Friday, 6 June 2025
NewsFeed

‘รมว.ปุ้ย’ เข้าหารือ ‘เจ้าการกระทรวงกลาโหม’ ส่งเสริม ‘อุตฯ ฮาลาล’ ใน 3 จว.ชายแดนภาคใต้

เมื่อวานนี้ (5 ก.พ.67) นางสาว พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เปิดเผยถึงสาระสำคัญในการเยือนกระทรวงกลาโหม เพื่อหารือประเด็นสำคัญเกี่ยวกับ ‘อุตสาหกรรมฮาลาล’ กับ นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่า ทางกระทรวงอุตสาหกรรมได้นำข้อราชการสำคัญเข้าหารือกับเจ้ากระทรวงกลาโหม ในประเด็นการเร่งผลักดันให้เกิดนิคมอุตสาหกรรมฮาลาล ในพื้นที่ภาคใต้ 

สืบเนื่องจากคุณลักษณะความเหมาะสมเชิงพื้นที่ มีพี่น้องชาวไทยมุสลิมจำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นแหล่งวัตถุดิบ ใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้านเช่นมาเลเซีย ตลาดใหญ่ของอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล ที่สำคัญพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ของไทย มีสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนจาก BOI สูงสุดได้ถึง 8 ปี ดังนั้นจึงมีความเหมาะสมการส่งเสริมการลงทุนอย่างมาก ทางกระทรวงฯ จึงได้เข้าหารือเพื่อขอรับความร่วมมือจากเจ้ากระทรวงกลาโหมในการสนับสนุนพัฒนาและความมั่นคงในเชิงพื้นที่ อันจะนำไปสู่ความสำเร็จแก่เศรษฐกิจ 3 จังหวัดชายแดนใต้ต่อไป

ทั้งนี้ รมว.ได้เผยอีกว่า “ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสดี เพราะนอกจากจะได้เข้าพบกับท่านสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแล้ว ก่อนหน้าไปพบท่านสุทินปุ้ยก็ได้ถือโอกาสเข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของประเทศไทย ที่คู่มากับกรุงรัตนโกสินทร์ ด้วยการเข้าไปสักการะศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร หลังจากนั้นไปสักการะหอเทพารักษ์ทั้ง 5 ซึ่งมีความเชื่อมาแต่โบราณว่าเทพารักษ์ทั้ง 5 เป็นเทพยดาผู้ปกป้องป้องบ้านเมืองของเรา อันมีพระเสื้อเมือง, พระทรงเมือง, เจ้าพ่อเจตคุปต์, พระกาฬไชยศรี, เจ้าหอกลอง โดยได้สักการะตามขั้นตอนประเพณีที่สืบกันมาอย่างครบครัน รวม 5 ขั้นตอน อานิสงส์ทั้งหลายที่ได้กระทำการมงคลนี้ ขอสำเร็จ สัมฤทธิ์ผลแด่พ่อแม่พี่น้องลุงป้าน้าอาทุกๆ ท่าน”

Thai SELECT หมุดเอกลักษณ์แห่งอาหารไทยแท้ที่ต่างชาติต้องปลื้ม แค่พบเห็น ก็การันตี 'รสชาติ-สุขภาพ-พิถีพิถัน-สะอาด'

ไม่นานมานี้ เอกอัครราชทูตอุรษา มงคลนาวิน และนางเมทินี ศิริสวัสดิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงวอร์ซอ ได้เดินทางไปมอบเกียรติบัตรตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ที่เมือง Wroclaw ให้แก่ร้านอาหารไทย 'Chai Thai' ซึ่งผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการว่าเป็นร้านอาหารไทยที่มีการขายอาหารที่มีความเป็นไทยแท้ รสชาติอาหารอร่อย มีบริการตามแบบฉบับไทย และมีบรรยากาศภายในร้านสะอาดสวยงามสะท้อนความเป็นไทย

ร้านอาหาร Chai Thai ตั้งอยู่ที่ถนน Waclawa Berenta 68/LU3 เมือง Wroclaw ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญของโปแลนด์ ห่างจากกรุงวอร์ซอไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศโปแลนด์ มีบริการอาหารไทยหลากหลายรูปแบบ ที่มาพร้อมกับรสชาติที่เข้มข้นและหอมสมุนไพรไทย ทุกเมนูมาจากวัตถุดิบที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน โดยใช้เทคนิคและเคล็ดลับอย่างพิถีพิถันจากเชฟไทย ทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์การกินอาหารไทยที่สนุกสนานและอร่อยที่สุด

ทั้งนี้จากข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ได้มีการระบุเพิ่มเติม ว่า...

1. ปัจจุบัน มีร้านอาหารไทยที่ได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT จากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ที่ตั้งอยู่ในประเทศโปแลนด์จำนวน 13 แห่ง โดยอยู่ในกรุงวอร์ซอจำนวน 5 แห่ง และกระจายอยู่ตามเมืองหลักของโปแลนด์ โดยในช่วง 1 - 2 ปีที่ผ่านมา มีร้านอาหารไทยในโปแลนด์ให้ความสนใจสมัครขอรับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะมีร้านอาหารไทยในโปแลนด์ที่ได้รับตราสัญลักษณ์ อีกไม่ต่ำกว่า 2 ร้านภายในปี 2567 นี้

2. ตราสัญลักษณ์ Thai SELECT จะช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคอาหารไทยว่า จะได้รับบริการอาหารไทย ซึ่งเป็นอาหารที่มีเอกลักษณ์และรสชาติเฉพาะตัว มีส่วนผสมและวัตถุดิบในการปรุงที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ มีความหลากหลาย จะทำให้ร้านอาหารไทยเป็นที่ยอมรับ ตลอดจน ส่งเสริมให้เกิดความนิยมบริโภคอาหารไทยอย่างยั่งยืน จึงควรมีการประชาสัมพันธ์กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาหารและเครื่องปรุงรสไทยในสื่อประเภทต่างๆ ของโปแลนด์มากขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างการรับรู้อาหารไทยและตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ของผู้บริโภคโปแลนด์ให้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ทุเรียนไทย VS ทุเรียนมาเลเซีย ตัดสินโดย ติ๊กต็อกสาวชาวเกาหลี

(6 ก.พ.67) ทุเรียนถือได้ว่าเป็นราชาแห่งผลไม้ และก็มีถิ่นกำเนิดอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งทุเรียนก็มีอยู่หลากหลายพันธุ์ทั่วทั้งภูมิภาค แต่ตอนนี้ทุเรียนที่กำลังเป็นที่ต้องการ และโด่งดังมากที่สุด คือ ‘ทุเรียนมูซานคิง’ ของมาเลเซีย

อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแค่มาเลเซียเท่านั้น หากแต่ทุเรียนก็ยังถือเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของไทยด้วย ส่วนจะมีรสชาติที่ดีและถูกปากใครมากน้อยแค่ไหน อันนี้ก็แล้วแต่รสนิยม...

