Tuesday, 3 June 2025
NewsFeed

คนไทยต้องทนหรือ?! ‘รมว.พีระพันธุ์’ ชี้ชัด!! สาเหตุทำไมไทยน้ำมันแพง ลั่น!! ถึงเวลารื้อระบบ เร่งสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงโครงสร้างราคาพลังงานของประเทศไทย ซึ่งนับเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าพลังงานในราคาแพง โดยระบุว่า นโยบายเร่งด่วนของกระทรวงพลังงานภายใต้การกำกับดูแลของตนนั้น จะมุ่งไปที่การทำให้ราคาพลังงานมีความเป็นธรรมกับประชาชน ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่ตนกลับมองว่าเป็นสิ่งที่ต้องทํา และที่สำคัญต้องทําให้ได้ เพราะในฐานะที่ตนเองก็เป็นประชาชนธรรมดาเหมือนกัน ต้องจ่ายค่าน้ำมันต้องจ่ายค่าไฟเหมือนคนทั่วไป ซึ่งก่อนหน้านี้มีความรู้สึกเหมือนถูกมัดมือชก เพราะไม่เคยรู้ว่าทําไมราคาพลังงานขึ้นลงด้วยสาเหตุใด รู้เพียงแต่ว่า เป็นกลไกของตลาดโลก 

ทั้งนี้ จากการศึกษาและเก็บข้อมูลพลังงาน ทั้งเรื่องน้ำมัน และไฟฟ้า พบเห็นช่องว่างว่า ถ้าหากใช้กลไกอํานาจรัฐเข้าไปปรับโครงสร้าง ยังพอจะช่วยได้นะ แม้คนจํานวนมากจะมองว่าทําไม่ได้ แต่ส่วนตัวมองว่า ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครทํามากกว่า พอมีปัญหาทีก็อ้างภาวะตลาดโลก

“ในโครงสร้างที่ประกอบกันมาเป็นราคาน้ำมันหรือค่าไฟฟ้าก็ดี มีส่วนที่เป็นของภาครัฐดูแลอยู่ นอกเหนือจากส่วนที่เป็นภาคเอกชนหรือตลาดโลก ซึ่งในส่วนนี้เราไม่สามารถเข้าไปควบคุมได้ แต่เราเห็นว่ามันมีส่วนของภาครัฐ ซึ่งส่วนของภาครัฐที่ว่านี้ ยกตัวอย่างเช่นในกรณีน้ำมัน ที่มีเรื่องของภาษี มีเรื่องของเงินกองทุน ซึ่งถ้าหากว่าเราสามารถปรับลดในส่วนนี้ลงมาได้ ก็จะสามารถลดราคาตรงนี้ลงมาได้แน่นอน จะมากจะน้อยกว่ากันอีกที แต่ทําให้เห็นว่าถ้าจะลดจริงจังก็สามารถทําได้”

นายพีระพันธุ์ ได้แจกแจงในส่วนของโครงสร้างราคาน้ำมันขายปลีกที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน จะประกอบไปด้วยภาษี และภาษี และกองทุน และกองทุน และภาษี และภาษี และค่าการตลาด 

จากต้นทุนทั้งหมดในส่วนนี้ นอกเหนือจากค่าการตลาด ถือเป็นเรื่องของภาครัฐแทบทั้งหมด ซึ่งในส่วนนี้เองที่ภาครัฐต้องเข้าไปบริหารจัดการ เป็นต้นว่าไปขอเจรจาให้กระทรวงการคลังลดภาษีสรรพสามิตลง ก็จะช่วยทำให้ราคาลงมาได้

แน่นอนว่า จากโครงสร้างราคาน้ำมันแบบปัจจุบัน วิธีการเดียวที่จะปรับลงได้ ณ รูปแบบปัจจุบัน คือ ให้หน่วยงานภาครัฐลดภาษี ซึ่งถือเป็นขั้นตอนแรกหรือมาตรการชั่วคราว ในขณะที่มาตรการขั้นที่สองที่จะดำเนินการต่อไปหลังจากนี้ คือจะสั่งการให้ผู้ค้าน้ำมันแจ้ง ‘ต้นทุนน้ำมัน’ ที่แท้จริง โดยโครงสร้างราคาน้ำมันเป็นแบบนี้ ส่วนหนึ่งถูกกำหนดโดยราคาหน้าโรงกลั่น แน่นอนว่า ปัจจุบันราคาหน้าโรงกลั่นนั้น เป็นราคาที่ภาคเอกชนคิดคํานวณกันเอง ซึ่งทางภาครัฐไม่เคยรับรู้ต้นทุนที่แท้จริงเลย

