จะได้เดินทางไปด้วยความเรียบร้อย ถึงที่หมายทันเวลาเท่านั้นเอง คือความมุ่งประสงค์ เพราะฉะนั้น อยากให้คนไทยทุกเข้าใจ เรารักใครสักคน คุณพ่อคุณแม่ทุกท่าน หากไม่สบาย มีรถฉุกเฉินก็เพื่อวัตถุประสงค์ไปให้ถึงจุดหมายที่ทันเวลาเท่านั้นเอง ขอให้เราคนไทย อยู่กันด้วยความเข้าใจ ความเคารพ ความรัก ความศรัทธา จะทำให้การปฏิบัติต่อพระองค์ท่านเป็นไปด้วยความเรียบร้อย” ผบ.ทร. กล่าว

นักศึกษาชาวอินเดียรายล่าสุด ถูกรุมยำในชิคาโก แถมก่อนหน้าก็มีหลายคนถูกทำร้ายจนตายมาแล้ว

(12 ก.พ. 67) คลิปวิดีโอนักศึกษาชาวอินเดียรายหนึ่งถูกไล่ล่า และรุมทำร้ายในชิคาโก โหมกระพือความเดือดดาลบนสื่อสังคมออนไลน์ในอินเดีย ในเหตุการณ์ความรุนแรงและประทุษร้ายหนล่าสุด อีกทั้งในบางครั้งก็มีกรณีเช่นนี้และทำคนอินเดียถึงกับเสียชีวิต บนแผ่นดินอเมริกามาแล้วด้วย 

สำหรับเหตุการณ์ล่าสุด มีชาย 3 คน กำลังไล่ล่านักศึกษารายหนึ่ง ซึ่งทราบต่อมาว่าชื่อ ‘ไซเอด มาซาฮีร์ อาลี’ จากรัฐเตลังคานา ถูกจับภาพได้โดยกล้องวงจรปิดเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ โดยในคลิปหนึ่งพบเห็น ‘อาลี’ มีเลือดเปื้อนใบหน้าและเสื้อผ้า ในขณะที่เขาตะโกนร้องขอความช่วยเหลือว่าตนเองถูกทำร้าย

นักศึกษารายนี้บอกว่ามีบุคคล 4 รายที่รุมทำร้ายเขา และขโมยโทรศัพท์มือถือ ในเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่เขากำลังเดินกลับไปยังอพาร์ตเมนต์

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบนถนนแคมป์เบลล์ ในเขตนอร์ทไซด์ ของชิคาโก ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็น ‘เมืองหลวงแห่งการฆาตกรรม’ ของสหรัฐฯ เนื่องจากเมืองแห่งนี้มีการระบุเหตุฆาตกรรมถึง 617 คดีในปี 2023 ซึ่งอ้างอิงข้อมูลจากกรมตำรวจท้องถิ่น ทำให้เมืองแห่งนี้มีอัตราการของการเกิดคดีฆาตกรรมสูงสุดในสหรัฐฯ 

ทันทีที่คนอินเดียรู้ข่าว ก็เกิดเสียงโวยวายปะทุขึ้นในโลกออนไลน์อย่างมากมายต่อเหตุโจมตีครั้งนี้ ภายหลังจากที่ภรรยาของเหยื่อได้เขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอินเดีย เพื่อขอให้ช่วยเข้าแทรกแซงคดี โดยเธออ้างว่าสามีของเธอยังไม่หายช็อกเลยนับตั้งแต่ถูกเล่นงาน 

นอกจากนี้ เธอยังร้องขอให้รัฐบาลอินเดีย เตรียมการสำหรับการเดินทาง เพื่อที่สามี เธอและลูกๆ ทั้ง 3 คน จะได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากัน 

เกี่ยวกับเรื่องนี้ สถานกงสุลอินเดียในชิคาโก เปิดเผยว่า พวกเขาอยู่ระหว่างติดต่อประสานงานกับพวกเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่ทำการสืบสวนคดีนี้

สำหรับการโจมตีครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ความรุนแรงเลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นกับชาวอินเดียบนแผ่นดินสหรัฐฯ ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ในระหว่างที่มีนักศึกษาชาวอินเดียราว 300,000 คน เดินทางมาเรียนต่อในระดับสูงในประเทศแห่งนี้

โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันจันทร์ที่ 5 ก.พ.67 ‘ซาเมียร์ คามัต’ ชาวอินเดีย ว่าที่ปริญญาแพทยศาสตร์รายหนึ่งของมหาวิทยาลัยเพอร์ดู ในอินดีแอนา ก็ถูกพบเสียชีวิตในเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย

หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ‘นีล อาชาระยา’ นักศึกษาเชื้อสายอินเดียรายหนึ่งในมหาวิทยาลัยเดียวกัน ถูกพบเสียชีวิตใกล้กับลานบินของมหาวิทยาลัย โดยศพของเธอถูกพบหลังจากแม่ของเธอเข้าแจ้งความบุคคลสูญหาย

ส่วนอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนมกราคม ‘วิเวค ไซไน’ นักศึกษาอินเดีย วัย 25 ปี ถูกโจมตีจนตายในลิโธเนีย รัฐจอร์เจีย ด้วยฝีมือคนไร้บ้านที่ติดยาเสพติด โดยกราฟิกวิดีโอของเหตุฆาตกรรมเผยให้เห็นว่าผู้ต้องสงสัยใช้ค้อนทุบตีเล่นงาน ไซไน เกือบ 50 ครั้ง

'ศูนย์วิจัยกสิกร' มอง!! ส่งออกข้าวไทยปี 67 อาจจะลดลง -13% หากอินเดียกลับมาส่งออกข้าวแข่งกับไทย หลังจบการเลือกตั้ง

(12 ก.พ. 67) Business Tomorrow เผย ตัวเลขปี 2566 ซึ่งเป็นปีทองส่งออกข้าวไทย เนื่องจากการส่งออกข้าวไทยมีมูลค่าสูงสุดในรอบ 5 ปีอยู่ที่ 5,144 ล้าน ดอลลาร์ หรือเติบโต +29% (YoY) โดยเป็นการเติบโตทั้งด้านราคาที่ +13.8% (YoY) ตามราคาข้าวโลกที่ปรับสูงขึ้น ภายใต้ปัจจัยหลัก 2 ประการด้วยกัน ได้แก่...

1. อินเดียงดส่งออกข้าว และปริมาณที่เติบโต +14% (YoY) (จาก 7.7 ล้านตันเป็น 8.8 ล้านตัน)

2. แรงหนุนซื้อหลักจาก อินโดนีเซีย, มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ (ไทยส่งออกไป 3 ประเทศ นี้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย +590% (YoY) และมีสัดส่วนปริมาณส่งออกรวม +26%)

อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรมองปี 2567 ได้คาดการณ์ว่า การส่งออกข้าวไทยจะลดลง จากคำสั่งซื้อใหม่ของผู้ซื้อหลักที่อาจลดลงจากที่ได้เร่งนำเข้าไปแล้วในปีก่อนแม้บางส่วนจะถูกชดเชยด้วยการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐกับอินโดนีเซียและจีน ขณะที่ไทยคงเผชิญเอลนีโญในช่วงไตรมาสแรกของปีที่จะทำให้เกิดภัยแล้ง สะท้อนจากข้อมูลของ NOAA1 ที่คาดว่า เอลนีโญที่กำลังดำเนินอยู่จากดัชนี Ocean Nino Index (ONI) ที่สูงกว่า 0.5 องศาเซลเซียส อาจต่อเนื่องถึงในเดือน มี.ค.2567 

อีกทั้งปริมาตรน้ำใช้การได้ในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ท้ังประเทศในวันที่ 7 ก.พ.2567 ลดลง -8% (YoY) กดดัน 2 ผลผลิตข้าวนาปรัง อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ที่เอลนีโญจะอ่อนกำลังลงและ เข้าสู่ภาวะเป็นกลางมากขึ้นตั้งแต่เดือนเม.ย. 2567 จึงอาจกระทบผลผลิตข้าวนาปีไม่มาก ส่งผลต่อภาพรวมผลผลิตข้าวไทยในปีนี้ให้ยังอยู่ในระดับสูงที่ราว 31 ล้านตันข้าวเปลือกซึ่งมีเพียงพอเพื่อการส่งออก

