Saturday, 31 May 2025
NewsFeed

‘สุริยะ’ ลุย ‘ทสภ.’ กำชับทุกหน่วยเตรียมพร้อมช่วงตรุษจีน เน้นย้ำ!! การให้บริการ นทท.ต้องสะดวก-รวดเร็ว-ปลอดภัย

(10 ก.พ. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า วันนี้ได้เดินทางตรวจติดตามความคืบหน้า ตามข้อสั่งการในการเตรียมพร้อมการให้บริการผู้โดยสาร ในช่วงเทศกาลตรุษจีน และการแก้ไขปัญหาความหนาแน่นในการรอคิวตรวจหนังสือเดินทาง รองรับผู้โดยสารช่วงเทศกาลตรุษจีน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.)

โดยในช่วงเทศกาลตรุษจีน 2567 ระหว่างวันที่ 4-16 กุมภาพันธ์ 2567 คาดว่าจะมีผู้โดยสารเดินทางเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงได้สั่งการให้ ทอท. ท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิ และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมด้านความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกในทุกมิติ โดยให้มีการจัดเจ้าหน้าที่คอยกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การบริการผู้โดยสารในภาพรวมเป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็ว

ทั้งนี้ จากที่ได้เริ่ม มาตรการ Visa Free ขณะนี้ได้มีเที่ยวบินขาเข้าสูงถึง 1,040 เที่ยวต่อวัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งมั่นใจว่าประเทศไทยจะสามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ ให้เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้ทุกหน่วยงาน เตรียมแผนเผชิญเหตุกรณีเกิดเหตุขัดข้อง และให้ใช้เทคโนโลยีทันสมัย เพื่ออำนวยความสะดวกผู้ใช้บริการอย่างเต็มประสิทธิภาพ รองรับและสนับสนุนนโยบายการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวของรัฐบาล

พร้อมกันนี้ยังได้ให้ทาง ตม.2 เพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ให้บริการจุดตรวจคนเข้าเมืองทุกช่องบริการให้เพียงพอในการรองรับการใช้บริการผู้โดยสารในช่วงเทศกาลตรุษจีน โดยได้มีการเสริมเจ้าหน้าที่เวรปฏิบัติงานนอกเวลา และได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ ตม. จากจังหวัดต่าง ๆ เข้ามาช่วยปฏิบัติงานที่ ทสภ. รวมถึงยังได้มีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกหน่วยปฏิบัติงานมาเป็นเจ้าหน้าที่ ตม.2 กว่า 60 นาย นอกจากนี้ ตม.2 ได้มีการบรรจุเจ้าหน้าที่ใหม่แล้วจำนวน 200 อัตรา ขณะนี้อยู่ในระหว่างการอบรมภาคทฤษฎีคาดว่าจะสามารถ เริ่มปฏิบัติงานได้จริงตั้งแต่ 1 มีนาคมนี้ รวมทั้งยังมีแผนที่จะขอบรรจุอัตรากำลังเพิ่มอีก 400 อัตรา รวมเป็น 600 อัตราในอนาคต

รวมถึงให้ตรวจสอบความพร้อมของช่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ หรือ ‘Automatic channels’ โดยวางมาตรการในการป้องกันการขัดข้องของระบบ Biometric พร้อมให้จัดให้มีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของระบบตลอด 24 ชม. รวมถึงได้มีการเปลี่ยนเครื่องลูกข่ายหน้าช่องตรวจทุกช่องทั้งขาเข้า ขาออก ทำให้ระบบการทำงานดีขึ้น และในระยะยาวทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) จะได้จัดหาระบบใหม่ทดแทนเป็นระบบเดียว คือ ‘ระบบ TIS’ (Thailand Immigration System) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจลงตราซึ่งจะทำให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 3 นั้น เตรียมเปิดใช้งานได้ในเดือนกรกฎาคม 2567 ซึ่งเมื่อเปิดใช้งานจะเพิ่มศักยภาพในการรองรับเที่ยวบินของ ทสภ. จากเดิม 67 เที่ยวบิน/ชั่วโมง เป็น 94 เที่ยวบิน/ชั่วโมง ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพของท่าอากาศยานหลักของไทยในการรองรับเที่ยวบินและผู้โดยสารเพิ่มมากขึ้น สนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยตามแผนยกระดับประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินภูมิภาคหรือ Aviation Upgrade ของรัฐบาลเพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการบินของภูมิภาค

“ในช่วง 20 ปีก่อน สนามบินสุวรรณภูมิ เคยติดอันดับ 7 ของโลก แต่ในปัจจุบันนี้ตกไปอยู่อันดับที่ 76 ของโลก สาเหตุจากการถดถอยของการให้บริการ ดังนั้นผมได้ให้นโยบายต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงแก้ไขต้องเร่งปรับเปลี่ยนโดยเร็ว เพื่อให้สนามบินสุวรรณภูมิ เลื่อนอันดับขึ้นมาติด 1 ใน 20 ของโลกให้ได้” นายสุริยะ กล่าว

สำหรับการเปิดใช้อาคารเทียบเครื่องบินรอง หลังที่ 1 หรือ อาคาร SAT 1 ขณะนี้มีสายการบินหลายสายได้ย้ายไปให้บริการที่อาคาร SAT 1 เพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันมีเที่ยวบินเฉลี่ยต่อวันกว่า 86 เที่ยวบิน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ทั้งนี้คาดว่าภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์จะมีปริมาณเที่ยวบินเพิ่มขึ้นเป็น 112 เที่ยวบิน และจะมีสายการบินมาใช้บริการเพิ่มขี้นเป็น 16 สายการบินจากเดิม 13 สายการบิน

