Monday, 2 June 2025
NewsFeed

‘แนวร่วมเพจดัง‘ ร้องสภาฯ สอบจริยธรรมร้ายแรง ‘พิธา’ กรณีเป็นนายประกัน ‘ตะวัน’ ลามปล่อย ‘ป่วนขบวนเสด็จ’

(9 ก.พ. 67) ที่รัฐสภา นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมระหว่างเพศ พรรคประชาธิปัตย์ นายนิยม นพรัตน์ หรือเค สามถุยส์ นางกัลยาณี จูปรางค์ หรือป้าอยุธยา กลุ่มสีดาจะไม่ทน นายทันกวินท์ รัฐวัฒก์อังกูร ในฐานะแนวร่วมเพจ ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร‘ เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 เพื่อสอบจริยธรรมที่มีความร้ายแรงของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล กรณีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายประกัน และผู้กำกับดูแล น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือตะวัน แกนนำกลุ่มทะลุวัง ในการกระทำอันเป็นการแสดงพฤติกรรมมิบังควรต่อขบวนเสด็จ 504 การให้สัมภาษณ์ให้ร้ายประเทศไทย และการพูดโกหก

โดยนายแทนคุณ กล่าวว่า เนื่องจากนายพิธาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ในฐานะนายประกัน และผู้กำกับดูแลน.ส.ทานตะวัน ผู้ต้องหาตามความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และมีพฤติกรรมเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างต่อเนื่อง จนมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่เชื่อมโยงให้เห็นถึงการกระทำที่ต่อเนื่อง มีส่วนสนับสนุนและสัมพันธ์กันและกัน ของนายพิธา พรรคก้าวไกลและผู้ที่เคลื่อนไหว ซึ่งนายพิธา ได้แถลงต่อศาลอาญาในการรับเป็นนายประกันให้นางสาวทานตะวัน ว่าจะทำหน้าที่เป็นผู้กำกับดูแล เพื่อให้ปฏิบัติตนตามเงื่อนไขของศาล และจะรับผิดชอบอย่างเต็มที่ตามที่กฎหมายรับรองไว้ 

“บัดนี้ พบว่า น.ส.ทานตะวัน หนึ่งในการกระทำอันเป็นการแสดงพฤติกรรมมิบังควรต่อขบวนเสด็จ 504 โดยการพยายามขับรถยนต์ด้วยความเร็ว เพื่อไปให้ทันขบวนเสด็จ จนตำรวจต้องสกัดกั้น มิให้แทรกเบียดเข้าไปในขบวน อันอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ รวมทั้งการแสดงกิริยาก้าวร้าว มีพฤติการณ์ไม่สมควร ในการบีบแตรรถเสียงดังยาวนาน การตำหนิมีปากเสียง และต่อว่าเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งล้วนแต่เป็นพฤติการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจให้คนไทยทุกหมู่เหล่า” นายแทนคุณ กล่าว

นายแทนคุณ กล่าวต่อว่า รวมทั้ง กรณีที่นายพิธา ได้เคยอภิปรายในสภา ในลักษณะยกย่องนางสาวทานตะวัน ว่า  “มองตาแล้วเห็นพิพิมลูกสาวผมอยู่ในนั้น” ย่อมเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองโดยมิชอบกับเด็ก ไม่เว้นแม้แต่บุตรสาวของนายพิธาเอง ยังทำร้ายลูกสาวได้ลงคอ เพราะรอยพิมพ์ดิจิทัลจะเป็นสิ่งที่สร้างตราบาปให้กับเด็กที่ถูกอ้างอิงตลอดไป

"ดังนั้น การกระทำดังกล่าวข้างต้น เป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมายและจริยธรรม รวมทั้งพฤติการณ์ที่ชอบพูดโกหกซ้ำซาก และการสัมภาษณ์ในลักษณะให้ร้ายประเทศของนายพิธาหลายเรื่อง ที่กระทบต่อศีลธรรม และภาพลักษณ์อันดีของสภาผู้แทนราษฎร เช่น การให้สัมภาษณ์หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยต่อสื่อต่างประเทศ การกลับมางานศพพ่อไม่ทัน การติดสติกเกอร์ช่องยกเลิก ม.112 การวาดภาพลอกเลียนแบบงานของโมเมนต์ เป็นต้น รวมทั้งการนำเด็กเยาวชนขึ้นเวทีปราศรัย ในลักษณะมีข้อความเกลียดชังอีกด้วย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นแบบอย่างที่ไม่เหมาะสมกับเยาวชน และประชาชนทั่วไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพิเชษฐ์ ไม่ได้ลงมารับหนังสือของแนวร่วมเพจ ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร‘ จึงต้องไปยื่นหนังสือผ่านระบบสารบรรณสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแทน

ชาวเน็ตอึ้ง!! หลังมีคนแชร์ภาพป้าย 'ขับไล่คนจีน' ข้อความส่อถึงการเหยียดเชื้อชาติชัดเจน

(9 ก.พ. 67) ทำเอาชาวเน็ตถึงกับอึ้งไม่น้อย หลังมีผู้ใช้ทวิตเตอร์ (X) รายหนึ่งได้แชร์ภาพข้อความที่มันถูกพิมพ์ลงบนกระดาษแล้วแปะไว้ข้างเสา ระบุข้อความว่า...