เพียงแต่ไม่นานมานี้ ก็มีคนมาลองตัดสินรสชาติของทุเรียนทั้ง 2 ประเทศให้แล้ว โดยติ๊กต็อกเกอร์สาวชาวเกาหลี ที่ใช้ชื่อว่า ‘Tara Choi’ ซึ่งอาศัยอยู่ในมาเลเซีย ได้ถ่ายคลิปการลองชิมทุเรียนไทยระหว่างที่ได้มาเที่ยวกรุงเทพฯ โดยเธอได้แชร์คลิปวีดีโอดังกล่าว และได้เปรียบเทียบระหว่างทุเรียนที่ซื้อในตลาดที่กรุงเทพฯ กับทุเรียนมาเลเซียที่เธอเคยกินมาหลายครั้งแล้ว 

ทั้งนี้ หลังจากที่ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอดังกล่าวก็กลายเป็นกระแสไวรัลขึ้นมาทันที โดยมียอดคนดูมากกว่า 708,800 ครั้ง และยอดไลก์ 36,200 ครั้ง ในเวลาเพียงแค่ 2 วัน ซึ่งภายในคลิปวิดีโอดังกล่าว สาว Tara กำลังยืนเลือกทุเรียนอยู่ และสุดท้ายเธอก็ได้ทุเรียนหมอนทองกลับมา แต่เธอถึงกับผงะทันทีเมื่อเห็นพนักงานที่ร้าน ได้ทำการตัดทุเรียนด้วยวิธีแปลกๆ

อย่างไรก็ตาม เธอก็ได้ซื้อมันกลับมายังห้องพักที่โรงแรมในกรุงเทพฯ เพื่อลองเอามากินดู เธอสังเกตเห็นว่าทุเรียนมีกลิ่นอ่อนกว่าและก็แห้งกว่าที่มาเลเซียเป็นอย่างมาก เธอยังอ้างอีกว่า "คนมาเลเซียหลายคนเคยบอกกับเธอว่า ทุเรียนไทยไม่อร่อยเลย" และหลังจากที่เธอได้ลองกัดไปคำหนึ่ง เธอก็ถึงกับพยักหน้า และบอกด้วยว่า “ตอนนี้ฉันเข้าใจในสิ่งที่ชาวมาเลเซียพูดเกี่ยวกับทุเรียนไทยแล้ว” และบอกอีกว่า “ทุเรียนไทยไม่อร่อย กลิ่นสี อ่อนกว่า อาจจะผลใหญ่กว่าแต่รสชาติสู้ของมาเลเซียไม่ได้” ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้ใจชาวเน็ตมาเลเซียไปเต็มๆ พร้อมทั้งมีสื่อมาเลเซียให้การแพร่สะพัดข่าวนี้จนเป็นเรื่องใหญ่

ทั้งนี้หากสำรวจถึงความเห็นชาวเน็ตมาเลเซียจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันในการชื่นชมทุเรียนมาเลเซียเป็นทิศทางเดียวกัน อาทิ…

“ทุเรียน ‘มูซานคิง’ ของมาเลเซีย คือทุเรียนดีที่สุด” 
“ทุเรียนไทยชอบเคลมว่าตัวเองดีที่สุด” 
“อย่าเสียเวลาไปลองชิมทุเรียนไทย มันไม่อร่อยหรอก” 
“ทุเรียนมาเลเซีย คือ ที่สุดแล้ว” 
“ทุเรียนของไทยชนะแค่ขนาดเท่านั้น” 
“ยอมรับว่าชอบทุกอย่างที่เกี่ยวกับประเทศไทยเลย แต่กับทุเรียนขอยกให้มาเลเซีย”
“คนไทยชอบตัดทุเรียนตั้งแต่ยังไม่สุก แล้วมันจะไปอร่อยได้อย่างไร”
“ถึงทุเรียนไทยจะสู้ไม่ได้ แต่อื่นๆ ในประเทศนี้ทั้งการท่องเที่ยว อาหาร วัฒนธรรมคือที่สุด”
“หากใครที่คุ้นเคยกับทุเรียนแบบมาเลเซีย ก็คงไม่แปลกที่จะไม่ชอบแบบของไทย”
“ส่วนตัวแล้วทุเรียนไทย ไม่อร่อยจริงๆ แถมยังแพงด้วย”

เหล่านี้ก็คือเสียงสะท้อนของชาวเน็ตจากฝั่งมาเลเซีย ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ว่ากัน เพราะถือเป็นรสนิยมในเรื่องของรสชาติที่ขอไม่ก้าวก่ายกัน…

นราธิวาส - มทภ.4 ลงพื้นที่ศูนย์ชุมชนบำบัด ( CBTx) บ้านสะโลว์ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส พร้อมส่งมอบบ้านแก่ประชาชนผู้ยากไร้ที่ประสบอุทกภัย

ที่ศูนย์ชุมชนบำบัด ( CBTx) บ้านสะโลว์ ตำบลมะรือโบตก อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส พลโท ศานติ  ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ลงพื้นที่ติดตามการปฏิบัติงานของศูนย์บำบัดฟื้นฟูบุคคล เยาวชน ที่ยุ่งเกี่ยวยาเสพติดโดยชุมชนมีส่วนร่วม โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ทหาร ตำรวจ ประชาชนในพื้นที่ให้การต้อนรับ