‘จีน’ เผย ยอดจองเที่ยว-จับจ่ายช่วงตรุษจีนพุ่งสูง สะท้อน!! เศรษฐกิจฟื้นตัวดี-การบริโภคแข็งแกร่ง

(10 ก.พ. 67) สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานสถานการณ์ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ว่า แทนที่จะเดินทางกลับภูมิลำเนา เพื่อรวมตัวกับครอบครัวและญาติมิตรในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ ‘เฉิงว่านฉี’ เป็นหนึ่งในชาวจีนที่เลือกจองโรงแรมในเกาะไห่หนาน (ไหหลำ) เพื่อท่องเที่ยวกับครอบครัว

‘เหม่ยถวน เตี่ยนผิง’ (Meituan Dianping) บริษัทอีคอมเมิร์ซจีน เจ้าของแพลตฟอร์มรวมบริการออนไลน์ เช่น รีวิวร้านอาหาร สั่งอาหาร เผยว่าช่วงวันหยุดเทศกาลตรุษจีนปีนี้ การบริโภคที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว เช่น จองที่พัก ตั๋วเข้าจุดชมวิว และบัตรการคมนาคมขนส่งจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยยอดคำสั่งซื้อที่เป็นการจองล่วงหน้าระยะครึ่งเดือนเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 5 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2023

บริษัทฯ ระบุว่าหลายๆ เมือง เช่น ปักกิ่ง, เซี่ยงไฮ้, ซานย่า, ฮาร์บิน, เฉิงตู, กว่างโจว, ซีอัน และอื่นๆ ขึ้นแท่นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในประเทศจีน ขณะที่ชาวจีนที่ทำการจองเพื่อท่องเที่ยวในต่างประเทศก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

นอกจากนี้ ยอดจองและคำสั่งซื้ออาหารมื้อค่ำในคืนส่งท้ายปีเก่าตามธรรมเนียมจีน ซึ่งเป็นวันที่ครอบครัวชาวจีน จะรับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัว ยังเพิ่มสูงอย่างรวดเร็ว เหม่ยถวน เตี่ยนผิงระบุด้วยว่า มีผู้บริโภคสั่งอาหารทั้งมื้อหรือสั่งอาหารเพื่อนำมาเสริมในมื้ออาหารผ่านบริการสั่งอาหารบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ มากขึ้น และพบว่าในสัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ ยอดจองรับประทานอาหารค่ำสำหรับครอบครัวตามร้านอาหารต่างๆ เพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 70 เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า

ข้อมูลที่เผยแพร่เมื่อไม่กี่วันมานี้โดยแพลตฟอร์มค้าปลีกออนไลน์แห่งหนึ่งซึ่งเชื่อมโยงกับเหม่ยถวน เตี่ยนผิง ระบุว่าช่วงเดือนที่ผ่านมา ยอดขายสุรา นม และเชอร์รี ทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ ขณะที่ยอดขายสินค้าหลายประเภททั้งเครื่องใช้ในบ้าน ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม ผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง ของใช้สำหรับแม่และเด็ก รวมถึงเสื้อผ้าพุ่งสูงขึ้นเกินร้อยละ 100

ด้าน ‘พินตัวตัว’ (Pinduoduo) แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำของจีน ได้เปิดตัวแคมเปญชอปปิงรับตรุษจีน ร่วมกับบรรดาผู้ประกอบการจากทั่วประเทศในเดือนมกราคม เพื่อรับรองว่าอุปทานจะเพียงพอสำหรับการจับจ่ายช่วงเทศกาล และพบว่าปริมาณการขายสินค้าโภคภัณฑ์หลายชนิดเพิ่มสูงขึ้นในหลากหลายระดับ เช่น ยอดขายอาหารสดคุณภาพสูงอย่างเชอร์รี สตรอว์เบอร์รี และปูยักษ์ (King Crab) ล้วนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

‘หานหยาง’ ชาวจีนผู้ทำงานในกรุงปักกิ่งมานาน 5 ปี เลือกที่จะสั่งซื้ออาหารและผลไม้ทางออนไลน์ เพื่อจัดส่งให้พ่อแม่ซึ่งอยู่ที่บ้านเกิดในเมืองสวี่ชาง มณฑลเหอหนานทางตอนกลางของประเทศ แม้ว่าเขาจะเดินทางกลับบ้านเกิดในช่วงวันหยุดก็ตาม โดยให้เหตุผลว่าการซื้อของขวัญออนไลน์ล่วงหน้านั้นสะดวกสบายมาก

‘หลี่จี้เหว่ย’ ผู้บริหารจากสถาบันวิจัยเหม่ยถวน (Meituan Research Institute) ระบุว่า ข้อมูลการจองล่วงหน้าก่อนถึงวันหยุดที่มีแนวโน้มดีนั้น ตอกย้ำถึงการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของการบริโภคในช่วงเทศกาลตรุษจีน พร้อมเสริมว่าแนวโน้มเชิงบวกด้านการจับจ่ายนี้ ยังถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการบริโภคออนไลน์ในปี 2024 ด้วยเช่นกัน

ต่างชาติแห่เข้าไทยกว่า 1 แสนคนในวันเดียว รับ ‘ตรุษจีน-ฟรีวีซ่า’ คาด ยอดสะสมปี 67 แตะ 4 ล้านคน ‘นทท.จีน’ ครองอันดับหนึ่ง