นายพีระพันธุ์ ตั้งข้อสังเกตว่า ราคาหน้าโรงกลั่น ซึ่งเอกชนเป็นผู้กำหนด และบอกว่า ราคาเท่านี้ แต่แท้จริงแล้วใช่ตัวเลขนี้หรือไม่ หรือ ต่ำกว่านี้ เพราะฉะนั้น หลังจากนี้ จะประกาศให้ทางเอกชนเข้าชี้แจง และแจ้งต้นทุนที่แท้จริง ซึ่งถ้าหากว่าได้ต้นทุนที่แท้จริงแล้ว และตรวจสอบได้ว่า ต้นทุนถูกกว่าที่เคยมีตัวเลขคํานวณกันเอง ทางหน่วยงานของกระทรวงพลังงานก็ต้องหาวิธีการ และคิดสูตรมาคํานวณว่าราคาหน้าโรงกลั่นควรจะเป็นเท่าไหร่ โดยยึดเอาราคาที่แท้จริงมาคิดต้นทุน ตอนนี้กําลังเร่งดําเนินการให้มีการแจ้งราคาที่แท้จริงแล้ว

นอกจากนี้ ในส่วนของกองทุนน้ำมัน จำเป็นต้องรื้อระบบใหม่เช่นกัน เพราะในหลักการบอกว่าให้บริษัทน้ำมันจ่ายเข้ากองทุนน้ำมัน แต่ในปัจจุบันกลับมาเก็บจากประชาชน ซึ่งมองว่าโครงสร้างแบบนี้ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม ดังนั้น จะต้องรื้อใหม่ และไม่ใช่รื้อเพียงแค่โครงสร้างเท่านั้น แต่ต้องรื้อทั้งระบบ

“ยกตัวอย่าง เงินเดือน 100 บาท เราจะได้ไม่เต็ม 100 บาท เพราะต้องเสียภาษี แต่ในขณะที่บริษัทน้ำมัน ขายน้ำมัน 100 บาท ต้องจ่ายทั้งภาษีและจ่ายเข้ากองทุนน้ำมัน แต่เหตุใดยังได้เงินครบ 100 บาท นั่นเป็นเพราะส่วนที่เหลือประชาชนจ่ายบวกไปในราคาน้ำมัน ซึ่งโครงสร้างเป็นแบบนี้มากี่สิบปี เหตุที่เป็นแบบนี้เพราะระบบวางไว้แบบนี้ เป็นการวางแบบผิด ๆ มานานแล้ว ผมเป็นประชาชนที่ต้องแบกรับภาระเหมือนกัน แต่ในขณะเดียวกันผมก็เป็นประชาชนที่ได้รับมอบมาทําหน้าที่นี้ เพราะฉะนั้น จึงต้องทําหน้าที่ประชาชนรื้อระบบให้ถูก นี่คือภารกิจหลักที่ผมจะทํา”

นายพีระพันธุ์ ย้ำว่า การดำเนินการเรื่องกองทุนน้ำมัน เป็นมาตรการชั่วคราวภายใต้โครงสร้างแบบที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งในความเห็นของตนนั้นมองว่า โครงสร้างแบบนี้ไม่ถูกต้องและไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาเรื่องพลังงานที่ถูกต้อง ที่ผ่านมามีคนเสนอบอกต้องปรับโครงสร้าง แต่ปรับอย่างไรก็ยังอยู่แบบนี้ เพราะฉะนั้น สำหรับตนไม่ใช่แค่ปรับโครงสร้างแต่ต้องรื้อทั้งระบบเลย ซึ่งจะเป็นมาตรการระยะกลางและยาวที่จะทําต่อไป วันนี้มาตรการบางอย่างแม้จะยังแก้ปัญหาได้ไม่ตรงจุด แต่อะไรที่ทำได้ก็ต้องทำก่อน

“หน้าที่ของผม คือจะรื้อระบบพลังงาน ซึ่งเป็นหัวใหญ่ใจความของประเทศ ระบบที่เป็นอยู่วันนี้มันต่อไปด้วยโครงสร้างที่เป็นปัญหา แม้ว่าจะปรับโครงสร้างแล้ว แต่ระบบยังเป็นแบบเดิม ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นผมจะรื้อใหญ่ เมื่อรื้อตรงนี้แล้วมันจะทําให้ราคาน้ำมันและราคาพลังงานลดลง เมื่อลดพันธะชีวิตที่เราต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายพวกนี้ และถูกปลดเรื่องไป เมื่อผมวางระบบใหม่ที่ดี ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น มันก็จะช่วยสร้างเรื่องของความเป็นธรรม ความมั่นคงความยั่งยืนในเรื่องพลังงานให้มากขึ้นไม่เป็นอย่างเช่นที่ผ่านมา”

