Saturday, 7 June 2025
NewsFeed

‘ภูมิธรรม’ ซัด!! 'ก้าวไกล' อย่าหมกมุ่นแก้แต่ 112 ย้ำ!! จุดยืน ‘พท.’ อะไรที่นำสู่ความขัดแย้ง ไม่แตะ

(5 ก.พ. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีการวิเคราะห์กันว่าหากยุบพรรคก้าวไกล จะทำให้ยิ่งยุบยิ่งโต ว่า ยิ่งยุบยิ่งโตเป็นเพียงวาทกรรม จะยุบแล้วจะโต จะยุบแล้วจะเล็ก หรือจะอะไรต่างๆ ต้องขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง ตนว่าอย่าไปคาดการณ์อะไร เพราะตอนนี้จะยุบหรือไม่ ยังไม่รู้ หากจะยุบ จะยุบแบบไหน ทุกอย่างมีปัจจัย ย้ำว่ายิ่งยุบยิ่งโตเป็นแค่วาทกรรม อย่าให้ความสำคัญมาก เราให้ความสำคัญกับความเป็นจริงดีกว่า 

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม จะพิจารณาเกี่ยวกับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือไม่ เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้วางหลักในเรื่องนี้ไว้? นายภูมิธรรม กล่าวว่า “ต้องนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมาดู หากชัดเจนว่าการพูดถึงหรือดำเนินการเรื่องนี้เป็นเรื่องการล้มล้างการปกครอง ก็ชัดเจนว่ามติศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร เราคงต้องดูรายละเอียด” 

เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยมีจุดยืนต่อประเด็นความผิดตามมาตรา 112 อย่างไร? นายภูมิธรรม กล่าวว่า “จุดยืนเรื่องมาตรา 112 ของพรรคเพื่อไทยชัดเจน เราพูดมาตั้งแต่ต้นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สามารถก่อให้เกิดความขัดแย้งใหม่ได้ เพราะมีประชาชนหลายส่วนเห็นต่างกัน จุดยืนของเราคือเรื่องอะไรที่มีความอ่อนไหวที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งรอบใหม่และยังมีความเห็นต่างกัน ต้องหาข้อสรุปให้ได้ก่อน ถ้ายังหาข้อสรุปไม่ได้ไม่ควรหยิบยกขึ้นมา พรรคเพื่อไทยชัดเจน จะเห็นว่าในการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเราจึงไม่แตะเรื่องมาตรา 112 จนกว่าทุกอย่างจะชัด และเชื่อว่าถ้ายังคงเป็นเช่นนี้ ไม่ควรไปแตะต้อง เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่นอกเหนือการเมือง”

“เมื่อสภาพสังคมเป็นเช่นนี้ ไม่ควรหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาและไปกระทบกระเทือนสถาบัน และหน้าที่ของรัฐบาลขณะนี้คือ ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ปัญหาวิกฤติประเทศ วิกฤติเศรษฐกิจ ที่ต้องสนใจและแก้ปัญหา ตนเคยตอบกระทู้ของนายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ถามในเรื่องนี้ว่าทำไมต้องไปหมกมุ่นเรื่องนี้ ทำไมไม่มาสนใจเรื่องที่จะแก้ปัญหาให้ประชาชน” นายภูมิธรรม กล่าว

เมื่อถามถึงกรณีนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า เสนอให้แก้ไข พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อลดขอบเขตการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ? นายภูมิธรรม กล่าวว่า “นายปิยบุตรเป็นนักกฎหมาย ต้องไปถามรายละเอียดกับนายปิยบุตร ตนเป็นนักรัฐศาสตร์ไม่เข้าใจรายละเอียดที่นายปิยบุตรพูด และยังไม่ได้เห็นรายละเอียดดังกล่าว แต่ส่วนตัวคิดว่าทุกอย่างต้องมีเหตุผลรองรับ กลไกทางการเมืองทั้งหมดเป็นเรื่องของหลักการอยู่แล้ว คือ การกระจายอำนาจและรับผิดชอบซึ่งกันและกัน ตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งกันและกัน อีกทั้งยังเป็นเรื่องของสภา ไม่ใช่ความเห็นของคนใดคนหนึ่ง และความเห็นคนใดคนหนึ่งไม่ใช่สาระที่จะต้องเอามาเป็นเรื่องที่สังคมต้องเอามาดำเนินการ หากมีความเห็นอะไรก็เสนอเข้าสภา ถ้าสภาพิจารณาอย่างไรถือเป็นความเห็นของตัวแทนประชาชน”

เมื่อถามย้ำว่า ส่วนตัวเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจมากไปหรือไม่? นายภูมิธรรม กล่าวว่า “ตนยังไม่ได้ดูรายละเอียด แต่คิดว่าท่านก็ทำหน้าที่ของท่าน ทุกองค์กรมีหน้าที่ตามสถานการณ์ ตามเงื่อนไข หากเหมาะสมก็ดำเนินการไป เป็นที่ยอมรับ แต่หากมีปัญหาก็จะหยิบยกขึ้นมา และต้องไปพิจารณาต่อว่าจะจัดการอย่างไรให้เหมาะสม แต่ส่วนตัวมองว่าโดยพลวัตของการเปลี่ยนแปลง ทุกองค์กรทุกหน่วยงานสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น คงต้องไปรอดูตรงนั้น”

ชื่นชม!! ‘4 พยาบาลทหารอากาศหญิง’ รุดเข้าช่วยหญิงชรา หลังเป็นลมหมดสติ บริเวณทางเข้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

(5 ก.พ.67) จากกรณีที่นาวาอากาศเอกหญิง วัลลภา อันดารา รองผู้อำนวยการวิทยาลัยพยาบาลทหารอากาศ พร้อมด้วยคณะอาจารย์ นาวาอากาศโทหญิง ชญาพัฒน์ ทองปากน้ำ, นาวาอากาศตรีหญิง อุษณีย์ บุญบรรจบ และเรืออากาศโทหญิง ภัทรพร โชคสมงาม ร่วมเดินทางส่งนักเรียนพยาบาลทหารอากาศ นันท์นภัส เภสัชชา ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อเดินทางไปศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตร์ ณ สาธารณรัฐเกาหลี 