(10 ก.พ. 67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยช่วงตรุษจีน ซึ่งมีตัวเลขเดินทางเข้าไทยวันเดียวมากกว่า 1 แสนคน (ยอดของวันที่ 8 ก.พ.) ทำให้นักท่องเที่ยวยอดสะสมของปี 2567 เกือบแตะ 4 ล้านคน (เดินทางเข้าไทยแล้วมากกว่า 3,963,744 ล้านคน)

โดยเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนมากที่สุด ตามมาด้วยชาวมาเลเซีย นับเป็นผลจากมิตรภาพ ความร่วมมือ และการดำเนินนโยบายของบนายกรัฐมนตรีที่เห็นผลสำเร็จเป็นรูปธรรม

จากการสำรวจเชิงลึกของบริษัทจัดจำหน่ายการเดินทางระดับโลก Dida Travel ของจีน พบว่า ช่วงเทศกาลตรุษจีนของชาวจีนปีนี้ ระหว่างวันที่ 10-17 ก.พ. 2567 มีจำนวนการจองโรงแรมในไทยเพิ่มขึ้นถึงกว่า 243% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยไทยยังเป็น 1 ในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักเดินทางชาวจีนขาออกในช่วงเวลานี้

“คาดว่าน่าจะเป็นผลพวงจากความต้องการเดินทาง ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาด และจากผลมาตรการวีซ่าฟรี (Visa Free) ไทย - จีน ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป” นายชัยกล่าว

นอกจากนี้ จากการดำเนินนโยบายต่างประเทศด้วยมิตรภาพ ความสัมพันธ์ และความร่วมมือที่ใกล้ชิดระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ที่ได้เห็นพ้องส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกันภายใต้แนวคิด ‘หกประเทศ หนึ่งจุดหมาย’ (ไทย, กัมพูชา, มาเลเซีย, เวียดนาม, ลาว และเมียนมา) เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกันในภูมิภาค สร้างหมุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวให้เป็น ‘One Destination’ ทำให้มีนักท่องเที่ยวจากอาเซียน โดยเฉพาะมาเลเซียเดินทางมาไทยจำนวนมาก

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีดำเนินนโยบายเพื่อกระตุ้นรายได้ประเทศ อำนวยความสะดวกเพื่อเพิ่มตัวเลขนักท่องเที่ยว กระตุ้นอุตสาหกรรม กิจกรรมด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งเดินทางนำเสนอนโยบายปรับนโยบายดึงดูดการลงทุน หาตลาดเพิ่มมูลค่าการค้า รวมทั้งดำเนินนโยบายด้านต่างประเทศด้วยความเป็นมิตรกับทุกประเทศ เพิ่มโอกาส เพื่อเพิ่มเงินหมุนเวียนในประเทศ ตลอดช่วงเวลาของการรับตำแหน่งที่ผ่านมา

“เห็นผลเป็นตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เกิดการคาดการณ์เม็ดเงินเข้าประเทศมหาศาลนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งส่วนที่เห็นดอกออกผล ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นว่า ยังมีอีกหลายส่วนของการดำเนินนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่แน่นอนว่าจะนำมาซึ่งการพัฒนา ฟื้นฟูเศรษฐกิจ กระจายรายได้สู่พี่น้องประชาชนไทย” นายชัยกล่าว

ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติลงพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญตำรวจปลายด้ามขวาน เร่งรัดคดีคนร้ายลอบยิงตำรวจภูธรรือเสาะ เสียชีวิต

วันนี้ (10 ก.พ.67) พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ ผบ.ศปก.ตร.สน.  พร้อมด้วย พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผบช.ภ. 9 , พล.ต.ต.นพศิลป์  พูลสวัสดิ์  รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.พิทักษ์  อุทัยธรรม  รอง ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. , พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ รอง ผบช.ตชด./รอง ผบ.ศปก.ตร.สน. , พล.ต.ต.กฤษฎา แก้วจันดี รอง ผบช.ภ.9 พร้อมส่วนเกี่ยวข้องลงพื้นที่สถานีตำรวจภูธรรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส เพื่อติดตามความคืบหน้าคดีคนร้ายลอบยิง จ.ส.ต.บินหลี เศรษฐสุข ผบ.หมู่ (ป) สภ.รือเสาะ เสียชีวิต เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา พร้อมมอบสิ่งของบำรุงขวัญ และแนะนำแนวทางในการปฏิบัติแก่ข้าราชการตำรวจ สถานีตำรวจภูธรรือเสาะ

โดยในการประชุม พล.ต.ท.สำราญ ได้นำความห่วงใยของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ที่ให้ความสำคัญต่อกำลังพล พร้อมรับฟังปัญหาข้อขัดข้องและความต้องการของหน่วย โดยเน้นย้ำการปฏิบัติในการจัดเวรยาม เฝ้าที่พักพิจารณาให้เหมาะสม ไม่ควรนำผู้ที่พักอยู่ด้านนอกมาเข้าเวรที่พัก , หัวหน้าหน่วยต้องให้ความสำคัญความปลอดภัยโดยเฉพาะหน่วยที่ตั้ง และที่พักอาศัย วางมาตรการป้องกันโดยเฉพาะเส้นทางเข้า-ออกให้ดี , กำชับผู้ใต้บังคับบัญชาต้องมีความระมัดระวังในการใช้ชีวิตส่วนตัว เนื่องจากกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบจะเฝ้าสังเกตอยู่เสมอและจะลงมือหากมีโอกาส , หัวหน้าหน่วยต้องนำบทเรียนการรบ ในแต่ละเหตุการณ์ไปสอนและกำชับการปฏิบัติของผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อให้ทราบยุทธวิธีของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบกระทำต่อหน้าที่ พร้อมให้กำลังใจข้าราชการตำรวจทุกนายในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง อย่าเสียขวัญและกำลังใจในการปฎิบัติหน้าที่