'หมอเตือน' กินของไหว้ตรุษจีน ระวังติดคอ แนะ!! สูงวัยเลี่ยงขนมเหนียว 'เข่ง-เทียน-ลอย'

(8 ก.พ. 67) นพ.ฆนัท ครุธกูล นายกสมาคม สมาพันธ์สถานประกอบการเพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุ กล่าวถึงการรับประทานอาหารในช่วงเทศกาลตรุษจีน ว่า ช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ประชาชนชาวไทยเชื้อสายจีนมีการไหว้เจ้า กินเลี้ยงตามประเพณี ตนจึงขอแยกออกเป็น 2 กรณี คือ 

1.อาหารจากการไหว้เจ้า ที่ส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นหมู เป็ด ไก่ ฉะนั้นความสำคัญคือ อาหารจะต้องมีความสดใหม่ โดยพบว่าอาหารเหล่านี้มักจะถูกแช่แข็งมา ดังนั้นเวลาที่เรานำมาปรุงอาหารจะต้องทำให้สุกทั่วถึง หากมีเนื้อที่ยังไม่สุกก็จะต้องนำไปปรุงให้สุกก่อนนำมารับประทาน ไปจนถึงหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ถูกแต่งสี เพราะเราไม่รู้ว่าสีที่นำมาใช้นั้นเป็นสีที่ใช้สำหรับอาหารหรือไม่ และระวังเรื่องของสิ่งปนเปื้อนในอาหารไหว้เจ้า เช่น อาหารที่บูดเนื่องจากทิ้งไว้ข้ามวัน ขี้เถ้าจากธูป หรือเศษฝุ่นจากการไหว้เจ้า 

2.การเลือกรับประทานอาหารในช่วงการกินเลี้ยง โดยส่วนใหญ่การเลี้ยงอาหารช่วงตรุษจีนจะเป็นการสังสรรค์ในครอบครัวซึ่งจะเป็นมื้อเย็น ขณะที่อาหารที่กินเลี้ยงนั้นจะประกอบไปด้วยอาหารจำพวกโปรตีน แป้งและไขมัน ฉะนั้น คำแนะนำสำหรับการกินอาหาร ควรกินในเวลาที่เร็วขึ้นมา ไม่ควรกินจนลากยาวไปถึงมื้อดึก และระวังเรื่องเครื่องดื่มประจำพวกชา กาแฟ ที่อาจทำให้นอนไม่หลับในช่วงกลางคืน รวมถึงการหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ด้วย

“สิ่งที่ต้องระวังอย่างยิ่งคือ ผู้สูงอายุที่ปกติแล้วจะมีปัญหาด้านการเคี้ยว การกลืนและการสำลัก ฉะนั้น จะต้องเลือกกินอาหารที่นิ่ม เคี้ยวง่าย และต้องเลี่ยงการกินอาหารที่เหนียว เคี้ยวยาก เพราะจะทำให้ติดคอหรือสำลักได้ แต่เราจะเห็นว่าหลายครั้งผู้สูงอายุจะพยายามกินอาหารในช่วงตรุษจีนเพราะถือว่าเป็นอาหารมงคล เช่น ขนมถ้วยฟู ขนมเทียน ขนมเข่ง หรือบัวลอยที่มีแป้งเหนียว ๆ ดังนั้น ควรจะต้องหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้ในคนสูงอายุ เพื่อป้องกันปัญหาอันตรายจากการติดคอ” นพ.ฆนัทกล่าว

'ลิซ่า' ขึ้นแท่น CEO เปิดบริษัทชื่อ 'LLOUD'  แพลตฟอร์มด้านดนตรีและความบันเทิง

สร้างปรากฏการณ์แบบไม่มีพัก สำหรับ 'ลิซ่า BLACKPINK' หรือ 'ลิซ่า ลลิษา มโนบาล' ศิลปินสาวเคป๊อปที่ทรงอิทธิพลระดับโลก โดยเมื่อวันที่ 7 ก.พ.67 เธอได้โพสต์ภาพพอร์ตเทรตสีขาวดำลงในไอจีสตอรี่ พร้อมระบุข้อความ '02.08.2024 Coming Soon' ซึ่งหลายคนต่างก็เดากันไปต่างๆ นานา ว่า 'ลิซ่า' ตั้งใจจะบอกอะไรกันแน่ เพลงใหม่, สังกัดใหม่, งานใหม่, หรือพรีเซนเตอร์สินค้าใดๆ หรือเปล่า?