>> อินเดียอาจกลับมาส่งออกข้าวในช่วงครึ่งหลังปี 67

ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงสำคัญอย่างนโยบายส่งออกข้าวอินเดียในปี 2567 จะกระทบการส่งออกข้าวไทยอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากอินเดียเป็นผู้ส่งออกข้าวหลักอันดับ 1 ของโลกที่ครองสัดส่วนปริมาณส่งออกราว 40% โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า มีความเป็นไปได้ที่อินเดียจะยกเลิกการห้ามส่งออกข้าวขาวในช่วงครึ่งหลังของ ปี 2567 หลังผ่านพ้นการเลือกตั้งในเดือน เม.ย.-พ.ค.นี้

เนื่องจากเหตุผลทางการเมืองในช่วงก่อนเลือกตั้งที่พรรครัฐบาลอินเดียของโมดีต้องการรักษาความนิยม และเพื่อควบคุมเงินเฟ้อภายในประเทศ จึงใช้มาตรการห้ามส่งออกข้าว (ข้าวขาว) ซึ่งคาดว่าคงมีความจำเป็นน้อยลงหากการเลือกตั้งเสร็จสิ้น ประกอบกับ USDA2 คาดว่า ผลผลิตข้าวของอินเดียในปี 2567 อาจลดลงไม่มากที่ 2.8% (YoY)

ดังนั้นการที่อินเดียน่าจะกลับมาส่งออกข้าวทำให้ไทยเผชิญการแข่งขันด้านราคากับอินเดีย ซึ่งจะกดดันการส่งออกข้าวขาวไทยในปี 2567 ให้ลดลง -17% (YoY) (จาก 4.8 ล้านตันเป็น 4 ล้านตัน) ซึ่งเป็นประเภทข้าวที่ไทยส่งออกมากที่สุด คิดเป็น 51% ของปริมาณการส่งออกข้าวทั้งหมดของไทย ทั้งนี้ไทยมีราคาส่งออกข้าวขาวสูงกว่าอินเดีย จึงกระทบส่วนแบ่งตลาดส่งออกข้าวขาวไทยในตลาดโลกให้ลดลง

อย่างไรก็ดีแม้ว่าการส่งออกข้าวขาวจะมีปริมาณลดลงแต่ไทยยังมีโอกาสในการส่งออกข้าวหอมมะลิ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ไทยอาจมีปริมาณส่งออกข้าวหอมมะลิ เพิ่มขึ้น +5% (YoY) (จาก 1.32 ล้านตันเป็น 1.39 ล้านตัน) โดยข้าวหอมมะลิ แม้จะมีสัดส่วนปริมาณส่งออกไม่มากที่ 18% แต่เป็นข้าวเกรดพรีเมียมที่มีราคาขายสูง มีคุณภาพและมีโอกาสโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาที่เป็นตลาดส่งออกข้าวหอมมะลิอันดับ 1 ของไทย ซึ่งเติบโตเพิ่มขึ้นจากเฉลี่ย +2.1% ต่อ ปีในปี 2557-2561 เป็นเฉลี่ย +5.2% ต่อปีในปี 2562-2566

โดยสรุป ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าในปี 2567 ภาพรวมมูลค่าส่งออกข้าวไทย อาจลดลง -13% (YoY) จาก 5,144 ล้านดอลลาร์ เป็น 4,495 ล้าน ดอลลาร์ เนื่องจากปริมาณการส่งออกข้าวลดลง -10% (YoY) จาก 8.8 ล้านตัน เป็น 7.9 ล้านตัน และราคาส่งออกข้าวเฉลี่ยลดลง -3% (YoY) จาก 587 ดอลลาร์ต่อตัน เป็น 569 ดอลลาร์ต่อตัน โดย สาเหตุหลักมาจากแรงฉุดของมูลค่าการส่งออกข้าวขาวที่ลดลงทั้งในด้านปริมาณ และราคา เนื่องจากศูนย์วิจัยกสิกรอาจกลับมาส่งออกข้าวขาวหลังการเลือกตั้ง