จากนั้น พล.ต.ท.สำราญ ได้เดินทางต่อไปยัง่ตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส เพื่อประชุมติดตามความคืบหน้าคดีดังกล่าว พร้อมกับมอบเงินสวัสดิการตำรวจแก่ข้าราชการตำรวจที่ได้บาดเจ็บ และญาติของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมกำชับแนวทางการปฏิบัติต่อกำลังพลในพื้นที่ให้มีความเข้มแข็ง ไม่สร้างเงื่อนไขในพื้นที่ สามารถเป็นที่พึ่งของประชาชน

‘เพจดัง’ ประณาม!! ‘กลุ่มทะลุวัง’ ใช้ความรุนแรง หลังปะทะ ‘ศปปส.’ ฟาด!! ‘ก้าวไกล’ เคยออกหน้าหนุน พอเกิดเรื่องกลับปัดปัญหาพ้นตัว

เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 67 แนวร่วมเพจ ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร’ ได้โพสต์แถลงการณ์แนวร่วมเพจเฟสบุ๊ก เรื่อง ประณามความรุนแรงและการย่ำยีหัวใจคนไทย โดยกลุ่มทะลุวังและพรรคก้าวไกล หลังเกิดเหตุปะทะกันระหว่าง ‘กลุ่มทะลุวัง’ และ ‘ศปปส.’ ที่บริเวณทางเชื่อมสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสยาม เนื่องจาก ศปปส. ไม่เห็นที่กลุ่มทะลุวัง จัดทำโพล ‘ขบวนเสด็จฯ’ ซึ่งสืบเนื่องจากกรณี ‘ตะวัน ทะลุงวัง และเพื่อน’ ทำการบีบแตรใส่และรบกวนขบวนเสด็จฯ โดยระบุว่า…

#ทุกคนคะ
แถลงการณ์แนวรวมเพจวันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร

เรื่อง ประณามความรุนแรงและการย่ำยีหัวใจคนไทย โดยกลุ่มทะลุวัง และพรรคก้าวไกล

ในวันนี้ (10 กุมภาพันธ์ 2567) ณ ลานน้ำพุ พารากอน กลุ่มทะลุวัง จัดทำโพล ‘ขบวนเสด็จฯ’ โดยอ้างว่า เป็นกิจกรรมตามสิทธิ์และเสรีภาพ แต่กิจกรรมลักษณะนี้ ผิดต่อคำสั่งศาลที่ให้ประกันตัว เป็นการย่ำยีหัวใจคนไทยที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบัน เป็นการตอกย้ำให้คนในสังคมแตกแยกมากยิ่งขึ้น และครั้งนี้ไม่ได้แค่ทำโพล แต่เตรียมชายฉกรรจ์และอาวุธมาด้วย จนเกิดเหตุการณ์นองเลือดในที่สุด

ในส่วนพรรคก้าวไกล ถูกตัดสินเป็นพรรคการเมืองที่ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยพรรคก้าวไกลมีส่วนร่วมกับกลุ่มทะลุวัง ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา แทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน ทั้งเรื่องช่วยการประกันตัว ม.112  กิจกรรมยืนหยุดขัง กดดันศาล รวมถึงนำเรื่องกลุ่มทะลุวังไปอภิปรายในสภา สร้างภาพให้กลุ่มทะลุวัง คือ ‘ฮีโร่’ ของคนรุ่นใหม่ ทั้งที่ความจริงคือการรวมตัวของกลุ่มลูซเซอร์

แต่เมื่อกลุ่มทะลุวังมีเรื่องเสียหาย พรรคก้าวไกลกับแสดงท่าทีไม่รู้จัก ไม่สนิทสนมกัน เล่นละครออกอากาศ โกหกรายวัน เป็นการกระทำอันน่ารังเกียจ ขาดจริยธรรมของนักการเมือง และหากใครเห็นต่างจะถูกด้อยค่าว่าเป็นไอโอ ถูกจ้างมา เห็นประชาชนไม่เท่ากัน ดูถูกประชาชน 

ดังนั้น หากพรรคก้าวไกลและกลุ่มทะลุวัง ยังร่วมกันจัดกิจกรรมที่ย่ำยีหัวใจประชาชนคนไทยอีก ทางแนวร่วมเพจวันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร จะใช้สิทธิและเสรีภาพทางรัฐธรรมนูญ ปกป้องสถาบันจนถึงที่สุด พวกเราไม่จำเป็นต้องทนต่อพฤติกรรมเหล่านี้ แต่เราควรจัดการปัญหาให้เด็ดขาด ไม่ให้สังคมต้องแตกแยกอีกต่อไป

แนวร่วมเพจวันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร

พล.ต.ท ไตรรงค์ ผิวพรรณ พูดถึง ‘ผู้กองอุ้ม’

“ผมได้ฟังน้องพนักงานสอบสวน ‘ผู้กองอุ้ม’ พูดถึงปัญหาของพนักงานสอบสวนแล้ว ผมเข้าใจเลย น้องไม่ต้องกังวลนะครับ ว่าสิ่งที่น้องพูดจะเป็นปัญหากับความเจริญก้าวหน้าของการรับราชการ เพราะน้องนำเสนอความจริงที่เป็นปัญหามาอย่างยาวนานในวงการตำรวจเรา และกิริยาท่าทางตลอดจนเนื้อหาที่น้องพูด มีความสุภาพอ่อนน้อม สมกับเป็น ผู้กองหญิง ที่มีวุฒิภาวะ เป็นที่พึ่งของประชาชน สะท้อนปัญหาให้ผู้บังคับบัญชาได้รับทราบ ยิ่งทราบว่าน้องเคยได้รับรางวัลตำรวจต้นแบบมาแล้ว ผมเชื่อว่าน้องอุ้ม จะต้องเติบโตและจะมีส่วนในการพัฒนาสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้เป็นที่พึ่งของประชาชนต่อไป