ทว่าล่าสุด (8 ก.พ.67) ก็ได้มีการขอเฉลยแล้วว่า 'ลิซ่า' ได้เปิดบริษัทเป็นของตัวเอง โดยใช้ชื่อว่า 'LLOUD' แพลตฟอร์มด้านดนตรีและบันเทิง พร้อมแคปชันว่า...

"Introducing LLOUD, a platform to showcase my vision in music and entertainment. Join me on this exciting journey to push through new boundaries together."

(ขอแนะนำ LLOUD แพลตฟอร์มเพื่อแสดงวิสัยทัศน์ของฉันในด้านดนตรีและความบันเทิง ร่วมเดินทางที่น่าตื่นเต้นนี้เพื่อก้าวข้ามขอบเขตใหม่ไปด้วยกันกับฉัน)

ทราบมาว่า ตอนนี้ในเว็บไซต์มีให้ลงทะเบียนเพื่อติดตาม Exclusive Update แล้วด้วย อีกทั้งยังมีการเปิดช่องทางติดตามในโซเชียลมีเดียครบทุกแพลตฟอร์มใหญ่ๆ แล้ว 

ก็คงต้องตามดูกันว่า LLOUD ของ ซีอีโอป้ายแดงอย่างลิซ่า จะพาความสุขใดๆ มาให้แฟนๆ ได้ตามกรี๊ดกันบ้าง

'มาดามแป้ง' ชนะโหวตขาดลอย!! 68 เสียงจาก 73 เป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลผู้หญิงคนแรกของไทย

(8 ก.พ. 2567) ในการเลือกตั้งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ แทน พล.อ.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่หมดวาระในปีนี้ (2567)  

สำหรับการเลือกตั้งเลือกนายก ส.กีฬาฟุตบอล มีผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกฯ 5 คน คือ 'มาดามแป้ง' นวลพรรณ ล่ำซำ, 'พอลลีน' พยุริน งามพริ้ง, วรงค์ ทิวทัศน์, ธนศักดิ์ สุระประเสริฐ และ คมกฤช นภาลัย

ที่ประชุม มีมติเลือก 'มาดามแป้ง' นวลพรรณ ล่ำซำ อดีตผู้จัดการทีมฟุตบอลทีมชาติไทย ให้ขึ้นมาเป็นนายกสมาคมกีฬาคนใหม่อย่างเอกฉันท์ โดย นวลพรรณ ล่ำซำ ได้ไปถึง 68 เสียง จาก 73 เสียงที่มีสิทธิ์โหวตเลือก

ส่วนนายวรวงศ์ ทิวทัศน์ ได้ไป 2 เสียง, นายธนศักดิ์ สุขประเสริฐ ได้ไป 1 เสียง ขณะที่ นายพยุริน (พอลลีน) งามพริ้ง และ นายคมกฤช  นภาลัย ไม่ได้คะแนนเสียง

นอกจากนี้มีผู้ไม่ประสงค์ออกคะแนน 1 และ บัตรเสียอีก 1 

สำหรับทำเนียบนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ตั้งแต่อดีต-ปัจจุบัน มีบุคคลดังต่อไปนี้...

1. เจ้าพระยารามราฆพ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ) พ.ศ. 2459-2462
2. หม่อมเจ้าชัชวลิต เกษมสันต์ พ.ศ. 2462-2465
3. พระยานเรนทรราชา (หม่อมหลวงอุรา คเนจร) พ.ศ. 2465-2468
4. พระยาอนิรุทธเทวา (หม่อมหลวงฟื้น พึ่งบุญ) พ.ศ. 2468-2471
5. พระเจริญวิศวกรรม (เจริญ เชนะกุล) พ.ศ. 2471-2474
6. พระยาวิเศษศุภวัตร (เทศสุนทร กาญจนศัพท์) พ.ศ. 2474-2477
7. หม่อมเจ้าสมาคม กิติยากร พ.ศ. 2477-2481
8. พลเรือตรี หลวงเจียรกลการ (เจียม เจียรกุล) พ.ศ. 2496-2498
9. เผชิญ นิมิบุตร พ.ศ. 2498-2499
10. จำเป็น จารุเสถียร พ.ศ. 2503-2504
11. ต่อศักดิ์ ยมนาค พ.ศ. 2504-2516
12. ประชุม รัตนเพียร พ.ศ. 2519-2520
13. อนุ รมยานนท์ พ.ศ. 2518-2519, พ.ศ. 2521–2531
14. ชลอ เกิดเทศ พ.ศ. 2531-2538
15. วิจิตร เกตุแก้ว พ.ศ. 2538-พ.ศ. 2550
16. วรวีร์ มะกูดี พ.ศ. 2550-2558
17. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง พ.ศ. 2559-2567
18. นวลพรรณ ล่ำซำ  พ.ศ. 2567 

