Thursday, 5 June 2025
NewsFeed

'หยก' ลงชิงประธานสภาเด็กฯ เขตพระนคร โหวต 16 ก.พ.นี้ มีผู้สมัคร 4 คนให้เลือก

(7 ก.พ. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊กสำนักงานเขตพระนคร ได้เปิดเผยรายชื่อ แคนดิเดต ในการเลือกตั้งประธานสภาเด็กและเยาวชนเขตพระนคร และขอเชิญชวนเด็กและเยาวชนเขตพระนคร แสดงตนใช้สิทธิเลือกตั้งประธานสภาเด็กและเยาวชนเขตพระนคร ได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 และใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2567 (08.00-17.00 น.)

สำหรับคุณสมบัติผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีดังนี้

1.อายุไม่เกิน 25 ปี
2.มีชื่อตามทะเบียนบ้านในเขตพระนคร
3.ลงทะเบียนยืนยันสิทธิ ภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ (ตาม QR code) ที่แนบมาพร้อมนี้
ร่วมแสดงพลังเยาวชนใช้สิทธิเลือกตั้งประธานสภาเด็กและเยาวชนเขตพระนคร โดยการเลือกจากผู้สมัคร 4 คน สามารถดูลิงก์ Tiktok แนะนำตนเอง+แสดง

โดย 1 ในผู้สมัครประธานคณะบริหารสภาเด็กและเยาวชนเขตพระนคร ปรากฏชื่อ น.ส.ธนลภย์ ผลัญชัย หรือ หยก ด้วย

เจ้าของไอเดีย ‘กางเกงแมวโคราช’ ไม่หวั่น!! ‘จีน’ เลียนแบบ เชื่อ!! ของแท้ต้องผลิตที่ไทยเท่านั้น สินค้าถึงจะคุณภาพดี

(7 ก.พ. 67) กรณีที่กางเกงช้าง กางเกงแมว ซึ่งถือว่าเป็นสินค้าซอฟต์พาวเวอร์ไทย ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ ซื้อไปสวมใส่กันเป็นจำนวนมาก กลายเป็นกระแสนิยมโด่งดังไปทั่วโลก จนมีพ่อค้าชาวจีนหัวใสนำไปผลิตที่โรงงานในประเทศจีน ซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่า แล้วนำมาขายให้กับนักท่องเที่ยว ตามตลาดนัดหรือแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ในประเทศไทย โดยมีราคาต่ำกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยอย่างมาก จนเป็นกระแสดรามาเรื่องลิขสิทธิ์ และผลประโยชน์ที่คนไทยจะได้รับน้อยกว่าคนจีนอยู่ในขณะนี้นั้น

ล่าสุดนายภพ ไตรบัญญัติกุล กรรมการหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา ฝ่ายธุรกิจต่างประเทศและการลงทุน เจ้าของไอเดียโครงการประกวดลายโคราชโมโนแกรม ซึ่งได้นำผลงานชนะเลิศจากการประกวดมาทำเป็นกางเกงแมวต้นแบบเป็นคนแรก จนได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ กลายเป็นกระแสโด่งดังไปทั่วโลก กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า โดยส่วนตัวแล้วมองว่าในโลกยุคทุนนิยม การที่สินค้าชนิดใด มีคุณภาพดี เด่น ดัง ก็ย่อมเป็นเป้าหมายของคนที่จะนำไปลอกเลียนแบบเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่ได้ไปลดทอนคุณค่าสินค้าของแท้ได้ ซึ่งลายโคราชโมโนแกรมที่นำไปทำเป็นกางเกงแมว ก็เช่นกัน ถ้าเป็นของแท้ต้องผลิตจากเมืองไทยเท่านั้น จึงจะได้คุณภาพที่ดี

ทั้งนี้ ในส่วนเรื่องลิขสิทธิ์ เราได้จดลิขสิทธิ์ไว้แล้ว เพื่อป้องกันการแอบอ้าง และให้การท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดนครราชสีมา เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์ไว้ แต่การนำไปใช้ เราเปิดให้ทุกคนสามารถโหลดลายนี้ไปใช้ทำสินค้าได้โดยเสรี ไม่หวงลิขสิทธิ์แต่อย่างใด ดังนั้นจะเป็นคนไทยหรือคนจีน ก็สามารถนำไปใช้ผลิตสินค้าได้ ซึ่งส่วนนี้ก็ยอมรับว่าจีนมีต้นทุนที่ถูกกว่าไทยอยู่แล้ว แต่คุณภาพจะสู้ของไทยไม่ได้ ตนเองมองว่าทุกอย่างมีได้ก็ต้องมีเสีย เรื่องกางเกงแมวก็เช่นกัน เชื่อว่าเราได้มากกว่าเสีย เพราะวัตถุประสงค์หลักของลายโคราชโมโนแกรม โฟกัสไปที่การประชาสัมพันธ์จังหวัดเป็นหลัก โดยลวดลายจะมีการออกแบบจากของดีที่อยู่ในจังหวัดนครราชสีมา เช่น ซุ้มประตูเมือง กำแพงเมือง ฐานตั้งอนุสาวรีย์ย่าโม แมวสีสวาด ผัดหมี่โคราช และดอกสาธร ที่เป็นดอกไม้ประจำจังหวัดนครราชสีมา ดังนั้นคนที่สวมใส่กางเกงแมวก็จะมีลวดลายเหล่านี้ติดตัวไปด้วย และถ้าเขาอยากรู้ว่ามันเป็นลายอะไร ก็จะได้ค้นหาและในที่สุดก็จะรู้ว่าแต่ละลายมีความหมายว่าอะไร อยู่ที่ไหน สิ่งเหล่านี้ประเมินเป็นมูลค่าทางการตลาดที่สูงมาก ที่จังหวัดนครราชสีมาจะได้รับกลับมา ซึ่งในอนาคตทางหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา ก็ได้นำลวดลายเหล่านี้ มาพัฒนาต่อยอดให้ผู้ประกอบการในพื้นที่ใช้ทำสินค้า หรือบริการอื่นๆ ต่อไป

เช็กพฤติกรรมผู้อ่าน LINE TODAY ปี 2023 แต่ละวัย ชอบคอนเทนต์แบบไหนกันนะ!!

