Tuesday, 3 June 2025
NewsFeed

มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ - กลุ่มไทยสมายล์ เสริมพลังใจ มอบรถเข็นวีลแชร์และอุปกรณ์ให้ผู้พิการและผู้ยากไร้

(8 ก.พ.67) นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ พร้อมด้วยทีมงานมวลชนสัมพันธ์ (CSR) กลุ่มไทยสมายล์ มอบอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือผู้พิการและผู้ยากไร้ ผ่านรายการร้องทุกข์ ลงป้ายนี้ - สถานีประชาชน ณ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส (ThaiPBS)

​นางเธียรรัตน์ กล่าวว่า ในวันนี้ดิฉันในนามมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ ร่วมมือกับรายการร้องทุกข์ลงป้ายนี้ - สถานีประชาชนไทยพีบีเอส จัดกิจกรรมนำอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือผู้พิการและผู้ยากไร้ ประกอบไปด้วย รถเข็นวีลแชร์ ไม้เท้าพยุงสามขา และวอล์คเกอร์ช่วยเดิน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก กลุ่มบริษัท ไทย สมายล์ กรุ๊ป (รถและเรือโดยสารสาธารณะพลังงานไฟฟ้า) มามอบให้กับผู้พิการและผู้ยากไร้ ผ่านรายการร้องทุกข์ลงป้ายนี้ - สถานีประชาชน ณ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ซึ่งเป็นรายการข่าว ที่เป็นสื่อกลางเพื่อนำเสนอปัญหาและหาทางออกของปัญหาที่เกิดขึ้น เนื่องจากในสภาพสังคมปัจจุบัน ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ กำลังประสบปัญหาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ และเป็นช่องทางร้องเรียนและนำไปสู่การแก้ปัญหา 

ทั้งนี้เป็นการสะท้อนปัญหาเพื่อช่วยเหลือผู้พิการและผู้ยากไร้ในสังคมไทย การที่มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ได้นำอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือผู้พิการและผู้ยากไร้มามอบผ่านรายการร้องทุกข์ ลงป้ายนี้ สถานีประชาชนไทยพีบีเอส ในครั้งนี้ เพื่อต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือผู้ป่วย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ ถือเป็นกิจกรรมหนึ่งซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิในด้านการสร้างสาธารณประโยชน์ต่อชุมชน สังคม และที่สำคัญจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับผู้พิการ และผู้ยากไร้ ซึ่งมีความต้องการอุปกรณ์ช่วยเหลือดังกล่าวมากกว่าบุคคลทั่วไป

สำหรับผู้พิการและผู้ยากไร้ ที่สนใจรถเข็นวีลแชร์ ไม้เท้าพยุงสามขา และวอล์คเกอร์ช่วยเดิน สามารถติดต่อได้ที่ รายการร้องทุกข์ลงป้ายนี้ สถานีประชาชนไทยพีบีเอส  โทร. 02-790-2630-3 หรือ 02-790-2111 (จันทร์-ศุกร์ 9.00-16.00 น.) หรือ  ID  Line  @RongTookThaiPBS

สำนักงานตำรวจแห่งชาติห่วงใยอันตรายจากการจุดประทัดช่วงเทศกาลตรุษจีน จัดทำคลิปเตือนพร้อมแนะนำวิธีการจุดประทัดอย่างปลอดภัย

วันนี้ (8 กุมภาพันธ์ 2567) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า เนื่องในโอกาสเทศกาลตรุษจีนปีนี้ วันที่ 8 - 11 กุมภาพันธ์ 2567 พี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีนจะประกอบพิธีไหว้เทพเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และบรรพบุรุษ ตลอดจนมีการจุดประทัดตามความเชื่อเพื่อปัดเป่าสิ่งไม่ดี และเสริมความเป็นสิริมงคลนั้น พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยในความปลอดภัยในการจุดประทัดช่วงเทศกาล จึงได้กำชับให้ทีมโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับพี่น้องประชาชน ในเรื่องการจุดประทัดให้ปลอดภัย ทีมโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีไอเดียจัดทำคลิปสั้นในการประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจในเรื่องการจุดประทัดช่วงเทศกาลตรุษจีนให้ปลอดภัย โดยมีนายภิญโญ รู้ธรรม นักแสดง พิธีกร และโปรดิวเซอร์ และอาจารย์บอล จากช่องยูทูป “อาจารย์บอล คลิกพลิกชีวิต” มาร่วมแสดงด้วย 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติแนะนำวิธีการจุดประทัดช่วงเทศกาลตรุษจีนให้ปลอดภัย โดยพี่น้องประชาชนทั่วไปควรระมัดระวังในการเดินผ่านบริเวณที่มีการจุดประทัด เพื่อป้องกันการได้รับบาดเจ็บจากการจุดประทัด สำหรับผู้ที่จุดประทัด ก่อนจุดขอให้สังเกตคนรอบข้างว่ามีใครเดินผ่านไปมาหรือไม่ , ไม่จุดประทัดในพื้นที่ใกล้ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ เด็ก สัตว์เลี้ยง , ห้ามเก็บประทัดใกล้ความร้อน หรือวัตถุไวไฟ เพราะอาจเกิดอันตรายได้ และห้ามจุดประทัดในเวลากลางคืน เพราะเป็นช่วงเวลาพักผ่อนของพี่น้องประชาชน ทั้งนี้ หากการเล่นพลุ ประทัด ดอกไม้เพลิง ก่อให้เกิดเสียงดังรบกวนอาจเป็นเหตุรำคาญ อาจมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 25,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