โดย นาย อับดุลรอฮิม  เจ๊ะโซ๊ะ นายกเทศมนตรีตำบลมะรือโบตก เปิดเผยศูนย์ฯ แห่งนี้มีผู้ติดยาเสพติด กว่า 90 ราย เข้ารับการบำบัด รักษา ปัจจุบันมีเยาวชนจำนวน 12 ราย ได้ผ่านการรักษา คืนเยาวชนผู้บริสุทธิ์สู่อ้อมกอดของครอบครัว ชุมชนในพื้นที่

โอกาสนี้ พลโท ศานติ ศกุนตนาค ระบุว่า มีความภูมิใจ มั่นใจ ในการบูรณาการทำงานของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะครอบครัว และประชานชนในพื้นที่ที่ให้ความสำคัญและขับเคลื่อนให้ชุมชนแห่งนี้เป็นพื้นที่สีขาวได้เป็นอย่างดี พร้อมขอบคุณในความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ และเป็นทีมงานที่เข้มแข็ง มีจิตอาสา คอยดูแลเยาวชนผู้หลงผิดกลับคืนคนดีสู่สังคม ตลอดจนชื่นชมศูนย์ชุมชนบำบัด ( CBTx) ได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาถ่ายทอดให้เยาวชน ประชาชนได้นำไปปฏิบัติ ต่อยอด สร้างอาชีพ เพิ่มแก่ตนเองและครอบครัว ยืนยันในฐานะหน่วยงานของรัฐภายใต้กองทัพบก และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วน พร้อมให้การสนับสนุนช่วยเหลือศูนย์ฯ แห่งนี้ อย่างเต็มขีดความสามารถ

พร้อมกันนี้ พลโท ศานติ  ศกุนตนาค ยังได้มอบใบประกาศนียบัตรแก่เยาวชนที่ผ่านการบำบัดรักษา และกล่าวให้กำลังใจแก่เด็กและเยาวชนได้ร่วมกันพัฒนาประเทศให้เป็นพื้นที่สีขาว ปลอดยาเสพติดอย่างยั่งยืน

จากนั้น พลโท ศานติ  ศกุนตนาค และคณะฯ ลงพื้นที่ชุมชนฮาปา ตำบลมะรือโบตก อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส เพื่อส่งมอบบ้านให้แก่ นาย มะ มะเซ็ง อายุ 73 ปี เป็นผู้ป่วยติดเตียง ซึ่ง เป็นผู้ยากไร้และเป็นผู้ประสบอุทกภัยน้ำท่วมที่ผ่านมา

โดยหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 45 ได้จัดกำลังพลจิตอาสาพร้อมยุทธกรอุปกรณ์ เข้าดำเนินการซ่อมแซมปรับระเบียง และบันไดหน้าบ้าน ที่ชำรุดเสียหายจากอุทกภัยที่เกิดขึ้น ด้าน นางสาว นาอีหมะ  มะเซ็ง บุตรีของ นาย มะฯ ได้ กล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม ที่หน่วยทหารไม่ทอดทิ้ง ให้ความสำคัญเร่งให้ความช่วยเหลือตั้งแต่เกิดเหตุ ระหว่างเกิดเหตุ และช่วยซ่อมแซมบ้านหลังดังกล่าวให้แก่ครอบครัวมะเซ็ง ยืน จะปฎิบัติหน้าที่เป็นลูกที่ดีและตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เพื่อให้เป็นผู้มีความรู้ มีความสามารถ ได้ดูแลครอบครัวให้มีความอยู่ดี กินดี และนำความรู้มาส่งเสริม และพัฒนาชุมชนต่อไป
ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร/อัสมา บินมะนุ จ.นราธิวาส

มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) ร่วมกับ สมาคมผู้สื่อข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย จัด ประชุมโฟกัส กรุ๊ป เรื่อง “สถานการณ์สุขภาวะสื่อมวลชนไทย ปี 2566 ”  

เปิดผลสำรวจสุขภาพสื่อไทยปี 66 พบคนทำสื่อ 27%มีโรคประจำตัวส่วนใหญ่เป็นภูมิแพ้ตามด้วยเบาหวาน 33%ไม่ได้ตรวจสุขภาพประจำปี  เกือบ10%ทำงานหนักมากกว่า10 ชั่วโมงต่อวัน สื่อ 90%ไม่สูบบุหรี่ไฟฟ้า แต่ส่วนใหญ่ยังดื่มแอลกอฮอล์อยู่ ด้านสมาคมวิชาชีพสื่อยอมรับสุขภาวะสื่อไทยติดลบ อนาคตสื่อไม่แน่นอน ผู้ทรงคุณวุฒิ สสส.หนุนทุกฝ่ายจับมือแก้ปัญหา                      

วันอังคารที่ 6 กุมภาพันธ์  2567 มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) ร่วมกับ สมาคมผู้สื่อข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย โดยการสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)  ได้จัด ประชุมโฟกัส กรุ๊ป เรื่อง “สถานการณ์สุขภาวะสื่อมวลชนไทย ปี 2566 ” เพื่อนำเสนอผลการสำรวจสถานการณ์สุขภาวะของสื่อมวลชน ณ ห้องซิลเวอร์ รูม 3   โรงแรมแกรนด์ฟอร์จูน  กรุงเทพฯ ดำเนินรายการโดย รศ.ดร.ณัฐนันท์  ศิริเจริญ  เลขาธิการมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ(มสส.)นายวิเชษฐ์  พิชัยรัตน์  ผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) กล่าวเปิดการประชุมว่าในรอบปี 2566 ที่ผ่านมามีข่าวเรื่องสื่อมวลชนประสบปัญหาด้านสุขภาพหลายกรณีและบางกรณีถึงกับเสียชีวิตในที่ทำงานอย่างเช่นพนักงานด้านการบันทึกข้อมูลผังรายการโทรทัศน์ของTNNช่อง 16 เสียชีวิตคาโต๊ะทำงานเมื่อวันที่ 4 ก.พ.2566 แม้จะมีการระบุว่ามาจากสาเหตุกล้ามเนื้อหัวใจตายแต่ด้านหนึ่งก็มาจากการทำงานหนักเกินไปมีเวลาพักผ่อนน้อย ซึ่งหลานสาวของผู้เสียชีวิตให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่าปกติเป็นคนแข็งแรงแต่มีการสูบบุหรี่และดื่มน้ำอัดลม ที่สำคัญคือทำงานสัปดาห์ละ 6 วันและ          
กลับดึกบางวันก็กลับเช้า หรืออย่างในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2562 ผู้สื่อข่าวหญิงชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจล้มเหลวเนื่องจากโหมทำงานล่วงเวลากว่า 159 ชั่วโมงภายใน 1 เดือน ซึ่งญี่ปุ่นเรียกว่าโรคคาโรชิซินโดรม คือการเสียชีวิตเพราะทำงานหนักมากเกินไป สสส.จึงสนับสนุนการทำงานของมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะในการดูแลสุขภาพของสื่อมวลชนและหวังว่าข้อมูลจากการสำรวจในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์กับสมาคมวิชาชีพสื่อในการทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรมในอนาคตต่อไป เช่น การตั้งกองทุนเพื่อดูแลสื่อมวลชนที่ประสบปัญหาด้านสุขภาพและความเดือดร้อนจากการทำงาน   

