Saturday, 7 June 2025
NewsFeed

ศาลเจ้ากวนอู หลักสอง!! ศาลเจ้าดังคู่เมืองตรัง  'คนจีน-สิงคโปร์' ต่างนิยมมาทำพิธีแก้ชงประจำปี

'ศาลเจ้ากวนอู หลักสอง' ตั้งอยู่ที่ถนนห้วยยอด ตรงข้ามโชว์รูมโตโยต้าเมืองตรัง จ.ตรัง ห่างจากตัวเมืองประมาณ 5 นาที ซึ่งคนตรังจะคุ้นกันในชื่อ 'โรงพระ หลักสอง' เนื่องจากศาลเจ้าแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงหลักกิโลเมตรที่ 2 ก่อนเข้าตัวเมืองตรังพอดิบพอดี

ที่มาของศาลเจ้าแห่งนี้ เริ่มจากชาวจีนกวางตุ้งนามว่า นายจุงหว่าซัน ซึ่งมาอาศัยอยู่ในเมืองตรังเกิดล้มป่วยเรื้อรังอยู่นาน ต่อเมื่อขอพรจากเทพกวนอูก็สามารถรักษาอาการเจ็บป่วยจนหายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ด้วยความศรัทธานับถืออย่างมาก นายจุงหว่าซัน พี่ชายของนายพาก วัฒนะจันทร์ (ตระกูลวัฒนะจันทร์ในปัจจุบัน) จึงบริจาคที่ดินสวนมะพร้าวริมถนนห้วยยอดของตนเอง เพื่อสร้างเป็นศาลเทพเจ้ากวนอู และได้อัญเชิญเทพกวนอูเข้าประทับในปี พ.ศ.2515 จากนั้นมาศาลเจ้าพ่อกวนอูหลักสอง ก็กลายเป็นที่เคารพสักการะของชาวไทยเชื้อสายจีนและชาวบ้านในท้องถิ่นมาจนถึงทุกวันนี้

ในอดีต ผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยและเดินทางมาให้เทพกวนอูได้รักษา จะพำนักค้างแรมที่เรือนคุณธรรม ซึ่งเป็นอาคารอเนกประสงค์ 1 ชั้น ที่ทางศาลเจ้าสร้างไว้บริการประชาชนที่เดินทางมาจากสถานที่ไกลๆ เพื่อมาขอพรและเคารพสักการะ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย  60 ปีผ่านไป ปัจจุบันเรือนคุณธรรมได้ถูกบูรณะปรับปรุงใหม่ด้วยเงินบริจาคของลูกหลานและผู้มีจิตศรัทธา เพื่อรองรับการช่วยเหลือประชาชนในรูปแบบต่างๆ 

จากประตูทางเข้าศาลเจ้ากวนอูหลักสอง เมื่อเดินเข้ามาจากประตูหน้าทางเข้าศาลเจ้า เราจะเห็นต้นงิ้วสูงใหญ่โดดเด่นเป็นสง่า ซึ่งขึ้นเองตามธรรมชาติเด่นตระหง่านอยู่ทางขวามือทางเข้า และเนื่องจากองค์เทพเจ้ากวนอู หรือ กวน ยฺหวี่ (關羽) ผู้มีใบหน้าสีแดงนั้นเป็นเทพแห่งความซื่อสัตย์ ชาวบ้านจึงเชื่อกันว่าต้นงิ้วใหญ่ต้นนี้เป็นเครื่องเตือนใจให้ทุกคนมีความซื่อสัตย์สุจริตในการดำรงชีวิต

แม้ในจังหวัดตรังจะมีศาลเทพกวนอูอยู่ด้วยกันหลายแห่ง แต่ศาลเจ้าพ่อกวนอูหลัก 2 ก็ถือเป็นศาลเก่าแก่ที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งก่อสร้างตามสถาปัตยกรรมแบบจีนตอนใต้ ภายในศาลนั้นเป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้าและพระโพธิสัตว์หลายพระองค์ ซึ่งได้แก่เทพกวนอู ที่อยู่ในปางสำเร็จเป็นเง็กเซียนฮ่องเต้ รายล้อมด้วยบริวาร คือ 'กวนเป๋ง' ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรม (ขวา) และ 'จิวฉอง หรือ จิวชัง' ซึ่งเป็นขุนศึกคู่ใจ (ซ้าย) ประทับอยู่ในศาลองค์ประธาน ตามด้วยศาลรองประธานซึ่งเป็นที่ประทับของเทพไฉ่สิ่งเอี๊ย หรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภ และเทพฮั่วท้อเซียงซือ หรือหมอฮูโต๋ อีกทั้งบริเวณรอบๆ ยังมีจุดไหว้พระและองค์เทพอื่นๆ อีก เช่น พระม้าเช็กเทา ศาลเจ้าแม่กวนอิม และพระสังกัจจายน์ เป็นต้น

ตามความเชื่อดั้งเดิมของชาวจีน เทพกวนอูได้ชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความซื่อสัตย์ ความกตัญญูรู้คุณ ความกล้าหาญ และคุณธรรม โดย กวนอู เป็นหนึ่งในยอดขุนพลในวรรณกรรมเรื่องสามก๊กที่มีชีวิตอยู่เมื่อราว 1,800 ปีก่อน ตามประวัติเล่าว่า องค์กวนอูเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านคัมภีร์พิชัยสงคราม ต่อมาได้ร่วมสาบานเป็นพี่น้องกับเล่าปี่ และร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาจนสร้างวีรกรรมมากมาย 

ภายหลังกวนอูพลาดท่าโดนฝ่ายซุนกวนจับตัวได้ ซุนกวนพยายามหว่านล้อมให้ท่านยอมสวามิภักดิ์ แต่ด้วยความซื่อสัตย์และภักดีต่อเล่าปี่ทำให้ท่านปฏิเสธ ท่านจึงถูกประหารพร้อมกับกวนเป๋งผู้เป็นบุตรบุญธรรม

ด้วยคุณธรรมตามตำนานที่กล่าวมา ชาวจีนจึงยกย่ององค์กวนอูขึ้นเป็นเทพแห่งความซื่อสัตย์และจงรักภักดี โดยมักทำพิธีบูชาก่อนออกทะเลไปค้าขายต่างบ้านต่างเมืองเสมอ เพราะเชื่อกันว่าการยึดถือความกล้าหาญ ซื่อสัตย์ รักเพื่อนพ้อง และยึดมั่นในคุณความดี จะช่วยให้แคล้วคลาดปลอดภัยและทำการค้าขายสำเร็จดังหวัง 

นอกจากความศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้ากวนอูอันเป็นที่เลื่องชื่อลือชาให้คนมากราบไหว้แล้ว ศาลเจ้ากวนอูแห่งนี้ ยังโด่งดังในเรื่องการทำพิธีแก้ชง เพื่อสะเดาะเคราะห์ประจำปี ตามแบบฉบับจีนโบราณ ซึ่งได้รับความนิยมในหมู่ชาวจีนและชาวสิงคโปร์เป็นอย่างมาก ซึ่งชาวสิงคโปร์บางคณะได้เดินทางมาเพื่อสักการะศาลเจ้าแห่งนี้เป็นประจำทุกปีอีกด้วย

ศาลเจ้ากวนอูหลักสองแห่งนี้ จึงถึงเป็นอีกหนึ่งมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าที่ลูกหลานชาวตรังได้รับสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ปัจจุบัน ได้มีการบูรณะหอเทวดาและการวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังที่หอเทวดา ด้วยศิลปะแบบจีนโบราณ โดยจิตรกรมือหนึ่งของ จ.ตรัง อายุ  80 ปี เพื่อสืบทอดศิลปะและมรดกทางวัฒนธรรมนี้ไว้จนชั่วลูกชั่วหลาน

ท่านใดที่อยากแวะมาไหว้เทพเจ้ากวนอูเพื่อขอพรเพื่อเสริมสิริมงคล หรือสนใจมาเที่ยวชมศิลปะและวัฒนธรรมแบบจีน สามารถมาได้ทุกวันตั้งแต่เวลา 06.00 น. จนถึง 17.00 น. 

‘สว.วีระศักดิ์’ เผยเสน่ห์ท่องเที่ยวไทย คือไมตรีของคนทุกท้องถิ่น

ไม่นานมานี้ สำนักข่าว บีบีซี (ภาคภาษาเวียดนาม) ได้นำเสนอสกู๊ปพิเศษเรื่อง 'ไทย แชมป์ อาเซียนด้านนักท่องเที่ยวต่างชาติ : เมื่อไหร่จะถึงคิวเวียดนามบ้าง?' โดยสืบเนื่องจากปี 2023 ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวเวียดนามแห่ไปเที่ยวไทยเป็นจำนวนมาก และใช้จ่ายไปถึง 11,000 ล้านด่อง 

นักข่าวบีบีซีท่านนี้ที่ชื่อ Tran Vo ได้สัมภาษณ์เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวกับ นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาไทย โดยนายวีระศักดิ์ ได้กล่าวชี้ชัดสั้น ๆ ไว้ว่า “เสน่ห์ของการท่องเที่ยวไทย คือความเป็นมิตรไมตรีของคนไทยในทุกท้องถิ่น และรัฐช่วยอีกแรงด้วยการผ่อนคลายด้านวีซ่า”

ก่อนหน้านี้ เหงียน วัน มาย ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเวียดนามยอมรับด้วยว่า “ไทยเป็นผู้นำด้านท่องเที่ยวแม้ไม่ต้องมีนโยบายเปิดคาสิโนอย่างที่เวียดนามทำ เพราะไทยสามารถเปลี่ยน 'เรื่องพื้น ๆ' ให้เป็นเรื่องน่าเที่ยว และเมื่อบวกกับความต้อนรับขับสู้ในการให้บริการ ก็สามารถได้ความประทับใจโดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนมากมาย”

นอกจากนี้ ยังได้เอ่ยชื่นชม ททท.ไทย ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและเติมคุณค่าให้ของพื้นบ้านต่าง ๆ เช่น น้ำหวานดอกมะพร้าวให้กลายเป็นสินค้าน่าประทับใจ พร้อมทั้งยกตัวอย่างการพาชมหิ่งห้อยอัมพวา การใช้ผลไม้ที่เผาเป็นถ่านใช้ไล่ยุงในรีสอร์ต ว่าทำได้อย่างน่าทึ่ง

นี่คือเสน่ห์ที่แม้แต่เพื่อนบ้านซึ่งเป็นคู่แข่งทางเศรษฐกิจยังยอมรับแบบหมดใจ 

ท่องเที่ยวไทย เสน่ห์ที่ใคร ๆ ก็หลงใหล

สำหรับบทความเต็ม ติดตามอ่านต่อได้ใน >> https://www.bbc.com/vietnamese/articles/cxem54drekpo

‘สายปะทะ’ ยอมสงบศึก!! หยุดทะเลาะวิวาทในงานวัด หลังเจอ ‘วัดคฤหบดีสงฆ์’ ยก ‘ที่พักคนเก่ง’ ตั้งหน้าเวที

เมื่อวานนี้ (5 ก.พ.67) ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่ ‘วัดคฤหบดีสงฆ์’ หมู่ 3 ต.ท่าพุทรา อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร หลังจากภายในวัดได้จัดงานประจำปีปิดทองไหว้พระสรีระสังขารของอดีตเจ้าอาวาส ‘หลวงปู่วิบูลวชิรธรรม’ หรือ ‘หลวงพ่อสว่าง อุตตะโร’ พระเกจิดังของ จ.กำแพงเพชร ที่สร้าง ‘เหรียญปลอดภัย’ มีพุทธคุณด้านแคล้วคลาด-ปลอดภัย โดยร่างกายสังขารของหลวงพ่อไม่เน่าเปื่อยมายาวนานถึง 47 ปี มีศิษย์ยานุศิษย์ที่ศรัทธาทั่วประเทศจำนวนมาก ให้ความเคารพศรัทธากันอย่างแพร่หลาย

สำหรับปีนี้กำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 31 ม.ค.-5 ก.พ.67 ตลอดทุกค่ำคืนมีมหรสพลิเกและวงดนตรีเล่นสดจากคณะต่างๆ มาแสดงให้ผู้มาร่วมงานได้ชมฟรี และคืนวันที่ 5 ก.พ. เป็นคืนสุดท้ายของงาน มีการแสดงของวงดนตรีคณะ ‘น้องอั๋นมิวสิค’ ขณะที่ค่ำคืนที่ผ่านมามีการแสดงดนตรีเช่นกัน และมีการทะเลาะวิวาทภายในงานบริเวณหน้าเวที มีผู้ได้รับลูกหลงบาดเจ็บหลายราย