'พล.ท.นันทเดช' เผย 6 เหตุผล 'ก้าวไกล' จะตายสิบเกิดแสนได้จริงไหม? ชี้!! หากเป็นสมัยลุงตู่อาจเป็นไปได้ เพราะท่านสนแต่พัฒนาประเทศชาติ

(8 ก.พ.67) พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า ก้าวไกล จะตายสิบเกิดแสนได้จริงไหม

ความฝันของแกนนำก้าวไกลหลังจากถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าผิดแล้ว ก็ออกมาปลอบใจสาวกว่า ‘จะตายสิบเกิดแสน’ นั้น ถ้าสมัยรัฐบาลลุงตู่คงอาจเป็นไปได้ เพราะลุงแกเป็นคนดีไม่เคยมีเรื่องมีราวกับใครตั้งหน้าตั้้งตาพัฒนาโครงสร้างทางเศรษฐกิจจนมาอยู่ลำดับ 1 ในอาเชียนแล้ว แต่ก็ต้องพลาดเรื่องการจัดการปัญหาทางสังคมไปบ้าง ก้าวไกลจึงใช้โอกาสนั้นเข้ามาแทรกแซงครอบงำเด็กๆ ได้ค่อนข้างมาก โดยมีอบายมุข (เหล้า บุหรี่ไฟฟ้า และ SEX ) มาช่วย จนแพร่กะจายได้อย่างสะดวก แต่ในรัฐบาลชุดนี้ คงเป็นไปได้ยากหน่อย เพราะ

1️.จุดที่เด็กๆ จะกลายเป็นพวก 3 นิ้ว ส่วนใหญ่แล้วมาจากการมั่วสุมในเรื่องสุรนารี แต่ปัจจุบันก็ถูกคุณอนุทิน (รมว. มท.) บุกทำลายสถานที่กินเหล้า ที่เปิดให้เด็กอายุต่ำกว่าเกณฑ์ แอบเข้าบาร์ หรือผับโต้รุ่งเหล่านี้ไปถึง 6 แห่งแล้ว บางแห่งมีคนมั่วสุมเกือบ 2000 คน มีเด็กต่ำกว่า 18 ปีร่วม 800 คน ก็มี และยังเป็นการทำลายอย่างต่อเนื่องแบบที่กระทรวงมหาดไทยชุดเดิม ไม่เคยทำมาก่อนเลย ผับ- บาร์เหล่านี้คือ ตัวสร้าง ‘เด็ก 3 นิ้วขึ้นมา’ เป็นจำนวนมาก จึงเริ่มหายไป

2.แบบเรียนของ ศธ.ที่ออกมาใช้ในสมัยก่อน ถูกควบคุมดูแล โดยนักวิชาการที่เลือกข้าง นอกจากไม่เสริมสร้างกระบวนการคิดแล้ว เรื่องที่เด็กควรรู้ควรเข้าใจก็ขาดหายไป ซึ่งปัจจุบัน ทาง ศธ.ก็ตื่นตัวออกมาเริ่มจะแก้ไขแล้ว

3.ในสถาบันการศึกษา ซึ่งกลุ่มอาจารย์บ้าคลั่งลัทธิ พยายามสอนและออกข้อสอบให้เด็กจำเป็นต้องตอบข้อสอบตามที่อาจารย์ต้องการนั้น เด็กส่วนใหญ่ก็เริ่มรู้ทันแล้ว ยังมีเจ้าหน้ารัฐ ที่แอบเข้าไปฟังอีก ก็ไม่สะดวกนักในการปลุกระดม อาจจะเสี่ยงคุกได้ เพราะอาจารย์พวกนี้เก่งแต่จะส่งเด็กไปติดคุกแทน ส่วนตัวเองยุๆๆๆเด็ก แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามรักษาตัวให้รอด เพื่อคอยแต่จะสมัครเป็นอธิการบดี หวังรวยกันทั้งนั้น (คงต้องถามต่อว่า มหาวิทยาลัยเหล่านั้น มีกระบวนการคัดกรองอาจารย์ผู้สอนอย่างไรด้วย)

4.ส่วนอาจารย์แก่ๆ กลุ่มหนึ่ง แต่ยังมีกิเลสอยู่ คอยยุยงเด็กๆ อยู่นอกมหาวิทยาลัยนั้น ก็เริ่มแพ้ภัยตัวเองไปตามๆ กัน อย่าให้พูดถึงว่าแพ้อย่างไรเลยครับ