“ตื่นเถิด คนชาวไทย ไม่เรียนภาษาจีน ไล่คนจีนออกไป ยิงจีนให้ตาย COMMUNIS เจ๊ก” 

ซึ่งข้อความเหล่านี้ ส่อให้เห็นถึงเจตนาเหยียดเชื้อชาติ และอ้างถึงการก่อเหตุร้ายอย่างรุนแรง มีความคิดสุดโต่งจนน่ากลัว

อย่างไรก็ตาม ชาวเน็ตก็จับผิดพิรุธในป้ายกระดาษแผ่นนี้ได้ ในประโยคที่ว่า “ตื่นเถิด คนชาวไทย” ทำให้หลายคนมองว่าคนไทยเขาใช้คำแบบนี้ด้วยเหรอ อย่างกับใช้การแปลข้อความจาก Google Translate มากกว่าเป็นการที่คนไทยพิมพ์ขึ้นมาเอง และคิดว่าคงจะเป็นการคิดจะปลุกปั่นจากคนบางกลุ่มเพื่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศก็เป็นได้

‘รมว.ปุ้ย’ เล่นใหญ่!! พลิก สมอ. สร้างมาตรฐาน 1,000 เรื่อง เป้าหลัก!! ‘สกัดสินค้าด้อยคุณภาพ-เสริมศักยภาพภาคอุตฯ’

(9 ก.พ. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้ขออนุมัติบอร์ด สมอ. กำหนดมาตรฐานในปี 2567 เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ขออนุมัติไว้ 603 มาตรฐาน เป็น 744 มาตรฐาน โดยบอร์ดได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมของไทยให้ผลิตสินค้าอย่างมีคุณภาพได้มาตรฐาน สามารถแข่งขันได้ในทุกเวทีการค้า ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก โดยตั้งเป้าหมายในปี 2567 สมอ. จะต้องกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรม (มอก.) ให้ได้ไม่น้อยกว่า 1,000 มาตรฐาน เน้นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายรัฐบาล ทั้ง S-curve และ New S-curve เช่น ยานยนต์สมัยใหม่, EV, อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ, เครื่องมือแพทย์, อุตสาหกรรมชีวภาพ, AI, ฮาลาล และ Soft power รวมทั้งตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรมเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า และเป็นกลไกสกัดสินค้าด้อยคุณภาพจากประเทศเพื่อนบ้าน ตลอดจนการคุ้มครองประชาชนให้ปลอดภัยจากการใช้สินค้า

ด้าน นายบรรจง สุกรีฑา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) กล่าวว่า จากการประชุมบอร์ด สมอ. เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบร่างมาตรฐาน จำนวน 32 มาตรฐาน เช่น ท่อเหล็กกล้า, คอนกรีต, ปูนซิเมนต์, เตาอบไฟฟ้าแบบตั้งโต๊ะ, เตาอบเตาปิ้งย่างเชิงพาณิชย์, เครื่องอุ่นไส้กรอก, อ่างน้ำวนและสปาน้ำวน, สายสวนภายในหลอดเลือด, ยางวัลคาไนซ์ และมาตรฐานวิธีทดสอบต่างๆ รวมทั้ง เห็นชอบรายชื่อมาตรฐานที่ สมอ. ขอกำหนดมาตรฐานเพิ่มเติมจากเดิมอีก 141 มาตรฐาน จากที่เคยอนุมัติไปก่อนหน้านี้แล้ว 603 มาตรฐาน รวมเป็น 744 มาตรฐาน 

ขณะที่ นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรฐานที่ สมอ. จะทำเพิ่มเติม เป็นมาตรฐานผลิตภัณฑ์ 50 มาตรฐาน และมาตรฐานวิธีทดสอบและข้อแนะนำ 91 มาตรฐาน แบ่งตามกลุ่มอุตสาหกรรมดังนี้ 

1) S-curve 1 มาตรฐาน 
2) New S-curve 25 มาตรฐาน ได้แก่ มาตรฐานดิจิทัล และการแพทย์ครบวงจร 
3) มาตรฐานตามนโยบาย 54 มาตรฐาน ได้แก่ มาตรฐานสมุนไพร และเครื่องกลและภาชนะรับความดัน 
4) มาตรฐานส่งเสริมผู้ประกอบการ 23 มาตรฐาน 
5) มาตรฐานกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น ๆ 38 มาตรฐาน ได้แก่ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ ยางและผลิตภัณฑ์ยาง พลาสติก ยานยนต์ และสิ่งทอ เป็นต้น