LINE TODAY เปิดอินไซต์พฤติกรรมบริโภคคอนเทนต์  - ข่าวสารของคนไทยบนแพลตฟอร์มในรอบปีที่ผ่านมา พบ ‘การเมือง - ดวง - บันเทิง’ ครองหมวดเนื้อหามาแรงที่สุด พร้อมเผยความชอบตามช่วงวัย พบผู้อ่านวัยต่ำกว่า 30 ปีสนใจชอบ ‘บันเทิงเอเชีย’ ขณะที่ก็ตื่นตัวเรื่องการเมืองไม่แพ้กัน 

>>ท็อป 3 หมวดคอนเทนต์คนไทยนิยมเสพในรอบปี  

1) การเมือง การเลือกตั้งในปีที่ผ่านมาถือเป็นวาระสำคัญของประเทศที่ทำให้เรื่องการเมืองอยู่ในความสนใจของคนทุกช่วงวัย ตามด้วยเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องเกิดขึ้นต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เรียกได้ว่าร้อนระอุแบบไม่แผ่ว ส่งให้คอนเทนต์การเมืองถูกอ่านรวมกว่า 514 ล้านวิว นอกจากนั้น ยอดวิวการเข้าชมไลฟ์นับผลคะแนนเลือกตั้งยังพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์กว่า 5.4 ล้านวิว โดยบุคคลและคำสำคัญที่ถูกคลิกอ่านมากที่สุด ได้แก่ ‘ก้าวไกล - พิธา - ทักษิณกลับไทย - ดิจิทัลวอลเล็ต และ สมรสเท่าเทียม’ 

2) ดวงชะตาราศี เป็นหมวดที่ไม่เคยหลุดออกจากความสนใจคนไทยไม่ว่าจะปีไหน โดยผู้ใช้งานนิยมติดตามคอนเทนต์ดวงประจำวัน สีมงคล เสี่ยงเซียมซี และตรวจดวงชะตาจากคำทำนายจากหมอดูชื่อดัง รวมมียอดวิวมากถึง 473 ล้านครั้ง โดยหมอดูที่ผู้อ่านโหวตชื่นชอบที่สุดได้แก่ ‘หมอไก่ พ.พาทินี’

3) บันเทิง หมวดเนื้อหาที่มาพร้อมกับความสนุกในทุกแง่มุมของวงการบันเทิง จึงไม่แปลกใจที่จะอยู่ในความสนใจคนทุกช่วงวัย ซึ่งเฉพาะบันเทิงไทยหมวดเดียวก็มียอดวิวรวมกว่า 316 ล้านวิว นอกจากนี้ ‘ลิซ่า แบล็กพิงค์’ และ ‘แอฟ ทักษอร’ ยังรั้งตำแหน่งคนบันเทิงที่มีเรื่องราวถูกติดตามอ่านมากที่สุด 

ขณะที่คอนเทนต์เกี่ยวกับภาพยนตร์ที่ถูกอ่านมากที่สุด ได้แก่ ‘สัปเหร่อ’ และละครไทย ได้แก่ ‘พรหมลิขิต’ ที่มีประเด็นร้อนหลายแง่ตั้งแต่ต้นจนจบ ด้าน ‘พีพี กฤษฏ์ - บิวกิ้น พุฒิพงศ์’ ครองโหวตศิลปินแห่งปี ​และฝั่ง ‘นางงาม’ หัวข้อที่คึกคักไม่แพ้กัน เพราะมีการเข้าชมไลฟ์ Miss Universe Thailand 2023 รวมกว่า 1.5 ล้านวิว โดย ‘แอนโทเนีย โพซิ้ว’ ซิวมง ‘ข่าวบันเทิงแห่งปี’ และ ‘อิงฟ้า วราหะ’ คว้าตำแหน่ง ‘แฮชแท็กแห่งปี’ จากคะแนนโหวต 

นอกจากนี้ ยังพบว่าคอนเทนต์หมวด ‘สุขภาพ’ มีการเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยผู้ใช้งานติดตามบทความเกี่ยวกับสุขภาพจิตและการดูแลตนเอง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับฝุ่น PM2.5 ที่อยู่ในความกังวลคนไทยอย่างต่อเนื่อง มียอดอ่านมากถึง 187 ล้านวิว จากเฉพาะเรื่องฝุ่น

>>เผยพฤติกรรมผู้อ่านจากระบบ AI ช่วงวัยไหน ชอบอ่านอะไร 

-กลุ่มผู้อ่านอายุต่ำกว่า 20 ปี สนใจเนื้อหาบันเทิง และ ข่าวทั่วไป เป็นสัดส่วนถึง 80% ของเนื้อหาที่คนกลุ่มนี้บริโภค 

-กลุ่มผู้อ่านอายุ 20 - 30 ปี สนใจเนื้อหาบันเทิงมากที่สุด โดยเฉพาะ “บันเทิงเอเชีย” แต่ก็ตื่นตัวติดตามเรื่องการเมืองเพิ่มขึ้นถึง 67% ในเวลาเดียวกัน  

-กลุ่มผู้อ่านอายุ 30 - 40 ปีขึ้นไป สนใจคอนเทนต์ดวงชะตาราศี ลอตเตอรี่ ไลฟ์สไตล์-กินเที่ยว

-กลุ่มผู้อ่านวัย 50 ปีขึ้นไป เป็นกลุ่มวัยที่มีความสนใจโดยเฉลี่ยหลากหลายที่สุด ตั้งแต่เศรษฐกิจ กีฬา สังคม การเมือง ต่างประเทศ และบันเทิง

'โจ มณฑานี' เผย!! อุ่นใจกับบริการของโรงพยาบาลดัง หลังเจ้าหน้าที่ 'สุภาพ-อ่อนโยน-ว่องไว' ปลื้มใจแทน ผอ.