5.คนของพรรคการเมืองหลายแห่งเริ่มตื่นตัวต่อการรุกในพื้นที่ชนบทของก้าวไกล และมูลนิธิก้าวหน้า ซึ่งมูลนิธินี้ก็แปลก ดันไปทำหน้าที่ เหมือนกับพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ทั้งๆ ที่เป็นมูลนิธิ (ฝากคุณอนุทินเข้าไปดูด้วยครับ) เพราะ กกต.ก็คุมไม่ได้ ถ้า มท.ลงไปดูแล การเข้าไปปลุกระดมในพื้นที่ของก้าวไกลก็จะยากขึ้น

6.ประชาชนส่วนใหญ่เริ่มรู้กันบ้างแล้วว่า พรรคอะไรโกหกได้ติดต่อกันเกือบทุกวัน ขนาดมีคนตั้งเพจ ชื่อว่า ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร’ เด็กตามสถาบันการศึกษาหลายแห่งก็เริ่มตื่นตัว ถ้าไม่มีเหล้า ยา และ SEX แล้ว ก้าวไกลก็ไม่ค่อยจะมีอะไรหรอกครับ

ข้อสรุป : ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้ชอบก้าวไกลเพิ่มขึ้นหรอกครับ แต่เป็นเพียงพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลทั้งหลาย ยังห่วงเรื่องผลประโยชน์ จนทิ้งพื้นที่ไป ที่หาเสียงอยู่ก็หาเสียงแบบโบราณมาก เช่น งานศพก็เอาหรีดราคาถูกให้ตัวแทนเอาไปวาง จัดงานเลี้ยงโต๊ะจีนเวลาวันเกิด หรือพาหัวคะแนนไปเที่ยวทะเล ฯลฯ

ความล้าหลังของวิธีหาเสียงของพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลน่ะ

ล้าหลังเอามากๆ จริงๆ ครับ ถ้าพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล ตื่นตัว จริงๆ ก้าวไกลก็ไปได้ไม่กี่ก้าวหรอกครับ อยากมากก็ตายสิบ เกิดสิบ เท่านั้น

‘อ.พงษ์ภาณุ’ ชี้!! ปัญหาในตลาดหุ้นกู้-เงินเฟ้อติดลบ ความผิดพลาดเชิงนโยบายที่แบงก์ชาติไม่ควรปฏิเสธ

(8 ก.พ. 67) อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ได้เผยถึง ปัญหาในตลาดหุ้นกู้ เงินเฟ้อติดลบ และความผิดพลาดเชิงนโยบายของแบงก์ชาติ ไว้ว่า...

หุ้นกู้ก็คือ ตราสารหนี้ประเภทหนึ่ง ต่างจากตราสารทุน (Equity) ตรงที่มีกำหนดเวลาชำระดอกเบี้ยคงที่และชำระคืนเงินต้นที่แน่นอน ในมุมมองของผู้ลงทุนจึงดูเหมือนไม่มีความเสี่ยงหรือมีความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้นหรือตราสารทุน แต่ในความเป็นจริงแล้ว หุ้นกู้มีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ออกหุ้นกู้ ( Risk of Default) และความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk) ซึ่งมีอยู่ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจถดถอยและภาวะการเงินมีความผันผวนสูงอย่างเช่นในปัจจุบัน

ขอชื่นชมผู้วางนโยบายที่กระทรวงการคลังและ ก.ล.ต.ในอดีตที่ได้ร่วมมือกันพัฒนาตลาดตราสารหนี้ ภายหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง จนกลายเป็นหนึ่งในสามเสาหลักของการระดมทุนหล่อเลี้ยงภาคเศรษฐกิจจริงในประเทศไทย อีกสองเสาหลักได้แก่ ตลาดหุ้นและเงินกู้ธนาคาร ซึ่งเสาหลักแต่ละแท่งมียอดคงค้างของการระดมทุนอยู่ที่ประมาณ 100% ของ GDP รวมทั้ง 3 เสาก็อยู่ที่ 300% ของ GDP หรือประมาณกว่า 50 ล้านล้านบาท

ปัจจุบันหลังจากที่แบงก์ชาติขึ้นดอกเบี้ยแบบไม่บันยะบันยังมาเป็นเวลาเกือบ 2 ปี และสร้างความผันผวนทางการเงินขึ้นมาด้วยน้ำมือของตัวเองอย่างไม่จำเป็น ตลาดหุ้นกู้เริ่มปรากฏร่องรอยของความปริร้าวขึ้นมา ซึ่งเป็นที่น่าวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากไม่สามารถหยุดการไหลของเลือด อาจลุกลามไปยังเสาหลักอีก 2 เสาได้ ผู้ออกหุ้นกู้ที่ออกมาก่อน 2 ปีที่แล้ว เมื่ออัตราดอกเบี้ยอยู่ใกล้ศูนย์ กำลังถึงกำหนดเวลาไถ่ถอนจำนวนมาก และจำเป็นต้องออกหุ้นกู้ใหม่มาเพื่อชำระคืนของเดิม (Roll over) ต้องประสบปัญหาตลาดการเงินขาดสภาพคล่อง และดอกเบี้ยสูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่มีการปรับสูงขึ้นกว่า 5 เท่าตัว (500%) ในช่วงเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา

เมื่อตอนที่ประเทศไทยมีการแพร่ระบาดของโควิด เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตลาดหุ้นกู้ก็ส่อเกิดปัญหาขาดสภาพคล่องทำนองเดียวกัน แต่ต่างกันที่สาเหตุมาจากด้านรายได้ของธุรกิจที่เหือดหายไปจากการหยุดจับจ่ายใช้สอยของประชาชน รัฐบาลจึงยอมให้แบงก์ชาติตั้งกองทุนรักษาสภาพคล่องของตลาดตราสารหนี้ (Bond Market Stabilization Fund-BSF) วงเงิน 400,000 ล้านบาท โดยออกพระราชกำหนดให้แบงค์ชาติสามารถเข้าไปซื้อตราสารหนี้ออกใหม่ได้ในระยะสั้นๆและกระทรวงการคลังรับประกันความเสียหายจากการลงทุนของแบงก์ชาติ (น่าจะถือว่าถูกแบงก์ชาติหลอกให้เอาเงินผู้เสียภาษีมาค้ำประกัน) 

มาคราวนี้สถานการณ์เริ่มสุกงอม แลอาจยังความจำเป็นให้ตั้งกองทุนทำนองดังกล่าวขึ้นอีก เพื่อพยุงตลาดตราสารหนี้ แต่เชื่อว่าครั้งนี้กระทรวงการคลังคงไม่ยอมให้แบงก์ชาติหลอกให้เอาเงินผู้เสียภาษีมาค้ำประกันอีก  เพราะปัญหาครั้งนี้เกิดมาจากความผิดพลาดของแบงก์ชาติเองล้วนๆ หลายฝ่ายรวมทั้งกระทรวงการคลังได้ออกมาเตือนแบงก์ชาติหลายครั้งหลายครา แต่แบงค์ชาติกลับเอาหูทวนลม ดังนั้นจึงไม่อาจงอแงปฏิเสธความรับผิดชอบเหมือนครั้งก่อน โดยเอาเงินผู้เสียภาษีมาค้ำประกันความผิดพลาดของตนเองไม่ได้อีกแล้ว

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ประกาศตัวเลขเงินเฟ้อเดือนมกราคม 2567 ติดลบเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย 

ธนาคารแห่งประเทศไทยคงจะปฏิเสธไม่ได้อีกแล้ว เหมือนที่ผ่านมาว่าไทยยังไม่มีภาวะเงินฝืด (Deflation) และมักจะบอกว่าไม่เกี่ยวกับแบงก์ชาติและโยนความผิดให้คนอื่นว่าเป็นปัญหาโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย

ในสถานการณ์เช่นนี้ แบงก์ชาติคงจะมีทางเลือกอยู่ 2 ทาง ประการแรกลดดอกเบี้ยและยอมรับความผิดพลาดของตนเองที่ทำให้เศรษฐกิจชาติเสียหาย แต่เชื่อว่าแบงก์ชาติคงจะเสียหน้าอย่างมาก และโดยธรรมชาติแล้วมักจะไม่กล้าทำ ประการที่สอง ไม่ทำอะไร คงดอกเบี้ยไว้ตามเดิม เพื่อรักษาหน้าของตัวเอง แล้วก็โยนเคราะห์กรรมให้กับคนไทยทั้งประเทศ 

แต่ล่าสุดคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง) ประชุมเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์แล้ว มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ (5 ต่อ 2 เสียง) เลือกแนวทางที่ 2 คือปัดความรับผิดชอบ และโยนขี้ให้ประชาชน ตามแบบฉบับแบงก์ชาติที่สืบทอดกันมา แม้จะมีกรรมการเสียงข้างน้อยที่เริ่มยอมรับความผิดพลาดของนโยบายการเงิน 

สถานการณ์น่าเป็นห่วงครับ

‘คุณแม่ชาวอังกฤษ’ โวย!! ไม่มีใครสละที่นั่งบนรถไฟให้ลูกของเธอ คนที่นั่งมีแต่ผู้ชาย แต่กลับมองเด็ก 5 ขวบนั่งบนพื้นหน้าตาเฉย

(8 ก.พ. 67) เพจ ‘Around the World’ ได้แชร์เรื่องราวของคุณแม่รายหนึ่งที่ได้ออกมาระบายความรู้สึกผ่านติ๊กต็อก ถึงกรณีไม่มีใครลุกให้ลูกชายของเธอนั่งเลยแม้แต่คนเดียว โดยระบุว่า…

ผู้หญิงรายหนึ่งทนไม่ไหว ใช้ TikTok ระบายความคับข้องใจเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่มีใครลุกให้ลูกชายวัยเด็กเล็กของเธอนั่ง บนขบวนรถไฟขบวนหนึ่งในอังกฤษ แม้แต่รายเดียว ทั้งที่เก้าอี้ในบริเวณใกล้เคียง มีแต่พวกผู้ชายทั้งนั้น