จากนั้นนายอภิวัชร์  เกตุทัต ประธานมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.)  แถลงผลการสำรวจสถานการณ์ ปัญหาสุขภาวะของสื่อมวลชนไทย ปี 2566 ว่า กิจกรรมการสำรวจสุขภาวะ ของสื่อมวลชนไทยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการรับรู้สภาพการทำงานและปัญหาสุขภาวะของสื่อมวลชนไทยผ่านการตอบแบบสอบถามของสื่อหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ และสื่อออนไลน์ คำถามแรกคือเรื่องสุขภาพทั่วไปพบว่าสื่อมวลชน 73 % ไม่มีโรคประจำตัว ส่วนอีก 27% มีโรคประจำตัว ส่วนใหญ่เป็นโรคภูมิแพ้อากาศสูงถึง 28.6% ตามมาด้วยโรคเบาหวาน 17.2% และโรคหอบหืด 5.7% เมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจปี 2565 พบว่ามีโรคประจำตัวเพิ่มขึ้น 5.4% สื่อมวลชน 77% มีการตรวจสุขภาพประจำปี ส่วนอีก 23%ไม่ได้ตรวจโดยให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องส่วนตัวและมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย รวมทั้งสุขภาพยังแข็งแรงอยู่ ส่วนคำถามที่ว่าสื่อมวลชนไทยทำงานหนักแค่ไหนส่วนใหญ่ 55.88%ทำงานวันละ 6-8 ชั่วโมงตามมาตรฐานการทำงานของวิชาชีพอื่นๆ  รองลงมา33.53% ทำงานวันละ9-10 ชั่วโมง และมีสื่อมวลชน 9.41%ต้องทำงานมากกว่า 10 ชั่วโมงต่อวัน  มีเพียงแค่ 1.18%เท่านั้นที่ทำงานน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน

ด้านคำถามที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยเสี่ยงสุขภาพ สื่อมวลชนส่วนใหญ่ 76.47% ไม่สูบบุหรี่ ส่วน14.71%ยังสูบบุหรี่และอีก 8.82% เคยสูบบุหรี่แต่เลิกสูบแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในปี 2565 พบว่าสูบบุหรี่ลดลง 2.0% เหตุผลที่ไม่สูบบุหรี่ 25.6% บอกว่าไม่คิดที่จะสูบอยู่แล้ว รองลงมา 15.9% เพราะรู้ถึงโทษและพิษภัยของบุหรี่ สำหรับคนที่ยังสูบบุหรี่มีถึง 64% คิดจะเลิกเพราะอยากจะมีสุขภาพดี ส่วนอีก 36% ไม่คิดที่จะเลิกสูบเพราะยังไม่เห็นผลกระทบและยังสุขภาพแข็งแรงอยู่ ส่วนประเด็นบุหรี่ไฟฟ้าส่วนใหญ่ 88.82%ไม่สูบเพราะเป็นห่วงสุขภาพ รองลงมา 23.88% เพราะรู้ถึงอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า ส่วนคนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าจำนวน 11.18% ให้เหตุผลว่าเพราะไม่มีกลิ่นเหม็น รองลงมาคือเลิกสูบได้ง่ายและเชื่อว่าไม่ทำให้ติดบุหรี่ ด้านการดื่มแอลกอฮอล์พบว่า 52.4%ยังดื่มแอลกอฮอล์อยู่ ส่วน41.8% ไม่ดื่ม เมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในปี 2565 พบว่าดื่มแอลกอฮอล์ลดลง 10.4% เหตุผลที่ยังดื่มอยู่ส่วนใหญ่เป็นการสังสรรค์และเข้าสังคม รองลงมาคือดื่มเพื่อความสนุกสนาน ความถี่ในการดื่มส่วนใหญ่ 41.3% นานเกิน 1 เดือนดื่มครั้ง รองลงมา17.4%ดื่มเดือนละครั้ง  ที่น่าสนใจคือสื่อมวลชนส่วนใหญ่ ถึง74.16% ไม่คิดจะเลิกดื่ม เหตุผลหลักคือยังต้องสังสรรค์และเข้าสังคมอยู่ตามมาด้วยดื่มปริมาณน้อย ส่วนคนที่คิดจะเลิกดื่มส่วนใหญ่ 39.22% ให้เหตุผลว่าเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเอง รองลงมา 33.33% ระบุว่าต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย และยังพบด้วยว่ามีคนที่เลิกดื่มได้สำเร็จมีถึง 43.8% มาจากความตั้งใจของตนเอง รองลงมา 31.3% เลิกแล้วดีต่อสุขภาพ   ด้านปัจจัยเสี่ยงเรื่องอุบัติเหตุพบว่าสื่อมวลชนที่ขับและซ้อนจักรยานยนต์สวมหมวกกันทุกครั้ง 57.40%     สวมบางครั้ง 37.87% และไม่สวมเลย 4.73% ในขณะที่การคาดเข็มขัดนิรภัยขณะขับขี่หรือโดยสารรถยนต์พบว่า 87.57% คาดทุกครั้ง มีเพียง 12.43%เท่านั้นที่คาดบางครั้ง  ด้านการพนันนั้นส่วนใหญ่ 63.5% ไม่เคยเล่นการพนัน แต่อีก36.5%เคยเล่นการพนัน เมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในปี 2565 มีการเล่นการพนันลดลง 1.2 % คนที่เคยเล่นการพนันส่วนใหญ่ 48.28%ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล รองลงมา 33.33%ซื้อหวยใต้ดิน  

ประธานมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะกล่าวสรุปพร้อมข้อเสนอแนะว่าคงต้องมีการจัดการเรื่องสภาพแวดล้อมในการทำงานทั้งภายในและภายนอกเพื่อแก้ปัญหาภูมิแพ้อากาศรวมทั้งรณรงค์ในเรื่องลดการบริโภคหวาน มัน เค็ม พร้อมกับหาวิธีการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายเพื่อให้สื่อมวลชนได้ตรวจสุขภาพประจำปีอย่างต่อเนื่อง ประเด็นสำคัญคือจะต้องลดชั่วโมงการทำงานของสื่อมวลชนที่ทำงานหนักมากกว่า 10 ชั่วโมงต่อวันลงให้ได้เพื่อป้องกันความสูญเสียที่จะตามมาอย่างที่เป็นข่าว ด้านพฤติกรรมเสี่ยงเรื่องบุหรี่ต้องหาวิธีการหรือกลยุทธ์เลิกบุหรี่ที่หลากหลายรวมทั้งให้ข้อมูลถึงพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้ากับสื่อมากขึ้น ด้านการดื่มแอลกอฮอล์ถือเป็นโจทย์สำคัญคือสื่อมวลชนส่วนใหญ่ยังดื่มอยู่ ทำอย่างไรจะมีกิจกรรมอื่นมาทดแทนการสังสรรค์ดังกล่าว ส่วนเรื่องอุบัติเหตุจะต้องเร่งรณรงค์เพิ่มการสวมหมวกนิรภัยทั้งคนขับและคนซ้อนมากขึ้น เช่นเดียวกับการพนัน ส่วนใหญ่ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย

ดังนั้นควรรณรงค์กับผู้สื่อข่าว นักจัดรายการวิทยุและพิธีกรรายการโทรทัศน์ ระมัดระวังในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่เป็นการส่งเสริมให้ประชาชนเล่นการพนันมากขึ้น และควรเสนอข่าวหรือข้อมูลของผู้ประสบปัญหาหรือได้รับผลกระทบที่เกิดจากการพนันด้วย นายมงคล  บางประภานายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยกล่าวถึง แนวทางการดูแลสุขภาพและสวัสดิภาพของสื่อมวลชนไทยว่า ระบบการดูสุขภาวะของสื่อมวลชนไทยโดยรวมยังไม่เคยมีและยังไม่มีหลักประกันมากนัก อย่างมากที่สุดก็แค่การดูแลในระดับพื้นฐานคือประกันสุขภาพและการประกันชีวิต เท่าที่ทราบมีคนที่ทำงานด้านสื่อมวลชนไม่น้อยไม่มีแม้แต่เบี้ยความเสี่ยง เช่น กรณีทำข่าวในสถานการณ์เสี่ยงภัยเช่นพื้นที่การชุมนุมในหลายครั้งที่ผ่านมา   นอกจากนี้ยังประสบปัญหาไม่มีการขึ้นค่าตอบแทน ปลดออกเลิกจ้างคนทำงานสื่อที่มีประสบการณ์ หลายคนต้องไปประกอบอาชีพอื่น เช่น ขับรถแท็กซี่ ทำให้มีมีแรงกดดันด้านสุขภาพจิตจนเป็นที่มาของสุขภาพกาย  ส่วนความพยายามของคนทำงานด้านสื่อมวลชนในช่วงที่ผ่านมาเคยมีข้อเสนอและมีความพยายามผลักดันให้เกิดการจัดตั้งสหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนของไทยเพื่อปกป้องดูแลสื่อแต่ก็ยังไม่มีน้ำหนักและยังไม่มีความก้าวหน้าที่เป็นรูปธรรมเพราะสำนักข่าวต่างๆ ไม่ได้ให้ความสำคัญและไม่ให้การสนับสนุน ดังนั้นในความเห็นส่วนตัวของตนคือสุขภาวะของสื่อมวลชนไทยทั้งสุขภาวะทางด้านจิตใจและสุขภาวะทางกายล้วนแต่ติดลบ

นายธวานันทภัทร ตั๋นไชยวงค์​ปฏิคมและกรรมการสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยกล่าวว่าขณะสุขภาวะของสื่อค่อนข้างแย่ ทำงานหนักก่อให้เกิดความเครียด เกิดปัญหาช่องว่างระหว่างวัยของคนทำสื่อด้วยกัน ทางแก้คือการหันมาพูดคุยกันให้มากขึ้น ในอนาคตสื่อมวลชนไม่มีแบ่งแยกจำแนกประเภทสื่อแล้วเพราะทุกสื่อทำงานได้ทุกแพลตฟอร์ม ทุกคนต้องทำงานมากขึ้นกว่าเดิมทุกอย่างจะเกิดขึ้นตลอด 24 ชั่วโมง สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยดูแลสมาชิกในเรื่องการอบรมเพิ่มพูนทักษะโดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ถึงที่สุดคงต้องย้อนกลับไปที่องค์กรสื่อต้นสังกัดว่ามีนโยบายสร้างเสริมสุขภาวะในการทำงานให้ดีขึ้นได้อย่างไร จึงขอเรียกร้องให้สร้างนโยบายองค์กร เช่นจัดให้มีการตรวจสุขภาพและเพิ่มแรงจูงใจให้กับคนที่เปลี่ยนแปลงสุขภาพตัวเองให้ดีขึ้น ต้องดูแลทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตเพราะมีความสัมพันธ์กัน หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลง  สื่อมวลชนต้องพบกับความท้าท้ายใหม่โดยเฉพาะเมื่อใบอนุญาตทีวีดิจิตอลหมดอายุในปี 2572 จะได้ทำงานต่อไปหรือไม่หากสถานีโทรทัศน์ สถานีข่าว หรือสำนักข่าวต่างๆ เริ่มทยอยยุติการดำเนินกิจการ หรือแปรสภาพไปดำเนินธุรกิจในรูปแบบอื่น สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบกับสุขภาพจิตคนทำสื่ออย่างแน่นอน 