นทท.ต่างชาติโชว์สยิวโจ่งครึ่มในไทย แม้รู้ผิดกฎหมาย แถมโบกไม้โบกมือให้กับคนที่ผ่านไป-มา ไร้ความละอาย

เมื่อไม่นานมานี้ นสพ. New York Post สหรัฐอเมริกา เสนอรายงานพิเศษ Sex-crazed tourists filmed making whoopie on Thailand beach as others look on and laugh ว่าด้วยพฤติกรรม ‘โชว์สยิว’ ในย่านชายหาดและแหล่งท่องเที่ยวของเมืองพัทยา จ.ชลบุรี ประเทศไทย ของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ซึ่งกรณีล่าสุด ปรากฏคลิปวีดีโอความยาว 1 นาที เป็นภาพคู่รักชาย-หญิงชาวต่างชาติ มีเพศสัมพันธ์กันแบบโจ๋งครึ่มไม่แคร์สายตาผู้พบเห็น บริเวณถนนริมชายหาด ขณะที่คนอื่นๆ ในบริเวณนั้นก็หัวเราะอย่างสนุกสนาน

เมื่อคลิปวีดีโอดังกล่าวถูกแชร์บนเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 7 ก.พ.67 มันได้ถูกตั้งคำถามจากชาวเน็ต เช่น “นี่เป็นเรื่องปกติของพัทยาหรือ?” / “ทำไมไม่ไปทำกันที่โรงแรม?” / “ต้องเป็นคนแบบไหนหรือถึงทำแบบนี้ได้?” เป็นต้น 

ขณะที่สื่อท้องถิ่นของประเทศไทยรายงานว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่บริเวณถนนริมหาดนาจอมเทียน ซึ่งเป็นที่ตั้งของคอนโดมิเนียมสูง โรงแรม และร้านอาหาร และอยู่ไม่ไกลจากศูนย์กีฬาทางน้ำพัทยา

โดยถนนเส้นดังกล่าวมีผู้คนพลุกพล่านทั้งคนในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวตลอดเวลาไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน แม้แต่ช่วงกลางดึกอย่างเวลา 02.00-04.00 น. ก็เช่นกัน อีกทั้งยังเป็นจุดที่อาจพบเห็นการกระทำที่เข้าข่ายอนาจารในที่สาธารณะได้ แม้พฤติกรรมดังกล่าวจะมีความผิดตามกฎหมายไทยก็ตาม 

สำหรับกรณีล่าสุดที่เป็นข่าว เบื้องต้นตำรวจได้ทำการสืบสวน แต่ก็อาจช้าเกินไปเสียแล้ว เมื่อมีรายงานว่า แม้คลิปวีดีโอเพิ่งถูกแชร์เมื่อสัปดาห์ล่าสุด แต่เหตุการณ์ในคลิปที่ถูกบันทึกไว้น่าจะเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นเป็นเดือน ซึ่งคู่รักที่อยู่ในคลิปก็น่าจะออกจากพัทยาไปแล้ว

รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า เรื่องทำนองนี้ในประเทศไทยไม่ใช่เกิดขึ้นครั้งแรก ย้อนไปเมื่อปี 2566 มีกรณี ผู้หญิงรายหนึ่งถูกจับได้ว่าทำออรัลเซ็กซ์กับผู้ชายคนหนึ่งใต้เสาไฟถนนบนทางเท้าสาธารณะ ขณะที่คนงานกำลังจัดเวทีในบริเวณใกล้เคียง หรือเมื่อช่วงเทศกาลคริสต์มาสของปี 2565 ก็มีข่าวชาวต่างชาติสภาพเมา มีเพศสัมพันธ์กับหญิงขายบริการทางเพศในที่สาธารณะ แถมยังโบกไม้โบกมือให้กับคนที่ผ่านไป-มาอีกต่างหาก