(7 ก.พ. 67) จากเฟซบุ๊ก ‘Jo Montanee’ โดยคุณโจ มณฑานี ตันติสุข นักเขียนและวิทยากรการเงิน ได้โพสต์ข้อความหลังมาตรวจสุขภาพที่ รพ.มงกุฎวัฒนะ โดยระบุว่า...

"ตอนนี้พี่โจอยู่ รพ.มงกุฎวัฒนะ มาตรวจนิ้วหักและตรวจต้อพร้อมกัน จนท.ทุกแผนกอ่อนโยน สุภาพ ว่องไว นพ.เหรียญทองท่านต้องภูมิใจแน่ค่ะ❤️"

ขณะที่ด้าน พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ได้เข้ามาตอบว่า...

"ขอบคุณคุณโจที่ให้เกียรติมาใช้บริการ รพ.มงกุฎวัฒนะเป็นอย่างมากครับ พวกเราทุกคนภูมิใจที่ได้ให้บริการคุณโจโดยไม่ได้รู้การล่วงหน้า และขอให้คุณโจหายไวๆ นะครับ"

จับตา!! กลไกรัฐจีน สั่งการกองทุน Central Huijin กระหน่ำซื้อหุ้น+กองทุน ETF ในตลาดทุนมากขึ้น

(7 ก.พ. 67) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจจีน คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

“🇨🇳 Visible Hand กลไกรัฐจีนทำงานหนัก!! สั่งการให้ Central Huijin ของรัฐบาลจีนกระหน่ำซื้อหุ้น+กองทุน ETF ในตลาดทุนมากขึ้น”

#หุ้นจีน 🇨🇳 ปรับแดนบวก 07.02.2024 เพราะมือที่มองเห็นในจีน!! 

คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์จีน (CSRC) 🇨🇳 ประกาศสนับสนุนให้บริษัท Central Huijin Investment (เซ็นทรัล หุยจิน) บริษัทด้านการลงทุนของรัฐบาลจีนเข้าซื้อกองทุน ETF : Exchange-Traded Funds และซื้อหุ้นในตลาดมากขึ้น เพื่อสนับสนุนตลาดหุ้นภายในประเทศ

Central Huijin Investment Co., Ltd. คือ บริษัทลงทุนของทางการจีน (พรรคคอมมิวนิสต์จีน) 🇨🇳 ตั้งมานานแล้ว ตั้งแต่ปี 2003 โดยอยู่ในสังกัดของกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของจีน (Sovereign Wealth Fund ) ที่ใช้ชื่อว่า กองทุน CIC : China Investment Corporation 

กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ CIC เป็นกองทุนสถาบันที่มีรัฐบาลจีนเป็นเจ้าของ โดยการนำทุนสำรอง reserves หรือรายได้ของประเทศบางส่วนมาฝากไว้กับกองทุน เพื่อหาผลตอบแทน

ในปัจจุบัน Central Huijin ของทางการจีนได้เข้าไปถือหุ้นในธนาคารและสถาบันการเงินสำคัญต่าง ๆ ของจีนกว่า 17 แห่ง เช่น  ธนาคาร Big Four ทั้งสี่ของจีน และธนาคารอื่น ๆ รวมทั้งถือหุ้นในบริษัทประกันต่าง ๆ และถือหุ้นในบิ๊กเทคจีน เช่น Alibaba!!

Central Huijin จึงถือเป็นอีกกลไกรัฐของจีนในการเข้าไปมีบทบาท (พยุง) ตลาดทุนและสถาบันการเงินสำคัญของจีน เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงิน  

#มือที่มองเห็นของจีน 🇨🇳 #กลไกรัฐ

2 มหาวิทยาลัยดังสิงคโปร์ เตรียมเก็บค่าเข้าชมพื้นที่ หลังคณะทัวร์ล้นทะลัก กระทบชีวิตนักศึกษาหลายด้าน

(7 ก.พ. 67) กลายเป็นกระแสทั่วโซเชียล เมื่อมหาวิทยาลัยชื่อดังของสิงคโปร์ออกกฎ ‘เก็บเงินค่าเข้าชม’ หลังนักท่องเที่ยวแห่เข้ามาเยี่ยมชมในพื้นที่มหาวิทยาลัย จนส่งผลกระทบต่อนักศึกษา

มหาวิทยาลัยชื่อดังของสิงคโปร์ 2 แห่ง ได้แก่ Nanyang Technological University (NTU) และ National University of Singapore (NUS) เจอสถานการณ์ ‘ทัวร์ลง’ ของจริง จนต้องออกมาตรการเพื่อลดจำนวนคณะทัวร์ที่จะเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่

สำนักข่าว South China Morning Post (SCMP) รายงานว่า มหาวิทยาลัยดังทั้งสองแห่งเผชิญปัญหาเดียวกันในระยะหลัง คือมีคณะทัวร์เข้ามาเป็นคันรถจนทำให้การจราจรติดขัด และไม่ใช่แค่ชมภายนอกอาคาร แต่ลามเข้าไปถึงในภายใน 