ด้านสื่อมวลชนร่วมเสนอแนะและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่าปัจจุบันมีสื่อมวลชนที่ประสบปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศน์ของสื่อได้หันมาทำสื่อออนไลน์มากขึ้น แต่สื่อเหล่านี้ไม่ได้รับการดูแลด้านสวัสดิภาพและสวัสดิการ จึงอยากให้สมาคมวิชาชีพสื่อได้เข้ามาดูแลปัญหาเหล่านี้ด้วย โดยเฉพาะมีสื่อโทรทัศน์ที่ทำงานตั้งแต่ตีหนึ่งถึงเช้าเพื่อเตรียมรายการข่าวเช้าของแต่ละสถานีเชื่อว่ามีไม่ต่ำกว่า 100 คน ที่มีปัญหาสุขภาพ นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอให้มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพและสมาคมวิชาชีพสื่อได้ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาดังกล่าวพร้อมกับเสนอให้สื่อมวลชนที่ประสบความสำเร็จได้หันกลับมาดูแลนักข่าวและคนทำสื่อที่ประสบความเดือดร้อนที่มีปัญหาสุขภาพด้วย โดยอาจจะมีการตั้งกองทุนเพื่อดำเนินการในเรื่องนี้

มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ

'เลิศศักดิ์' ยกทีม กมธ.ปปง.บุกคุกพบนักโทษสางปมคดี 'STARK หุ้นเทวดา'

'เลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล' ประธาน กมธ.ปปง. สภาผู้แทนฯ ยกทีมบุกเรือนจำพิเศษกรุงเทพ พบนักโทษคนสำคัญคดีหุ้น 'STARK' ประกอบการพิจารณาติดตามการทำงานของ DSI หลังมีผู้เสียหายเดินหน้ายื่นเรื่องให้ตรวจสอบการทำงานของ 'DSI' กรณี นายชินวัฒน์ อัศวโภคี อดีตกรรมการ STARK หลุดจากความผิดไปตั้งแต่ชั้นสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ

เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2567 นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ประธานคณะกรรมาธิการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด พร้อมด้วยนายดนุพร ปุณณกันต์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการติดตามและศึกษาคดีฉ้อโกง บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการฯ พร้อมด้วย กมธ.ปปง.ได้เข้าศึกษาดูงานยังเรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพมหานคร โดยมีนายณรงค์ จุ้ยเส่ย รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายนัสที ทองปลาด ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร พ.ต.ท.วรชัย อารักษ์รัฐ ผู้อำนวยการทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง โดยรายงานปัญหาอุปสรรค์ในการทำงานเรือนจำ และรับทราบข้อเสนอแนะ

จากนั้น นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ประธานคณะกรรมาธิการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด พร้อมด้วยนายดนุพร ปุณณกันต์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการติดตามและศึกษาคดีฉ้อโกง บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการฯ ได้ขอพบนายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ นักโทษในคดี STARK อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน ที่ออกมารับสารภาพว่ากรณีคดีหุ้น STARK มีการตกแต่งบัญชีจนเกิดเป็นประเด็นขึ้นมา

นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ป.กมธ.ปปง. กล่าวว่า จากการพูดคุยกับนายศรัทธาพบว่า ข้อเท็จจริงที่ได้รับจากนักโทษศรัทธา กับการแถลงข่าวของกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ DSI  ยังมีความแตกต่างกันในหลายประเด็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของนายวนรัตน์ ตั้งคารวคุณ ซึ่งเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ STARK และนายชินวัฒน์ อัศวโภคี อดีตกรรมการ STARK ที่ DSI จะกันไว้เป็นพยาน ข้อมูลที่ได้ถือว่ามีประโยชน์ และจะนำมาพิจารณาในที่ประชุม กมธ.ปปง. เพื่อเชิญ DSI มาซักถามเพื่อความกระจ่างอีกครั้ง 

“การพูดคุยได้ข้อมูลหลายอย่าง นายศรัทธายืนยันว่า คำให้การที่ได้ให้ไว้กับ กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ DSI ในสำนวนการสอบสวนของ DSI ยังไม่ได้นำไปประกอบการพิจารณา อีกทั้งกรณีนี้ ผู้เสียหาย STARK ได้เข้ามายื่นให้ กมธ.ปปง. ดำเนินการติดตามขอความเป็นธรรมจากการทำงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ รวมถึงอัยการ กรณีเรื่องการฟ้องผู้ต้องหาเพื่อขอให้  กมธ.ปปง. ติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิดเพื่อให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและ ผู้บงการอยู่เบื้องหลัง ได้ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายให้ถึงที่สุด“

นายเลิศศักดิ์กล่าวต่อว่า ความน่าสนใจในคดีนี้ กมธ.ปปง. สนใจกรณีที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ยังไม่เสนอสั่งฟ้องผู้ต้องหาคนสำคัญอีก 3 คน ประกอบด้วยนายวนรัตน์ , นายชินวัฒน์ และโดยเฉพาะ นายชนินทร์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร STARK ที่หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว กมธ.ปปง.ยืนยันว่าเรื่องนี้จะติดตามให้ถึงที่สุด เนื่องจากคดีนี้ถือเป็นการตกแต่งบัญชีและงบการเงิน ผ่องถ่ายเงิน เป็นคดีฉ้อโกงประชาชน ที่สังคมยังมีคำถามคาใจ เพราะตัวการใหญ่ยังลอยนวล ที่ได้สร้างผลกระทบต่อประชาชนผู้ลงทุนจำนวนหลายหมื่นคน ที่ยังเหลือติดค้างถือหุ้นอยู่กว่า 9,000 ราย ที่ทุกคนหมดตัวที่มีมูลค่าความเสียหายกว่าเก้าพันล้านบาท