ปัญหาพนักงานสอบสวนขาดแคลนนั้น นอกจากการที่ต้องปรับอัตรากำลังพล ให้เหมาะสมกับปริมาณงานแล้ว ปัญหาพนักงานสอบสวนหนีไปช่วยราชการหรือไม่ยอมรับคดี โดยอ้างว่าไม่ได้ทำสำนวนมานานแล้ว (ในกรณีถูกแต่งตั้งกลับมาในสายงานสอบสวน) โดยการทำให้พนักงานสอบสวนกลุ่มนี้ กลับมารับคดี ทำสำนวนการสอบสวน จะเป็นการแก้ไขปัญหาในระยะเร่งด่วนได้เร็วที่สุด ซึ่งตามคำสั่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว พนักงานสอบสวนทุกคน จะต้องรับคดี มีสำนวนการสอบสวนในความรับผิดชอบ จึงจะสามารถเบิกเงินประจำตำแหน่ง และรับรองผลการปฏิบัติงานการสอบสวนประจำปีได้ (เพื่อใช้ในการแต่งตั้งดำรงตำแหน่งสูงขึ้น ในสถานีตำรวจหรือหน่วยงานที่มีอำนาจสอบสวน)

ในเรื่องนี้ผู้บังคับบัญชาในระดับ กองบัญชาการ และกองบังคับการ ที่กำกับดูแลสถานีตำรวจ จะต้องจริงจังกับคำสั่งดังกล่าวของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในช่วงที่ผมเคยดำรงตำแหน่ง รอง ผบช.น. (สอบสวน) ได้พยายามดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว สามารถพาน้องๆ พนักงานสอบสวนกลับบ้าน (มารับคดี ทำสำนวน) กว่า 80 คน โดยเฉพาะของ บก.น.4 พ.ต.อ.สุพล ค้ำชู รอง ผบก.น.4 ได้ดำเนินการอย่างเข้มข้น พาน้อง ๆ กลับมาได้ถึง 30 คน

สำหรับกลุ่มที่ทำสำนวนการสอบสวนไม่คล่องแล้ว เนื่องจากทิ้งมานาน หัวหน้างานฯ/หัวหน้าสถานี จะต้องจัดพี่เลี้ยงให้ เข้าเวรคู่กัน และให้ช่วยฝึกทำสำนวน โดยให้เริ่มทำสำนวนคดีที่ไม่ยุ่งยาก ซับซ้อน เช่น คดีศาลแขวงฯ คดีไม่รู้ตัว คดีเสพฯ หรือครอบครองยาเสพติด เป็นต้น โดยไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง รอง ผกก. (สอบสวน) หรือ สว. (สอบสวน) ก็ตาม ต้องมีสำนวนในความรับผิดชอบ แต่ผู้บังคับบัญชา ก็ต้องให้ความเห็นใจ/ใส่ใจ/ให้โอกาส กลุ่มนี้ด้วยนะครับ อย่าคิดว่าเขาไม่อยากทำงาน

และอีกหนึ่งประเด็น ในปัจจุบันคดีความต่างๆ มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น ทำให้ไม่สามารถทำการสอบสวนได้ตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย ท่าน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้ทราบปัญหา ซึ่งอยู่ในระหว่างการแก้ไข คำสั่งต่าง ๆ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากยิ่งขึ้น

สำหรับแนวคิดในเรื่องการเจริญเติบโตในสายงานสอบสวน ถ้ามีโอกาสจะมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันต่อไปครับ”

พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ
10 ก.พ. 2567

ชายชาวเยอรมนี วัย 63 ปี เสียชีวิตบนเครื่อง  หลังไอ-มีเลือดออกจำนวนมาก จาก ‘ปาก-จมูก’

(11 ก.พ.67) จากเพจ ‘World Forum ข่าวสารต่างประเทศ’ ได้โพสต์เนื้อหากรณี ชายชาวเยอรมนี วัย 63 ปี เสียชีวิตบนเครื่อง ด้วยอาการไอ มีเลือดออกจำนวนมากจากปากและจมูกเป็นลิตร จนกระเด็นเลอะที่นั่ง ผนัง และพื้นที่โดยรอบ

‘ลุฟท์ฮันซา’ (Lufthansa) เที่ยวบิน LH773 แอร์บัส A380 จากกรุงเทพฯ ไปมิวนิก ประเทศเยอรมนี โดยเที่ยวบินได้เดินทางออกจากกรุงเทพฯ เวลา 23.40 น. ของวันพฤหัสบดีที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมา

***จากคำบอกเล่าจากผู้เห็นเหตุการณ์ และนั่งใกล้ผู้โดยสาร (ชั้นประหยัดพรีเมียม)

“ชายชาวเยอรมนี วัย 63 ปี เดินทางมากับภรรยาชาวฟิลิปปินส์ โดยชายวัย 63 ปีรายนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะป่วย มีเหงื่อออกเป็นจำนวนมาก (Cold Sweats) และเขาหอบหายใจเร็วมาก” คู่รักชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่นั่งด้านหลังและลูกเรือเล่า อีกทั้งพวกเขาได้สอบถามอาการจากภรรยาชาวฟิลิปปินส์ และได้คำตอบว่า “อาจเพราะเหนื่อยจากการเร่งรีบ เพื่อวิ่งมาขึ้นเครื่องบิน”