สำหรับในช่วงค่ำคืนวันที่ 5 ก.พ.67 รองเจ้าอาวาสวัดได้นำโลงศพ 2 ใบ มาตั้งไว้หน้าเวทีเพื่อป้องปรามไม่ให้กลุ่มนักเที่ยวทะเลาะวิวาทกัน สร้างความเดือดร้อนต่อผู้อื่นโดยเขียนข้อความว่า “ที่พักคนเก่ง นายสมควร ตายวันนี้” พร้อมจัดกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งปกครอง เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่กู้ภัย เข้ามาสอดส่องและป้องปรามการเกิดเหตุอันตรายต่างๆ แก่ผู้มาร่วมงาน

พระบรรเจิด ปญฺญาปโชโต รองเจ้าอาวาสวัดคฤหบดีสงฆ์ ให้ข้อมูลว่า ในแต่ละคืนของการจัดงานจะมีกลุ่มวัยรุ่นที่มาเที่ยวงานเกิดมีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน จนทำให้งานเสียหาย และมีผู้บาดเจ็บโดนลูกหลงหลายราย ซึ่งมีการใช้อาวุธปืนไล่ยิงกันนอกวัดอีกด้วย จึงได้นำโลงศพมาตั้งไว้เพื่อเตือนสติกับผู้ที่มาร่วมงาน ขออย่าให้ก่อเหตุ ทำให้ผู้อื่นได้รับผลกระทบหรืองานเสียหาย ทุกครั้งที่มีการจัดงานประจำปีมีวงดนตรีคอนเสิร์ตย้อนยุคมาแสดง ส่วนมากก็มักจะมีเรื่องกันทุกปี

“ที่นำโลงศพมาตั้งไว้ที่หน้าเวที ต้องการจะสื่อสารให้เป็นกุศโลบายว่า นี่แหละคนเก่งเข้าไปนอนในโลงศพกันหมดแล้ว เพื่อป้องกัน และให้เกรงกลัวกันบ้าง มีงานให้สนุกสนานกัน ไม่ใช่มาทะเลาะวิวาทกัน เชื่อว่าคนที่เห็นโลงก็จะมีความเกรงกลัว ไม่กล้ามีเรื่อง เพราะโลงเอาไว้ใส่คนตาย ปีนี้ทำขึ้นเป็นปีแรก จะลองดูว่าได้ผลหรือไม่ หวังอยากให้ทุกคนสนุกสนาน จัดงานให้ชมฟรีตลอด อย่ามีเรื่องให้เดือดร้อนกันเลย” พระบรรเจิด กล่าว

ขณะที่หลังจากจบงานปรากฏว่าในค่ำคืนวันที่ 5 ก.พ.67 ไม่มีเรื่องราวทะเลาะเบาะแว้งใดๆ ของกลุ่มวัยรุ่นบริเวณหน้าเวที

‘บ.เกาหลี’ ใจป้ำ!! แจกเงิน พนง. 100 ล้านวอน ต่อลูก 1 คน อุดหนุนค่าคลอดบุตร จูงใจให้คนมีลูก แก้ปัญหาเด็กเกิดน้อย

(6 ก.พ.67) บริษัท Booyoung Group เปิดตัวโครงการริเริ่มเพื่อแก้ไขปัญหาด้านอัตราการเกิดที่ลดลง ด้วยการมอบเงินสนับสนุน 100 ล้านวอนต่อลูก 1 คน ให้กับพนักงาน โดย Booyoung Group เป็นบริษัทเกาหลีใต้แห่งแรกที่ดำเนินการเช่นนี้

ประธานกรรมการของ Booyoung Group นายอี จุง-กึน ได้มอบเงินสนับสนุนด้านการคลอดบุตรเป็นจำนวนรวม 7 พันล้านวอน ให้แก่พนักงาน โดยเป็นเงินจำนวน 100 ล้านวอนต่อลูก 70 คน ที่เกิดตั้งแต่ปี 2021 ในงานพิธีขึ้นปีใหม่ที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทฯ

นอกจากนี้ทางบริษัทยังเสนอที่จะจัดหาที่อยู่อาศัยประเภทเช่าถาวรระดับโครงการบ้านจัดสรรให้กับพนักงานที่มีลูกคนที่สาม โดยขึ้นอยู่กับเงื่อนไขว่ารัฐบาลอนุญาตให้ภาคเอกชนเข้าร่วมในตลาดที่อยู่อาศัยเช่าถาวรได้หรือไม่

อย่างไรก็ดี นายอี จุง-กึน ได้เสนอนโยบายให้มีการยกเว้นภาษีสำหรับการบริจาคเพื่อสนับสนุนการคลอดบุตร เพื่อแก้ไขปัญหาด้านอัตราการเกิดที่ต่ำ โดยอนุญาตให้ผู้บริจาคสามารถหักลดหย่อนภาษีได้ เขาเสนอให้บุคคลหรือบริษัทบริจาคได้สูงสุด 100 ล้านวอนต่อเด็กที่เกิดหลังปี 2021 และทั้งจำนวนเงินบริจาคจากบุคคลและบริษัทฯ สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ที่สิ้นปี

'เพจดัง' แชร์ทัศนคติดีๆ จากรายการ 'มาวินฟินเฟ่อร์' ร้านไหนไม่ดัง ต้องผลักดัน ร้านไหนไม่เจ๋งจริง ก็ไม่ต้องซ้ำเติม

(6 ก.พ.67) จากเพจ 'หนูน้อยบนยอดเขาอันหนาวเหน็บ' ได้โพสต์ข้อความจากบทสัมภาษณ์ของ 'วิน-มาวิน ทวีผล' นักแสดงนายแบบและพระเอกตัวจริงของ 'ตู่ ปิยวดี มาลีนนท์' ผู้จัดคนเก่งแห่งอาณาจักรมาลีนนท์ ซึ่งทั้งคู่ได้มาร่วมทำรายการด้วยกันชื่อ 'มาวินฟินเฟ่อร์' ระบุว่า...

"...ผมคุยกับตู่เสมอว่า ถ้าร้านไหนดัง ๆ เราจะไม่ไปเหยียบถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ อย่างเช่นเค้าเรียนเชิญมา เราถึงจะยอมไป เพราะว่าเค้าดังแล้วเราจะไปทำไม เค้าไม่ต้องมีเรา เค้าก็มีโอกาส...