‘ผู้ประกอบการจีน’ บุกตลาดต่างประเทศ ทำธุรกิจนอกประเทศจีน สูงสุดเป็นประวัติการณ์

(6 ก.พ.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า บรรดาผู้ประกอบการของจีนเดินทางออกไปทำธุรกิจในต่างประเทศเป็นจำนวนสูงเป็นประวัติการณ์อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แม้สื่อมวลชนตะวันตกบางส่วนรายงานข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีนในเชิงลบ

เมื่อวันอาทิตย์ (4 ก.พ.) ย่าโจว โจวคาน (Yazhou Zhoukan) สื่อมวลชนในเขตบริหารพิเศษฮ่องกงของจีน รายงานว่ากลุ่มผู้ประกอบการของจีนเดินทางออกไปทำธุรกิจในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง แม้สหรัฐฯ กำหนดภาษีศุลกากรระดับสูงและการคว่ำบาตรต่างๆ

สิ่งนี้บ่งชี้ความสามารถทางนวัตกรรมอันทรงพลังและการรับรู้ความเสี่ยงของจีน พร้อมกับสร้างพื้นที่เชิงพาณิชย์ใหม่และสะท้อนความสามารถทางการแข่งขันระดับชาติอันแข็งแกร่งของจีน

แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนของจีนสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคชาวต่างชาติ โดยความสามารถในการจัดการทางดิจิทัลและห่วงโซ่อุตสาหกรรมอันสมบูรณ์ของจีนสามารถลดต้นทุนด้วยการไม่ต้องมีพ่อค้าคนกลาง ทำให้ราคาสินค้าไม่แพง

กระบวนการทางดิจิทัลนี้ช่วยให้อุตสาหกรรมการผลิตของจีนขยายตัวและปรากฏอยู่ในทั้งประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาแล้วเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มผู้ประกอบการของจีนที่เดินทางออกไปทำธุรกิจในต่างประเทศมีข้อได้เปรียบทางเทคโนโลยี ทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์

รายงานข่าวยกตัวอย่างจากกลุ่มบริษัทจัดเลี้ยงของจีน ซึ่งพึ่งพาเทคนิคทางดิจิทัลตั้งแต่ห่วงโซ่อุปทานจนถึงการบริการส่วนหน้าในการรักษาความสามารถทางการแข่งขัน โดยบริษัทเหล่านี้บางส่วนได้เข้าสู่ตลาดไฮเอนด์ในยุโรปและสหรัฐฯ แล้วด้วย

‘คิงชาร์ลส์ที่ 3’ แห่งอังกฤษ ถูกวินิจฉัยป่วยเป็น ‘มะเร็ง’ หลังแพทย์ตรวจพบระหว่างรักษาต่อมลูกหมากโต

(6 ก.พ.67) สำนักพระราชวังบักกิงแฮมของอังกฤษ ออกแถลงการณ์ว่า กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคมะเร็ง หลังจากที่แพทย์ตรวจพบความผิดปกติระหว่างทรงเข้ารับการรักษาโรคต่อมลูกหมากโตเมื่อไม่นานมานี้

อย่างไรก็ตาม สำนักพระราชวังบักกิงแฮมไม่ได้ระบุว่า กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากหรือไม่ ระบุแค่เพียงว่า วันนี้ (6 ก.พ.) พระองค์ทรงเริ่มเข้ารับการรักษาตามปกติ ในระหว่างนี้ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ให้เลื่อนการปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ ออกไปก่อน แต่สามารถทรงงานกิจการของรัฐและงานเอกสารราชการได้ตามปกติ

“พระองค์ทรงเลือกที่จะแบ่งปันผลการวินิจฉัยของพระองค์เพื่อป้องกันการคาดเดา และหวังว่าจะช่วยให้สาธารณชนเข้าใจผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคมะเร็งทั่วโลก” สำนักพระราชวังบักกิงแฮม ระบุในแถลงการณ์

เมื่อวันที่ 30 ม.ค. สำนักพระราชวังบักกิงแฮม เปิดเผยว่า กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 ได้เสด็จออกจากโรงพยาบาลลอนดอน คลินิก แล้วหลังจากประทับมาตั้งแต่วันที่ 26 ม.ค. เพื่อรักษาพระอาการต่อมลูกหมากโต

รายงานข่าวระบุว่า กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 พระชนมายุ 75 พรรษา กลับมามีพระพลานามัยแข็งแรงอีกครั้งหลังจากรับการรักษา โดยสมเด็จพระราชินีคามิลลา เสด็จเยี่ยมพระสวามีทุกวัน และอยู่เคียงข้างพระองค์ในวันที่เสด็จออกจากโรงพยาบาล

‘รมว.ปุ้ย’ หนุน 'เอสเอ็มอีไทย' เข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น ชูโครงการ ‘หลักทรัพย์ไม่มี ดีพร้อมค้ำประกันให้’ เข้าช่วย

(6 ก.พ.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานและสักขีพยานในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเพื่อเข้าถึงหลักประกันและแหล่งเงินทุน ระหว่าง กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม, บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และสถาบันการเงินทั้ง 4 แห่ง เพื่อร่วมกันพัฒนากลไกสนับสนุน SMEs ให้มีโอกาสได้รับสินเชื่อจากสถาบันการเงินผ่านการช่วยค้ำประกันสินเชื่อจาก บสย. ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น

รมว.พิมพ์ภัทรา เปิดเผยว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีความซับซ้อนมากขึ้น ทั้งในเรื่องความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การชะลอตัวของระบบเศรษฐกิจทั่วโลก และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคต่างๆ ส่งผลให้เอสเอ็มอีไม่สามารถเริ่มต้นหรือขยายธุรกิจได้อย่างเต็มกำลัง โดย กระทรวงอุตสาหกรรม ได้กำหนดนโยบายในการส่งเสริมและพัฒนาภาคอุตสาหกรรมไทยที่เป็นฟันเฟืองสำคัญในระบบเศรษฐกิจ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ สู่ความยั่งยืน รวมถึงการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) วิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการและสตาร์ตอัปให้มีความเข้มแข็งภายใต้สถานการณ์ความเสี่ยงต่างๆ และความท้าทายรอบด้าน