ทั้งนี้ คู่รักชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่นั่งด้านหลัง ซึ่งเป็นฝ่ายหญิงนั้นเธอเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพยาบาล ในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยซูริค เธอมองว่าอาการชายวัย 63 ไม่ดีขึ้น จึงแจ้งลูกเรือว่า เขาจำเป็นต้องได้รับการตรวจจากแพทย์อย่างเร่งด่วน และผู้โดยสารคนอื่นๆ ยังพยายามให้ความช่วยเหลืออีกด้วย

กัปตันได้ประกาศหาแพทย์บนเที่ยวบิน ต่อมา แพทย์ชายชาวโปแลนด์วัยประมาณ 30 ปี (ภาษาอังกฤษไม่คล่อง) บนเครื่องบิน ได้มาดูอาการ โดยแพทย์ถามผู้ป่วยเพียงสั้นๆ ว่าเขารู้สึกอย่างไรและสัมผัสชีพจร จากนั้นแพทย์บอกว่า เขาโอเค เขาสบายดี 

จากนั้น ลูกเรือได้เสิร์ฟ ‘ชาคาโมมายล์’ (ชาดอกไม้) ให้ผู้ป่วย แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที เขากลับไอ และกระอักเลือดพุ่งออกมาใส่ถุงที่ภรรยาเตรียมไว้รองน้ำลาย จนมีเลือดไหลออกมาทั้
ทางปากและจมูก

ผู้โดยสารบนเครื่องที่เห็นเหตุการณ์ต่างกรีดร้อง และตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น 

จากคำบอกเล่าคู่รักชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่นั่งด้านหลัง บอกว่าชายวัย 63 ปีรายนี้ เสียเลือดเป็นลิตร เลือดของเขาได้กระเด็นเลอะผนังเครื่องบินและบริเวณโดยรอบนั้น

ลูกเรือพยายามช่วยเหลือชายคนดังกล่าวด้วยการทำ CPR ประมาณ 30 นาที แต่ไม่สามารถช่วยเหลือได้…

ต่อมา กัปตันประกาศแจ้งการเสียชีวิตให้ผู้โดยสารคนอื่นๆ ทราบ ภายใต้บรรยากาศบนเที่ยวบินขณะนั้นที่เงียบสงัด

ลูกเรือได้นำร่างของชายวัย 63 ปี ไปเก็บไว้ในส่วนห้องครัวของเครื่องบิน และกัปตันได้นำเครื่องบินวนกลับกรุงเทพฯ ประเทศไทยในทันที

ข้อมูลเที่ยวบินระบุว่า เครื่องบินลำดังกล่าว ได้เดินทางออกจากกรุงเทพฯ เวลา 23.50 น. ของวันพฤหัสบดีที่ 8 ก.พ. และเดินทางกลับถึงประเทศไทย เวลา 02.35  น. ของวันศุกร์ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา

***ผู้โดยสารคนอื่นๆ ร้องเรียนว่า พวกเขาต้องรอนานกว่า 2 ชั่วโมง โดยไม่มีคำแนะนำใดๆ จากสายการบินลุฟท์ฮันซาเลย และต่อมาได้ถูกจองเที่ยวบินอื่นให้เดินทางไปยังเยอรมนี โดยต้องแวะพักที่ฮ่องกง

ด้านภรรยาชาวฟิลิปปินส์ของชายผู้เสียชีวิต ได้อยู่ที่สนามบินในกรุงเทพฯ เพื่อดำเนินการในเรื่องต่างๆ ต่อ เพียงลำพัง

อย่างไรก็ตาม ข่าวต้นทางไม่ได้เปิดเผยชื่อและอาการของโรคของผู้โดยสาร

ภาพจาก : Blick

‘ชัยธวัช’ ไม่เห็นด้วย ‘ศปปส.’ ใช้ความรุนแรง หลังปะทะ ‘กลุ่มทะลุวัง’ ชี้!! เห็นต่างเป็นเรื่องธรรมดา แนะเจรจาเพื่อลดช่องว่าง ขจัดความขัดแย้ง

(11 ก.พ.67) นายชัยธวัช ตุลาธน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับกรณีเหตุปะทะกันระหว่าง ‘กลุ่มทะลุวัง’ และ ‘ศปปส.’ ที่บริเวณทางเชื่อมสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสยาม เมื่อวันที่ 10 ก.พ. ที่ผ่านมา เนื่องจาก ศปปส. ไม่เห็นที่กลุ่มทะลุวัง จัดทำโพล ‘ขบวนเสด็จฯ’ โดยระบุว่า…

จากกรณีที่หลายฝ่ายมีความเห็นในหลากหลายทิศทาง ต่อการแสดงออกทางการเมืองของกลุ่มกิจกรรมทะลุวัง ที่กำลังเป็นประเด็นขณะนี้ ผมมีความเห็นว่า อันดับแรก เราต้องหันกลับมาทบทวนหลักการสำคัญของสังคมประชาธิปไตย นั่นคือธรรมชาติของทุกสังคม ย่อมมีความเห็นแตกต่างกันเป็นเรื่องธรรมดา ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ ในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงเรื่องความเห็นต่อบ้านเมือง แต่ความเห็นที่แตกต่างกันเหล่านั้น ต้องไม่ถูกจัดการด้วยการใช้กำลัง การล่าแม่มด หรือการผลักไสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งออกไป ซึ่งจะยิ่งเพิ่มช่องว่างระหว่างผู้มีความคิดความเชื่อต่างกันให้มากขึ้น แต่ต้องใช้กระบวนการทางประชาธิปไตย เพื่อลดช่องว่างทางความเข้าใจโดยไม่ใช้ความรุนแรง