โดยขณะเดินทางกลับ คณะอาจารย์ พบผู้สูงอายุ มีอาการวูบ หน้ามืด และล้มนอนข้างถนน ทางเข้าออกท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดย คณะอาจารย์ได้ร่วมกันช่วยปฐมพยาบาลจนอาการดีขึ้นและส่งต่อให้พยาบาลของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิดูแลต่อ 

ทั้งนี้ พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศแสดงความชื่นชมต่อความมีจิตสาธารณะของคณะอาจารย์ ในการช่วยเหลือผู้ประสบเหตุได้อย่างทันท่วงที และแสดงถึงจรรยาบรรณของวิชาชีพพยาบาลในการช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ จนรอดพ้นภาวะอันตราย เป็นแบบอย่างที่ดีของข้าราชการกองทัพอากาศ ในการมีจิตสาธารณะ

'นายกฯ' ถก!! ปตท. 'หารือ-หนุน' การลงทุนในต่างประเทศ  แนะ!! ลุย 'โซลาร์ลอยน้ำ-ผลักดันสตาร์ตอัปไทย' ในศรีลังกา

(5 ก.พ.67) ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เวลาประมาณ 14.00 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่าได้หารือกับนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และนายคงกระพัน อินทรแจ้ง กรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 

ทั้งนี้นายเศรษฐาได้เปิดเผยว่าการหารือกับประธานบอร์ด ปตท. และ ซีอีโอ ปตท. โดยหารือถึงโอกาสในการลงทุนของ ปตท.ในต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นการขยายธุรกิจ และมีโอกาสอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในด้านพลังงานสะอาด โดยเฉพาะในโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำ (Solar Floating) รวมทั้งการขยายการลงทุนไปยังศรีลังกา ซึ่งต้องการการลงทุนจากประเทศไทยอย่างมาก

“หลังจากผมได้กลับมาจากการเดินทางที่ประเทศศรีลังกา ผมได้เชิญประธานกรรมการ ปตท. เพื่อมาพูดคุยถึงโอกาสในการลงทุนของ ปตท.ในต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นการขยายธุรกิจ และถือว่ามีโอกาสอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในด้านพลังงานสะอาด (Solar Floating) ซึ่งประเทศศรีลังกา พร้อมเปิดรับการลงทุนจากไทยด้วย”

นอกจากนั้นได้ให้นโยบายด้วยว่าอยากให้ ปตท.เข้ามาส่งเสริมธุรกิจ Start-up และการส่งเสริมผลักดันสมาคมกีฬาต่าง ๆ อีกด้วย ซึ่งได้รับผลการตอบรับอย่างดีจากทาง ปตท.ด้วย

"เชื่อมั่นว่าจะเป็นการยกระดับของปตท. ไม่ใช่เป็นเพียงแค่บริษัทพลังงานในประเทศไทย แต่ยังเสริมสร้างโอกาสดี ๆ ให้กับประชาชนในประเทศอีกด้วยครับ" นายกรัฐมนตรี กล่าว 

‘ศาลอุทธรณ์’ พิพากษายืน จำคุก ‘เพนกวิ้น-อั๋ว’ 2 เดือน กรณีจัดกิจกรรม #Saveวันเฉลิม ปี 63 ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 


(5 ก.พ.67) ที่ศาลแขวงปทุมวัน ถ.นครไชยศรี ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ 653/2566 ที่พนักงานอัยการสูงสุดเป็นโจทก์ฟ้องนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิ้น จำเลยที่ 1 และน.ส.จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ หรือ อั๋ว จำเลยที่ 2 แกนนำกลุ่มราษฎร เป็นจำเลยในความผิดต่อพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินกรณีเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 63 จำลยได้จัดกิจกรรม #Saveวันเฉลิม ทวงความเป็นธรรมให้กับการบุคคลสูญหายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ บริเวณหน้าหอศิลป์กรุงเทพ

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยทั้งสอง มีความผิดตามพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 9(2),18 ประกอบมาตราประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 จำคุกจำเลยทั้งสอง คนละ 2 เดือน ปรับคนละ 10,000 บาท จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 368 วรรคหนึ่ง อีกกระทงหนึ่งปรับ 2,000 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 เดือนรวมปรับ 12,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 2 ปี

จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่าจำเลยทั้งสอง ร่วมกันจัดให้มีกิจกรรมซึ่งมีประชาชนเข้าร่วมจำนวนมากในลักษณะมั่วสุมประชุมกันหรือมีโอกาสติดต่อสัมผัสกันได้ง่ายโดยได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ฝ่าฝืนข้อกำหนดออกตามมาตรา 9 แห่งพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯหรือไม่ 

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ในทำนองว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานพิสูจน์ว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ลงข้อความใน เฟซบุ๊ก ทั้งไม่ได้ตรวจสอบว่าใครเป็นแอดมินเพจ เฟซบุ๊ก ชื่อบัญชี สหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย จำเลยทั้งสองปรากฏตัว ณ สถานที่นัดหมายเนื่องจากพบเห็นข้อความทางเฟซบุ๊ก ดังกล่าวซึ่งเป็นการสื่อสารทางอินเตอร์เน็ตที่ประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้ เห็นว่าโจทก์มีตำรวจเป็นพยานยืนยันว่า พบจำเลยทั้งสองนำภาพผู้ลี้ภัยวางไว้ที่บริเวณผู้ชุมนุม จำเลยทั้งสอง พูดปราศรัยห่างจากผู้ชุมนุมประมาณ 1 เมตร ผู้ชุมนุมยืนติดกันไม่เว้นระยะห่างไม่มีจุดคัดกรอง ไม่มีเจลแอลกอฮอล์ จำเลยทั้งสองกล่าวปราศรัยถึงวัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมครั้งนี้