ทั้งนี้ ในปี 2567 นี้ สมอ. ได้รับนโยบายจาก รัฐมนตรีพิมพ์ภัทรา ที่เร่งรัดกำหนดมาตรฐานให้ได้ 1,000 มาตรฐาน โดยให้บูรณาการการทำงานร่วมกับ SDOs ของ สมอ. ทั้ง 8 สถาบันเครือข่าย ได้แก่ สถาบันอาหาร / สถาบันพลาสติก / สถาบันการก่อสร้างแห่งประเทศไทย / สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย / สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ / สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ / สถาบันยานยนต์ และสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ 

รวมทั้งภาคีเครือข่าย SDOs อื่น ๆ ร่วมกันกำหนดมาตรฐานตามความเชี่ยวชาญและความถนัดของแต่ละหน่วยงาน เพื่อให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ด้วยเล็งเห็นว่ามาตรฐานเป็นเครื่องมือสำคัญทางการค้า ประเทศที่พัฒนาแล้วใช้มาตรฐานเป็นเครื่องมือในการยกระดับภาคอุตสาหกรรมของประเทศ และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันทางการค้า โดยหลังจากนี้ สมอ. จะเสนอบอร์ดให้ความเห็นชอบรายชื่อมาตรฐานในส่วนที่เหลือต่อไป

SME D Bank สร้างนิวไฮ ปี 66 พาเอสเอ็มอีถึงแหล่งทุนทะลุ 7 หมื่นล้านบาท ชูธง ‘เติมทุนคู่พัฒนา’ 4 ปี ดันเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจกว่า 1 ล้านล้านบาท

SME D Bank แถลงผลสำเร็จปี 2566 สร้างสถิติใหม่รอบด้าน สูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งธนาคาร เผยพาเอสเอ็มอีถึงแหล่งทุนกว่า 7.06 หมื่นล้านบาท และตลอด 4 ปี กว่า 2.3 แสนล้านบาท สร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 1 ล้านล้านบาท พัฒนาเสริมแกร่งกว่า 7.5 หมื่นราย รักษาการจ้างงานได้กว่า 7.5 แสนราย  ขณะที่บริหาร NPL มีประสิทธิภาพ เหลือต่ำสุดในรอบ 22 ปี ประกาศปี 2567 ยกระดับสู่ยุคดิจิทัลโดยสมบูรณ์ คิกออฟใช้ระบบ CBS พร้อมแพลตฟอร์ม DX มั่นใจเดินหน้าไร้รอยต่อ  

(9 ก.พ. 67) นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวถึงผลการดำเนินงานของธนาคาร ปี 2566 และภาพรวมตลอด 4 ปี (2563-2566) ว่า จากจุดยืนการเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ที่พร้อมเคียงข้างส่งเสริมสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยให้เติบโตยั่งยืน ด้วยแนวทาง 'เติมทุนคู่พัฒนา' ประกอบกับความมุ่งมั่น ทุ่มเทของคณะกรรมการ ผู้บริหารและพนักงานที่รวมพลังเป็น ONE Team ส่งผลให้ปี 2566 ที่ผ่านมา  SME D Bank สร้างสถิติใหม่สูงสุด (New High) นับตั้งแต่ก่อตั้งธนาคารมาใน 22 ปี สามารถพาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุนกว่า 70,695 ล้านบาท และยังเป็นการสร้าง New High ต่อเนื่อง 4 ปีซ้อน (2563-2566) อีกทั้ง ช่วยสร้างประโยชน์เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยกว่า 323,780  ล้านบาท รักษาการจ้างงานประมาณ 123,200 ราย นอกจากนั้นช่วยพัฒนาเสริมแกร่งธุรกิจอีกกว่า 24,000 ราย

ทั้งนี้ ตลอดช่วง 4 ปีที่ผ่านมา (2563-2566) ซึ่งผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต้องอยู่ภายใต้สถานการณ์โควิด-19  SME D Bank ช่วยเหลือดูแลผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง ให้สามารถประคับประคองธุรกิจ และข้ามผ่านช่วงเวลายากลำบากไปให้ได้ โดยเติมทุนช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกว่า 231,250 ล้านบาท ก่อให้เกิดประโยชน์สร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 1 ล้านล้านบาท และช่วยรักษาการจ้างงานได้ประมาณ 752,345 ราย ควบคู่กับช่วยพัฒนาเสริมศักยภาพ ให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวและกลับมาฟื้นธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว ผ่านการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เช่น อบรม สัมมนา ช่วยขยายตลาด ยกระดับมาตรฐาน สนับสนุนเข้าถึงนวัตกรรม พาจับคู่เพิ่มช่องทางขายในและต่างประเทศ เป็นต้น มีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าร่วมและได้รับประโยชน์มากกว่า 75,000 ราย 