ในกรณีกลุ่มทะลุวัง ผมเข้าใจดีถึงความคับข้องใจที่พวกเขาแสดงออก แต่ขณะเดียวกัน ผมเชื่อว่าพวกเราทราบดี ว่าเนื้อหาสาระกับวิธีการแสดงออก เป็นสองสิ่งที่สำคัญควบคู่กัน การเลือกวิธีแสดงออกแบบใดแบบหนึ่ง ย่อมมีทั้งฝ่ายที่พอใจ/ไม่พอใจ เข้าใจ/ไม่เข้าใจ จึงพึงพิจารณาว่าการแสดงออกทางการเมืองเช่นนั้น สามารถถ่ายทอดความรู้สึกและเหตุผลภายในใจไปยังประชาชนกลุ่มอื่นในสังคม ให้รับรู้และเข้าใจเหตุผลที่แท้จริงของผู้แสดงออกได้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าวิธีการที่แต่ละคนแต่ละฝ่ายเลือกใช้คืออะไร เส้นที่เรา ‘ต้อง’ ไม่ข้ามไป คือการใช้ความรุนแรงตอบโต้ หรือเจตนาทำลายล้างคนที่คิดไม่เหมือนตนให้หมดไปจากสังคม การกระทำของกลุ่ม ศปปส. ที่สยามพารากอนในวันนี้ จึงเป็นสิ่งที่ผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง

ผมเห็นว่าสังคมไทยทุกฝ่ายต้องเรียนรู้จากความรุนแรงทางการเมืองในอดีต การปลุกระดมสร้างความเกลียดชังจนนำมาสู่การใช้ความรุนแรง ไม่อาจคลี่คลายความขัดแย้งได้อย่างยั่งยืน มีแต่จะยิ่งเพิ่มช่องว่างระหว่างผู้มีอุดมการณ์ทางการเมืองต่างกันในสังคม ให้ยากจะหันหน้ามาคุยกันได้ เวลานี้เป็นเวลาที่ต้องใช้เหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ การมีกระบวนการที่โอบรับทุกฝ่ายให้หันหน้าเข้าหากัน เพื่อพูดคุยและพร้อมรับฟังกันและกันอย่างเปิดใจ คือหนทางเดียวที่จะพาสังคมไทยออกจากความขัดแย้งนี้

ผมเชื่อว่าเรายังพอมีความหวัง สัญญาณของการพาสังคมออกจากความขัดแย้งยังไม่หมดไปเสียทีเดียว เพราะในสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างน้อยผมเห็นความพยายามจากหลายฝ่ายในการพูดถึงกระบวนการที่จะนำไปสู่การนิรโทษกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในหนทางเพียงไม่กี่อย่าง ที่จะสร้างพื้นที่ให้เราหันหน้ามาคุยกันอย่างมีวุฒิภาวะ รับฟังกันอย่างมีเหตุผลและอย่างจริงใจ ผมเชื่อว่าการนิรโทษกรรมจะเป็นการ ‘เจาะหนอง’ ระบายความขัดแย้งทางการเมืองที่เรื้อรัง ให้ทุกฝ่ายเย็นลงมากพอที่จะมานั่งคุยกัน หาทางออกจากความขัดแย้งทางการเมืองที่สะสมมายาวนาน

ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นี้ ที่ลานประชาชนรัฐสภา เครือข่าย #นิรโทษกรรมประชาชน จะมีการจัดพื้นที่พูดคุยเพื่อนำไปสู่การลดความขัดแย้งของสังคม ผมจะเข้าร่วมกิจกรรมด้วย จึงอยากเชิญชวนให้ทุกฝ่ายลองเริ่มต้นมาพูดคุย เปิดใจรับฟังเสียงของกันและกันครับ

‘วัดโตนด’ ผุดไอเดีย ‘ลดภาระ-ลดการเผา’ จากพวงหรีดในงานศพ ใช้ไอทีอาลัยผู้ลาจาก ‘งานศพเลิก-ขยะไม่มี-ภาระหลังงานไม่เกิด’

เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลง ศาสนาและวัฒนธรรมหลายๆ อย่าง ก็ต้องมีการปรับตัวกันไปตามกาลเวลา พระสงฆ์ที่เท่าทันโลกและพร้อมปรับตัว เพื่อทำคุณประโยชน์ต่อสังคม ท่านทำอะไรบ้าง? รายการ ‘พระทำ Monk Do’ โดยกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ได้พาทุกคนมารู้จักกับ ‘พวงหรีดดิจิทัล’ ความอาลัยที่ไม่สร้างขยะ ไม่เป็นภาระ และไร้มลพิษต่อโลก

โครงการ ‘พวงหรีดดิจิทัล’ โดย พระปลัด สุรเชษฐ์ สุรเชฏฺโฐ, ดร. เจ้าอาวาสวัดโตนด เลขานุการเจ้าคณะ อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี คือหนึ่งในโครงการสาธารณสงเคราะห์ที่ได้ริเริ่มขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของประชาชนคนรุ่นใหม่ ในโลกยุคใหม่ที่พัฒนาไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ยังคงความเชื่อที่มีมาช้านานไว้ได้อย่างกลมกลืน อีกทั้งยังคำนึงถึงปัญหาใหญ่ที่โลกยังต้องเผชิญ คือ ปัญหาภาวะโลกร้อน จากมลภาวะที่มาจากการเผาเพื่อทำลายขยะจำนวนมหาศาลในทุกๆ วัน โดย พระปลัด สุรเชษฐ์ กล่าวว่า…