พฤติกรรมของจำเลยทั้งสอง บ่งชี้ว่ามีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมชุมนุมโดยเฉพาะจำเลยที่2 เป็นประธานสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทยย่อมมีน้ำหนักรับฟังมั่นคงว่าจำเลยทั้งสองรู้เห็นและมีส่วนร่วมกับการจัดกิจกรรมชุมนุมดังกล่าว ที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าจำเลยทั้งสองปรากฏตัว เนื่องจากเพราะเป็นข้อความที่ประชาชนทั่วไป สามารถเข้าถึงได้การที่จำเลยทั้งสอง นำภาพผู้ลี้ภัยทางการเมืองมาวางบริเวณผู้ชุมนุมและปราศรัยเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยอันเป็นปกติวิสัยของบุคคลที่เห็นข้อความเชิญชวน แต่รายงานสืบสวนเอกสารในตอนท้ายที่ระบุว่า “โปรดเตรียมดอกไม้เพื่อร่วมทวงความเป็นธรรมให้ผู้ลี้ภัยทางการเมือง” ซึ่งปกติวิสัยของบุคคลทั่วไปเห็นข้อความดังกล่าว และประสงค์จะเข้าร่วมก็เพียงแต่นำดอกไม้มาเท่านั้น ไม่มีเหตุให้นำภาพของผู้ลี้ภัยทางการเมืองมาชุมนุมและขึ้นกล่าวปราศรัยด้วย

การที่จำเลยทั้งสองนำภาพผู้ลี้ภัยทางการเมืองมาวางและกล่าวปราศรัยเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยจึงไม่ใช่ปกติวิสัยของคนที่เห็นข้อความเชิญชวน การกระทำเช่นนั้นที่จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานพิสูจน์ว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ลงข้อความเฟซบุ๊ก ทั้งไม่ได้ตรวจสอบว่าใครเป็นแอดมินของเพจเฟซบุ๊กดังกล่าว อุทธรณ์จำเลยทั้งสอง ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

มีปัญหาวินิจฉัยอุทธรณ์จำเลยที่2 ว่ามีความผิดฐานไม่ผิดตามคำสั่งพนักงานสอบสวนที่สั่งให้พิมพ์ลายนิ้วมือโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควรประมวลกฎหมายอาญามาตรา 368 หรือไม่

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่าพนักงานสอบสวนมีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 พิมพ์ลายนิ้วมือไม่ใช่เพื่อการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อหาตัวผู้กระทำความผิดไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 132 (1) การที่จำเลยที่ 2 ปฏิบัติตามคำสั่งแล้วจึงไม่มีความผิดนั้น

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 132 ให้อำนาจพนักงานสอบสวนตรวจผู้เสียหาย เมื่อผู้นั้นยินยอมหรือตรวจตัวผู้ต้องหา ตรวจสิ่งของ หรือทางที่อันจะสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานได้ข้อเท็จจริงจากพยานเบิกความว่าพยานได้จัดให้จำเลยที่ 2 พิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อตรวจว่าจะมีการเพิ่มโทษหรือไม่ แต่จำเลยที่ 2 ไม่ยินยอมโดยพยานเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 2 ค้านว่าการขอตรวจลายนิ้วมือจำเลยที่ 2 เพื่อนำไปตรวจหาประวัติอาชญากรบ่งชี้ชัดว่าพนักงานสอบสวนสั่งจำเลยที่ 2 พิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อจะได้ทราบว่าจำเลยที่ 2 เคยต้องโทษมาก่อนอันเป็นเหตุให้เพิ่มโทษตามกฏหมายหรือไม่ คำสั่งของพนักงานสอบสวนจึงชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานไม่ปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานสอบสวนที่สั่งให้พิมพ์ลายนิ้วมือโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควรที่ศาลชั้นต้นพิพากษานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองทุกข้อฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืน

‘ภูมิธรรม’ ชี้!! ‘กางเกงช้าง-แมว’ ไทยจดลิขสิทธิ์แล้ว พร้อมสั่งกรมศุลกากรคุมสินค้าใช้ กม.ระงับนำเข้าทุกด่าน

(5 ก.พ. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีจีนส่งกางเกงช้างเข้ามาขายในประเทศไทย จะต้องมีการตรวจสอบในเรื่องของการละเมิดลิขสิทธิ์หรือไม่ ว่าขณะนี้มีความชัดเจนว่ากรณีของกางเกงลายช้างหรือลายแมว มีการจดลิขสิทธิ์เป็นทรัพย์สินทางปัญญาอยู่แล้ว เพียงแต่ในการจดลิขสิทธิ์อาจจะมีความเพี้ยนแตกต่างกันไป ซึ่งเราต้องมาดูข้อกฎหมายว่าครอบคลุมแค่ไหน แต่ส่วนตัวคิดว่าน่าจะครอบคลุมพอสมควร 

ทั้งนี้ ทางกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ออกไปสำรวจตลาดว่าสินค้าดังกล่าวนี้มีมากน้อยแค่ไหน และได้ประสานกับกรมศุลกากรที่มีกฎหมายในการสั่งระงับยับยั้งสินค้าได้ ซึ่งทางกรมศุลกากรจะมีการสั่งทุกด่านในการควบคุมสินค้าตัวนี้ที่เข้ามา

นายภูมิธรรม กล่าวว่า นอกจากนี้ ตนได้ประสานกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศว่าเราอาจจะต้องใช้สัญลักษณ์ที่เป็นการจองพื้นที่หรือการสรุปว่าเป็นสินค้าไทย เพื่อเป็นการควบคุมดูแลสินค้าไทย อย่างไรก็ตาม สินค้าที่เข้ามานั้นหากเปรียบเทียบกับสินค้าไทย จะเห็นได้ชัดเจนว่าต่างกันลิบลับในเรื่องของคุณภาพ ซึ่งสินค้าของไทยมีคุณภาพดีมาก ขณะนี้สินค้าที่เข้ามา แม้มีราคาถูกแต่คุณภาพจะไม่ดี ใส่เพียงครั้งเดียวก็ขาดแล้ว โดยการระงับยับยั้งนั้นเป็นการระงับจากนอกประเทศที่เข้ามาในประเทศ แต่เราต้องคำนึงถึงสินค้าตราช้าง หรือตราแมวที่เป็นของไทยที่มีคุณภาพด้วย เพราะเราต้องส่งเสริม ดังนั้น การที่จะออกกฎเกณฑ์อะไรมาต้องคำนึงทั้งสองด้าน