‘นครเซินเจิ้น’ เจ๋ง!! เปิดบริการใช้ ‘โดรน’ ส่ง ‘อาหารทะเล’ สามารถทะยานสู่ฟ้ารับน้ำหนักบรรทุกสูงสุด 20 กิโลกรัม

เมื่อวานนี้ (7 ก.พ.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เส้นทางการจัดส่งอาหารทะเลด้วยอากาศยานไร้คนขับ หรือ ‘โดรน’ เปิดดำเนินงานแล้วโดยเชื่อมระหว่างท่าเรือหนานอ้าวซวงยง ทางตะวันออกของนครเซินเจิ้น มณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ทางตอนใต้ของจีน และเขตหลงกั่งภายในเมือง

โดรนขนส่งซีฟู้ดสามารถทะยานขึ้นบินด้วยน้ำหนักบรรทุกสูงสุด 20 กิโลกรัม โดยอาหารทะเลจะถูกส่งไปยังบริษัทขนส่งในพื้นที่ ก่อนส่งต่อถึงมือลูกค้าในที่สุด

ภาคีชาวไร่ยาสูบไทยเห็นพ้องชาวไร่ปานามา หวั่นประชุมยาสูบโลกทำ 30,000 ครอบครัวหมดอาชีพ

(7 ก.พ. 67) ภาคีชาวไร่ยาสูบไทย กังวลต่อท่าทีของตัวแทนประเทศไทยและผลการประชุมกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลกครั้งที่ 10 หรือ WHO FCTC [COP10] ขณะนี้ ที่ประเทศปานามา ชี้ทุกฝ่ายควรคำนึงถึงผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของชาวไร่ยาสูบทั่วโลก ก่อนตัดสินอนาคตอุตสาหกรรมด้วยความเห็นของคนกลุ่มเดียว หลังทราบข่าวมีชาวไร่ยาสูบปานามาจำนวนมาก ตั้งกลุ่มเดินประท้วงทั่วบริเวณสถานที่จัดประชุม COP10 ย้ำชัดไม่ควรกีดกันการมีส่วนร่วมของผู้ได้รับผลกระทบการประชุมกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบครั้งที่ 10 หรือ COP10 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-10 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ประเทศปานามา ซึ่งมีประเทศภาคีสมาชิก 183 ประเทศส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุม เพื่อรายงานสถานการณ์ แลกเปลี่ยนข้อมูล และกำหนดทิศทางการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ และผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่ ซึ่งในหลายปีที่ผ่านมา การประชุมกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบ มักถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าขาดความโปร่งใส กีดกันการมีส่วนร่วมจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประเทศไทยก็ได้ส่งผู้แทนฯ เดินทางไปร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วย

นายอัจฉริยะ วัฒนาพร แกนนำกลุ่มภาคีเครือข่ายชาวไร่ยาสูบ ตัวแทนเกษตรกรชาวไร่ยาสูบกว่า 30,000 ครอบครัวจาก 18 จังหวัดทั่วประเทศทั้ง 3 สายพันธุ์กล่าวว่า “องค์การอนามัยโลกและสมาชิก 180 ประเทศกำลังอยู่ระหว่างหารือและพิจารณาแนวทางการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ ซึ่งรวมถึงยาสูบรูปแบบใหม่ เช่น บุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งอาจมีความอันตรายน้อยกว่าบุหรี่มวนเพราะไม่มีการเผาไหม้ เราอยากให้องค์การอนามัยโลกและตัวแทนประเทศต่างๆ รวมถึงคณะผู้แทนไทยคำนึงถึงชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรชาวไร่ยาสูบจำนวนมากในประเทศ ซึ่งประกอบอาชีพนี้มาอย่างยาวนาน และเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรเป็นกอบเป็นกำ ก่อนจะเสนอหรือสนับสนุนมาตรการสุดโต่งใดๆ เพราะ หลายๆ มาตรการควบคุมยาสูบที่บังคับใช้ในประเทศไทยในปัจจุบัน ก็มักจะอ้างว่ารับมาจากการประชุมกรอบอนุสัญญาฯ นี้ ซึ่งอยากให้คำนึงถึงสภาพความเป็นจริงในประเทศของเราด้วย” หนึ่งในเรื่องสำคัญที่จะมีการพิจารณาในการประชุม COP10 คือแนวทางการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่เช่น บุหรี่ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบใช้ความร้อน (Heated Tobacco Products – HTP) ถุงนิโคตินสำหรับใช้ในช่องปาก และผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่อื่นๆ 