นักท่องเที่ยวมักจะเข้ามาดูและถ่ายรูปในพื้นที่อ่านหนังสือ ส่งเสียงดังภายในอาคารจนรบกวนสมาธิ แม้กระทั่งเนียนเข้าไปนั่งฟังเลคเชอร์ในห้องเรียน และที่หนักที่สุดคือนักท่องเที่ยวจะต่อคิวร่วมกินข้าวเที่ยงในโรงอาหารด้วย จนนักศึกษาต้องรอคิวซื้อข้าวเป็นชั่วโมง และนักท่องเที่ยวยังร่วมใช้รถชัตเติลบัสภายในวิทยาเขต ทำให้ที่นั่งเต็ม นักศึกษาต้องรอคิวขึ้นรถ ทั้งหมดนี้ทำให้นักศึกษาไม่สะดวกในการจัดการเวลาและเข้าเรียนสาย

เหตุการณ์ปั่นป่วนเริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ปลายปี 2023 จนทำให้ NTU ออกกฎใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2024 เอเยนซีทัวร์ทั้งหลายที่จะพาทัวร์มาลงในวิทยาเขตจะต้องขออนุญาตมหาวิทยาลัยก่อน และต้องลงทะเบียนคณะทัวร์ผ่านช่องทางออนไลน์ มีการจองตารางเข้าชมล่วงหน้า 

รวมถึงต่อไป NTU จะเก็บ ‘ค่าเข้าชม’ เพื่อใช้บำรุงรักษาสถานที่ และเป็นการควบคุมจำนวนพาหนะเข้าออกพื้นที่ โดยขณะนี้ยังไม่ประกาศราคาและเงื่อนไข

บริษัททัวร์หลายแห่งให้สัมภาษณ์กับ SCMP ว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่ต้องการทัวร์มหาวิทยาลัยมักจะมาจาก ‘จีน’ และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เหตุเพราะพ่อแม่ผู้ปกครองต้องการจะพาลูก ๆ วัยประถมถึงมัธยมมาเพื่อ ‘สัมผัสประสบการณ์ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย’ ที่มีชื่อเสียงอันดับต้น ๆ ของเอเชีย

Times Higher Education นิตยสารอังกฤษที่มักจะจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดทั่วโลกทุกปี เมื่อปี 2023 จัดอันดับ NUS เป็นอันดับ 3 ของเอเชียและอันดับ 19 ของโลก ส่วน NTU ถือเป็นอันดับ 5 ของเอเชียและอันดับ 36 ของโลก

นอกจากชื่อเสียงในด้านการศึกษาแล้ว ทั้งสองมหาวิทยาลัยยังโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมด้วย โดยเฉพาะ NTU ที่มีอาคารที่เป็นไอคอนอย่าง ‘The Hive’ อาคารที่มีรูปร่างเหมือนตะกร้าติ่มซำเรียงซ้อนกัน ทำให้ใคร ๆ ก็อยากเข้ามาถ่ายรูป

‘ทีมชาติไทย’ เจ๋ง!! พาผลงาน ‘บั้งไฟพญานาค’ คว้าที่ 2 จากเทศกาลแกะสลักหิมะซัปโปโร 2024 ประเทศญี่ปุ่น

(7 ก.พ. 67) นับเป็นข่าวดีของพี่น้องชาวไทย หลังทีมนักแกะสลักหิมะตัวแทนประเทศไทย พาผลงาน ‘The Naga Fireballs’ คว้ารางวัลรองชนะเลิศ จากการประกวดแข่งขัน ‘Sapporo International Snow Sculpture ครั้งที่ 48’ โดยนำเสนอตำนานบั้งไฟพญานาค พร้อมโชว์ความประณีตอ่อนช้อยของผลงานเชิงพุทธศิลป์แบบช่างศิลป์ไทยสู่สายตานานาชาติ

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท. ได้ส่งทีมแกะสสักหิมะตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมแข่งขันในงาน ‘International Snow Sculpture ครั้งที่ 48’ ซึ่งนับเป็นกิจกรรมไฮไลต์อย่างหนึ่งภายใต้เทศกาลหิมะ ‘Sapporo Snow Festival ครั้งที่ 74’ ณ เมืองซัปโปโร จังหวัดฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 3-7 กุมภาพันธ์ 2567

โดยนับเป็นงานเทศกาลหิมะที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น แต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางมาเข้าร่วมและเที่ยวชมงานกว่า 2 ล้านคน สำหรับในปีนี้เป็นการกลับมาจัดกิจกรรมแกะสลักหิมะอีกครั้ง ภายหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ซึ่ง ททท. เห็นเป็นโอกาสอันดีในการนำเสนอวัฒนธรรม ประเพณี และความเชื่อของไทยผ่านงานศิลปะการแกะสลักหิมะไปสู่สายตาชาวต่างชาติทั่วโลก ทั้งยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริม Soft Power ซึ่งจะสร้างภาพจำและความประทับใจ ตลอดจนแรงบันดาลใจในการเดินทางท่องเที่ยวมายังประเทศไทยอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ทีมตัวแทนประเทศไทยที่ ททท. สนับสนุนให้เข้าแข่งขันในปีนี้ คือทีมที่ได้สร้างชื่อเสียงมาแล้วหลายครั้ง ประกอบด้วย

- นายกุศล บุญกอบส่งเสริม จากโรงแรมแชง-กรีล่า
- นายอำนวยศักดิ์ ศรีสุข นักแกะสลักอิสระ
- นายกฤษณะ วงศ์เทศ นักแกะสลักอิสระ

โดยร่วมเข้าแข่งขันกับตัวแทนจากต่างประเทศต่างๆ รวม 9 ทีม ได้แก่ ฮาวาย (สหรัฐอเมริกา) อินโดนีเซีย โปแลนด์ สิงคโปร์ พอร์ทแลนด์ (สหรัฐอเมริกา) ลิทัวเนีย มองโกเลีย เกาหลีใต้ และประเทศไทย