TikTok อินโดฯ เดือด!! ทุกพรรคอัดแคมเปญหาเสียงเพื่อวัยโจ๋ ขนาดผู้สมัครวัย 72 ยังลุกมาอัดคลิปเต้น หวังเรียกคะแนน

อินโดนีเซียเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งใหญ่ ที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 นี้แล้ว 

ตอนนี้ บรรดาว่าที่ผู้สมัคร และ พรรคการเมืองอัดแคมเปญหาเสียงกันอย่างไม่ยั้ง โดยโซเชียลมีเดีย ถูกนำมาใช้เป็นช่องทางหาเสียงอย่างกว้างขวาง ซึ่งแพลตฟอร์มยอดนิยมที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในเวลานี้ ที่อินโดนีเซียก็คือ การหาเสียงผ่าน TikTok 

ประเทศอินโดนีเซีย มีประชากรอยู่ราว ๆ 278 ล้านคน มากเป็นอันดับ 4 ของโลก ในจำนวนนั้นมีกลุ่มคนรุ่น Millennials และ Gen Z ที่มีสิทธิ์เลือกตั้งมากถึง 56.5% และยังเป็นกลุ่มที่นิยมติดตามข้อมูลข่าวสารบนช่องทางโซเชียลเป็นอย่างมาก ซึ่งแพลตฟอร์มโซเชียลที่นิยมในกลุ่มคนหนุ่ม-สาวชาวอินโดนีเซียในยุคนี้ หนีไม่พ้น TikTok 

ปัจจุบันอินโดนีเซียมีบัญชีผู้ใช้ TikTok ที่ยัง Active อยู่ถึง 125 ล้านบัญชี นับเป็นประเทศผู้ใช้ TikTok มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก 

การใช้โซเชียลมีเดียช่วยในการหาเสียง มีมานานแล้วในทุกประเทศ ยิ่งในอินโดนีเซียที่กลุ่มคนรุ่นใหม่นิยมเล่นโซเชียลกันเป็นกิจวัตร แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ TikTok กลายเป็นสื่อออนไลน์ที่เข้ามามีอิทธิพล และบทบาทอย่างมากในการเผยแพร่เนื้อหา ประเด็นทางการเมือง จนกลายเป็นสนามที่ใช้ต่อสู้อย่างดุเดือดในการหาเสียงเลือกตั้งของอินโดนีเซียในปีนี้

อาร์โย เซโน บากาสโกโร ผู้ทำหน้าที่โฆษกในแคมเปญหาเสียงของนาย กันจาร์ ปราโนโว กล่าวว่า จากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว (2562) ที่ใช้ Instagram ในการหาเสียงผ่านโซเชียลมากที่สุด แต่ทว่าปีนี้กลายเป็นยุคของ TikTok ไปเสียแล้ว

จึงไม่แปลกใจที่ตอนนี้ผู้สมัครแถวหน้าทั้ง 3 คนในศึกชิงตำแหน่งผู้นำอินโดนิเซีย ล้วนสร้างคอนเทนต์เอาใจกลุ่ม Voter รุ่นใหม่ผ่านช่องทาง TikTok กันอย่างคึกคัก อย่างนาย ปราโบโว ซูบิอานโต รัฐมนตรีกลาโหมวัย 72 ปี โชว์คลิปเต้น TikTok กลางเวทีเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดูอ่อนวัย กระฉับกระเฉง เข้าถึงง่าย และได้ฐานเสียงกลุ่มคนวัย 40 ไปได้ไม่น้อย 

นาย อานีส บัสเวดัน อดีตผู้ว่ากรุงจาการ์ตา ใช้ TikTok เจาะกลุ่มวัยรุ่นผู้นิยม K-Pop ในอินโดนีเซียได้อย่างกว้างขวาง บางคลิปมีคำบรรยายภาษาเกาหลี และมีการสื่อสารผ่านเครือข่ายกลุ่มแฟนด้อมของไอดอลเกาหลีในอินโดนีเซียในการหาเสียง

ส่วนนาย กันจาร์ ปราโนโว ผู้สมัครแถวหน้าอีกคนใช้ TikTok ในสไตล์หาเสียงที่ต่างออกไป ด้วยการถ่ายคลิปแบบเรียบง่าย เหมือนคนธรรมดาทั่วไปที่เล่น TikTok สวมเสื้อแจ็กเกตแบบ Top Gun บ้าง เสื้อยืดขาวลายเพนกวินธรรมดาบ้าง เดินเท้าเปล่าบ้าง เน้นการสื่อสารที่เข้าถึงชาวบ้านทั่วไปแบบเป็นธรรมชาติ ไม่ปรุงแต่ง ก็ได้รับความสนใจไม่น้อยโลกโซเชียลของอินโดนิเซีย

แม้แต่ละคนจะมีกลยุทธ์การสื่อสารถึงฐานเสียงที่ต่างออกไป แต่ TikTok กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในสนามเลือกตั้งอินโดนีเซีย แสดงให้เห็นถึงสื่อสังคมออนไลน์อย่าง TikTok ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของประชาชนผู้ลงคะแนนเสียงมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้การหาเสียงแบบเดินเท้า เคาะประตูตามบ้าน หรือแสดงวิสัยทัศน์ผ่านรายการดีเบตบนหน้าจอโทรทัศน์ ยังคงต้องมีอยู่ 

แต่ทั้งนี้ การก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งสื่อหลักของ TikTok ในแคมเปญหาเสียงของแทบทุกพรรคในอินโดนีเซีย อาจกำลังสะท้อนถึงยุคสมัยที่เปลี่ยนผ่านสู่มุมมอง และการตัดสินใจของคนยุคใหม่ ทั้งกลุ่ม Millennials และ Gen Z ที่เกาะกระแสไว เน้นประเด็นหลัก สรุปจบสั้นภายในเวลาไม่ถึง 1 นาที ก็พร้อมเข้าคูหา กาคนที่โดนใจได้แล้ว