"แต่คนที่เค้าไม่มีโอกาสคือ คนที่อยู่ข้างทางครับ บางทีเราขับรถผ่าน เห็นรถเข็นตายายขายกันสองคนก็จะแบบลงไปชิมซิว่าอร่อยไหม ถ้าอร่อยเราก็ถ่ายเลย พอถ่ายเสร็จผมก็จะบอกตายายว่า ตายายไม่รู้จักผมไม่เป็นไร แต่ตั้งตัวและเตรียมตัวไว้นะครับ พรุ่งนี้มันจะเกิดบางอย่างเกิดขึ้นกับเค้า...

"และเวลาที่ผมไปร้านไหน ถ้าเค้าไม่มีโอกาส ผมไม่เคยไปครั้งเดียว ผมไปหลายครั้ง เอาจนกว่าเค้าจะมีตัวตนให้ได้ เราต้องสร้างเค้าให้ได้ การสร้างคือสร้างให้เค้ามีอาชีพ ให้เค้ายั่งยืน ถ้าเมื่อไหร่เค้ายั่งยืนได้ ผมจะมีความสุขมาก..."

#หัวใจและทัศนคติดีมาก ♥️

แกนนำ 'เทกซิต' เชื่อ!! 'เทกซัส' แยกตัวจากสหรัฐฯ อาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด ชี้!! ชนวนชายแดน อาจทำให้อีก 25 มลรัฐ ปลดแอกตัวเองตามมาติดๆ

แกนนำแบ่งแยกดินแดนเทกซัสรายหนึ่ง เชื่อว่าการแยกตัวออกจาก 'สหภาพ' (Union) ความเคลื่อนไหวที่ถูกเรียกขานว่า 'เทกซิต' (Texit) อาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิดไว้มาก ท่ามกลางประเด็นข้อพิพาทระหว่างเกรก แอบบอตต์ ผู้ว่าการรัฐกับรัฐบาลกลาง เกี่ยวกับการควบคุมแนวชายแดนติดกับเม็กซิโก

(6 ก.พ.67) นิวยอร์กโพสต์ รายงาน คำกล่าวของ 'ดาเนียล มิลเลอร์' ประธานขบวนการชาตินิยมเทกซัส ระบุว่า "เราอยู่ในจุดที่เทกซิตอยู่ในความคิดของทุกคน ทั้งพวกคนที่สนับสนุนและพวกที่คัดค้าน โดยมีประเด็นชายแดนเป็นแรงเสริม เพื่อเพิ่มการตัดสินใจให้แก่เทกซัส และนั่นจะนำมาสู่การโหวตแบบมีผลผูกพัน เพื่อให้เทกซัสได้กลายเป็นประเทศเอกราชและปกครองตนเอง"

มิลเลอร์ ยังได้กล่าวยกย่อง นายเกร็ก แอบบอต ผู้ว่าการมลรัฐเทกซัส ที่ประกาศสิทธิในการป้องกันตนเองของรัฐเทกซัส พร้อมเพิกเฉยต่อกฎเกณฑ์ใดๆ ของรัฐบาลกลาง ด้วยจุดยืนการปฏิเสธรื้อถอนรั้วลวดหนามที่สร้างขึ้นตามแนวชายแดนติดกับเม็กซิโก แม้ศาลสูงสุดสหรัฐฯ จะตัดสินใจแล้วว่ามันไม่ชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งจุดนี้ถือเป็นการสะท้อนถึงรัฐบาลกลางที่ล้มเหลวในการปกป้องเทกซัสจากการไหลบ่าพวกผู้อพยพลี้ภัยที่ข้ามชายแดนเข้ามา พร้อมเน้นย้ำทางรัฐเทกซัสมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญในการปกป้องตนเอง

ก่อนหน้านี้ แอบบอตต์ ระบุว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครตได้เปลี่ยนชายแดนทางใต้ของประเทศให้กลายเป็นจุดเสี่ยงต่อการอพยพย้ายถิ่นฐานอย่างผิดกฎหมายแทนที่จะรักษากฎหมายและปกป้องชายแดน แต่กลับสนับสนุนการอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายที่ชายแดนติดกับเม็กซิโก และผู้ก่อการร้ายเข้าสหรัฐฯ

แน่นอนว่าถ้อยแถลงของผู้ว่าการรัฐเทกซัส ถือเป็นการตั้งป้อมปฏิเสธคำสั่งจากรัฐบาลกลาง และท้าทายอำนาจของหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมศุลกากรและป้องกันชายแดน และกระทรวงความมั่นคงของสหรัฐฯ

เกี่ยวกับเรื่องนี้ มิลเลอร์ ได้สะท้อนความคิดเห็นแบบเดียวกันผ่านทาง podcast ของเขาเมื่อวันอังคารที่แล้วด้วยว่า "ทุกๆ ครั้งที่เทกซัสพยายามทำบางอย่างเพื่อคุ้มกันชายแดน รัฐบาลจะเข้ามาแทรกแซงหรือทำอย่างที่ผ่านมา เพื่อเตะถ่วงความพยายามของเทกซัส ให้มันไร้ผล ทั้งๆ ที่กระทรวงทหารและกระทรวงความปลอดภัยสาธารณะของเทกซัส มีการปฏิบัติการในฐานะผู้ช่วยหน่วยลาดตระเวนชายแดน ซึ่งอยู่ภายใต้คำสั่งให้ปล่อยพวกเขา (ผู้อพยพ) ข้ามเข้ามา และพาพวกเขาขึ้นรถบัส-ขึ้นเครื่องบินและขึ้นเรือไปทุกหนทุกแห่งอยู่แล้ว"

นอกจากนี้ มิลเลอร์ ยังให้สัมภาษณ์กับนิวส์วีก โดยแสดงความมั่นใจด้วยว่า จะมีประชาชนมากขึ้นที่พร้อมลงคะแนน 'เห็นชอบ' ในการลงมติในคำถามที่ว่ารัฐแห่งนี้ควรแยกตัวออกไปหรือไม่? และเกี่ยวกับประเด็นชายแดนนี้ ก็อาจกระตุ้นให้รัฐอื่นๆ พิจารณาแยกตัวออกจากสหรัฐฯ เช่นกัน โดยอ้างถึงกรณีที่มีผู้ว่าการรัฐรีพับลิกัน 25 คน ได้ร่วมลงนามในหนังสือสนับสนุนแอบบอตต์