และพิจารณากันว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้ อันตรายน้อยกว่าบุหรี่มวนหรือไม่ รวมถึงมาตรการสุดโต่งอีกหลายด้านซึ่งนายอัจฉริยะกล่าวเสริมว่า “มีการรายงานข่าวว่า ชาวไร่ยาสูบในปานามาจำนวนมาก ก็ออกมาประท้วงการจัดประชุมกรอบอนุสัญญาฯ COP10 นี้ ว่ากีดกันการมีส่วนร่วมและการแสดงความคิดเห็น และประเทศปานามาเองก็แบนบุหรี่ไฟฟ้าอยู่ไม่ต่างจากไทย ดังนั้นองค์การอนามัยโลกและรัฐบาลควรหันมาให้ความสนใจว่า ชาวไร่ยาสูบจะได้ประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจจากผลิตภัณฑ์ยาสูบใหม่ๆ เหล่านี้ได้อย่างไร เพราะผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบใช้ความร้อนก็ยังคงใช้ใบยาสูบอยู่ ที่สำคัญควรใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เป็นตัวช่วยในการกำหนดนโยบาย มากกว่าการใช้อคติ เพราะเราคงฝืนวิวัฒนาการของโลกไม่ได้ ซึ่งไม่ต่างกับกระแสความนิยมของรถยนต์ไฟฟ้าในขณะนี้”

‘กูรู’ เจาะ Trend เทคโนโลยี 2024 AI บุกแน่!! มนุษย์โลกเตรียมรับมือ

จากรายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ คุณชวาลิน รอดสวัสดิ์ ผู้บริหารบริษัท นิวไดเมนชั่น จำกัด หรือ NDM บริษัทฯ ที่มีประสบการณ์ด้าน IT Solutions และ HR Development มากว่า 20 ปี ถึงภาพรวมของ Trend เทคโนโลยีในปี 2024 ที่จะมีผลกระทบต่อแนวโน้มอุตสาหกรรมในอนาคต รวมถึงบุคลากรที่เป็นที่ต้องการ ซึ่งภาคธุรกิจในประเทศไทยต้องตระหนัก เมื่อวันที่ 10 ก.พ.67 โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้…

นอกเหนือจาก Trend ด้านพลังงาน หรือ Clean Energy ที่กำลังเขย่าอุตสาหกรรมรถยนต์ จนเกิด EV Sector (Electric Vehicle) อย่างเด่นชัดขึ้น รวมถึงพัฒนาด้าน Hydrogen (Hydrogen-Powered Train) และ Carbon Capture Technology เพิ่มมากขึ้นเพื่อสร้างพลังงานทดแทนแล้ว จากประสบการณ์ในการทำงานช่วง 20 ปีที่ผ่านมาในแวดวงเทคโนโลยี ผมมองเห็นอีกวิวัฒนาการที่ต้องจับตามอง นั่นก็คือ ความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีสารสนเทศหรือไอที (Information Technology) 

อย่างไรก็ตาม ในปี 2024 จะมีปรากฏการณ์ของผู้ใช้งานไอทีที่ต้องปรับตัวเองอย่างรุนแรงหนักขึ้นกว่าเดิม เนื่องจาก AI (Artificial Intelligence) หรือที่เราคุ้นกันว่า ‘ปัญหาประดิษฐ์’ จะเข้ามาแทรกซึมอยู่ในชีวิตเรา ทั้งแบบรู้ตัวและแบบไม่รู้ตัว รวมถึงเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ ในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม Finance, Health Care และ Manufacturing

ตัวอย่างที่เริ่มเห็นกับบางอุตสาหกรรม ก็เช่นอุตสาหกรรมด้านสุขภาพ เริ่มมีการนำนวัตกรรม Early Disease Detection มาวิเคราะห์ดูแนวโน้มของการเกิดโรคหรืออาการเจ็บป่วยของมนุษย์ได้ล่วงหน้า 1-6 ปี จากนั้นแพทย์และนักวิทยาศาสตร์จะใช้ Nano Technology เข้ามาช่วยในการวิจัยค้นคว้าและรักษาผู้ป่วย 

ส่วน Cyber Security ก็เป็นอีกหนึ่ง Trend ที่น่าสนใจและได้ยินบ่อยมากขึ้น เนื่องจากในปัจจุบันองค์กร หน่วยงานต่างๆ มีความเสี่ยงโดนโจมตีทาง Cyber สูงมากขึ้นเรื่อยๆ จากสถิติมีอัตราเพิ่มขึ้น 13% ต่อปี จึงต้องหาวิธีป้องกันและ AI จะเข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้นแน่ๆ 