นอกจากนั้น ดูแลลูกค้าได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ผ่านมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน (ฟ้า-ส้ม) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กว่า 83,520 ราย วงเงินรวมกว่า 145,240 ล้านบาท อีกทั้ง สามารถบริหารจัดการหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อย่างมีประสิทธิภาพ ลงลด 4 ปีติดต่อกัน เหลือเลข 1 หลัก 2 ปีซ้อน โดยปี 2566 ลดเหลือประมาณ 8,690 ล้านบาท คิดเป็น 8.3% ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 22 ปี 

"ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา SME D Bank เพิ่มประสิทธิภาพ ยกระดับการทำงาน อีกทั้ง พัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อตอบความต้องการ ปรับปรุงหลักเกณฑ์อนุมัติสินเชื่อให้สอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์จริง ควบคู่กับสร้าง DNA แห่งการเป็น ‘นักพัฒนา’ หรือ DEVELOPER ในหัวใจของผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ทุกคน เพื่อจะพาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน" นางสาวนารถนารี กล่าว

สำหรับปี 2567 การทำงานของ SME D Bank ยกระดับไปอีกขั้น นำระบบดิจิทัลใหม่ หรือ Core Banking System (CBS) ที่พัฒนามาอย่างต่อเนื่องกว่า 2 ปี มาใช้งานอย่างเป็นทางการ สามารถให้บริการทางการเงินแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้ครบวงจร ทุกที่ ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย นอกจากนั้น ยังมีแพลตฟอร์ม DX (Development Excellent) ที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการภายในเดือนมีนาคม 2567 ซึ่งเป็นระบบพัฒนาผู้ประกอบการอัจฉริยะ สร้างสังคมของการเรียนรู้ e-Learning ศึกษาได้ด้วยตัวเอง 24 ชม. สามารถปรึกษาโค้ชมืออาชีพแบบตัวต่อตัว รวมถึง ยังช่วยเพิ่มช่องทางขยายตลาด นอกจากนั้น ยังนำหลัก ESG (การดูแลสิ่งแวดล้อม (Environment) ความรับผิดชอบต่อสังคม (Social) และมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Governance) มาขับเคลื่อนในทุกมิติขององค์กร สร้างความเชื่อมั่น โปร่งใส ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาส สร้างคุณค่าแก่เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม 

นางสาวนารถนารี กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า แม้ในวันที่ 1 มีนาคม 2567 นี้ จะครบวาระการทำงาน 4 ปี ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ แต่ด้วยรากฐานมั่นคงขององค์กร อีกทั้ง ทีมผู้บริหารระดับรองกรรมการผู้จัดการ และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ล้วนเป็นบุคลากรภายในที่ร่วมผลักดันยกระดับองค์กรมาด้วยกัน และยังอยู่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรต่อเนื่อง ทำให้การทำงานทุกด้านของ SME D Bank สามารถเดินหน้าได้ดีอย่างไร้รอยต่อ และเชื่อมั่นว่า SME D Bank พร้อมเป็นกำลังสำคัญในการสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอย่างทั่วถึง และมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างประโยชน์ความมั่นคงและยั่งยืนแก่ประชาชน สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยตลอดไป

แม่ทัพภาคที่ 3 ตรวจเยี่ยมฐานทหารปฏิบัติการบ้านแปกแซม หน่วยกำลังป้องกันชายแดน พื้นที่กองกำลังผาเมือง เพื่อบำรุงขวัญและมอบสิ่งของให้กำลังพล

เมื่อวานนี้ (8 ก.พ.67) พลโท ประสาน แสงศิริรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 3 พร้อมด้วย นาย นิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พลตำรวจโท กฤตธาพล ยี่สาคร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และคณะ เดินทางไปตรวจเยี่ยมหน่วยกำลังป้องกันชายแดนในพื้นที่หน่วยเฉพาะกิจไชยานุภาพ กองกำลังผาเมือง ณ ฐานปฏิบัติการบ้านแปกแซม อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี พลตรี ประพัฒน์ พบสุวรรณ ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง และผู้บังคับหน่วยในพื้นที่ให้การต้อนรับ 

ทั้งนี้ แม่ทัพภาคที่ 3 ได้ขอบคุณกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดน ปฏิบัติภารกิจด้วยความเสียสละ อดทน ในการปกป้องอธิปไตยของชาติ พร้อมทั้งมอบสิ่งของ และร่วมรับประทานอาหารกับกำลังพลทหารตามแนวชายแดนเพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจ

ในการนี้แม่ทัพภาคที่ 3 ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ได้งบประชุมติดตามการจับกุมยาเสพติดหลังการลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ผ่านระบบซูม กับนายกรัฐมนตรี และส่วนที่เกี่ยวข้อง 