"มันหมายความว่าอย่างไรงั้นหรือ มันหมายความว่าเรากำลังพบเห็นการหมุนตัวออกไป ไม่ใช่แค่เทกซัส แต่รวมไปถึงรัฐอื่นๆ ในบรรดา 25 รัฐ" มิลเลอร์กล่าวและว่า "มันคือช่วงเวลาที่น่าสนใจในช่วงชีวิตของเรา และผมคิดว่าเรากำลังมุ่งหน้าสู่จุดหนึ่ง จุดที่อยู่เกินกว่าคำว่าวิกฤตรัฐธรรมนูญ"

‘มิว สเปซ’ ผนึก ‘ispace’ ลงนามบันทึกความเข้าใจ เดินหน้าภารกิจบน ‘ดวงจันทร์’ ภายในปี 2028

เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 67 บริษัท มิว สเปซ แอนด์ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มิว สเปซ) ประกาศการลงนามบันทึกความเข้าใจสองฉบับเกี่ยวกับบริการเพย์โหลดและความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับบริษัท ispace inc. (ispace) บริษัทสำรวจดวงจันทร์ด้วยหุ่นยนต์ภาคเอกชนที่ตั้งอยู่ในญี่ปุ่น ซึ่งก่อตั้งในปี 2010 โดยที่การร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวแรกสู่ภารกิจดวงจันทร์ในอนาคตระหว่างสองบริษัท

ตามข้อตกลงทั้งสองบริษัทได้เข้าสู่การเจรจาสำหรับบริการเพย์โหลดในอนาคตเพื่อไปยังวงโคจรและพื้นผิวดวงจันทร์ และตกลงที่จะร่วมมือกันในการพัฒนาตลาดดาวเทียมดวงจันทร์ โดยการทำงานร่วมกันเพื่อให้บริการขนส่งและการปล่อยเพย์โหลดดาวเทียมดวงจันทร์และการผลิตชิ้นส่วนดาวเทียม ในส่วนหนึ่งของข้อตกลง มิวสเปซ และ ispace จะดำเนินการพัฒนาตลาดร่วมกันในญี่ปุ่นและไทยเพื่อเร่งจำนวนภารกิจดาวเทียมวงโคจรดวงจันทร์ รวมถึงเพย์โหลดดาวเทียมขนาดเล็กและเพย์โหลดสำหรับลงจอดบนดวงจันทร์ที่มีน้ำหนักสูงสุดถึง 100 กิโลกรัม

มิว สเปซ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอวกาศและผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตดาวเทียมในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยภารกิจ sub-orbital ที่ประสบความสำเร็จ 4 ภารกิจตั้งแต่ปี 2018 ถึง 2020 มิว สเปซ ในปัจจุบันมีแผนที่จะจัดหาดาวเทียมและอุปกรณ์ให้กับภารกิจที่กำหนดไว้ตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นไป ispace ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่โดเกี๊ยวได้กลายเป็นผู้ให้บริการขนส่งไปยังดวงจันทร์ครั้งแรกของโลกที่สามารถส่งลงจอดบนดวงจันทร์ได้สำเร็จในเดือนธันวาคม 2022 และในขณะมีภารกิจที่กำหนดไว้สำหรับปี 2024, 2026 และ 2027

เจมส์ เย็นบำรุง ผู้บริหารระดับสูงและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของมิว สเปซ กล่าวว่า "ผมรู้สึกยินดีที่จะแบ่งปันข่าวของความร่วมมือระหว่าง มิว สเปซ กับ ispace นี่ถือเป็นภารกิจดวงจันทร์ครั้งแรกของเรา แสดงถึงวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นของเราในการเป้าหมายบนดวงจันทร์ภายในปี 2028" 

"เราพร้อมที่จะพิสูจน์เทคโนโลยีสำคัญและสร้างฐานสำหรับการพยายามบนดวงจันทร์ในอนาคตในร่วมมือกับทุนของ ispace และความร่วมมือนี้ยังเป็นการยืนยันถึงการยกระดับเทคโนโลยีอวกาศในเอเชียอีกด้วย" 

ด้าน ทาเคชิ ฮาคามาดะ ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ ispace กล่าวว่า "การใช้ดาวเทียมดวงจันทร์ที่มีความคล่องตัวสูงสำหรับเครือข่ายการสื่อสาร การวิจัยวิทยาศาสตร์ และการใช้งานอื่นๆ อีกมากมายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการมีอยู่ของมนุษย์บนดวงจันทร์ในระยะยาว"

"ผมยินดีที่จะประกาศข้อตกลงกับมิวสเปซที่จะสร้างตลาดใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทั่วโลกสำหรับภารกิจดาวเทียมดวงจันทร์เพื่อเป็นการสร้างเศรษฐกิจดวงจันทร์-โลก นี่เป็นอีกก้าวหนึ่งในการทำให้วิสัยทัศน์ของ ispace ที่ว่า 'ขยายดาวเคราะห์ของเรา ขยายอนาคตของเรา' เป็นจริง"

'ชิอิโนะ คาโรลินา' ขอสละตำแหน่ง เซ่นข่าวฉาว เป็นนางงามมือที่ 3

จำต้องคืนมงฯ โบกมือลาตำแหน่งนางงามญี่ปุ่นเสียแล้ว สำหรับ ชิอิโนะ คาโรลินา สาวงามเชื้อสายยูเครน ผู้สามารถคว้าตำแหน่งชนะเลิศจากงานประกวด Miss Nippon Grand Prix ประจำปี 2024 เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา สร้างประวัติศาสตร์ นางงามที่มีเชื้อสายยุโรป 100% แต่สามารถคว้ามงกุฎจากเวทีประกวดของญี่ปุ่นได้เป็นครั้งแรก ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมายจากชาวญี่ปุ่นถึงคุณสมบัติในการประกวดนางงามของเธอ 

แต่หลังจากที่ครองตำแหน่งยังไม่ถึงเดือน ชิอิโนะ คาโรลินา จำต้องสละตำแหน่งเสียแล้ว แต่ไม่ใช่เพราะกองประกวดเรียกคืนรางวัลเพราะเสียงวิจารณ์ว่าเธอไม่ใช่สาวญี่ปุ่น แต่เป็นเพราะข่าวฉาวหลังงานประกวดว่าเธอมีสัมพันธ์กับชายที่แต่งงานแล้ว 