ในวิดีโอ ซึ่งมีผู้เข้าชมแล้วมากกว่า 2.1 ล้านวิว ผู้ใช้นามว่า @kellyk2016 ต้องการแฉให้เห็นว่าลูกชายของเธอ ต้องนั่งบนพื้นของขบวนรถไฟ เนื่องจากไม่มีเก้าอี้ว่างเหลืออยู่ เธอระบุด้วยว่า "คนเหล่านี้ทุกคนเอาแต่มองดูลูกชายของฉันนั่งอยู่บนพื้น ไม่รับรู้อะไรกันเลย"

ตามรายงานของเดลิเมล ระบุว่า รถไฟที่เคลลีโดยสารนั้น ได้แก่ รถไฟสาย Southern Rail Train และจากข้อความที่ปรากฏบนเว็บไซต์ ดูเหมือนผู้โดยสารจำเป็นต้องซื้อตั๋วเพื่อขึ้นรถไฟ แต่เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ สามารถใช้บริการฟรี ทว่าในกรณีนี้ผู้โดยสารจะสามารถนั่งบนที่นั่งได้ ก็ต่อเมื่อมันไม่มีผู้โดยสารคนอื่น ๆ จับจอง

ทางด้านเว็บไซต์ของ Southern Rail Train ชี้แจงว่า "คุณสามารถนำเด็กอายุ 5 ขวบมาใช้บริการได้ โดยไม่เสียค่าโดยสาร หากว่าคุณมีตั๋ว อย่างไรก็ตามคุณสามารถใช้เก้าอี้ได้ ก็ต่อเมื่อมันไม่มีความจำเป็นแล้ว สำหรับผู้โดยสารคนอื่น ๆ ที่มีตั๋ว"

ผู้ชมบางส่วนแสดงความไม่พอใจกับคลิปบน TikTok ดังกล่าว แสดงความคิดเห็นตำหนิ เคลลี แม้ว่าเธอจะพยายามชี้ให้เห็นว่าลูกของเธอควรได้รับเก้าอี้นั่งเป็นลำดับแรก ๆ 

"เด็กไม่ควรได้เก้าอี้นั่งในลำดับแรก ๆ คนพิการ ผู้หญิงตั้งครรภ์ คนชรา และเด็กทารก ต่างหาก ที่ควรได้นั่งบนเก้าอี้ในลำดับแรกๆ" ผู้ใช้รายหนึ่งเขียน

ส่วนอีกคนเขียนว่า "บทเรียนของชีวิต กรุณาจองตั๋วที่นั่งล่วงหน้า ทำไมคุณถึงคิดว่าลูกของคุณควรมีความสำคัญลำดับต้น ๆ เป็นเพราะคุณบอกงั้นหรือ?" 

ขณะที่อีกคนเขียนติดตลกว่า "เด็ก ๆ นั่งบนพื้น ผู้ใหญ่นั่งบนเก้าอี้ นี่คือที่เขาเรียกว่าการให้ความเคารพ"

อย่างไรก็ตาม เคลลี ชี้แจงในประเด็นนี้ว่า เธอจะมอบเก้าอี้ให้ลูกของเธอ ถ้าเธอมีที่นั่ง แต่ในกรณีนี้เธอเองก็ไม่มีที่นั่ง ทั้งที่ก็ซื้อตั๋วเช่นกัน

ขณะเดียวกันผู้ติดตามบน TikTok ของเธอบางส่วน แสดงความเห็นเข้าข้าง เคลลี และลูกชายของเธอ โดยชี้ให้เห็นถึงทัศนคติที่ย่ำแย่ของพวกผู้ใหญ่ที่ไม่ยอมลุกให้เด็กนั่ง "มันเป็นพฤติกรรมแย่ ๆ ของพวกผู้โดยสารและความเห็นแย่ๆของผู้คนบนสื่อสังคมออนไลน์ เป็นฉัน ฉันจะมอบเก้าอี้ให้เด็กนั่งภายในเวลาไม่กี่วินาที"

‘การบินไทย’ วุ่น!! เจอผู้โดยสารแพนิก พยายามเปิดประตู ทำ ‘สนบ.เชียงใหม่’ หลายเที่ยวดีเลย์ - หนีไปลงลาว

เมื่อวานนี้ (7 ก.พ. 67) ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ โพสต์ภาพเมื่อเวลาประมาณ 22.00 น. ระบุว่า เกิดเหตุผู้โดยสารคนหนึ่งเกิดอาการตื่นตระหนก (Panic) บนเที่ยวบินที่กำลังจะออกเดินทางจากท่าอากาศยานเชียงใหม่ มายังท่าอากาศยานดอนเมือง และลุกขึ้นพยายามเปิดประตู ทำให้เครื่องบินไม่สามารถออกเดินทางได้