ในการแข่งขันแกะสลักหิมะครั้งนี้ ทีมแกะสลักหิมะตัวแทนประเทศไทยได้นำเสนอผลงานที่ชื่อว่า ‘The Naga Fireballs’ หรือ ‘บั้งไฟพญานาค’ โดยสร้างสรรค์ขึ้นจากเรื่องราวและความเชื่อเกี่ยวกับพญานาคในรูปแบบของคนไทย

ผลงานนี้เล่าเรื่องราวของพญานาคในบริบทของความเชื่อทางพุทธศาสนาและถูกสืบสานผ่านตำนานบั้งไฟพญานาคที่คนท้องถิ่นในภาคอีสานเชื่อว่าพญานาคเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำโขงและพญานาคในแม่น้ำโขงเป็นผู้จุดบั้งไฟนี้เพื่อบูชาพระพุทธเจ้าในวันออกพรรษา

นอกจากเรื่องความเชื่อและความศรัทธาแล้วพญานาคในผลงานชิ้นนี้จึงยังสะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างสายน้ำ วิถีชีวิต และวัฒนธรรมของคนไทย นอกจากนี้ ทีมช่างแกะสลักยังตั้งใจออกแบบและแกะสลักลวดลายให้ละเอียดอ่อนประณีต เพื่อนำเสนอความสวยงามของจิตรกรรมและประติมากรรมเชิงพุทธศิลป์แบบไทย

การส่งตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันแกะสลักหิมะ เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ ททท. สนับสนุนมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2534 โดยครั้งนี้นับเป็นการส่งตัวแทนเข้าแข่งขันครั้งที่ 21
โดยการที่ช่างแกะสลักตัวแทนประเทศไทยได้รับรางวัลชนะเลิศ (Champion) รวมทั้งสิ้น 9 ครั้ง และคว้ารางวัลชนะเลิศติดต่อกัน 3 ปีซ้อน (Grand Champion) จำนวนถึง 2 ครั้ง อย่างที่ไม่มีตัวแทนของประเทศอื่นสามารถทำได้มาก่อน

ถือเป็นเครื่องพิสูจน์อย่างชัดเจนถึงความสามารถของช่างศิลป์ไทย และเป็นการเผยแพร่เอกลักษณ์งานศิลป์แบบไทยที่เป็นภูมิปัญญาสืบทอดกันมาแต่ช้านานผ่านงานเทศกาลระดับโลก

นอกจากนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทีมตัวแทนประเทศไทยยังได้รับความสนใจอย่างมากจากชาวญี่ปุ่นผู้ติดตามให้กำลังใจ ตลอดจนสื่อมวลชนของญี่ปุ่นและต่างประเทศ

โดยในปีนี้ สำนักข่าว NHK WORLD-JAPAN และ TV Asahi ได้เตรียมนำเสนอเนื้อหาพิเศษเกี่ยวกับทีมแกะสลักหิมะไทยเพื่อเผยแพร่ไปยังผู้ชมชาวญี่ปุ่นทั่วประเทศ รวมถึงยังมีการนำเสนอผ่าน Hokkaido Newspaper ที่มียอดตีพิมพ์ 800,000 ฉบับต่อวัน ถือเป็นการสร้างชื่อเสียงและช่วยดึงดูดชาวญี่ปุ่นให้สนใจมาท่องเที่ยวประเทศไทยได้ในอนาคตด้วย

ทั้งนี้ ตลาดนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นถือเป็นตลาดนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพของไทย โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเดินทางเข้าประเทศไทยกว่า 800,000 คน เติบโตร้อยละ 180 เมื่อเทียบกับปี 2565 ซึ่งติด 10 อันดับประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยสูงที่สุดในปี 256

พันตรี ‘Deeksha C. Mududevan’ นายทหารหญิงสุดแกร่ง ฝ่าฟันอุปสรรค กลายเป็น ‘นักรบพิเศษหญิง’ คนแรกแห่งกองทัพบกอินเดีย

การเป็นทหารหญิงในกองทัพอินเดียถือเป็นความยากลำบากมากมายแล้ว แต่การสมัครเข้ารับการทดสอบเพื่อคัดเลือกเข้าฝึกในหลักสูตรนักรบพิเศษ (Balidan) ของกองทัพบกอินเดียถือเป็นความยากลำบากที่มากกว่าปกติธรรมดามากมายหลายเท่า เมื่อภาพของพันตรี ‘Deeksha’ นายทหารหญิงแห่งกองทัพบกอินเดียประดับเครื่องหมาย Balidan อันทรงเกียรติในระหว่างขบวนพาเหรดวันสาธารณรัฐปี 2024 เผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตจึงเป็นที่ฮือฮาในสังคมอินเดียเป็นอันมาก เพราะเกียรติยศที่หาได้ยากนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความทุ่มเทและการทำงานหนักของเธอในกองทัพ อันแสดงถึงความสามารถ ความเข้มแข็ง และความอดทนเพื่อให้การผ่านการคัดเลือกและฝึกฝนอันโหดทรหดที่สุดของกองทัพบกอินเดียเพื่อที่จะเป็น ‘นักรบพิเศษ’ 