ซึ่งทางนายกรัฐมนตรีได้ให้ทุกภาคส่วนเอาจริงกับการจัดการยาเสพติด เริ่มจากแหล่งต้นตอที่ลักลอบเข้ามาจากชายแดนภาคเหนือ โดยในปีงบฯ 67  ตรวจยึดของกลางได้ถึง 42 ล้านเม็ด แต่ผมขอให้ทุกภาคส่วนยังคงบูรณาการทำงานอย่างจริงจังต่อไป เพราะปริมาณยายังเยอะอยู่ พร้อมกับเข้าใจถึงความลำบาก และความเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกท่านทุกคน แต่ผมขอให้ทุกคนมีกำลังใจครับ เดือนหน้าผมจะไปให้กำลังใจท่านอีก เราทำงานกันเป็นทีม ผมในฐานะผู้นำรัฐบาลจะยืนอยู่เคียงข้างทุกท่าน และพร้อมที่จะสนับสนุนยุทโธปกรณ์ต่างๆ ผมเชื่อว่า หากเราเดินไปข้างหน้าด้วยกันทุกอย่างจะต้องดีขึ้น และยาเสพติดจะต้องถูกกำจัดให้หมดไป

สตม.ปูพรม X-ray พื้นที่เข้ม ปราบเงินกู้นอกระบบดอกเบี้ยโหด รวบ!! 7 ต่างด้าว 4 คนไทย ดำเนินคดีบรรเทาความเดือดร้อนพี่น้องประชาชน

ตามที่ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัด สตม. ตลอดจน ด่าน ตม. ทั่วประเทศ ขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินมาตรการเข้มเพื่อป้องกันเหตุร้าย X-ray ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ สร้างความเชื่อมั่น สร้างความปลอดภัย แก่พี่น้องประชาชน พร้อมทั้งสืบสวน จับกุม การกระทำผิดกฎหมายของคนร้ายที่จะสร้างความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชน

บก.ตม.3 ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบพื้นที่จังหวัดในภาคตะวันตก ภาคกลาง ภาคตะวันออก ของประเทศไทย รวมจำนวน 25 จังหวัด ได้ดำเนินการสืบสวน รวบรวมข้อมูล การกระทำผิดกฎหมายของคนต่างด้าวรวมถึงคนไทย ซึ่งมีพฤติการณ์ปล่อยเงินกู้โดยผิดกฎหมาย เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด และการกระทำผิดกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบเพื่อวางแผนระดมกวาดล้างจับกุมผู้กระทำความผิด หลังได้รับรายงาน พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รอง ผบก.ตม.3 ได้สั่งการให้ทุกหน่วยสังกัด บก.ตม.3 ดำเนินการสืบสวน จับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายอย่างเด็ดขาด

เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ซึ่งในห้วงเดือน มกราคม – กุมภาพันธ์ 2567 มีผลการจับกุมรวมทั้งสิ้น 11 ราย แบ่งเป็น คนต่างด้าวสัญชาติอินเดีย 6 ราย สัญชาติเมียนมา 1 ราย และคนไทย จำนวน 4 ราย ซึ่งผู้กระทำผิดทั้ง 11 รายข้างต้น ถูกจับกุมและดำเนินคดีในข้อหา ให้บุคคลอื่นกู้ยืนเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด, ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงความผิดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ในส่วนของคนต่างด้าวยังถูกดำเนินคดีในข้อหา เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน และเป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (Overstay) ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด และจะยังคงดำเนินมาตรการเข้มข้น ต่อเนื่องในการป้องกัน ปราบปราม สืบสวน จับกุม การกระทำผิดกฎหมายในทุกรูปแบบ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชน ตามนโยบายของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติต่อไป

'วราวุธ' ปลื้ม!! มดชนิดใหม่ของโลกชื่อ 'มดท็อป' เปรียบเหมือนชาติไทยพัฒนา ขยัน-ทำงานเป็นทีม

(9 ก.พ. 67) ที่กระทรวงพม. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เข้ามอบป้ายข้อมูลอนุกรมวิธาน ‘มดท็อป’ โดยนายวราวุธ เปิดเผยว่า เมื่อต้นปี 2567 วารสาร Far Eastern Entomologist ค.ศ. 2024 ตีพิมพ์การค้นพบมดชนิดใหม่ของโลก ซึ่งต้องขอบคุณทางกรมอุทยานและผู้เชี่ยวชาญทุกคน เพราะมดชนิดใหม่ที่เจอนี้เขาเรียกกันว่า ‘มดท็อป’ หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘Plagiolepis silpaarchai sp. n.’ ซึ่งต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่และทีมงานทุกๆ คนที่ให้เกียรติกับครอบครัวศิลปอาชา ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจของตระกูล และทุ่มเทการทำงานตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาภายใต้กระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องขอขอบคุณกรมอุทยานฯ เพราะมดชนิดใหม่นี้ได้มีการค้นพบในช่วงตอนปลายที่ตนดำรงตำแหน่งอยู่พอดี