โดย Shukan Bunshun หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ของญี่ปุ่นได้นำเสนอข่าวว่า ชิอิโนะ คาโรลินา มีความสัมพันธ์กับนายแพทย์คนหนึ่ง ที่มีสถานะ 'แต่งงานแล้ว' ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดธรรมเนียม และ ศีลธรรม ในสังคมญี่ปุ่น

ด้านกองประกวด Miss Nippon Grand Prix เคยออกมาตอบโต้ข่าวฉาวดังกล่าวว่า ทราบเรื่องที่ ชิอิโนะ คาโรลินา กำลังคบหาดูใจกับนายแพทย์คนดังกล่าวแล้ว เนื่องจากฝ่ายชายปิดบังสถานะการแต่งงานของตน ก่อนที่จะมาคบกับ ชิอิโนะ คาโรลินา ดังนั้นจึงไม่ใช่ความผิดของเธอ และกองประกวดยังคงสนับสนุน  ชิอิโนะ คาโรลินา ในการทำหน้าที่ Miss Nippon Grand Prix ต่อไป

แต่ทว่าเมื่อวันจันทร์ (5 ก.พ. 67) กองประกวดได้ออกประกาศฉบับใหม่ว่า ชิอิโนะ คาโรลินา ออกมายอมรับว่าเธอทราบถึงสถานะครอบครัวของนายแพทย์คนดังกล่าวอยู่ก่อนแล้ว แต่ก็ยังคบหากับฝ่ายชาย และได้ขอโทษทีมงาน พร้อมยื่นคำร้องขอสละตำแหน่ง Miss Nippon Grand Prix เป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

ต่อมา ชิอิโนะ ยังได้โพสต์ข้อความขอโทษถึงภรรยาของฝ่ายชาย และบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวมถึงทีมงานกองประกวด และบรรดาแฟนคลับที่ได้สนับสนุนเธอตลอดการแข่งขัน และรู้สึกละอายที่ได้โกหกคนเหล่านี้ จึงขอสละมงกุฏตำแหน่ง Miss Nippon Grand Prix ของเธอเพื่อเป็นการขอโทษต่อสังคม

เป็นการปิดตำนานนางงามฝรั่งคว้ามงฯ นางงามญี่ปุ่น อย่างช็อตฟิลคนทั้งประเทศ แต่ก็ต้องยอมรับถึงสปิริตความเป็น 'คนญี่ปุ่น' ในตัวของ ชิอิโนะ คาโรลินา แม้แต่วัฒนธรรมการขอโทษ และแสดงความรับผิดชอบเมื่อสำนึกว่าทำผิด ตามสไตล์ญี่ปุ่นแท้จริง ๆ 

'วราวุธ' ย้ำ!! ปมชายพิการโยกสามล้อ สิทธิ์ไม่ถูกจำกัด เผย!! 'อนุทิน' เห็นด้วยบัตร ‘ประชาชน-พิการ’ เป็นใบเดียว

(6 ก.พ.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) กล่าวก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงความคืบหน้าในการให้ความช่วยเหลือชายพิการที่เดินทางมายังกรุงเทพมหานคร เพื่อขอให้สิทธิ์คนพิการ ว่า กรณีนี้สืบเนื่องมาจาก การที่เราไม่แน่ใจ ว่าเขาหายไปไหนเป็นเวลาประมาณ 2 ปี ทำให้ที่บ้านของชายพิการหาตัวเขาไม่เจอ ซึ่งชื่อในทะเบียนบ้านของชายพิการคนดังกล่าว ก็ถูกย้ายออกจากทะเบียนบ้านเดิม ไปอยู่ทะเบียนบ้านกลาง 

เนื่องจากการที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านกลางทำให้เลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก ไม่สามารถนำไปทำกิจกรรมใดๆ ของภาครัฐได้ และสิทธิ์ของคนพิการก็เป็นหนึ่งในสิทธิประโยชน์เหล่านั้น ซึ่งเวลา 2 ปีที่ผ่านมา การสิทธิประโยชน์หยุดไปโดยปริยาย 

นายวราวุธ กล่าวต่อว่า สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้ คือต้องย้ายเจ้าตัวออกจากทะเบียนบ้านกลาง ไปอยู่ยังภูมิลำเนา ซึ่งทราบว่าเป็นที่ อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย ถ้าทำเช่นนั้นแล้ว สิทธิ์ต่างๆ ก็จะกลับมาอย่างอัตโนมัติ 

ส่วนชายพิการคนดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับการยาเสพติดหรือไม่นั้น นายวราวุธ กล่าวว่า ในทุกกรณีสิทธิของคนพิการยังอยู่ แม้แต่ผู้ต้องขังที่อยู่ในเรือนจำ ก็ยังสามารถรักษาสิทธิ์ของคนพิการได้ หากพี่น้องคนพิการถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำ ก็ขอให้ไปแจ้งการรักษาสิทธิ์คนพิการกับผู้คุมเรือนจำหรือผู้อำนวยการบ้านพักต่างๆ ย้ำว่า สิทธิ์ของคนพิการไม่ได้ถูกจำกัด เพียงแค่ได้รับการคุมขังหรือรับโทษ ทั้งนี้ ต้องขอบคุณผู้ว่าราชการ จ.อยุธยา และเจ้าหน้าที่ พม.จังหวัด ที่เร่งหาตัว และมีความพยายามที่จะทำบัตรประจำตัวประชาชนให้ใหม่ และย้ายทะเบียนบ้านใหม่ ซึ่งเมื่อทำแล้ว สิทธิ์ก็จะกลับมา และสามารถดำเนินการต่อได้

ส่วนการต่ออายุบัตรคนพิการทุก 8 ปี ซึ่งอาจมีบางคนไม่สะดวกนั้น ทำไมจึงไม่เปลี่ยนให้ถูกบันทึกไว้ในบัตรประจำตัวประชาชน นายวราวุธ กล่าวว่า หากบัตรคนพิการหมดอายุแล้ว ไม่สามารถเดินทางมาต่อด้วยตัวเอง ก็สามารถมอบอำนาจให้กับผู้ดูแลมาทำแทนได้ 