ทีมข่าวไทยพีบีเอสตรวจสอบพบว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว มีเที่ยวบินจำนวนมากอยู่ระหว่างเตรียมลงที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ หลายลำต้องบินวน เพื่อรอลงจอด ขณะที่บางลำเช่น สายการบินโคเรียนแอร์ ที่มาจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ต้องเปลี่ยนมาลงที่สุวรรณภูมิแทน หรือบางลำเปลี่ยนไปลงที่เวียงจันทน์ ประเทศลาว

ขณะที่เที่ยวบินขาออกจากสนามบินเชียงใหม่ บางเที่ยวบินสามารถออกเดินทางได้ โดยใช้ทางขับเคลื่อนเส้นอื่น และใช้ทางวิ่งที่สั้นลงในการบินขึ้น

ล่าสุด การบินไทยได้ออกมาชี้แจงเหตุที่เกิดขึ้นแล้ว โดยระบุว่าเที่ยวบินทีจี 121 เส้นทางเชียงใหม่-กรุงเทพฯ วันที่ 7 ก.พ.ทำการบินด้วยเครื่องบินแอร์บัส A 320 ขณะเครื่องบินอยู่ระหว่างไลน์ อัพ (line up) เพื่อรอทำการวิ่งขึ้นบนรันเวย์ มีผู้โดยสารเปิดประตูเครื่องบิน

หลังจากเจ้าหน้าที่ช่างได้ทำการตรวจสอบและแก้ไขตามมาตรฐานความปลอดภัยเรียบร้อยแล้ว จึงสามารถออกเดินทางได้ในเวลา 23.34 น. ของวันที่ 8 ก.พ. โดยผู้โดยสาร นักบินและลูกเรือ ทุกคนปลอดภัย

เหตุการณ์เปิดประตูเครื่องบินของผู้โดยสารบนเครื่อง เกิดขึ้นหลายครั้งในช่วงเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเดือน ม.ค. เมื่อวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา มีกรณีที่ผู้โดยสารเดินขึ้นเครื่องบินแต่กลับไม่ไปที่นั่ง แล้วไปเปิดประตูเครื่องบินฝั่งที่อยู่ตรงข้าม ตกลงไปบริเวณลานจอดจนได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดที่สนามบินโตรอนโต เพียร์สัน ประเทศแคนาดา

จากนั้นวันที่ 21 ม.ค.ยังมีกรณีผู้โดยสารสูงอายุที่พยายามเปิดประตูเครื่องบิน เที่ยวบินจากลอนดอน ไปโตรอนโต ขณะที่กำลังบินอยู่เหนือมหาสมุทรแอตแลนติก

นอกจากนี้ ในวันที่ 25 ม.ค.เกิดเหตุผู้โดยสารเปิดประตูเครื่องบินขณะกำลังจะบินขึ้น แล้วไปเดินอยู่บนปีก ที่ประเทศเม็กซิโก

ก่อนหน้านี้ ช่วงกลางเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ได้รายงานว่า พฤติกรรมของผู้โดยสารเครื่องบินที่ไม่เชื่อฟังกฎระเบียบ เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญช่วงหลังสถานการณ์โควิด-19

ข้อมูลจากสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) ที่รวบรวมตั้งแต่ปี 2022 ระบุว่าเหตุการณ์ก่อกวนของผู้โดยสารส่วนใหญ่ เกี่ยวข้องกับการที่ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด การใช้วาจา-คำพูดไม่สุภาพ และการมึนเมา ซึ่งแม้ว่าเหตุการณ์เหล่านี้อาจดูแรงไม่มาก แต่จัดว่าเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยในการบิน

'ร้านหมาล่า' เหงา!! บุฟเฟต์ดังตั้งประกบข้างๆ เผย!! ตลาดไม่แจ้งมาก่อน รับวิกฤตแต่ลงทุนไปแล้ว

(8 ก.พ.67) กระแสของ ‘ร้านสุกี้หมาล่า’ นับว่ามาแรงอย่างมากในประเทศไทย โดยเฉพาะในเมืองหลวง และย่านเศรษฐกิจที่มีหลายร้านเปิดใหม่

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Pichaya Kairos ได้โพสต์เรื่องราวลงในกลุ่มชาวลำลูกกา ที่มีสมาชิกกว่า 9.2 หมื่นคน เป็นภาพบรรยากาศของ 2 ร้านอาหารที่ตั้งอยู่ข้างกัน โดย ร้านหนึ่งเป็นร้านดัง ที่มีคิวลูกค้าต่อแถวออกมาล้นร้าน ขณะที่อีกร้านแทบจะไม่มีลูกค้าเลย

โดยผู้โพสต์ระบุว่า “ให้ภาพมันเล่าเรื่อง สู้ๆ นะครับ น่าเห็นใจมากๆ” กระทั่งต่อมาเจ้าของร้านสุกี้หมาล่าที่ไม่มีคิว ได้เข้ามาตอบคอมเมนต์เล่าว่า

“สวัสดีค่ะ จากร้านxxxสุกี้หม่าล่านะคะ

1. เราไม่เคยได้รับการแจ้งจากทางตลาดเลยว่าจะมีร้านดัง มาเปิดข้างๆ จนกระทั่งเราได้เปิดร้านลงทุนก่อสร้างร้านทุกอย่างแล้ว