“และที่สำคัญผมดีใจมากที่มีมด ชื่อมดท็อป เพราะมดเป็นตัวแทนของความเป็นทีมเวิร์ก พวกเราคงไม่มีใครเคยเห็นมดอยู่ตัวเดียว เวลามดทำงาน จะทำงานกันเป็นทีม และมดเป็นงานก็จะขยันทำงาน มีการสร้างโครงข่าย สร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์มากภายในป่า ดังนั้น การได้มีชื่อมดท็อปนั้น จะสะท้อนให้เห็นว่าการทำงานของผมเอง และทีมงานเราทำงานคนเดียวไม่ได้ เราทำงานกันเป็นทีม เป็นท็อปทีม แล้วสะท้อนถึงการทำงานของพรรคชาติไทยพัฒนาที่เราเป็นมดงาน เพราะหัวหน้าพรรคในตอนนี้เป็นมดท็อปแล้ว” นายวราวุธ กล่าว

สตม.รวบแม่บ้านต่างชาติแสบร่วมกับหญิงไทยแอบลักเงินนายจ้างกว่า 7 แสนบาท

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์  จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงชัย ผกก.สส.บก.ตม.๓, พ.ต.อ.ธวัชชัย นรินรัตน์ ผกก.1 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.นภัสพงษ์ โฆษิตสุริยมณี ผกก.ตม.จว.ชลบุรี ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้

สตม.รวบแม่บ้านต่างชาติแสบร่วมกับหญิงไทยแอบลักเงินนายจ้างกว่า 7 แสนบาท 
บก.สส.สตม. ร่วมกับ กก.สส.ภ.จว.สิงห์บุรี, ตม.จว.สิงห์บุรี และ สภ.เมืองฉะเชิงเทรา จับกุมนางมะคิ่น (นามสมมติ) อายุ 53 ปี สัญชาติเมียนมา ตามหมายจับศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่ 394/2566 ลงวันที่ 3 ธันวาคม 2566 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้าง นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองฉะเชิงเทรา ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม ริมถนนสาธารณะ หน้าธนาคารแห่งหนึ่งใน ต.ต้นโพธิ์ อ.เมืองสิงห์บุรี จว.สิงห์บุรี

พฤติการณ์แห่งคดี ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายได้รับนางมะคิ่น ผู้ต้องหาที่ 1 เข้าเป็นพนักงานในร้านซักผ้าหยอดเหรียญซึ่งตั้งอยู่ภายในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งใน ต.บางขวัญ อ.เมืองฉะเชิงเทรา จว.ฉะเชิงเทรา ในตำแหน่งแม่บ้าน โดยมี น.ส.ขนิษฐา (นามสมมติ) สัญชาติไทย ผู้ต้องหาที่ 2 ทำหน้าที่เป็นพนักงานประจำออฟฟิศ มีหน้าที่ดูแลเปิดตู้เก็บเงินเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ และนำเงินไปฝากเข้าบัญชีของผู้เสียหาย แต่ในบางครั้ง ผู้ต้องหาที่ 2 ก็จะใช้ให้ นางมะคิ่น ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นผู้เปิดตู้และเก็บเงินมาส่งให้ผู้ต้องหาที่ 2 ต่อมาเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2566 ผู้เสียหายได้ตรวจสอบพบว่ามียอดเงินที่ทางร้านต้องได้รับกับจำนวนที่ปรากฏในรายการบัญชีรายรับของทางร้าน ไม่ตรงกัน

ซึ่งเมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าระหว่างเดือน มกราคม 2566 ถึงเดือน พฤศจิกายน 2566 มีเงินสูญหายไปเป็นจำนวน 761,978 บาท ซึ่งหลังจากผู้เสียหายทราบเรื่อง ในช่วงคืนของวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 นางมะคิ่น ได้เก็บข้าวของแล้วหลบหนี จากการตรวจสอบภายหลังพบว่า ช่วงเดือน กันยายน 2565 ถึงเดือน พฤศจิกายน 2566 นางมะคิ่น ได้มีการวานให้ ผู้ต้องหาที่ 2 โอนเงินเป็นจำนวนหลายครั้งซึ่งยอดเงินที่โอนเกินกว่าจำนวนเงินเดือนที่ตนได้รับทุกเดือน รวมถึงรายการเดินบัญชีของผู้ต้องหาที่ 2 ก็มีเงินเข้าในลักษณะต้องสงสัย เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2566 ผู้เสียหายจึงมาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองฉะเชิงเทรา ต่อมาเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2566 พนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องขอหมายจับ ผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 2 ต่อศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งศาลได้อนุมัติหมายจับที่ จ.394/2566 และ ที่ จ.395/2566 ลงวันที่ 3 ธันวาคม 2566 ในความผิดฐาน ร่วมกันลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้าง โดยเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2566 เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สภ.เมืองฉะเชิงเทรา ได้จับกุมผู้ต้องหาที่ 2 นำตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายก่อนแล้ว