'ชัยวุฒิ' ยัน!! กระแส 'พปชร.’ ไม่แผ่ว นโยบายพรรคยังถูกจริต แต่จำนวน สส.คลาดเป้า เพราะเสียงแตก 2 พรรค มีผล

(5 ก.พ.67) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวตอนหนึ่งบนเวทีเสวนาหัวข้อ 'อนาคตประชาธิปไตยไทยในมิติพรรคการเมือง' ซึ่งจัดโดยคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยระบุถึงผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ซึ่งได้จำนวนสส.ต่ำกว่าเป้า ว่า ต้องยอมรับว่าการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาพลาดเป้า ส่วนหนึ่งมาจากการแตกออกเป็น 2 พรรค 

ทั้งนี้ หากพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่แยกพรรคกันในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เชื่อว่าพรรคพลังประชารัฐจะได้ สส.มากกว่านี้ เพราะคะแนนเสียงถูกหารไป ทั้ง ๆ ที่ยังมีคะแนนนิยมเหมือนเดิมในหลายพื้นที่ แต่เมื่อแยกพรรคกัน คะแนนนิยมก็ถูกแบ่ง และการหาเสียงก็มีความยากลำบากขึ้นด้วย ในขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่า คะแนนนิยมในตัวพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ทำงานมายาวนาน ก็จะได้คะแนนนิยมค่อนข้างสูง จึงทำให้คะแนนเทไปทางพรรครวมไทยสร้างชาติมากกว่า แต่ท้ายที่สุดแล้ว การที่แยกพรรคกัน ทำให้กลายเป็นจุดอ่อน ที่ส่งผลให้แพ้ทั้งคู่ ซึ่งถือเป็นบทเรียนของทั้งสองพรรคในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา 

อย่างไรก็ตาม ในการเลือกตั้งครั้งหน้า เชื่อว่าพรรคพลังประชารัฐ ก็ยังมีคะแนนนิยมอยู่ ซึ่งดูจากจำนวนคะแนนที่ได้รับจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แต่ทั้งนี้ ทางพรรคจะต้องทำกิจกรรมร่วมกับประชาชนและมีนโยบายที่ชัดเจน พร้อมทั้งต้องรวมคนและรวมพลังกันให้ได้ โดยส่วนตัวยังเชื่อว่ามีคนอีกจำนวนมากพร้อมสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ เพียงแต่เราจะต้องเตรียมพร้อมและรองรับให้ดีกว่าครั้งที่ผ่านมา แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุด คือ จะต้องรวมกำลังคนที่เคยแยกออกไป กลับมารวมตัวกันเป็นพรรคใหญ่ให้ได้ เพื่อสู้ศึกในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

ทั้งนี้ นายชัยวุฒิ มองว่าการเลือกตั้งในอนาคตจะมี 2 เรื่องสำคัญที่ต้องติดตาม โดยเรื่องแรก เป็นเรื่องกฎหมายเลือกตั้ง หรือ วิธีการเลือกตั้ง ซึ่งค่อนข้างมีผลต่อจำนวนสส.ของแต่ละพรรคอย่างมาก เพราะเมื่อเปลี่ยนวิธีนับคะแนนหรือเปลี่ยนวิธีเลือกตั้ง คะแนนย่อมเปลี่ยนไปด้วย รวมถึงการที่จำนวนพรรคการเมืองและผู้สมัครมีจำนวนมากขึ้น ก็จะมีผลต่อคะแนนเสียงเช่นกัน ซึ่งเห็นได้จากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา คนที่ได้รับเลือกเป็นสส.เขตบางคนได้คะแนนเพียง 20-30% ของจำนวนผู้ที่มาใช้สิทธิเท่านั้น แต่ก็สามารถชนะเลือกตั้งได้เป็นสส. ซึ่งจะแตกต่างจากในอดีตที่คนชนะส่วนใหญ่ จะต้องได้คะแนนเกิน 50% ขึ้นไป 

ส่วนเรื่องที่สอง ที่มองว่าจะต้องได้รับการแก้ไข ก็คือ ในอดีตกลัวว่าจะมีการใช้สื่อในการชี้นำประชาชน จึงออกกฎหมายควบคุมสื่อดั้งเดิม อย่างสื่อสิ่งพิมพ์และโทรทัศน์อย่างเข้มงวด แต่ในขณะเดียวกันกลับไม่มีการควบคุมสื่อออนไลน์ ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากในปัจจุบัน แน่นอนว่า ในอนาคตทั้งนักการเมืองและพรรคการเมือง จะต้องปรับตัวรับมือกับโซเชียลมีเดีย ซึ่งหลายพรรคพยายามจะทำ ในขณะที่อีกหลายพรรคก็ยังตามไม่ทัน ดังนั้น ทั้ง 2 เรื่อง คือ กติกาการเลือกตั้ง และ โซเชียลมีเดีย จะมีผลอย่างมากต่อการเลือกตั้งในอนาคต

พร้อมกันนี้ นายชัยวุฒิ ยังได้ให้มุมมองทางด้านเศรษฐกิจ และสังคม โดยกล่าวถึงการผลักดันเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ว่า นโยบายด้านซอฟต์พาวเวอร์ เป็นเรื่องที่จะต้องผลักดันกันต่อไป เพราะเป็นการเพิ่มมูลค่าและสร้างการรับรู้วัฒนธรรมไทยไปสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่ผ่านมาทางพรรคพลังประชารัฐ เคยมีแนวคิดที่จะตั้งองค์กรขึ้นมาดูแลด้านนี้โดยเฉพาะ ซึ่งแต่เดิมจะมีกระทรวงวัฒนธรรมเป็นเจ้าภาพหลัก แต่ในอดีตที่ผ่านมายังไม่ค่อยมีความชัดเจน และโดยส่วนตัวเห็นด้วยกับรัฐบาลชุดนี้ ที่ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลอย่างจริงจัง มีงบประมาณที่ชัดเจน และในอนาคตหากสามารถยกระดับเป็นองค์กรมหาชน หรือเป็นหน่วยงานด้านนี้โดยตรง เชื่อว่าจะช่วยยกระดับและผลักดันความเป็นไทยออกไปสู่ชาวโลกได้มากยิ่งขึ้น 