ส่วนเหตุผลที่ต้องมีการต่ออายุนั้น เนื่องจากคนพิการมีหลายแบบ หากพิการแบบถาวร ก็ควรจะทำให้เป็นบัตรคนพิการตลอดชีพ แต่การพิการ ในส่วนที่เป็นการเรียนรู้หรือจิตใจ ซึ่งสามารถเยียวยาบำบัดได้ ในช่วง 5-7 ปีนั้น เมื่อผ่านเวลาดังกล่าวไป ก็จะสามารถออกจากสถานะดังกล่าวได้

ส่วนทำไมบัตรประจำตัวประชาชนและบัตรคนพิการไม่สามารถรวมไว้ให้เป็นบัตรใบเดียวกันได้นั้น ตนได้มีการพูดคุยในเรื่องนี้กับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีแนวคิดเดียวกัน ว่าควรผนวกบัตรประชาชนและบัตรคนพิการให้เป็นบัตรใบเดียวกัน เพราะบัตรประจำตัวประชาชนที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ มีชิปการ์ดที่สามารถเก็บข้อมูลได้มากมาย ดังนั้น ตนได้ขอให้กระทรวง พม. มอบหมายให้กรมส่งเสริมสุขภาพชีวิตคนพิการ และกรมการปกครองหาแนวทางในการทำแล้ว

จากกรณีของชายพิการคนดังกล่าว เท่าที่ทราบในตอนนี้ยังอยู่ที่วัด และไม่ยอมรับการต่อบัตรประจำตัวประชาชนใหม่ หรือทำบัตรคนพิการใหม่ ซึ่งก็ไม่แน่ใจ ว่ามีความตั้งใจหรือมีความประสงค์อย่างไร แต่ทราบจากทางกระทรวงมหาดไทย ว่าได้เสนอการจัดทำบัตรประชาชนใบใหม่ให้แล้ว 

ส่วนความจำเป็นจะต้องย้ายไปทะเบียนบ้านกลาง เมื่อเกิดเหตุมีบุคคลหายไปในระยะเวลาหนึ่งนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้มีการสวมสิทธิ์ หรือใช้สิทธิ์ซับซ้อนของบุคคลที่หาย ซึ่งต้องมีการยืนยัน ว่าอยู่เป็นหลักเป็นแหล่งจริง ต้องมีคนมายืนยันตัวให้ โดยสามารถทำภายในจังหวัดหรือท้องถิ่นได้ 

ส่วนคนที่มีลักษณะเช่นเดียวกันนี้ มีจำนวนเท่าไหร่นั้นตอนนี้ตนยังไม่มีข้อมูลอยู่กับตัว

‘โครงการช้างเผือก’ มธ. ลดเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เดินหน้ามอบโอกาสแก่เด็กเรียนดีจากชนบท เข้าสู่รุ่นที่ 43

ลองย้อนกลับไปในอดีต ‘การศึกษา’ ถือเป็นสิ่งไกลตัวและไม่อาจเอื้อมถึงสำหรับเด็กที่มาจากครอบครัวยากจน ยิ่งอาศัยในแถบชนบท ห่างไกลความเจริญ ‘การศึกษา’ ก็ถือเป็นเรื่องห่างไกล เกินฝัน ซึ่งต่อให้เด็กคนนั้นหัวดี เรียนเก่งมากแค่ไหน แต่ก็มีความเสี่ยงหมดสิทธิ์ได้รับการศึกษาที่ดี หากครอบครัวไหนที่ทำอาชีพเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน ก็ต้องจำใจปิดประตูแห่งโอกาส เพราะสู้ค่าใช้จ่ายไม่ไหว

ปัญหาการเข้าไม่ถึงการศึกษาของเด็ก-เยาวชนไทย สะสม ทับถมมาเป็นเวลานาน ซึ่งอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้เล็งเห็นถึงปัญหานี้ และพยายามหาทางบรรเทาปัญหานี้ให้เบาบางลงบ้าง ด้วยการริเริ่มโครงการช่วยเหลือเด็กเรียนดีจากชนบท ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘โครงการช้างเผือก’

สมัยที่ศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ดำรงตำแหน่งอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (พ.ศ. 2518 -2519) ได้ศึกษาและพบว่านักศึกษาที่มีโอกาสผ่านการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เกือบทั้งหมดมาจากครอบครัวที่มีรายได้มากกว่า 1,000 บาทขึ้นไป ทำให้มีการสรุปว่าระบบการสอบคัดเลือกนักศึกษาเข้ามหาวิทยาลัยยังมีความเป็นธรรมในเรื่องโอกาสให้การศึกษายังไม่เพียงพอ 

ทางทบวงมหาวิทยาลัยได้หันมาพิจารณาที่จะแก้ไขปรับปรุงระบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ เพื่อกระจายโอกาสทางการศึกษาให้เด็กในส่วนภูมิภาคที่ยากจน และเป็นบุตรธิดาของเกษตรกร ให้ได้มีโอกาสเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้น 

ซึ่งจากการวิเคราะห์ตัวเลขข้อมูลของผู้สอบเข้ามหาวิทยาลัยติดต่อกันมาโดยตลอด พบว่าผู้ที่ผ่านการคัดเลือกและได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยของรัฐเป็นบุตรธิดาของเกษตรกรเพียง 7% เท่านั้น 

ทบวงมหาวิทยาลัยจึงได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการปรับปรุงระบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยขึ้นมา เพื่อศึกษาและวิจัยความเป็นไปได้ของการปรับปรุงระบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ในวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2518 ที่ประชุมคณะกรรมการทบวงมหาวิทยาลัย ได้พิจารณาข้อเสนอของคณะอนุกรรมการปรับปรุงระบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย มติการประชุมครั้งนั้นเห็นชอบด้วยในหลักการที่ว่า ‘ระบบการสอบคัดเลือกที่เหมาะสม ควรประกอบด้วยการคัดเลือกทั่วไปส่วนหนึ่ง และการคัดเลือกตามระบบโควตาอีกส่วนหนึ่ง’