จากการสืบสวนของชุดจับกุมทราบว่า หลังจากที่นางมะคิ่น ได้หลบหนีออกจากร้านซักผ้าหยอดเหรียญ ได้ไปสมัครเข้าทำงานกับนายจ้างรายใหม่ในพื้นที่ ต.ต้นโพธิ์ อ.เมืองสิงห์บุรี จว.สิงห์บุรี จึงได้ไปเฝ้าสังเกตการณ์ เพื่อสืบสวนติดตามจับกุม จนกระทั่งพบนางมะคิ่น ในบริเวณริมถนนสาธารณะ หน้าธนาคารแห่งหนึ่งใน ต.ต้นโพธิ์ อ.เมืองสิงห์บุรี จว.สิงห์บุรี จึงได้แสดงหมายจับและจับกุมนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองฉะชิงเทรา ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ในชั้นจับกุมจากการสอบถามนางมะคิ่น ให้การว่าสาเหตุที่หนีออกจากงานที่ร้านซักผ้าหยอดเหรียญเนื่องจากต้องการไปหางานที่มีค่าจ้างสูงกว่า และปฏิเสธว่าไม่ได้ลักเงินของผู้เสียหายไป 

บก.สส.สตม. ขอแจ้งเตือนและฝากเป็นอุทาหรณ์ผ่านสื่อต่างๆ ไปยังนายจ้างที่รับสมัครคนงานเข้ามาทำงาน โดยเฉพาะคนงานที่เป็นแรงงานต่างด้าว ต้องเป็นแรงงานที่เข้ามาทำงานโดยถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้ระมัดระวัง ไม่ควรไว้ใจลูกจ้างมากเกินไป และต้องทราบข้อมูลส่วนบุคคล พร้อมหมายเลขโทรศัพท์ของลูกจ้าง เพื่อจะได้เป็นข้อมูลในการติดตามกรณีมีการกระทำผิด 

นราธิวาส-รอง มทภ.4 ลงพื้นที่ตรวจสอบจุดเกิดเหตุและพบปะให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ กำชับให้มีการปรับแผนการปฏิบัติ ให้มีความรัดกุมยิ่งขึ้น

ณ  กองบังคับการหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 46 วัดสวนธรรม บ้านปลายนา หมู่ที่ 2 ตำบลรือเสาะออก อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส พลตรี ไพศาล หนูสังข์ รองแม่ทัพภาคที่ 4 / รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พร้อมคณะฯ เดินทางลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมพบปะให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ เพื่อร่วมประชุมฯ รับฟังปัญหาข้อขัดข้อง รวมทั้งหาแนวทางแก้ไขการปฏิบัติงานห้วงที่ผ่านมา พร้อมมอบแนวทางการปฏิบัติงานและกำชับปรับแผนการปฏิบัติ ให้มีความรัดกุมยิ่งขึ้น โดยมี พันเอก ทรงเดช สุกนุ้ย รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจ นราธิวาส, พันเอก สิทธิชัย บำรุงเขต ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 46, พันตำรวจเอก ศุภชัย ศุภกิจจารักษ์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรรือเสาะ และ นายซูปียัน แดเมาะเล็ง นายอำเภอรือเสาะ ให้การต้อนรับและร่วมประชุม

จากนั้น รองแม่ทัพภาคที่ 4 / รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ลงพื้นที่ไปยังจุดเกิดเหตุ บริเวณปากซอยบ้านบาเละ อำเภอรือเสาะ ติดตามความคืบหน้ากรณีเหตุการณ์กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงซุ่มยิง เจ้าหน้าที่ขณะกลับจากปฏิบัติหน้าที่พื้นที่อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิต 1 นาย คือ จ่าสิบตำรวจ บินหลี เศรษฐสุข ผู้บังคับหมู่ป้องกันและปราบปราบ สถานีตำรวจภูธรรือเสาะ พร้อมทั้งให้ทุกหน่วยยกระดับการรักษาความปลอดภัยของฐานปฏิบัติการ ให้มีความพร้อมอยู่เสมอ หมั่นซักซ้อมแผนเผชิญเหตุอย่างต่อเนื่อง พร้อมปฏิบัติงานตลอดเวลาอย่างเต็มขีดความสามารถ เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน

ทั้งนี้ ขอความร่วมมือจากผู้นำท้องที่ ผู้นำชุมชน ผู้นำท้องถิ่น และพี่น้องประชาชนช่วยสอดส่องดูแล หากพบเห็นสิ่งผิดปกติ หรือบุคคลต้องสงสัย สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่เบอร์สายตรงแม่ทัพภาคที่ 4 หมายเลข 061-1732999 และเบอร์สายด่วนหมายเลข 1341 หรือ หน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