ก็คงต้องตามดูกันต่อไป ว่าปัญหานี้ ทางภาครัฐจะเข้ามาจัดการแบบเข้มงวดแค่ไหน หลังกลายเป็นข่าวสะพัดไปในหน้าสื่อต่างชาติ จนอาจทำภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยเสื่อมเสียในจังหวะที่การท่องเที่ยวไทยกำลังบูม

'กรุงเทพ' ติดโผเมืองที่ใช้เวลาเดินทางไปทำงานมากที่สุดในโลก  พบใช้เวลาเฉลี่ย '58 นาที' ต่อเที่ยว สูงกว่าค่าเฉลี่ย 2 เท่า

ไม่นานมานี้ รายงานจาก 'การขนส่งสาธารณะทั่วโลกประจำปี 2022' ของ Moovit ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์การขนส่งของโลก ได้ระบุว่า...

เมืองอิสตันบูล เป็นเมืองที่รั้งอันดับหนึ่งของเมืองที่ผู้คนใช้เวลาเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะไปทำงานเฉลี่ยนานที่สุดในโลก คือ 77 นาทีต่อเที่ยว

ส่วน นิวยอร์ก และ กรุงเทพฯ ผู้คนใช้เวลาเดินทางไปทำงานเฉลี่ย 58 นาทีต่อเที่ยว หรือเกือบ 2 ชั่วโมงในการเดินทางไป-กลับ

ทั้งนี้ มีงานวิจัยหลายชิ้นพบความเชื่อมโยงระหว่างการใช้เวลาเดินทางไปทำงานที่ยาวนานกับสุขภาพจิตที่แย่ลง และมีแนวโน้มที่จะมีอาการซึมเศร้ามากกว่าผู้ที่เดินทางน้อยกว่า 30 นาที ถึง 16%

โดยเวลาที่เหมาะในการเดินทางควรอยู่ระหว่าง 5-16 นาทีต่อเที่ยว หรือมากสุดไม่ควรเกิน 30 นาทีต่อเที่ยว ซึ่งเป็นการสำรวจพบว่าเป็นช่วงระยะเวลาที่พนักงานสามารถรับได้และไม่ทำให้พวกเขาเหนื่อยกับการเดินทางมากเกินไป เท่ากับผู้คนในกรุงเทพฯ ใช้เวลาเดินทางไปทำงานมากกว่าค่าเฉลี่ยเกือบ 2 เท่าเลยทีเดียว

ฉะนั้น หากวัยทำงานรู้สึกว่าตนใช้เวลาเดินทางไปทำงานนานเกินไปในแต่ละวัน จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ อาจถึงเวลาที่จะพิจารณาย้ายที่อยู่ให้ใกล้ที่ทำงานมากขึ้น หรือหางานใหม่ที่ใกล้บ้านมากขึ้น

แต่ก็อย่างที่หลายคนรู้ดีว่า ชีวิตคนเราไม่สามารถเลือกได้ขนาดนั้น ใครไม่สามารถย้ายที่พักหรือย้ายที่ทำงานได้ในเร็วๆ นี้ ดร.ซอนยา นัตแมน จากคณะสาธารณสุข มหาวิทยาลัยดีคิน (Deakin University) ประเทศออสเตรเลีย แนะนำว่า หนึ่งในวิธีที่จะช่วยให้ลดผลเสียจากการเดินทางนานๆ บนท้องถนนได้ก็คือ...

หากนั่งรถสาธารณะให้ยืนดีกว่านั่ง (หรือยืนสลับนั่ง) เพื่อให้ร่างกายได้เคลื่อนไหว และพยายามทำให้การเดินทางของคุณปราศจากความเครียดเท่าที่จะเป็นไปได้ เช่น ฟังพอดแคสต์ ฟังเพลง หรือหนังสือเสียง สวมรวมถึงเลือกรองเท้าที่ใส่สบาย ยืนนานๆ แล้วไม่เมื่อยไม่เจ็บเท้า เป็นต้น

'พล.ต.ท.เรวัช เปิดใจถึง 'ตะวัน' กรณีขบวนเสด็จฯ "หากหนูไม่เคารพไม่ศรัทธา ก็ไปอยู่ประเทศอื่น"

