'ชัยวุฒิ' ยัน!! กระแส 'พปชร.’ ไม่แผ่ว นโยบายพรรคยังถูกจริต แต่จำนวน สส.คลาดเป้า เพราะเสียงแตก 2 พรรค มีผล

(5 ก.พ.67) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวตอนหนึ่งบนเวทีเสวนาหัวข้อ 'อนาคตประชาธิปไตยไทยในมิติพรรคการเมือง' ซึ่งจัดโดยคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยระบุถึงผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ซึ่งได้จำนวนสส.ต่ำกว่าเป้า ว่า ต้องยอมรับว่าการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาพลาดเป้า ส่วนหนึ่งมาจากการแตกออกเป็น 2 พรรค 

ทั้งนี้ หากพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่แยกพรรคกันในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เชื่อว่าพรรคพลังประชารัฐจะได้ สส.มากกว่านี้ เพราะคะแนนเสียงถูกหารไป ทั้ง ๆ ที่ยังมีคะแนนนิยมเหมือนเดิมในหลายพื้นที่ แต่เมื่อแยกพรรคกัน คะแนนนิยมก็ถูกแบ่ง และการหาเสียงก็มีความยากลำบากขึ้นด้วย ในขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่า คะแนนนิยมในตัวพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ทำงานมายาวนาน ก็จะได้คะแนนนิยมค่อนข้างสูง จึงทำให้คะแนนเทไปทางพรรครวมไทยสร้างชาติมากกว่า แต่ท้ายที่สุดแล้ว การที่แยกพรรคกัน ทำให้กลายเป็นจุดอ่อน ที่ส่งผลให้แพ้ทั้งคู่ ซึ่งถือเป็นบทเรียนของทั้งสองพรรคในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา 

อย่างไรก็ตาม ในการเลือกตั้งครั้งหน้า เชื่อว่าพรรคพลังประชารัฐ ก็ยังมีคะแนนนิยมอยู่ ซึ่งดูจากจำนวนคะแนนที่ได้รับจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แต่ทั้งนี้ ทางพรรคจะต้องทำกิจกรรมร่วมกับประชาชนและมีนโยบายที่ชัดเจน พร้อมทั้งต้องรวมคนและรวมพลังกันให้ได้ โดยส่วนตัวยังเชื่อว่ามีคนอีกจำนวนมากพร้อมสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ เพียงแต่เราจะต้องเตรียมพร้อมและรองรับให้ดีกว่าครั้งที่ผ่านมา แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุด คือ จะต้องรวมกำลังคนที่เคยแยกออกไป กลับมารวมตัวกันเป็นพรรคใหญ่ให้ได้ เพื่อสู้ศึกในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

ทั้งนี้ นายชัยวุฒิ มองว่าการเลือกตั้งในอนาคตจะมี 2 เรื่องสำคัญที่ต้องติดตาม โดยเรื่องแรก เป็นเรื่องกฎหมายเลือกตั้ง หรือ วิธีการเลือกตั้ง ซึ่งค่อนข้างมีผลต่อจำนวนสส.ของแต่ละพรรคอย่างมาก เพราะเมื่อเปลี่ยนวิธีนับคะแนนหรือเปลี่ยนวิธีเลือกตั้ง คะแนนย่อมเปลี่ยนไปด้วย รวมถึงการที่จำนวนพรรคการเมืองและผู้สมัครมีจำนวนมากขึ้น ก็จะมีผลต่อคะแนนเสียงเช่นกัน ซึ่งเห็นได้จากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา คนที่ได้รับเลือกเป็นสส.เขตบางคนได้คะแนนเพียง 20-30% ของจำนวนผู้ที่มาใช้สิทธิเท่านั้น แต่ก็สามารถชนะเลือกตั้งได้เป็นสส. ซึ่งจะแตกต่างจากในอดีตที่คนชนะส่วนใหญ่ จะต้องได้คะแนนเกิน 50% ขึ้นไป 

ส่วนเรื่องที่สอง ที่มองว่าจะต้องได้รับการแก้ไข ก็คือ ในอดีตกลัวว่าจะมีการใช้สื่อในการชี้นำประชาชน จึงออกกฎหมายควบคุมสื่อดั้งเดิม อย่างสื่อสิ่งพิมพ์และโทรทัศน์อย่างเข้มงวด แต่ในขณะเดียวกันกลับไม่มีการควบคุมสื่อออนไลน์ ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากในปัจจุบัน แน่นอนว่า ในอนาคตทั้งนักการเมืองและพรรคการเมือง จะต้องปรับตัวรับมือกับโซเชียลมีเดีย ซึ่งหลายพรรคพยายามจะทำ ในขณะที่อีกหลายพรรคก็ยังตามไม่ทัน ดังนั้น ทั้ง 2 เรื่อง คือ กติกาการเลือกตั้ง และ โซเชียลมีเดีย จะมีผลอย่างมากต่อการเลือกตั้งในอนาคต

พร้อมกันนี้ นายชัยวุฒิ ยังได้ให้มุมมองทางด้านเศรษฐกิจ และสังคม โดยกล่าวถึงการผลักดันเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ว่า นโยบายด้านซอฟต์พาวเวอร์ เป็นเรื่องที่จะต้องผลักดันกันต่อไป เพราะเป็นการเพิ่มมูลค่าและสร้างการรับรู้วัฒนธรรมไทยไปสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่ผ่านมาทางพรรคพลังประชารัฐ เคยมีแนวคิดที่จะตั้งองค์กรขึ้นมาดูแลด้านนี้โดยเฉพาะ ซึ่งแต่เดิมจะมีกระทรวงวัฒนธรรมเป็นเจ้าภาพหลัก แต่ในอดีตที่ผ่านมายังไม่ค่อยมีความชัดเจน และโดยส่วนตัวเห็นด้วยกับรัฐบาลชุดนี้ ที่ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลอย่างจริงจัง มีงบประมาณที่ชัดเจน และในอนาคตหากสามารถยกระดับเป็นองค์กรมหาชน หรือเป็นหน่วยงานด้านนี้โดยตรง เชื่อว่าจะช่วยยกระดับและผลักดันความเป็นไทยออกไปสู่ชาวโลกได้มากยิ่งขึ้น