'ทบ.' แจงคลิปทหารกดเงินตู้ ATM แทนกัน เพราะเพื่อนในหน่วยยินยอม ด้าน 'จิรัฏฐ์' ย้อน!! เท่ากับต้องใช้รหัสบัตรเอทีเอ็มเหมือนกันทั้งหมด

(9 ก.พ. 67) จากกรณีที่ปรากฏข่าวสารในสื่อสังคมออนไลน์ ในประเด็นที่มีภาพทหารกองประจำการกำลังถอนเงินสดผ่านเครื่องถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) โดยมีการกล่าวว่า รับถอนเงินไปให้เพื่อนๆ ทหารกองประจำการในผลัดเดียวกันหลายนายนั้น กองทัพบกได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว พบว่า..

ภาพดังกล่าวเป็น ทหารกองประจำการ จากหน่วยทหารของกองทัพบกจำนวน 2 นาย ในผลัดที่ 1/66 และ 2/66 ซึ่งได้รับการอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาและได้รับความยินยอมจากเพื่อนทหารร่วมผลัด ให้มาถอนเงินเบี้ยเลี้ยงจากตู้ ATM ตามที่ปรากฏตามภาพข่าว 

กองทัพบกขอเรียนว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เป็นไปด้วยความมีเจตนาดีของหน่วย เพื่อมุ่งหวังที่จะบริหารจัดการ ดูแลอำนวยความสะดวกทหารกองประจำการให้ได้รับสิทธิและสวัสดิการตรงตามเวลา โดยในส่วนของเงินที่ทหารทั้ง 2 นาย เป็นตัวแทนเพื่อนทหารไปกดในครั้งนี้นั้น เป็นเงินค่าเบี้ยเลี้ยงที่ทหารกองประจำการทุกนายจะได้รับตามสิทธิ ครบถ้วนตามระเบียบ คำสั่ง และข้อบังคับที่กำหนดของกระทรวงกลาโหม โดยการดำเนินการดังกล่าว ทหารกองประจำการเจ้าของบัตรทุกนาย รับทราบจำนวนเงินที่ได้กดมาและจำนวนเงินที่คงเหลือในบัญชีทุกครั้ง

ทั้งนี้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กองทัพบกได้มีการพัฒนารูปแบบการดูแลทหารกองประจำการอย่างครอบคลุมในทุกด้าน และกำชับหน่วยทหารทั่วประเทศปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ อย่างเคร่งครัด 

ล่าสุดด้าน นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล ที่ออกมาเปิดคลิป ทหารเวียนกดบัตรเอทีเอ็มหลาย 10 ใบ กล่าวภายหลังกองทัพบกชี้แจงว่าเป็นค่าเบี้ยเลี้ยง ทหารเกณฑ์ ว่า กลับเรื่องเรื่องนี้พอชี้แจงมา ดี ที่ชี้แจง จะได้รู้ว่าเป็นเงินอะไร เพราะมันผิดวิสัยการมากดเงินที คนละ 30-40 ใบ และไม่เข้าใจว่าทำไมทำไมไม่ปล่อยให้เขาออกมากดกันเอง หรือว่าที่ค่ายไม่มีตู้เอทีเอ็ม

ส่วนที่กองทัพบก ชี้แจงว่าเป็นการอำนวยความสะดวก นายจิรัฏฐ์ มองว่า ตามกฎหมาย ถือว่าผิดกฏหมาย เพราะไม่ได้ให้ความยินยอมเป็นหนังสือ เมื่อถามย้ำว่าที่กองทัพบกชี้แจงระบุว่าได้รับความยินยอมจากเจ้าตัว นายจิรัฏฐ์ ย้อนถามว่า ก็เท่ากับต้องใช้รหัสบัตรเอทีเอ็มเหมือนกันทั้งหมดทั้ง 40 ใบ แล้วดูจากคลิปก็ใช้รหัสเดียวกันทั้งค่ายนั่นแหละ

มันก็แปลกๆ กดไปทำอะไร ปกติแล้วในค่าย ก็น่าจะมีบริการทุกอย่างแล้ว 

ส่วนเรื่องนี้จะตามต่อหรือไม่ นายจิรัฏฐ์ ระบุ ตนได้คลิปมาจากผู้ที่เห็นและหวังดี ถ่ายมาให้ดู ซึ่งถ้าตนจำไม่ผิดสัปดาห์หน้านี้ คณะกรรมาธิการการทหาร สภาฯ จะพูดคุยกับหน่วยงานทางทหาร ถึงเรื่องนี้ บัตร ATM. และเบี้ยเลี้ยงทหาร รวมถึงเรื่องการซื้อขาย สด.43 ด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top