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของการพัฒนา LCNC Platform  (Low Code/No Code) ซึ่งมีลักษณะเป็นโปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อให้ทุกคนสามารถเขียน Software ด้วยตนเองได้ โดยไม่จำเป็นต้องเรียน Coding หรือ Programming มาโดยเฉพาะ เพียงมีความเข้าใจในอัลกอริทึม (Algorithm) เบื้องต้น ก็สามารถพัฒนา Software ได้แล้ว และที่น่าตกใจ คือ ในปัจจุบันองค์กรกว่า 76% เริ่มใช้ Platform นี้ เพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนบุคลากรด้านไอที ซึ่งช่วยให้ประหยัดเวลาและลดต้นทุนไปในตัว และนี่คือสิ่งที่คนทำงาน ธุรกิจ และผู้ข้องเกี่ยวต่อการพัฒนาประเทศต้องเริ่มตระหนัก

เมื่อถามถึงอุตสาหกรรมไอทีในประเทศไทย มีการเติบโตอย่างไร? คุณชวาลินกล่าวว่า “เมื่อปี 2023 ประเทศไทยมีเงินหมุนเวียนในธุรกิจไอทีรวมๆ แล้วกว่า 930,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 2022 ถึง 4.4% ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เติบโตขึ้นเพียง 2.2% เท่านั้น ทำให้เห็นว่าประเทศไทยมีการตื่นตัวด้านไอทีเป็นอย่างมาก ซึ่งธุรกิจผลิต Software และธุรกิจ IT Service ต่างๆ เติบโตขึ้นถึง 15% คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 265,000 ล้านบาท หรือ 30% ของมูลค่ารวมตลาดไอที ส่วนธุรกิจ Data เติบโตขึ้น 5% ในขณะที่ธุรกิจ Hardware หรือ Device ต่างๆ กลับลดลง 4.7% สำหรับอุปสรรคของอุตสาหกรรมไอทีในประเทศไทย คือ การขาดแคลนบุคลากรด้านไอทีที่มีคุณภาพ ซึ่งปัจจุบันองค์กรต่างๆ พยายามสรรหาคนเก่งๆ มาร่วมงานเพื่อขับเคลื่อนโครงการ Digital Transformation ให้กับองค์กร”

เมื่อส่วนคำถามที่ว่า Digital Disruption ส่งผลต่อแวดวงธุรกิจอย่างไร? คุณชวาลิน กล่าวว่า “เมื่อเราเข้าสู่ยุค Digital ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปเร็วมาก อายุของนวัตกรรมจะสั้นลง Technology ใหม่ๆ จะเข้ามาแทนที่ได้เร็วขึ้น ธุรกิจต่างๆ ต้องปรับตัวให้ทัน ผู้คนต้องเรียนรู้มากขึ้น ซึ่งต่างกับธุรกิจเมื่อ 20-30 ปีก่อน โดยสิ่งที่จะมา Disrupt อย่างชัดเจน ได้แก่ Hyper-Personalization Data หรือการนำเอา Data จำนวนมากมาประมวลผลเพื่อนำเสนอสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าแทนมนุษย์จะเด่นชัดมากยิ่งขึ้น และการนำ AI เข้ามาตัดสินใจ (Decision Making) โดยใช้ Machine Learning และ Algorithm ต่างๆ มาทำงานร่วมกันแบบบูรณาการ เพื่อทำให้การตัดสินใจได้ผลแม่นยำและรวดเร็ว โดยเฉพาะในธุรกิจที่มีความซับซ้อนและมีปริมาณข้อมูลมหาศาลจะมีบทบาทสูงตามมา”

เมื่อถามถึงปัญหาขาดแคลนบุคลากรด้านไอทีขององค์กร, หน่วยงานต่างๆ จะแก้ไขได้อย่างไร เพื่อไม่ให้ถูก AI และ เทคโนโลยียุคใหม่กลืนกิน? คุณชวาลิน กล่าวว่า “แนวโน้มของหลายองค์กรตอนนี้ เริ่มใช้วิธี Outsource คนมากขึ้นกับกลุ่มบุคลากรด้าน IT เนื่องจากช่วยลดภาระด้านบุคลากรขององค์กรได้มาก เลือกคนคุณภาพได้ ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ ซึ่งบทบาทของ ‘บริษัทฯ สรรหาบุคลากร’ จะโดดเด่นขึ้นมา ซึ่งก็รวมถึง NDM ด้วย เพราะจะกลายเฟืองสำคัญในการเป็นผู้ช่วยดูแลทุกกระบวนการขององค์กรต่างๆ ในทางอ้อมได้ดี ตั้งแต่การวางแผนจัดจ้าง ออกแบบ คัดสรรบุคลากร และทำ Onboarding Process ไปจนถึงการส่งมอบบุคคลากรตามความต้องการให้ร่วมปฏิบัติงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ”