อย่างไรก็ตาม กระทรวงอุตสาหกรรม พบว่าอุปสรรคหนึ่งที่สำคัญต่อการก้าวข้ามปัญหา และความท้าทายดังกล่าว คือ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ทำได้ยากกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ เนื่องจากไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน รัฐบาลโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ได้ออกกลไกการค้ำประกันสินเชื่อ เพื่อช่วยให้เอสเอ็มอีที่มีศักยภาพ แต่ขาดหลักประกันได้รับวงเงินที่เพียงพอกับความต้องการ อย่างไรก็ตาม จากการดำเนินงานที่ผ่านมาพบว่ายังมีเอสเอ็มอีจำนวนมากต้องใช้ทรัพย์สินของกิจการเพื่อค้ำประกันในสัดส่วนที่สูง เกิดต้นทุนค่าเสียโอกาส และทำให้เอสเอ็มอีที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ต้องแบกรับภาระต้นทุนทางการเงินมากเกินความจำเป็นจากการใช้สินเชื่อผิดประเภท

“เราได้เล็งเห็นสภาพปัญหาดังกล่าว และนำมาเป็นโจทย์เพื่อหาแนวทางแก้ไข อย่างต่อเนื่อง จึงได้สั่งการให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เร่งหากลไกการค้ำประกันที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสนับสนุนให้เอสเอ็มอีที่มีศักยภาพ แต่ขาดหลักประกัน ได้รับวงเงินสินเชื่อธุรกิจที่เพียงพอกับความต้องการในการต่อยอดธุรกิจ เป็นกลไกหมุนเวียนรายได้และกระจายความเจริญทางเศรษฐกิจไปสู่ภูมิภาคต่างๆ จนสามารถสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนในประเทศ จนส่งผลให้ธุรกิจสามารถแข่งขันในระดับประเทศและสากลได้”

ทั้งนี้ ด้วยเทรนด์การดำเนินธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป การเข้าถึงแหล่งเงินทุนต่างๆ อาจมีข้อจำกัด ดังนั้น โครงการนี้ จึงหวังที่จะช่วยเอสเอ็มอีได้ยื่นขอเงินสนับสนุนได้ง่ายขึ้น เบื้องต้นคาดมีผู้ประกอบการยื่นขอรับสิทธิ์ราว 1,000 ราย วงเงินสนับสนุนขั้นต่ำระดับ 1,000-2,000 ล้านบาท อีกทั้ง ยังจะช่วยให้เอสเอ็มอีที่ปัจจุบันมียอดการกู้เงินนอกระบบหลักหลายแสนล้านบาท ลดลงด้วย

ด้าน นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า ดีพร้อม ตอบรับข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เร่งส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการทุกระดับ ให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยร่วมมือกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม หรือ บสย. พัฒนากลไกในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนด้วยการใช้การค้ำประกันสินเชื่อที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้ประกอบการมีโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้นโดยใช้หนังสือค้ำประกันแทนหลักทรัพย์ นอกจากนี้ยังมีการให้คำปรึกษาทางการเงิน ผ่าน โครงการ ‘ติดปีกเอสเอ็มอี หลักทรัพย์ไม่มี ดีพร้อมค้ำประกันให้’

ทั้งนี้ มี 4 พันธมิตรสถาบันการเงิน เข้าร่วมสนับสนุนสอดรับกับนโยบาย Reshape the Future: โลกเปลี่ยน อุตสาหกรรมปรับ พร้อมรับอนาคตผ่านกลยุทธ์การปรับตัวเพิ่มการเข้าถึงโอกาส (Reshape the accessibility) ภายใต้นโยบาย DIPROM Connection เพื่อขยายเครือข่ายความร่วมมือ สร้างโอกาสและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ

สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในครั้งนี้ เป็นการประสานความร่วมมือระหว่าง ดีพร้อม กับหน่วยงานพันธมิตรทั้ง 5 ได้แก่ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน

โดยผู้ประกอบการสามารถยื่นเรื่องผ่านดีพร้อมเพื่อขอรับการพิจารณาการค้ำประกันและส่งต่อให้กับทางสถาบันการเงินทั้ง 5 แห่ง ตั้งแต่วันที่ 14 ก.พ. 2567 โดย ดีพร้อม และ บสย. ร่วมกันพิจารณาการค้ำประกันและสามารถแจ้งผลพิจารณาเบื้องต้นภายใน 7 วันทำการ ซึ่งคาดว่าจะมีเอสเอ็มอีสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท และสามารถต่อยอดการเริ่มต้นธุรกิจและสร้างโอกาสเติบโตคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 8,000 ล้านบาท

ด้าน นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ในนามของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐภายใต้กระทรวงการคลัง รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง และมั่นใจว่าความร่วมมือในครั้งนี้ บสย. โดย ศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน ‘บสย. F.A. Center’ จะช่วยให้ SMEs ที่มีมากกว่า 3.2 ล้านราย โดยเฉพาะรายที่ขาดหลักประกันสินเชื่อสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยการใช้กลไกการค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. ร่วมกับธนาคารพันธมิตรทั้ง 4 สถาบันการเงิน ภายใต้แนวนโยบายของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม DPROM Connection เชื่อมโยงกับทิศทางการเป็น Digital SMEs Gateway ของ บสย. กับบทบาทการเป็นตัวกลางทางการเงิน (Credit Mediator) เพื่อยกระดับการเข้าถึงสินเชื่อพร้อมการค้ำประกันและการให้คำปรึกษาทางการเงิน การปรับแผนธุรกิจ และการแก้หนี้ให้กับ SMEs ในลักษณะการปรับโครงสร้างหนี้ โดย บสย. F.A. Center

ทั้งนี้ บสย. ได้เปิดช่องทางให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่สมัครและผ่านการพิจารณาเบื้องต้นจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม สามารถลงทะเบียน Online เข้าร่วมโครงการผ่าน LINE Official Account @tcgfirst ได้ โดยผู้ประกอบการที่สมัครภายใน 30 วันหลังจากวันที่เปิดรับสมัครและได้รับอนุมัติสินเชื่อพร้อมวงเงินค้ำประกัน 100 รายแรก จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นค่าดำเนินการค้ำประกันหรือค่าออกหนังสือค้ำประกันทันที


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top