เมื่อทางทบวงมหาวิทยาลัยเห็นชอบในหลักการ ของระบบการสอบคัดเลือกแบบใหม่แล้ว จึงได้มีหนังสือแจ้งไปยังแต่ละมหาวิทยาลัย เพื่อขอให้แต่ละมหาวิทยาลัยช่วยกันพิจารณาแนวทางการปรับปรุงระบบ การสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ทั้งนี้โดยอาศัยเอกสารข้อเสนอของคณะอนุกรรมการปรับปรุง ระบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยเป็นแนวทางประกอบการพิจารณา 

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์โดยอธิการบดีและคณะผู้บริหารจึงได้ดำเนินการพิจารณาเรื่องการรับนักศึกษา เข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตามระบบโควตา 

แต่กระบวนการทุกอย่างก็ต้องหยุดชะงัด เมื่อเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ขึ้นเสียก่อน ทำให้สถานการณ์ของมหาวิทยาลัยไม่เอื้ออำนวยต่อการพิจารณาเรื่องนี้ จนกระทั่งปีการศึกษา 2522 ‘อาจารย์ประภาศน์ อวยชัย’ ได้นำเรื่องการรับนักศึกษาเข้ามหาวิทยาลัยตามระบบโควตามาทบทวนอีกครั้ง พร้อมแต่งตั้ง ‘คณะที่ปรึกษาฝ่ายวิชาการของอธิการบดี’ ขึ้น เพื่อให้หลักการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยตามระบบโควตาปรากฏขึ้นเป็นรูปธรรมและรวดเร็ว เพราะจะได้สนับสนุนให้นักเรียนที่มีผลการเรียนดี ที่อยู่ในชนบทและมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยให้เข้ามาสอบแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัย ได้มีโอกาสเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยเพิ่มมากขึ้น

โดยอาจารย์ประภาศน์ แถลงเรื่องนี้แก่ที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยครั้งที่ 7/2523 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2523 ว่า…

"ในการพิจารณาข้อเสนอดังกล่าวที่ประชุมคณบดีได้พิจารณาหลายครั้ง โดยมีอาจารย์รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ ซึ่งเป็นผู้แทนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในคณะอนุกรรมการปรับปรุงระบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยที่ทบวงมหาวิทยาลัยแต่งตั้งเข้าร่วมชี้แจงอยู่ด้วย ผลการประชุมมีมติเห็นชอบด้วยตามหลักการที่ว่า การสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยควรใช้การคัดเลือกตามระบบโควตา ประกอบกับการสอบคัดเลือกทั่วไป ในขณะที่เรื่องนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของทบวงมหาวิทยาลัยนั้น ทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ควรดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเท่าที่สามารถจะกระทำได้ จึงขอให้ฝ่ายวิชาการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่งเพื่อพิจารณาเรื่องนี้ เพื่อมหาวิทยาลัยจักได้ดำเนินการต่อไปในปี การศึกษา 2524"

ในปีการศึกษา 2524 มหาวิทยาลัยจึงเริ่มโครงการรับนักศึกษาเรียนดีจากชนบทขึ้นเป็นปีแรก ได้พิจารณารับนักศึกษาจำนวนประมาณ 50 คน จากอำเภอและจังหวัดต่าง ๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และจัดให้เข้าศึกษายังคณะและแผนกอิสระต่าง ๆ โดยเฉลี่ยตามสัดส่วนจำนวนนักศึกษาที่คณะหรือแผนกอิสระนั้น ๆ รับอยู่ในปัจจุบัน

สำหรับคุณสมบัติเบื้องต้นนั้นต้องเป็นนักเรียนในชั้นมัธยมปลาย มีผลการเรียนดีเด่น มาจากครอบครัวเกษตรกรหรือด้อยฐานะทางเศรษฐกิจ ซึ่งหากไม่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินและโอกาสจะไม่สามารถเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยได้

ในช่วงระยะเวลาเริ่มต้นโครงการค่าใช้จ่ายทั้งหมดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากงบประมาณแผ่นดิน มหาวิทยาลัยจึงมีภาระหนักในการหาทุนการศึกษาให้แก่นักศึกษาเหล่านี้ ทำให้ต้องพิจารณาจำกัดจำนวนและภูมิภาคที่มีความจำเป็นเร่งด่วนเป็นประการแรก

ในหนังสือ ปฐมนิเทศและคู่มือนักศึกษาเรียนดีจากชนบท 2530 ระบุข้อความเชิญชวนบริจาคสนับสนุนนักศึกษาเรียนดีจากชนบท ว่า…

“เกษตรกรและชาวชนบท มีจำนวน 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ของประชากรไทยทั้งหมด แต่นักเรียนมัธยมปลายที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐได้ในแต่ละปี มีลูกหลานของเกษตรกร และผู้มีรายได้ต่ำเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ เพื่อแก้ไขความเหลื่อมล้ำในโอกาสของการศึกษาชั้นสูง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จึงจัดให้มีโครงการนักศึกษาเรียนดีจากชนบท โดยรับในระบบโควตาของมหาวิทยาลัยเองปีละ 150 คน”

สำหรับบัณฑิตจากโครงการรับนักศึกษาเรียนดีจากชนบท เช่น

-นายรัฐกรณ์ ทองงาม คณะรัฐศาสตร์ จากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ระหว่างปีการศึกษา 2529 - 2532 ตุลาการศาลปกครอง

-ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ฐปน ชื่นบาล คณะวิทยาศาสตร์ สาขาสิ่งแวคล้อม จากจังหวัดราชบุรี ปีการศึกษา 2529 - 2533 คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้

-นางสาวทิพวรรณ กมลพัฒนานันท์ คณะรัฐศาสตร์ สาขาบริหารรัฐกิจ จากจังหวัดราชบุรี ระหว่างปีการศึกษา 2530 - 2533 ผู้อำนวยการกองบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

-นายปราชญา อุ่นเพชรวรากร คณะรัฐศาสตร์ จากจังหวัดสุพรรณบุรี ระหว่างปีการศึกษา
2531 - 2534 รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย

จากปี 2524 ที่เริ่มโครงการ จนถึงปัจจุบันโครงการรับนักศึกษาเรียนดีจากชนบท หรือธรรมศาสตร์ช้างเผือก ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้เดินทางมาถึงรุ่น 43 แล้ว และยังคงเดินหน้ารับนักศึกษาเรียนดีจากชนบทต่อไป เพื่อเป็นการกระจายโอกาสการเข้าถึงการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างบุคลากรที่มีศักยภาพให้แก่ประเทศไทย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top