เมื่อถามถึง NDM กับบทบาทที่เกี่ยวเนื่องในสิ่งที่ว่ามาทั้งหมดนี้? คุณชวาลิน กล่าวว่า “ในส่วนของ NDM เอง เนื่องจากเราคว่ำหวอดกับทุกการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีและบุคลากรที่มีคุณภาพ ทำให้เราสามารถสร้างเครือข่ายบุคลากรไอที ที่มีความชำนาญในเทคโนโลยีทุกรูปแบบ เสิร์ฟให้ไปสู่องค์กรในทุกระดับ เพื่อรองรับงานที่เหมาะต่อความต้องการของตลาดในปัจจุบันได้อย่างต่อเนื่อง”

‘ถึงแก่น LIVE - ถึงแก่น สุดสัปดาห์’ โลดแล่นสู่ช่องวิทยุ เตรียมออกอากาศคลื่น FM102 ดีเดย์!! 12 กุมภาพันธ์นี้

หลังจาก ‘ก๊อง-ปรเมษฐ์ ภู่โต’ คนข่าวคุณภาพ อดีตผู้ดำเนินรายการ ‘คุยถึงแก่น’ เดินหน้าลุยสื่อออนไลน์เต็มสูบ ผุดช่องใหม่ ‘ถึงแก่น Live’ ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘สื่อเพื่อประชาชน ทุกคนเป็นเจ้าของ’ เสิร์ฟสาระข่าวสาร ในสไตล์แซบจัดจ้าน ตรงไปตรงมา ถึงผู้ชมทุกวัน ไปแล้วนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 ก.พ. 67 บริษัท วี.เอ แอนด์ ซันส์ จำกัด ผู้ร่วมผลิตรายการทางสถานีวิทยุกระจายเสียงกองทัพบก ขส.ทบ. คลื่นความถี่ 102 MHz. เปิดเผยว่ามีแผนนำรายการ ‘ถึงแก่น LIVE’ มาออกอากาศรีรันทุกวันจันทร์ - วันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 9.30 น. - 11.30 น. และรายการ ‘ถึงแก่น LIVE สุดสัปดาห์’ ออกอากาศรีรัน ทุกวันเสาร์ - วันอาทิตย์ เวลา 18.00 น. - 19.00 น. โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 12 ก.พ.นี้เป็นต้นไป

สำหรับรายการ ‘ถึงแก่น Live’ ดำเนินรายการโดย ‘ก๊อง-ปรเมษฐ์ ภู่โต’ และ ‘หนิง - นันทิญา จิตตโสภาวดี’ โดยจะเป็นรายการ Live สดทุกวัน ผ่านแพลตฟอร์ม Facebook Youtube Tiktok และทางจานดาวเทียม PSI ช่อง 74 (TVD TALK) ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 07.00 - 09.00 น. ส่วนรายการ ‘ถึงแก่น Live สุดสัปดาห์’ ออกอากาศทุกวันเสาร์ - อาทิตย์ เวลา 18.00 - 19.00 น.

‘SCG’ มอบทุนการศึกษาเรียนต่อป.ตรี-เอก ในจีน-อินเดีย ฟรี!! ค่าเรียน 100% สมัครได้ตั้งแต่วันนี้-31 พ.ค.67

(8 ก.พ. 67) เพจ ‘SCG Careers’ โพสต์ข้อความ ระบุว่า “ทุน 2024 มาแล้วววว!!

SCG มอบทุนการศึกษาให้กับบุคคลทั่วไปเพื่อศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ณ ประเทศจีนและประเทศอินเดีย ในมหาวิทยาลัยและสาขาที่ SCG กำหนด

โดย SCG สนับสนุนทุนการศึกษา ค่าเรียน 100% ค่าเบี้ยเลี้ยง และที่พัก *และเมื่อจบการศึกษายังมีโอกาสเข้ามาเป็นพนักงานบริษัทในเครือ SCG อีกด้วย

เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ ถึง 31 พฤษภาคม 2567
เพื่อน ๆ ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
คุณนภัสวรรณ โทร: 088-660-8222 หรือทาง Email: [email protected]

*เงื่อนไขเป็นไปตามบริษัทกำหนด”

นักท่องเที่ยวชาวไทยครองแชมป์จำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุดใน #ลาว ประจำปี 2566

โดยกระทรวงสารสนเทศ วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว ของ สปป.ลาว เผย #ท็อปเทน นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวลาวในปี 2023 

The Ministry of Information, Culture, and Tourism unveiled the 2023 tourist arrival data. Here are the top 10 tourist nationalities that entered #Laos last year.


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top