“วัดของเรามีโครงการ ‘พวงหรีดดิจิทัล’ มาเผาศพ ไม่เผาทรัพย์ ไม่เป็นภาระวัด และไม่เป็นการเพิ่มขยะอีกเยอะแยะมากมายให้กับโลกใบนี้ พระอาจารย์เปลี่ยนวิธีคิด เพราะว่าเราทําสาธารณสงเคราะห์ด้วย ที่สำคัญคือช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในงานศพ พระอาจารย์ลองถัวเฉลี่ยแล้ว หนึ่งงานศพ มีพวงหรีดประมาณ 15 พวง สมมติว่าราคาพวงละ 1,000 บาท เอาไปคูณ 500,000 บาท ในปีหนึ่งเราจะต้องสูญเสียงบประมาณในการเผาทิ้งประมาณ 7,500 ล้านบาทต่อปี ดังนั้น โครงการพวงหรีดดิจิทัล จะช่วยให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้อย่างแน่นอน”

โดยประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการพวงหรีดดิจิทัล มีดังนี้…

1.) ลดค่าใช้จ่าย ลดการใช้ทรัพยากรโลก ลดการเผา ลดการทําลายสิ่งแวดล้อม เราใช้เยอะ เราก็หมดเยอะ

2.) ช่วยลดค่า PM 2.5 ลดฝุ่นควัน และมลภาวะอย่างแน่นอน

3.) เราสามารถนําเงินที่ญาติโยมบริจาคทําบุญตามกําลังศรัทธา นำไปช่วยเหลือชุมชนได้ตลอดชีวิต

4.) ด้วยนวัตกรรมนี้ ทำให้เราสามารถแสดงรูปภาพต่างๆ ได้โดยใช้เทคโนโลยีให้สอดคล้องกับยุคสมัย และวิถีชีวิตของคนในปัจจุบัน เมื่องานศพเลิก ขยะก็ไม่มี ทำให้ไม่สร้างภาระให้กับวัดในการกำจัดขยะ

และ 5.) เรายังคงรักษาไว้ซึ่งประเพณีที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีต เช่น เวลามีคนเสียชีวิต เราก็ยังมีการไว้อาลัยตามประเพณีด้วยการส่งพวงหรีดในลักษณะรูปแบบนี้

“หลายคนอาจจะตั้งคําถามกับพระอาจารย์ว่า หากทำแบบนี้ ร้านพวงหรีดก็คงขายไม่ได้ แต่จริงๆ วัดของพระอาจารย์ก็ไม่ได้มีหลายศาลา พระอาจารย์ก็มีศาลาเดียว แต่ในฐานะที่พระอาจารย์เป็นเจ้าอาวาส พระอาจารย์อยากจะผลักดันให้ ‘วัดโตนด’ แห่งนี้ เป็นวัดที่ส่งเสริมสิ่งแวดล้อม” พระปลัด สุรเชษฐ์ กล่าวทิ้งท้าย

สุดเท่!! ‘Ed Sheeran’ สวมเสื้อฟุตบอลทีมชาติไทย ขึ้นโชว์คอนเสิร์ต ทำแฟนๆ เซอร์ไพรส์ บอก “มาไทย ก็ต้องใส่เสื้อช้างศึกนี่สิ ถูกต้อง”

เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 67 ‘เอ็ด ชีแรน’ (Ed Sheeran) นักร้อง นักแต่งเพลง และนักแสดงชื่อดัง ได้เดินทางไปร้านอาหารไทยชื่อดังอย่าง ‘ร้านเจ๊ไฝ’ ซึ่งถือเป็นร้านเด็ดที่ต้อนรับคนดังระดับโลกจำนวนมากมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น แจ็ก หม่า, ลิซ่า หรือ รัสเซล โครว์ ซึ่ง เอ็ด ก็ได้พูดคุยกับเจ๊ไฝอย่างเป็นกันเอง พร้อมได้ถ่ายภาพคู่อีกด้วย

และคนที่พาไปก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น ‘Gaggan Anand’ เชฟมิชลิน ที่พาไปลิ้มรสชาติอาหารไทยด้วยตัวเอง พร้อมแนะนำเมนู ‘ไข่เจียวปู’ ในตำนานให้กับเอ็ดได้ลองชิม

ต่อมา ในช่วงค่ำของวันเดียวกัน ‘เอ็ด ชีแรน’ ได้ขึ้นแสดงคอนเสิร์ต Tour Bangkok 2024 ที่ราชมังคลากีฬาสถาน โดยในระหว่างที่กำลังแสดงคอนเสิร์ตต่อหน้าแฟนเพลงอยู่นั้น เอ็ดได้ทำการเซอร์ไพรส์แฟนๆ อีกครั้ง ด้วยการเปลี่ยนเสื้อเป็นเสื้อของทีมฟุตบอลทีมชาติไทย

โดยผู้ใช้ X (Twitter) ‘@teamedsheeranth’ ผู้โพสต์ภาพศิลปินเจ้าของเพลงดังอย่าง Perfect, Photograph, Shape of You เป็นต้น ได้โพสต์ภาพเอ็ดในชุดเสื้อทีมฟุตบอลทีมชาติไทย พร้อมข้อความระบุว่า “มาไทย ก็ต้องเสื้อช้างศึกน่ะสิ ถูกต้อง” ซึ่งสร้างความตกตะลึงและความประทับใจให้กับแฟนๆ ชาวไทยเป็นอย่างมาก

ขอบคุณภาพ : @teamedsheeranth


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top