เรื่องราวของพันตรี Deeksha เป็นมากกว่าความสำเร็จของเธอ ด้วยความปรารถนาของเธอที่จะมุ่งมั่นที่จะตอบแทนประเทศชาติ ภาพของเธอที่เผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตกลายเป็นแรงจูงใจและกระตุ้นให้ชาวอินเดียในการเข้าร่วมกับกองทัพเป็นจำนวนมาก ผู้พวกเขาประกอบอาชีพในกองทัพ ทั้งนี้ พันตรี Deeksha มาจากเมือง Davangere รัฐ Karnataka เริ่มต้นจากการฝึกฝนอบรมใน National Cadet Corps (NCC) เข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรขั้นพื้นฐานสำหรับเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ (MOBC) ที่ Army Medical Corps Center ในเมืองลัคเนา ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตทหารอันน่าทึ่งของเธอ ต่อมาเข้าฝึกฝนอบรมในหลักสูตร CDS Exam OTA Online Coaching ในฐานะเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ในกองทัพบกอินเดีย 

ในที่สุดร้อยเอก Deeksha (ยศขณะนั้น) ก็ได้ประจำการในกองพันทหารพลร่ม (กองกำลังรบพิเศษ) บทบาทของเธอมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเธอได้ฝึกฝนร่วมกับกองกำลังรบพิเศษ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างปฏิบัติการพิเศษ ความท้าทายหลักประการแรกของร้อยเอก Deeksha คือความพยายามของเธอในการเข้าร่วมกรมทหารพลร่ม แม้ว่าในตอนแรกจะถูกปฏิเสธสองครั้งเนื่องจากข้อจำกัดทางกายภาพและการบาดเจ็บระหว่างความพยายามในครั้งที่สอง แต่ความมุ่งมั่นของเธอก็ไม่เคยสั่นคลอน ด้วยแรงบันดาลใจจากผู้บังคับบัญชาของเธอ พันเอก Shivesh Singh ทำให้เธออดทนอย่างหนัก และในที่สุดก็ประสบความสำเร็จในการได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของหน่วยพลร่ม และต่อมาเป็นกองกำลังพิเศษในเดือนธันวาคม 2022 หลังจากได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาลสนาม 303 ในเมือง Tangtse ของเขต Leh

พิธีมอบรางวัล Best in Physical training 
(หลักสูตรขั้นพื้นฐานสำหรับเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ MOBC)

ร้อยเอก Deeksha ต้องเผชิญและเอาชนะอุปสรรคมากมาย ความยืดหยุ่นและความมุ่งมั่นตั้งใจของเธอเป็นข้อพิสูจน์ถึงลักษณะนิสัยและความทุ่มเทของเธอในการรับใช้ประเทศชาติ ในความสำเร็จอันน่าทึ่งของเธอ ผู้ที่สนับสนุนและให้คำปรึกษาของเธอเป็นพิเศษคือ พันเอก Bindu Nair ซึ่งมีส่วนสำคัญในความสำเร็จของเธอ เนื่องจากการชี้แนะและการสนับสนุนของเขาทำให้เธอได้รับรางวัล Best in Physical training (หลักสูตรขั้นพื้นฐานสำหรับเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ MOBC) 

เรื่องราวของพันตรี Deeksha เป็นมากกว่าความสำเร็จของเธอ ด้วยปณิธานของเธอที่จะเข้าร่วมกองทัพอินเดียและรับใช้ชาติ เครื่องหมาย Balidan ที่เธอประดับไม่ได้เป็นเพียงความสำเร็จส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นของเธอและความเป็นไปได้ที่รออยู่ข้างหน้าสำหรับสตรีในกองทัพอินเดีย เมื่อเรื่องราวของเธอแพร่กระจายไปทั่วอินเทอร์เน็ต พันตรี Deeksha จึงถือเป็นแบบอย่างของสตรีอินเดียที่ทรงพลัง โดยแสดงให้เห็นว่าด้วยความอุตสาหะและความทุ่มเทของเธอ จนสามารถทำลายอุปสรรคและบรรลุสิ่งพิเศษได้ และได้รับการเลื่อนยศเป็นพันตรี และความสำเร็จของเธอในการประดับเครื่องหมาย Balidan ถือเป็นแรงบันดาลใจให้กับชาวอินเดียทุกคนที่มีความปรารถนาที่จะรับใช้ประเทศชาติอีกด้วย

โดยเครื่องหมาย Balidan ถือเป็นเครื่องหมายประดับที่มีเกียรติและมีความโดดเด่นสูงสุดของกองทัพอินเดีย โดยเฉพาะในกองกำลังพิเศษของกรมทหารพลร่ม เครื่องหมาย Balidan ถือเป็นตำแหน่งที่สำคัญในฐานะสัญลักษณ์แห่งความเสียสละขั้นสูงสุดและความกล้าหาญที่ปราศจากความย่อท้อ ต้นกำเนิดของเครื่องหมาย Balidan สามารถสืบย้อนไปถึงกองกำลังพิเศษชั้นยอดของกองทัพอินเดียที่รู้จักในชื่อ Parachute Regiment (กรมทหารพลร่ม) ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านทักษะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม การเคลื่อนกำลังที่รวดเร็ว และความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ แนวคิดเบื้องหลังเครื่องหมาย Balidan เกิดขึ้นเพื่อเป็นการให้เกียรติและยกย่องความเสียสละอันสูงสุดของทหารแห่งกองทัพอินเดียในการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งคำว่า ‘Balidan’ มาจากภาษาสันสกฤต โดย ‘Bali’ หมายถึงการเสียสละ และ ‘Dan’ หมายถึงเครื่องบูชา ดังนั้น เครื่องหมาย Balidan จึงสื่อถึงการกระทำอย่างไม่เห็นแก่ตัวในการสละชีวิตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ แสดงถึงความกล้าหาญ และการอุทิศตนของทหารที่ทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องอธิปไตยของอินเดีย การออกแบบและรูปลักษณ์ เครื่องหมาย Balidan ประกอบด้วยกริชคอมมานโดชี้ลง พร้อมด้วยปีกที่ยื่นขึ้นไปจากใบมีด นอกจากนี้ยังมีม้วนหนังสือวางทับอยู่บนใบมีด โดยแสดงคำจารึกว่า ‘Balidan’ ด้วยอักษรเทวนาครี