2. จากที่เคยมีการลดค่าเช่าลง ตอนนี้ตลาดคิดค่าเช่าเต็มราคา ทางร้านขอร้องให้ลดราคา เพราะทางร้านลำบากจากการที่ตลาดเลือกให้ร้านดังมาเปิดข้างแบบนี้ แต่ตลาดไม่ลดราคาให้ค่ะ
ทางร้านกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต เพราะลงทุนก่อสร้างรวมตกแต่งบนพื้นที่ตลาดไปแล้วเกือบ 2 ล้านบาท

ขอคำเสนอแนะวิธีการจัดการจากผู้รู้ด้วยนะคะ ”

ภายหลังได้มีผู้เข้าไปแสดงความคิดเห็นและแนะนำเจ้าของร้านจำนวนมาก เช่นว่า อาจจะเปลี่ยนเป็นคาเฟ่ได้ หรือเปลี่ยนเป็นร้านไอติม ของหวาน ที่คนเข้าคิวรอร้านดังจะซื้อกินระหว่างนั่งรอคิว หรือทานเสร็จแล้ว เพราะไอติมราคาไม่แรง ซื้อกินง่าย

ขณะที่หลายคนก็เข้ามารีวิวร้านสุกี้หมาล่าว่าเคยไปกินมาแล้ว บริการดีมาก และชักชวนให้ไปช่วยอุดหนุนกัน แนะว่าอาจจะลองเปลี่ยนเป็นบุฟเฟต์ดู เป็นต้น

ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน ภาค 3 จัดฝึกอบรมหลักสูตรจิตอาสา 904 'หลักสูตรพื้นฐาน' รุ่นที่ 4

ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน ภาค 3 จัดการฝึกอบรมหลักสูตรจิตอาสา 904 'หลักสูตรพื้นฐาน' รุ่นที่ 4 ประจำปี 2567 มุ่งเน้นเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้เป็นแกนนำของประชาชนจิตอาสาร่วมสร้างจิตสำนึกให้กับคนในชาติและทำประโยชน์ให้กับสังคมส่วนรวม โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 ที่หอประชุมเดชะตุงคะ ศูนย์ฝึกจิตอาสา ภาค 3 กองบิน 41 จังหวัดเชียงใหม่ พลโท ประสาน แสงศิริรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 3/ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน ภาค 3 ในฐานะ ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกจิตอาสาภาค 3 เป็นประธานเปิดงานพิธีการฝึกอบรมหลักสูตรจิตอาสา 904 'หลักสูตรพื้นฐาน' (ภาค 3) รุ่นที่ 4 ประจำปี พ.ศ. 2567 โดยมี นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วย ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 รองแม่ทัพภาคที่ 3 ผู้บังคับหน่วยในพื้นที่ เข้าร่วมพิธี 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มีการฝึกอบรมหลักสูตรจิตอาสา 904 เพื่อผลิตจิตอาสา 904 ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการเป็นแกนนำของประชาชนจิตอาสาร่วมสร้างจิตสำนึกให้กับคนในชาติในการทำประโยชน์ให้กับสังคมส่วนรวม รวมทั้งเป็นตัวอย่างในการปลูกฝังทัศนคติที่ดี และเป็นต้นแบบให้กับเยาวชน ประชาชน ในเรื่องความเสียสละ ความมีระเบียบวินัย มีจิตสาธารณะ สร้างสรรค์สังคมโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ความจงรักภักดีที่ดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

โดยหลักสูตรจิตอาสา 905 'หลักสูตรพื้นฐาน' (ภาค 3 ) รุ่นที่ 4 ประจำปี 2567 นี้ มีผู้ได้รับคัดเลือกเข้าทำการฝึกศึกษา จำนวน 200 คน จาก 17 จังหวัดภาคเหนือ ประกอบด้วยนักเรียน นักศึกษาข้าราชการพลเรือน,ตำรวจ,ทหาร และภาคประชาชน โดยเป็นปีแรกที่มุ่งเน้นเยาวชนคนรุ่นใหม่ ทำการฝึกอบรม ระหว่าง วันที่ 7 ถึง 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2567 โดยฝึกทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ รวมทั้งการฟังบรรยายจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิระดับประเทศ 

ทั้งนี้ ระหว่างการฝึก ผู้เข้ารับการอบรมจะได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้านสถานที่ฝึก ที่พัก วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิในด้านต่าง ๆ และอาหารพระราชทาน จากพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และหลังจากผู้รับการฝึกได้สำเร็จการศึกษาแล้ว จะได้รับพระราชทานใบประกาศนียบัตร พร้อมทั้งเครื่องหมายหลักสูตรจิตอาสา 904 'หลักสูตรพื้นฐาน' ซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงความสามารถ พร้อมจะเป็นบุคลากรที่มีคุณค่าเพื่อการทำประโยชน์ให้กับส่วนรวมและประเทศชาติต่อไปในอนาคต ภายใต้ร่มพระบารมีอันแผ่ไพศาลแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและความจงรักภักดี

'สวนนงนุชพัทยา' ต้อนรับเทศกาลตรุษจีนปีมังกรทอง จัดขบวนช้างแสนรู้เชิดสิงโต อวยพรให้นักท่องเที่ยว

วันที่ 8 ก.พ.เวลา 09.00 น.สวนนงนุชพัทยาโดยคุณกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ได้จัดขบวนแห่ช้างเชิดสิงโต ต้อนรับเทศกาลตรุษจีน ประจำปี 2567 ขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ประกอบไปด้วยการจัดขบวนช้างเชิดสิงโต และยังมีเหล่าบรรดานางฟ้า นางสวรรค์ ออกมาร่ายรำอำนวยอวยพร และมีการแจกส้มจากน้องช้างเพื่อความเป็นสิริมงคลให้แก่นักท่องเที่ยว

โดยการกิจกรรมดังกล่าว จัดเพื่อเป็นเฉิลมฉลองเทศการตรุษจีนของชาวจีนและชาวไทยเชื่อสายจีน ซึ่งสวนนงนุชพัทยามีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเยี่ยมชมจากหลากหลายประเทศ กิจกรรมนี้ถือเป็นอีกหนึ่งเทศกาลที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว สร้างบรรยากาศความสนุกสนานครึกครื้น ให้กับผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม

ซึ่งการจัดขบวนแห่ใช้น้องช้างมากกว่า 10 เชือกและนักแสดงของสวนนงนุชพัทยาร่วมขบวน 60 คน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 ก.พ. - 11 ก.พ. 2567 สำหรับผู้ที่ต้องการมาเที่ยวชมมีโปรโมชั่นพิเศษ คนเกิดเดือนกุมภาพันธ์ ลดทันที 50 % สำหรับบัตรผ่านประตู ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปเข้าฟรีทุกวันศุกร์ เด็กความสูงไม่เกิน 140 ซม.ที่มากับครอบครัว และผู้พิการพร้อมผู้ติดตามเข้าฟรีทุกวัน ส่วนรอบการแสดงนงนุชโชว์และช้างแสนรู้ แสดงวันละ 4 รอบ เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ 08.00 น.- 18.00 น.

'ชาดา' เดือด!! บอกถ้ามีพฤติกรรมแบบ 'ตะวัน' อีกไม่เอาไว้แน่ ชี้!! ที่ยังไม่ดำเนินการ เพราะจะเป็นการระคายเคืองสถาบันฯ

(8 ก.พ.67) นายชาดา ไทย​เศรษฐ์​ รัฐมนตรี​ช่วยว่าการ​กระทรวง​มหาดไทย​ กล่าวถึงกรณี น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือตะวัน หนึ่งในแกนนำกลุ่มทะลุวัง มีส่วนร่วมในการขับรถและบีบแตรใส่ขบวนเสด็จ เมื่อวันที่ 4 ก.พ. ว่าอยากจะดำเนินการแต่ไม่กล้า เดี๋ยวจะเป็นการระคายเคืองสถาบันฯ แต่พฤติกรรมของเด็กแบบนี้ไม่ถูกต้อง ถ้ามีอีกไม่ยอม ไม่เอาไว้ อย่าลืมว่าตอนนี้คุณอยู่ระหว่างรอลงอาญา ถ้ามีอะไรขึ้นมาคุณจะติดคุก และข้อเท็จจริงขบวนเขาก็หลบให้ ไม่ได้ปิดทั้งถนนตามภาพที่เห็น จากสื่อมวลชนขบวนก็อยู่ริม จะไปอีกทางก็ได้แต่นี่คือหาเรื่อง

"ผมถือเป็นพฤติกรรมหาเรื่อง ซึ่งเป็นคนที่เนรคุณต่อแผ่นดิน อย่าคิดว่าเป็นเรื่องหล่อเรื่องเก่งนะครับ มันเป็นเรื่องที่ไประคายเคืองสถาบันหลักของประเทศ มันไม่ใช่เขามีทางให้ไปแต่ไม่ไปเอง ก่อกวน เป็นพฤติกรรมที่ก่อกวนและตั้งใจ ไม่ใช่ขบวนเสด็จจะไปขวางเขาซะเมื่อไหร่ ตามรูปที่ดูจากคลิปก็หลบอยู่ทางฝั่งขวา ทางซ้ายไปได้ แต่นี่คือพฤติกรรมหาเรื่อง เป็นสิ่งที่ไม่งาม ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง หรือว่าคุณทำเรื่องไม่ถูกต้อง เท่ากับคุณไปด่าพ่อด่าแม่ตัวเองนะเนี่ย" นายชาดา กล่าว

นายชาดา กล่าวด้วยว่า พฤติกรรมแบบนี้ใช้ไม่ได้ และคงไม่ปล่อยให้เกิดขึ้นอีก ไม่ยอมแล้ว มีปัญหาแน่ ไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับผืนแผ่นดินไทยแน่นอน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top