จากกรณี ตะวัน ทะลุวัง นักเคลื่อนไหวและผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 ขับรถแซงขบวนเสด็จ ซึ่งขบวนกำลังแล่นผ่านทางด่วน โดยไม่ได้มีการปิดถนนแต่อย่างใด มีเพียงรถนำตำรวจปิดหัวท้ายขบวนเท่านั้น และประชาชนสามารถใช้ทางได้ตามปกติ

แต่แก๊งทะลุวังพยายามขับรถบีบแตรลากยาว และขับแซงรถขบวนเสด็จ ซึ่งทำให้ทางเจ้าหน้าที่ต้องจอดรถเพื่อมาดำเนินการตามมาตรการใช้รถขวาง

ล่าสุด (12 ม.ค. 67) พลตำรวจโท เรวัช กลิ่นเกษร ได้ออกมาพูดถึงประเด็นดังกล่าวผ่านช่องยูทูบระบุว่า…

“ผมเห็นคลิปเหตุการณ์เรื่องราวใหญ่โต หลังจากไอ้เด็กผู้หญิงคนนี้ ผมไม่รู้ว่าเกิดมาจากที่ไหนนะครับ หนูอยู่ประเทศไทยได้ยังไงอะ หนูกระทำการครั้งนี้ ผมเห็นว่าบังอาจมากนะลูก หนูยังเป็นเด็กที่อายุแค่ 20 กว่าปี หนูกระทำการครั้งนี้ว่าบังอาจมาก ถ้าถามว่าบังอาจยังไง บังอาจดูถูกดูหมิ่นคนที่เคารพศรัทธา ผมศรัทธายิ่งกว่าชีวิตนะครับ อย่าดูหมิ่นศรัทธาของชาวบ้านครับ”

“หนูเดินผิดทางแล้วอิหนู ซึ่งหนูจะไม่เคารพไม่ศรัทธาก็ไปอยู่ประเทศอื่นสิ ผมไม่ได้อยากยุ่งกับการเมืองนะ แล้วก็ใครอย่าไปถือหางนะ จะไปประท้วงเรื่องอะไรก็ไปประท้วง แล้วมายุ่งเรื่องทางนี้ทำไมอะไม่เข้าท่าเลย” พลตำรวจโท เรวัช กล่าว

พลตำรวจโท เรวัช กล่าวต่อว่า “บางอย่างหนูก็ทำถูกต้อง แต่บางอย่างหนูก็ทำดีผมก็เห็นด้วย เพราะหนูเป็นเด็กรุ่นใหม่ และเวลาที่หนูเข้าไปอยู่เรือนจำกันก็ประท้วงอดข้าวอดน้ำ กรมราชทัณฑ์เวลาเขาประท้วงก็เป็นสิทธิของเขา ก็ปล่อยให้เขาอดข้าวตายไปสิ ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยก็ค่อยรักษา ผมดูอยู่ตลอดนะครับ”

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือน “6 โจรความรัก หลอกไม่พัก รักวาเลนไทน์” รู้ไว้ปลอดภัยกว่า

วันนี้ (12 กุมภาพันธ์ 2567) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ โดยในปัจจุบันจากสถิติการรับแจ้งความออนไลน์คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 17 มีนาคม 2566 – 31 ธันวาคม 2566 พบว่าคดีออนไลน์ประเภท หลอกให้รักแล้วโอนเงิน หรือ Romance Scam มีจำนวนคดีมาเป็นอันดับที่ 10 ที่ 1,435 คดี มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 476 ล้านบาท

และด้วยวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 ที่จะมาถึงนี้เป็นเทศกาล “วันวาเลนไทน์” หรือที่เรียกกันว่าเทศกาลแห่งความรัก ที่พี่น้องประชาชนจำนวนมากมักถือเอาเทศกาลวันวาเลนไทน์เป็นโอกาสในการแสดงออกถึงความรัก อาทิ การส่งของขวัญ เงิน นัดรับประทานอาหารค่ำ หรืออยู่ด้วยกันยามค่ำคืนกับคนรัก เนื่องในโอกาสพิเศษนี้