เครื่องหมาย Balidan ถือเป็นเครื่องหมายเกียรติยศสูงสุดของกองทัพอินเดีย ซึ่งสวมใส่โดยสมาชิกของกองกำลังพิเศษของกรมทหารพลร่มเท่านั้น ทหารพลร่มอินเดียทั้งหมดเป็นอาสาสมัคร โดยบางคนเข้าร่วมกับกรมทหารพลร่มโดยตรงหลังจากการสมัคร ในขณะที่อีกหลาย ๆ คนย้ายจากหน่วยอื่น ๆ ทั่วไป ในการเป็นสมาชิกกองกำลังพิเศษ จะต้องผ่านกระบวนการคัดเลือกที่เข้มงวด ในขั้นต้นทุกคนจะต้องมีคุณสมบัติเป็นพลร่มก่อนจึงจะสามารถเลือกเข้าสู่การคัดเลือกเป็นสมาชิกของกองกำลังพิเศษได้ การคัดเลือกจะดำเนินการปีละสองครั้งในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง และมีชื่อเสียงว่าเป็นหนึ่งในการฝึกอบรมที่ท้าทายและยาวนานที่สุดในโลก ซึ่งผู้สมัครจะต้องอดนอน อดทนต่อ ความอัปยศอดสู ความเหนื่อยล้า และความท้าทายที่รุนแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจ มีการรายงานการเสียชีวิตในระหว่างกระบวนการคัดเลือกและอัตราการลาออกสูงมาก โดยการคัดเลือกจะไม่เกิน 10% ของผู้สมัคร แม้ว่าจะผ่านกระบวนการคัดเลือกได้สำเร็จ แค่พวกเขาจะยังไม่ถือว่าเป็นสมาชิกกองกำลังพิเศษ กว่าพวกเขาจะสำเร็จ ‘หลักสูตร Balidan’ ระยะเวลาหนึ่งปี หากสามารถฝึกฝนจนผ่านพ้นจากช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ พวกเขาจะได้รับเครื่องหมาย Balidan และได้รับแต่งตั้งเข้าสู่กรมทหารพลร่มอย่างเป็นทางการ 

การประดับเครื่องหมาย Balidan เป็นข้อพิสูจน์ถึงความกล้าหาญที่ไม่ธรรมดาและความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ของเหล่าทหาร และทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจถึงการเสียสละของพวกเขา ทั้งยังเป็นวิธีในการทำให้ความทรงจำของพวกเขาคงอยู่ตลอดไป โดยทั่วไปตราจะติดไว้ที่กระเป๋าหน้าอกด้านขวาของเครื่องแบบ ใกล้กับหัวใจ ซึ่งบ่งบอกถึงความเชื่อมโยงชั่วนิรันดร์ระหว่างชาติและทหารพลร่ม อีกทั้ง เครื่องหมาย Balidan มีความสำคัญต่อความรู้สึกสำหรับครอบครัวของหน่วยรบพิเศษเป็นอย่างมาก ด้วยเครื่องหมาย Balidan ทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจและการปลอบโยน โดยเป็นสัญลักษณ์ที่จับต้องได้เพื่อเป็นเกียรติแก่การเสียสละของผู้เป็นที่รัก และเครื่องหมาย Balidan แสดงถึงความกตัญญูของประเทศชาติและเป็นสิ่งเตือนใจอยู่เสมอว่าหน้าที่และความเสียสละของพวกเขาจะไม่มีวันลืม เครื่องหมาย Balidan สัญลักษณ์แห่งความเสียสละ ความกล้าหาญ และการอุทิศตนที่ยั่งยืนในกองทัพอินเดีย เป็นสัญลักษณ์ของจิตวิญญาณอันเสียสละของทหารที่พร้อมเสียสละเพื่อชาติอย่างสูงสุด ด้วยการให้เกียรติในความทรงจำและรับทราบถึงความกล้าหาญของพวกเขา เครื่องหมาย Balidan จะรับประกันว่า มรดกของพวกเขาจะคงอยู่ต่อไป โดยสร้างแรงบันดาลใจให้กับทหารรุ่นต่อ ๆ ในการรับใช้ประเทศชาติด้วยเกียรติยศและความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างแน่วแน่

สำหรับบ้านเราแล้ว พลร่มหญิงรุ่นแรกถือกำเนิดในปี พ.ศ. 2507 ครบ 60 ปีพอดี โดยสังกัดศูนย์สงครามพิเศษหรือหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษในปัจจุบัน ทุกวันนี้นักรบหญิงไทยสังกัดกองกำลังทหารพรานแห่งกองทัพบกและกองกำลังทหารพรานนาวิกโยธินแห่งกองทัพเรือได้ปฏิบัติหน้าที่เยี่ยงนักรบชายในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้และพื้นที่ชายแดนทั่วประเทศไทย น่าเสียดายที่เหล่าทัพต่าง ๆ ห่วงใยนักรบหญิงมากจนเกินไป ทำให้ทหารหญิงของไทยส่วนใหญ่แล้วได้ปฏิบัติหน้าที่เพียงแต่งานธุรการและสนับสนุนการรบ อาทิ แพทย์ พยาบาล ในโลกยุคปัจจุบันเหล่าทัพต่าง ๆ ของไทยควรที่จะได้เปลี่ยนวิธีคิด โดยสนับสนุนให้ทหารหญิงมีบทบาทหน้าที่ในภารกิจหลักของกองทัพให้มากยิ่งขึ้นเพื่อให้เกิดความทัดเทียมและความเสมอภาคเฉกเช่นเดียวกับหลาย ๆ ประเทศ อันจะเป็นการสร้างเสริมความแข็งแกร่งให้กับหญิงไทยและสังคมไทยในภาพรวมต่อไป