‘วราวุธ’ เผย พบชายพิการโยกสามล้อจากสุโขทัยแล้ว ส่งเจ้าหน้าที่ประกบ พูดคุยหาสาเหตุ - ช่วยเหลือ

(5 ก.พ. 67) ที่กระทรวง พม. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่หนุ่มพิการโยกรถสามล้อจากจังหวัดสุโขทัย ไปที่กรมบัญชีกลาง กรุงเทพมหานคร เพื่อยืนยันตัวตนขอสิทธิรับเบี้ยความพิการ ว่า ตนขอขอบคุณสื่อมวลชนที่ได้ส่งข่าวดังกล่าวเข้ามาให้ ทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ได้เร่งตรวจสอบและขณะนี้พบตัวบุคคลดังกล่าวแล้ว และเชิญไปอยู่ที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อพูดคุยและตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าปัญหาหรือสาเหตุที่เกิดขึ้น โดยในเบื้องต้นทราบว่าชายคนดังกล่าว ไม่ได้อยู่ในภูมิลำเนาจังหวัดสุโขทัยมานานกว่า 2 ปีแล้วทำให้ถูกถอดออกจากบัญชีคนพิการของจังหวัดสุโขทัย ซึ่งทางกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ได้เข้าไปตรวจสอบและดูว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาให้กับบุคคลดังกล่าวได้อย่างไรบ้าง 

นายวราวุธ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ตนขอฝากถึงคนพิการทั่วประเทศว่า หากมีปัญหา หรือข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องการลงทะเบียน การรักษาสิทธิ หรือเงินสนับสนุนของตนเองนั้นยังไม่ต้องรีบเดินทางเข้ามาที่กรุงเทพมหานคร ขอให้โทรศัพท์มาที่ศูนย์เร่งรัด จัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) สายด่วน 1300 ของกระทรวงพม. และทางศรส.จะ ดำเนินการช่วยประสานงานและหาข้อมูลให้เพื่อที่จะได้ประหยัดเวลา และประหยัดแรงของพี่น้องคนพิการทุกคน

‘อนุชา’ แนะเยาวชนเลือกเรียนสอดคล้อง ‘แลนด์บริดจ์’ หวังปั้นแรงงานให้พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาคใต้

เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 67 ที่ห้องสมุด ศูนย์การศึกษาอโศกแคมปัส กรุงเทพมหานคร มีการจัดงานสัมมนาวิชาการหัวข้อเรื่อง ‘Landbridge SEC โอกาสทางเศรษฐกิจและธุรกิจไทยสู่ระดับโลก’ จัดโดยมหาวิทยาลัยนานาชาติสแตมฟอร์ด และทีมไรท์ กลุ่มนักคิดและนักปฏิบัติ จัดภายใต้สโลแกน ‘ทำที่ใช่ ทำในสิ่งที่ถูกต้อง’ โดยได้เชิญ นายอนุชา บูรพชัยศรี สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ รองประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร และกรรมาธิการการคมนาคม และนายวิชัย สุดสวาสดิ์ สส.ชุมพร เขต 1 พรรครวมไทยสร้างชาติ มาร่วมกันให้ความรู้กับนักศึกษาปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยแสตมฟอร์ด ดำเนินรายการโดย ผศ.ดร.เอก ชุณหชัชราชัย รองคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยนานาชาติสแตมฟอร์ด และนางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

สำหรับ เสวนาดังกล่าว มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้าใจถึงประโยชน์ของโครงการ ‘แลนด์บริดจ์’ (Landbridge) ที่มุ่งหน้าสู่การพัฒนาเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างสะพานข้ามทะเลระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน เชื่อมโยงเส้นทางการขนส่ง และคมนาคม เชื่อมต่อของมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดียเข้าไว้ด้วยกัน จะช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยอย่างมหาศาล อีกทั้งยังช่วยดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน และส่งเสริมให้มีการจ้างงานจำนวนมาก ทั้งยังแก้ไขปัญหาการจราจรผ่านช่องแคบมะละกา โดยเพิ่มตัวเลือกในการขนส่งสินค้าผ่านแลนด์บริดจ์ เพื่อยกระดับประเทศไทยให้เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญสำหรับการผลิตและการขนส่งสู่ตลาดโลก

นายอนุชา กล่าวว่า ตนอยากให้ปรับเปลี่ยนแนวคิดว่าโครงการแลนด์บริดจ์ ไม่ใช่เป็นโครงการที่จะนำเสนอในเรื่องคมนาคมขนส่งอย่างเดียว ไม่ใช่ศึกษาเพียงว่า จะมีเรือสินค้าเข้ามาท่าเรือระนอง และท่าเรือชุมพรปริมาณเท่าไหร่ และจะมีการขนส่งระหว่างท่าเรือฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามันอย่างไร แต่จากนี้ต้องมาช่วยกันคิด และให้หน่วยงานโดยเฉพาะกระทรวงอุตสาหกรรมศึกษาว่า จากนี้ไป เราจะสนับสนุนใน SEC หรือเขตเศรษฐกิจพิเศษที่จะเกิดขึ้นในภาคใต้ คืออุตสาหกรรมอะไร เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้เตรียมว่า จะเรียนสาขาอะไร

นอกจากนั้น ยังสอดคล้องไปถึงกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จะต้องจัดเตรียมบุคลากร เตรียมงบประมาณ เพื่อเข้าไปเสริม กระทรวงแรงงานในการเตรียมพัฒนาฝีมือให้สอดคล้องกันอย่างไร และในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ต้องลงพื้นที่เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะพื้นที่จังหวัดชุมพรและระนอง แต่รวมถึงจังหวัดสุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราชด้วย