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนพี่น้องประชาชน ถึงภัยอาชญากรรมที่มิจฉาชีพอาจฉวยโอกาสใช้เทศกาลวันวาเลนไทน์ ในการหลอกลวงพี่น้องประชาชน ทั้งหมด 6 รูปแบบ หรือที่เรียกว่า “6 โจรความรัก” ดังต่อไปนี้

1. “หลอกให้รัก หวังเอาเงิน” คือ กลุ่มมิจฉาชีพที่สร้างบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ปลอมที่ใช้ภาพของบุคคลอื่น หรือภาพที่สร้างขึ้นจาก AI โดยมักจะเป็นภาพของหนุ่มหล่อ สาวสวย หรือคนที่มีฐานะทางการเงิน เข้ามาขอเป็นเพื่อน หรือทักมาในสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อสานสัมพันธ์ จากนั้นจะหลอกลวงเอาทรัพย์สินจากผู้เสียหาย

2. “หลอกให้รัก ชวนลงทุน(ปลอม)” คือ กลุ่มมิจฉาชีพที่สร้างบัญชีชื่อสื่อสังคมออนไลน์ปลอม เข้ามาสานสัมพันธ์ จากนั้นจะอ้างว่าสามารถนำเงินไปลงทุนได้ผลตอบแทนสูง และชวนให้ผู้เสียหายลงทุนด้วย ซึ่งการลงทุนดังกล่าวไม่เป็นความจริง เป็นเพียงกลลวงของมิจฉาชีพเท่านั้น

3. “หลอกให้รัก ชวนถ่ายคลิป” คือ กลุ่มมิจฉาชีพที่สร้างบัญชีชื่อสื่อสังคมออนไลน์ปลอม เข้ามาสานสัมพันธ์ จากนั้นจะชวนให้เหยื่อวิดีโอคอล หรือถ่ายคลิปลามก ส่งให้กับคนร้าย เมื่อคนร้ายบันทึกภาพหน้าจอหรือได้รับคลิปวิดีโอจากเหยื่อ ก็จะนำคลิปดังกล่าวมาเรียกเงินจากผู้เสียหายแลกกับการไม่นำไปเผยแพร่ หรือส่งให้กับภรรยา(ตัวจริง)

4. “มารความรัก หลอกขายของ” คือ กลุ่มมิจฉาชีพที่ใช้บัญชีสื่อสังคมออนไลน์ปลอม หลอกขายของในช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ โดยมักจะมีราคาถูกเกินจริง เพื่อล่อลวงให้เหยื่อสั่งซื้อสินค้ากับคนร้าย

5. “มารความรัก หลอกจองร้านอาหาร” คือ กลุ่มมิจฉาชีพที่สร้างบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ปลอม แอบอ้างเป็นร้านอาหารต่าง ๆ จัดโปรโมชันช่วงเทศกลาลวันวาเลนไทน์ และหลอกล่อให้เหยื่อจ่ายเงินค่ามัดจำเพื่อสำรองโต๊ะ ซึ่งกว่าเหยื่อจะรู้ตัว ก็คือวันที่เหยื่อและคนรักเดินทางไปถึงร้านอาหารที่ถูกแอบอ้าง แล้วพบว่าตนถูกหลอก

6. “มารความรัก หลอกจองที่พัก” คือ กลุ่มมิจฉาชีพที่สร้างบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ปลอม แอบอ้างเป็นโรงแรมที่พักต่าง ๆ จัดโปรโมชันช่วงเทศกลาลวันวาเลนไทน์ และหลอกล่อให้เหยื่อจ่ายเงินค่ามัดจำเพื่อสำรองที่พัก ซึ่งกว่าเหยื่อจะรู้ตัว ก็คือวันที่เหยื่อและคนรักเดินทางไปถึงโรงแรมหรือที่พักที่ถูกแอบอ้าง แล้วพบว่าตนถูกหลอก

โดย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าหลงเชื่อในสิ่งที่ราคาถูกหรือดูดีเกินจริง และมัดระวัง “6 โจรความรัก” 6 รูปแบบ กลลวงของมิจฉาชีพในการหลอกลวงแสวงหาประโยชน์จากพี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์

สุดท้ายนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ บนเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top