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ

ฉะเชิงเทรา- บลูเทค ซิตี้ เปิดบ้านภูมิปัญญาสมุนไพร ป่าชายเลน สู่ Fashion Show Low Carbon” 

วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 นางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานผู้บริหารนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทคซิตี้ ต้อนรับคณะนักศึกษาและคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยศรีปทุม รวมทั้งนักเรียนและคุณครูจากโรงเรียนวัดเขาดิน มาศึกษาดูงาน ที่ศูนย์เรียนรู้ “ทุ่งสมุนไพรป่าชายเลน แห่งแรกในประเทศไทย” ภายใต้แนวคิด “จากภูมิปัญญาสมุนไพรป่าชายเลน สู่ Fashion Show Low Carbon” โดยภายในศูนย์เรียนรู้ มีกิจกรรมต่างๆให้ศึกษาดูงานมากมาย อาทิ กิจกรรมแปรรูปสมุนไพรเหงือกปลาหมอมาทำเป็นสบู่ กิจกรรมเพาะพันธุ์ลูกปูทะเล เชิญชวนเย็บใบจาก ทานอาหารจากป่าชายเลน และกิจกรรมทำผ้ามัดย้อม - มัดใจใบโพธิ์ทะเล ฯลฯ ณ ทุ่งสมุนไพรป่าชายเลน ต.เขาดิน อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา 

นางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานผู้บริหารนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทคซิตี้ เปิดเผยว่าบลูเทค ซิตี้ เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืนตั้งแต่รากฐาน ด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจ และด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สอดคล้องต่อการแก้ไขปัญหาไปพร้อมกับการพัฒนาแบบต่อยอด จึงได้จัดทำโครงการพัฒนาเป็นศูนย์เรียนรู้ “ทุ่งสมุนไพรป่าชายเลน แห่งแรกในประเทศไทย” โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างสมดุลทางสิ่งแวดล้อม ไปพร้อมกับการสร้างเศรษฐกิจชุมชน เกิดเป็นการท่องเที่ยวศึกษาดูงานในพื้นที่ พร้อมทั้งให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมกับพื้นที่ และเชิญร่วมเป็นปราชญ์ชาวบ้านที่มีความรู้ภูมิปัญญาสมุนไพรป่าชายเลน มาช่วยกันสอน ช่วยกันปลูก ช่วยกันแปรรูป และช่วยกันขาย ก่อเกิดอาชีพ เกิดรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก จากฐานทรัพยากรท้องถิ่น ที่จะเกิดกระบวนการผลิต การกิน การใช้ และในอนาคตก็จะมีการส่งเสริม สนับสนุนให้ผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากท้องถิ่น ได้ออกไปสู่สายตาภายนอก อาทิ ผ้ามัดย้อม - มัดใจใบโพธิ์ทะเล ผ้าย้อมสีธรรมชาติลดการใช้สีเคมี ใช้ผ้าเส้นใยธรรมชาติลดโลกร้อน ซึ่งบลูเทคซิตี้ฯจะต่อยอดโดยการจัดงานเดินแบบแฟชั่นโชว์ ร่วมกับมหาวิทยาลัยศรีปทุมวิทยาเขตชลบุรี และภาคีเครือข่าย นำเสนอมินิแฟชั่นโชว์ด้วยผ้าที่เกิดขึ้นภายในท้องถิ่น ในช่วงบ่ายนี้ ณ ศูนย์เรียนรู้นักออกแบบภูมิปัญญาท้องถิ่นร่วมสมัย มหาวิทยาลัยศรีปทุมวิทยาเขตชลบุรี ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ทีมงานทุกคนช่วยกันคิดและตั้งใจทำ เพื่อพัฒนาองค์กรให้ก้าวไปสู่ความยั่งยืน 

นางสาวกุลพรภัสร์ ได้เปิดเผยต่อว่า ในนามของทีมงานบลูเทคซิตี้ ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจ ทั้งนักเรียน นักศึกษา รวมถึงประชาชนทั่วไป สามารถเข้ามาศึกษาดูงานที่ศูนย์เรียนรู้ “ทุ่งสมุนไพรป่าชายเลน แห่งแรกประเทศไทย” กันให้เยอะๆ เพราะนอกจากจะอิ่มเอมไปกับประสบการณ์ ความรู้ ทักษะ และความสนุกสนานที่ได้ภายในศูนย์เรียนรู้ทุ่งสมุนไพรฯแล้ว ยังอิ่มท้องไปกับอาหารนานาชนิดจากป่าชายเลน ที่หลายท่านอาจไม่เคยได้ลิ้มรส ได้ที่ ศูนย์เรียนรู้ทุ่งสมุนไพรป่าชายเลน ต.เขาดิน อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งให้การต้อนรับ เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

วันนี้ (วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นาย สุทัศน์ เตชะวิบูลย์ รองประธานกรรมการ พร้อมด้วย นายสัก กอแสงเรือง รองประธานกรรมการ นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ และคณะกรรมการมูลนิธิฯ ให้การต้อนรับ นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย พร้อมด้วย นายอู๋ จื้อ อู่ อุปทูตสถานเอกอัครราชทูตฯ และคณะ ที่ได้เข้าพบคณะกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เนื่องในเทศกาลตรุษจีน ประจำปี 2567 และเยี่ยมชมมูลนิธิฯ โดยมี คณะผู้บริหาร พนักงาน และอาสาสมัครสัมพันธ์นานาชาติ  (อาสาสมัครจีนสัมพันธ์) ร่วมให้การต้อนรับ ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung  

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
#แอปพลิเคชันและสายด่วนป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top