ด้าน นายวิชัย กล่าวเสริมว่า โครงการแลนด์บริดจ์ เป็นโครงการที่นำความเจริญมาสู่ประเทศ เพราะไม่ใช่แค่จังหวัดชุมพรหรือระนอง แต่เป็นโครงการที่สร้างโอกาสการลงทุนทางเศรฐกิจโดยรวมของประเทศ จังหวัดชุมพร และจังหวัดระนอง เป็นจุดที่มียุทธศาสตร์ด้านภูมิประเทศในการดำเนินโครงการที่ดี ถ้ามองคนชุมพรกับคนระนอง ในเรื่องของธุรกิจและในด้านอุตสาหกรรมมีน้อยมากกับการลงทุนของคนในจังหวัด ปัจจุบันคนในจังหวัดชุมพร โดยเฉพาะในพื้นที่โครงการลงทุนคือ อำเภอพะโต๊ะ อำเภอหลังสวน ประชาชนยังมองเป็นผู้สูญเสียมากกว่า

นายวิชัย กล่าวว่า อยากให้นักศึกษาทุกคนมองมิติในการขับเคลื่อนโครงการ และการลงทุนในการทำธุระกิจ ต้องมองพื้นฐานของประชาชนเป็นที่ตั้ง เพราะการทำธุระกิจบนพื้นฐานของการไม่เข้าใจ และการไม่มีส่วนร่วมของประชาชน และประชาชนขาดความเข้าใจ จะหาความสำเร็จอยาก

“ผมคิดว่า การจะให้โครงการแลนด์บริดจ์ ประสบความสำเร็จภาครัฐต้องทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ให้มากกว่านี้ เช่น ประชาชนในพื้นที่จะได้รับประโยชน์อะไรกับโครงการ ประชาชนจะได้ค่าเยียวยาอะไร เท่าไรกับผลกระทบจากโครงการนี้” นายวิชัย กล่าว

กระบี่-เรือ นทท.นับร้อยลำแห่เข้าชมความงามอ่าวปิเละพีพีเลแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังเกาะพีพี ด้าน อช.พีพี หวั่นเกิดความเสียหายและอุบัติเหตุ 'สั่งล้อมคอก' บูรณาการส่วนราชการและส่วนที่เกี่ยวข้อง ลุยจัดระเบียบเรือเชิญผู้ประกอบการผู้เกี่ยวข้องประชุมหารือเร่งด่วน

วันที่ 5 ก.พ.67 นายยุทธพงค์ ดำศรีสุข หน.อช.หาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี เปิดเผยว่า ตามนโยบาย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานฯ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ นายเพิ่มศักดิ์ คงแก้ว ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 สั่งการให้อุทยานแห่งชาติฯ จัดการดูแลสถานที่แหล่งท่องเที่ยว 

โดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ให้ควบคุมดูแลความปลอดภัย อำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว บริหารจัดการเพื่อจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยวให้เหมาะสมกับพื้นที่ ไม่ให้เกิดภาพความแออัด ให้ท่องเที่ยวอย่างสะดวกและปลอดภัย

โดยช่วงบ่ายวันที่ (5 ก.พ.) หน.อช.หาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี บูรณาการร่วมหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง นำเรือตรวจการณ์สำรวจบริเวณแหล่งท่องเที่ยวอ่าวปิเละ แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังรองอันดับ 2 จากอ่าวมาหยา ต.อ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่ พบในอ่าวปิเละ มีการสัญจรของเรือหนาแน่น ทั้งมลพิษกลิ่นควันจากท่อไอเสียของเรือ มลพิษด้านเสียง กลิ่นน้ำมัน อีกทั้งนทท.ลงเล่นน้ำนอกแนวเขตทุ่นไข่ปลา หวั่นเกิดอุบัติเหตุอันตรายขึ้นแก่นักท่องเที่ยว จึงเร่งหาแนวทาง"ล้อมคอกก่อนวัวหาย" 

ได้เชิญทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องประชุมหารือเร่งด่วนถึงแนวทางในการจัดระเบียบแหล่งท่องเที่ยวของเกาะพีพี โดยมีส่วนราชการ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ ประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนตำบลอ่าวนาง ,สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขากระบี่ ,สถานีตำรวจท่องเที่ยว 3 กก.2 ,สถานีตำรวจน้ำ 1 กก.9 ,ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 3 จังหวัดกระบี่ ,ศูนย์ควบคุมความมั่งคงท่าเรือกระบี่ ,สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ ,สถานีตำรวจภูธรเกาะพีพี ,ชมรมผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวเกาะพีพี ,ชมรมธุรกิจท่องเที่ยวเกาะพีพี ,กลุ่มพิทักษ์พีพี ,ชมรมเรือหางยาวเกาะพีพี ,ผู้ประกอบการเรือหางยาว และผู้ประกอบการท่องเที่ยว ณ ห้องประชุมโรงแรม พีพี อันดามัน บีช รีสอร์ท (เกาะพีพี) จังหวัดกระบี่

หน.อช.หาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี เผยอีกว่า ในที่ประชุม อุทยานแห่งชาติฯ ได้รายงานสภาพปัญหาการท่องเที่ยวบริเวณอ่าวปิเละ และศักยภาพการท่องเที่ยวตามหลักวิชาการ โดยอ่าวปิเละ หรือปิเละ ลากูน เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีลักษณะโดดเด่น สวยงาม ตั้งอยู่ที่เกาะพีพีเล มีแอ่งน้ำลักษณะคล้ายกับลากูน โดยเป็นแอ่งถูกล้อมรอบด้วยหน้าผาสูง น้ำทะเลสดใสเขียวมรกต เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ 

และอยู่ใกล้กับอ่าวมาหยาที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของอุทยานฯ ปัจจุบันแหล่งท่องเที่ยวอ่าวปิเละ มีเรือนำเที่ยวและนักท่องเที่ยวเข้าไปท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ในแต่ละวันมีเรือเข้าไปท่องเที่ยว เฉลี่ยประมาณ 120 ลำ ประกอบด้วย เรือหางยาว เรือสปีดโบ๊ท ซึ่งกิจกรรมส่วนใหญ่ เป็นการเข้าไปให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพ และว่ายน้ำ ด้วยความหนาแน่นของเรือที่เกิดจากการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่ ทำให้มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย มีภูมิทัศน์ไม่สวยงาม เกิดมลพิษ ทั้งทางด้านเสียงจากเครื่องยนต์เรือ และมลพิษทางอากาศ 

ซึ่งนักท่องเที่ยวที่เข้าไปได้รับโดยตรง ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะหาแนวทางในการจัดการแก้ไขปัญหา ซึ่งต้องบูรณาการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงภาคเอกชน และผู้ประกอบการในพื้นที่และต่างพื้นที่ที่เข้ามาใช้ประโยชน์ เพื่อที่จะหาแนวทางกำหนดกฎกติกาในการจัดระเบียบการท่องเที่ยวในพื้นที่ดังกล่าว เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ 

เพื่อสามารถจัดการแหล่งท่องเที่ยวและใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน โดยอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธาราฯ ได้ดำเนินการของบประมาณในการติดตั้งท่าเทียบเรือลอยน้ำ และทุ่นไข่ปลา เพื่อเพิ่มศักยภาพในการเข้า-ออกของเรือ และอำนวยความสะดวกด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว รวมถึงเพิ่มทุ่นจอดเรือให้ครอบคลุมแหล่งท่องเที่ยวทุกแหล่ง เพื่อป้องกันมิให้มีการทิ้งสมอเรือ หรือท่องเที่ยวที่อันจะเกิดผลกระทบต่อปะการังในแหล่งท่องเที่ยว โดยที่ประชุมดังกล่าวได้ร่วมกันหารือปัญหา และเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา และได้มีมติที่ร่วมกันที่ในการจัดระเบียบการท่องเที่ยวในอ่าวปิเละลากูน ในเบื้องต้น ดังนี้

1. ลดจำนวนเรือหางยาวที่ไม่มีนักท่องเที่ยว โดยไม่ให้ เข้าไปจอดหรือดำเนินการเปลี่ยนถ่ายนักท่องเที่ยวจากเรือสปีดโบ๊ทไปยังเรือหางยาวภายในอ่าวปิเละ  ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายแก่นักท่องเที่ยว รวมถึงสามารถลดปัญหามลภาวะทางเสียงและอากาศในพื้นที่ได้ 

2. จัดโซนเล่นน้ำภายในอ่าวปิเละ ให้เล่นเฉพาะจุดที่เจ้าหน้าที่กำหนดไว้เท่านั้น 

3. จัดทำเสาแสดงระดับน้ำขึ้นลงด้านหน้าอ่าวเพื่อจำกัดช่วงเวลาเข้าออกของเรือทั้งนี้อุทยานแห่งชาติมีแผนงานแก้ไขปัญหาจัดระเบียบเรือในพื้นที่ดังกล่าว  3 มาตรการ ดังนี้
มาตรการที่ 1 การจัดการด้านพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในแหล่งท่องเที่ยว
1.1 เพิ่มทุ่นจอดเรือบริเวณหน้าอ่าวปิเละ เพื่อรองรับการจอดเรือของเรือสปีดโบ๊ท/กรณีน้ำลดลงต่ำที่เรือขนาดใหญ่ไม่สามารถเข้าไปได้
1.2 ของบสนับสนุนในการจัดตั้งทุ่นลอยน้ำสำหรับให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานประจำอ่าวปิเละ
ในการควบคุมตรวจสอบการดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว
1.3 ของบประมาณจัดทำทุ่นจอดเรือภายในอ่าวปิเละ เพื่อรองรับการจอดเรือ สำหรับกำหนดรอบในการเข้าไปท่องเที่ยว

มาตรการที่ 2 จัดประชุมชี้แจงทำความเข้าใจกลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย 
2.1 ร่วมหารือแนวทางการจัดระเบียบปริมาณเรือที่เข้า-ออก ไปใช้พื้นที่อ่าวปิเละ เพื่อไม่ให้เกิดความหนาแน่น และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ
2.2 นำความเห็นเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาอุทยานแห่งชาติ  (PAC) เพื่อขอมติรับรอง�การดำเนินการตามมาตรการแนวทางการจัดระเบียบและข้อปฏิบัติในการเข้าไปยังแหล่งท่องเที่ยวปิเละลากูน ซึ่งจะมีการประชุมในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 นี้
2.3 ออกมาตรการกำหนดแนวทางการจัดระเบียบและข้อปฏิบัติในการเข้าไปยังแหล่งท่องเที่ยว�ปิเละลากูน พร้อมประชาสัมพันธ์นักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ ที่เกี่ยวข้องทราบ
2.4 ดำเนินการมาตรการแนวทางการจัดระเบียบและข้อปฏิบัติในการเข้าไปยังแหล่งท่องเที่ยวปิเละลากูน พร้อมจัดกำลังเจ้าหน้าที่เข้าปฏิบัติงานตรวจสอบควบคุม ให้เป็นไปตามเป้าหมาย

มาตการที่ 3 ตรวจสอบร่วมบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการควบคุม ดูแล การท่องเที่ยวทางเรือ
3.1 เรือที่เข้าไปท่องเที่ยวและให้บริการนักท่องเที่ยว ต้องได้รับอนุญาตประกอบกิจการท่องเที่ยวจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
3.2 เรือที่ให้บริการนักท่องเที่ยวต้องมีมาตรฐานความปลอดภัยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
3.3 ผู้ขับเรือ ต้องผ่านการฝึกอบรม เกี่ยวกับการให้บริการนักท่องเที่ยว การช่วยปฐมพยาบาลขั้นต้นหรือด้านอื่นๆ ที่จะช่วยยกระดับการท่องเที่ยวโดยใส่ใจสิ่งแวดล้อม

จากการประชุมดังกล่าว ได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการเรือหางยาว ผู้ประกอบธุรกิจบนเกาะพีพี รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตที่เข้ามาท่องเที่ยว ที่จะดำเนินการตามแนวทางและกฎระเบียบที่กำหนด เพื่อให้แหล่งท่องเที่ยวดังกล่าวได้รับการจัดการที่เหมาะสม สามารถใช้อำนวยประโยชน์ทางด้านการท่องเที่ยว ได้อย่างยั่งยืนต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top